คืนละม้ายคล้ายคล้ายฝัน
โดดเดี่ยวรำพันความรู้สึก
เร้นรอยรวดร้าวเหน็บหนาวลึก
โลกผนึกรติกาลผ่านสายลม
หม่นเสี้ยวเดือนดวง ณ ห้วงฟ้า
แลเลือนตาวิเวกด้วยเมฆห่ม
แผ่วแผ่วความอ้างว้างมาพร่างพรม
ดิ่งใจจมสู่เหงาเปลี่ยวเดียวดาย
ท่ามกลางความสงัด
ลมระบัดผันแปรกระแสสาย
ยะเยือกดึกดื่นกาลสะท้านกาย
กลิ่นความตายอบอวนลอยหวนลม
แล้วหอมหนึ่งก็มาแทรก
กลิ่นหอมแปลกดั่งเศร้าเคล้าผสม
วิเวกกาลอ้างว้างยังพร่างพรม
หอมกลิ่นโศกระทมย้ำตราตรึง
ก่อนกลิ่นจะสิ้นจาง
ท่ามแสงเดือนรางรางแลประหนึ่ง
เลือนเลือนร่างมืดดำในรำพึง
ค่อยค่อยเด่นเห็นถึงโศกดวงตา
โฉมเอย โฉมหม่นพักตร์
ชุดดิ้นทองไหมปักงามนักหนา
อยากจะถามแม่ล่วงภพใดมา
ก่อนภวังค์มายาจะเลือนลับ
แล้วกลิ่นธูปก็คลุ้งทั่ว
พร้อมพร้อมภาพสลัวก็คืนกลับ
หญิงชุดไทยงามพร้อยก็ย่อยยับ
ในห้องหับเหม็นเน่ากลิ่นเคล้าคลุ้ง
จากครึ่งหลับครึ่งตื่น
ผ่านล่วงคืนเดือนจรมาค่อนรุ่ง
ชื้นยอดหญ้าพราวพร่างน้ำค้างมุง
กลิ่นน้ำปรุงจางจางอ้างว้างนัก
.........................
โดยคำ ลานเทวา