-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ต้องมีกลยุทธและวินัยถึงจะชนะตลาดได้  (อ่าน 1375 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

Hymn1919

  • บุคคลทั่วไป

ก่อนจะลงทุนศึกษาข้อมูลต่างๆ รวมถึงตลาดมาดีพอหรือยัง
กลยุทธในการลงทุนมีมากมาย วิธีเอาชนะตลาดไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่...
ต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนแบบไหน เพราะถ้าคุณไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหนยากที่จะชนะตลาดได้
แล้วทำไมถึง ถ้าไม่รู้ว่าเป็นนักงทุนแบบไหนแล้วชนะตลาดได้ยาก จริงหรือ ไม่น่าเชื่อนะไม่จำเป็นตต้องรู้มั้ง นี่คือข้อสงสัยและคำถามของหลายคนว่าจะลงทุนทั้งทีทำไมต้องเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้มาคิดด้วย ง่ายนิดเดียว ขอแค่ขายให้แพงกว่าก็พอ มีกำไรก็พอ...

ก็เพราะคิดแบบนี้ไง ถึงเจ๊งกันมาเป็นแถว


รายย่อยส่วนใหญ่ร้อยละ80ก็ว่าได้ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นนักลงทุนแบบไหน คิดว่าตลาดทุนเป็นตลาดเสี่ยงดวง ไม่ใช่แค่รายย่อยในประเทศไทยเท่านั้น ต่างประเทศก็มี แต่สัดส่วนก็จะต่างกันไป
นักลงทุนหลักๆ ในตลาดมี2แบบ(เท่าที่ผมรู้)
1 Speculator
2 Investor


1 พวก Speculator จะเป็นพวกซื้อต่ำขายสูง หรือเล่นรอบนั่นเอง

จะรอบเล็กรอบใหญ่นั่นก็แล้วแต่วามถนัดอีก นักเก็งกำไรพวกนี้เท่าที่ผมแบ่งกลุ่มได้ จะเป็น(อาจจะมากกว่าที่ผมรู้ก็ได้)
1.1 long term
1.2 med term
1.3 short term
1.4 day trade

พวกSpeculatorนี้จะมีอาวุธที่สำคัญมากๆ 3 อย่าง(สำหรับผม)

1. work technical >>> แล้วแต่ความถนัดในการใช้เครื่องมือ อันนี้คุณต้องศึกษาเครื่องมือและหาความรู้ต่างๆ ทั้งในการอ่านกราฟ เรื่องคลื่นเอง
คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือทั้งหมดมาวิเคราะห์ก็ได้ บางคนใช้เครื่องมือธรรมดา ง่ายๆ แค่3-4อย่าง เส้นค่าเฉลี่ยEMA, trend, price pattern และ ดูแรงซื้อ-ขายต่างชาติ ก็ชนะตลาดได้แล้วเหมือนกัน
ถ้าเครื่องมือหรือเทคนิคไหนทำให้คุณขาดทุนบ่อยครั้งก็อย่าไปใช้มันอีก เช่นถ้าคุณใช้ sto เล่น10ครั่ง กำไร5ขาดทุน5 คุณเลิกใช้ซะ เพราะเครื่องมือที่ดี เล่น10ต้องชนะ7แพ้3
เครื่องมือมีมากมาย บางคนสังเกตจากค่าเงินก็มี บางคนดูแค่ macd ก็มี
บางคนดูแค่แท่งเทียนก็มี แลอกใช้อันที่ชนะบ่อยๆ จะได้เปรียบ

2. cut loss >>> ตรงนี้แล้วแต่ความสามารถประสบการณ์และจิตใจเลยทีเดียว สำหรับผมยอมขาดทุนไม่เกิน3% ถ้าเกิดมันขาดทุนด้วยเลขที่มากกว่า3% ผมจะเขวี้ยงทุกราคา เขวี้ยงของผมหมายถึงขายใส่ช่องbid จะไม่ตั้งขายรอเด็ดขายเพราะcut คือ cut
กฏทองของนักเก็งกำไรเมืองไทยที่ผมรู้จัก2คน
นายแพทย์ยงยุทธ มีกฏทองคือ cut loss อย่างเดียว อีกคน
อ.วันชัย มีกฏทองสำหรับนักเก็งกำไร3ข้อคือ 1. cut loss 2. cut loss 3. cut loss
ผมเคยได้ยินหลายคนมากๆ บอกว่าcutแล้วขึ้น ไม่คัทดีกว่า ไม่มีใครรู้
ซึ่งแน่หละว่าถ้าคุณcutแล้วมันอาจจะขึ้นก็ได้ แต่ไม่มีใครรู้ คุณแค่เงินหายไป3%
เงินคุณหรือกองกำลังคุณที่จะไว้ใช้ทำศึกยังอยู่ตั้ง97% รอถ้ามันขึ้นจริงๆ แล้วค่อยตามเข้าไปก็ได้ เราจะรบเมื่อเราได้เปรียบเท่านั้นครับ ถึงแม้ราคามันจะสูงกว่าที่คุณcutไปก็ตาม แต่ถ้าเราได้เปรียบหรือมันขึ้นจริงๆ คุณจะไม่ซื้อหรอครับ
แต่ถ้าคุณไม่cutก็อีกนั้นแหละไม่มีใครรู้อนาคต มันลงไป10% 20% สุดท้าย50% ตรงนี้โทษใครไม่ได้แล้ว ถึงตรงนี้คุณcutคุณจะเหลือทหารในกองทัพเพียง50%หรือ60% เพื่อใช้รบต่อ คิดวว่าจะได้เปรียบมากแค่ไหน
ผมเรียกว่าขาดวินัยในการลงทุน ไม่ใช้นักเสี่ยงดวงกว่ากลัวขายแล้วขึ้น ตรงนั้นเรียกว่านักเสี่ยงดวง
ผมถึงบอกว่าควรจะรู้ตัวเองว่าเป็นนักลงทุนแบบไหน เพราะกลยุทธและวินัยคือสิ่งสำคัญมากๆ
ผมยกตัวอย่างของตัวเองง่ายๆ ผมเข้าตลาดมาเมื่อกลางปีที่แล้ว ซื้อpttที่320 ไป500หุ้น ซื้อปุ๊บดิ่งเหว ผมตัดใจขายไปที่250 ขายแล้วกลับมาตั้งสติ
ผมยังเหลือเงินอีกพอสมควรมันดีกว่าผมจมเงินแล้วแช่ไว้ ในหุ้นให้ขาดทุนไปเรื่อยๆ เป้นวิธีที่โง่สิ้นดี
ผมเอเงินที่เหลือมาเล่นรอบคืนตอนนี้ได้คืนมาหมดแล้ว ผมซื้อpttไปแค่2ครั้ง150ขายไป182ครั้งนึง
ครั้งที่2ซื้อ161ขายไป255 แค่นี้ผมก็กำไรผมแล้วครับ อย่าเอาเงินตัวเองไปจบกับสิ่งที่ไม่มีอนาคต และคิดการยาก
ผมเชื่อว่าถ้าคุณมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง work tecnical ของคุณดีแล้ว มีโอกาสน้อยมากเลยที่คุณcutแล้วจะขึ้นต่อ
ยิ่งถ้าใช้work tecnical+cut loss โอกาสแพ้ตลาดน้อยมากๆ เพราะถ้ากำไรก็จะฟาดที50-60%หรือมากกว่านั้น ถ้าขาดทุนก็ขาดทุนแค่3% คิดง่ายๆ
ชนะ7 แพ้3 กำไร=50*7 - 3*3 = 341%

3 ตามset >>> ผมเชื่อว่าในวันที่setลง20จุดมีหุ้นน้อยมากที่จะบวกสวนตลาดได้ดีๆ สมมติมีหุ้น40ตัวที่บวกสวนตลาดได้ แต่หุ้นอีก400ตัวลง
โอกาสที่คุณจะจับถูกหุ้นที่สวนsetได้คือ 1ใน10 แบบนี้เค้าเรียกว่าเสียเปรียบ ยังไงก็ไม่เล่นอยู่เฉยๆ ดีกว่า ไม่เจ็บตัว


2 พวกInvestor พวกนี้จะลงทุนในหุ้นจริงๆ เลย โดยคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจนั้น

ฉะนั้นแล้วพวกนี้จะไม่มีทางขายธุรกิจตัวเองให้คนอื่นง่ายๆ คนพวกนี้จะยอมขายธุรกิจตัวเองก็ต่อเมื่อมีคนมาเสนอซื้อในราคาที่สูงoverเช่น
ราคาหุ้นที่ซื้อเก็บไว้มีpe5เท่า อีก5ปีpeกลายเป็น50เท่าราคาแพงขึ้นกว่าเดิม10-20เท่าตัว คนพวกนี้จะวิเคราะห์แล้วว่าราคานี้แพงมากเกินจริงๆ จึงจะยอมขาย
นักลงทุนประเภทนี้ที่มีชื่อเสียงดังๆ ก็คือ Buffet กับ ดร.นิเวศน์
คนเหล่านี้จะไม่ยอมขายหุ้นตัวเองเด็ดขาดถึงแม้ราคาจะลง
คุณลองคิดดูว่าสมมติคุณเปิดร้านขายโทรศัพท์ แต่ด้วยพิษทำให้ยอดขายตกลงคุณไม่จำเป็นต้องขายกิจการคุณทิ้งนี่ เพราะมันก็แค่วิกฤตชั่วคราว ผ่านไปมันก็ดีขึ้นเอง
ถึงกะนั้นแล้วคนกลุ่มนี้ก็ควรมีกลยุทธในการซื้อหุ้นด้วย
1 ต้องมีเวลา >>> ต้องใช้เวลา ต้องให้เวลามัน

2 มองอดีต >>> คุณต้องทำการบ้านโดยศึกษาข้อมูลในอดีตของหุ้นที่คุณจะซื้อ เพราะคุณลงทุนแบบเป้นเจ้าของกิจการนี่ อาจจะดูข้อมูลย้อนหลัง5ปี ดูกำไร ดูงบการเงิน ดูธุรกิจ และอีกหลายๆ อย่าง

3 มองอนาคต >>> ธุรกิจนี้มีอนาคตมั้ย เช่น หุ้น ssc(เสริมสุข ตัวนี้ผมเคยซื้อตอน7.8บาทเมื่อปลายปีที่แล้ว ขายไปหมดแล้วเพราะตอนนั้นยังไม่เข้าใจหลักตรงนี้) เสริมสุขมีธุรกิจหลักก็ที่รู้จักกันดีคือ pepsi น้ำเปล่า(ผมจำไม่ได้ว่ายี่ห้ออะไร) คุณลองคิดดูนะว่าถึงจะเศรษฐกิจไม่ดียังไงคนก็กินpepsi ทำงานมาหนัก เหนื่อย ยังไงก็ต้องดื่มน้ำ ฉะนั้นผมกระทบจะมีไม่มากกับธุรกิจประเภทนี้


ย้ำอีกครั้ง พวก Investor จะขายหุ้นด้วยเหตุผลเดียวคือ มีคนบ้ามาเสนอซื้อหุ้นในราคาที่สูงเวอร์ เช่น ผมซื้อsscมา10บาท มีคนมาขอซื้อผมที่20ผมก็ไม่ขาย 30ผมก็ไม่ขายhiเก่าประมาณ50 นอกจาก60-70ผมถึงจะขาย จะด้วยเหตุผลข่าวร้าย มีฐประหาร พวกInvestorก็ไม่ขายเด็ดขายแต่พวกนี้จะถือโอกาสข่าวร้ายสุดๆ ดักเก็บหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่ม


แต่บางคนอาจจะมีทั้งหุ้นที่เล่นรอบหรือหุ้นลงทุนก็ได้  อย่างผมก็มีทั้งหุ้นที่เล่นรอบและลงทุน
เพียงแต่ต้องรู้ว่าซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไรจะลงทุนกับหุ้นตัวนี้แบบไหน


นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นประเภทไหน ผมเห็นบางคนเข้ามาเพื่อเก็งกำไร อาจจะระยะกลางหรือยาวหรืออะไรก็ตามแต่ แต่พอซื้อหุ้นปุ๊บหุ้นดิ่งเหว ก็เลยตัดใจว่าเอาว่ะ พื้นฐานดีถือยาว แต่เงินคุณจมกับหุ้นพื้นฐานดีเสียโอกาสเท่าไหร่ อย่างนี้เรียกว่าหุ้นพื้นฐานดีได้อีกหรอ แต่พอหุ้นลงเรื่อยๆ ลงไม่หยุดซะที ตัดใจยอมcut ตกลงเป็นแบบไหนกันแน่ พวกนี้คือไม่เข้าใจว่า Speculator กับ Investor เป็นอย่างไร และมักจะขาดทุนบ่อยๆ ในตลาดหุ้น ผมเรียกพวกนี้ว่า "ตัวนิ่ม" ในตลาด

CREDIT by Jillna @ PANTIP/SINTHORN