antalya escort bayan escort antalya antalya bayan escort
free hd porn
freier porno porno gratis
mengen escort bartin escort erzincan escort erzincan escort esenler masaj salonu erzincan masaj salonu goksun masaj salonu esenler masaj salonu biga masaj salonu erzincan masaj salonu ezine masaj salonu can escort
แสดงกระทู้ - แบดบอย
-->

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - แบดบอย

หน้า: 1 [2]
51
ถึงแม้ตัวเลข แม่วัยรุ่นสหรัฐฯ จะลดลงเรื่อยๆ จนต่ำสุดในปี 2012 แต่สถาบันกุมารแพทย์ก็ออกแถลงการณ์ระบุแนวทางในการให้บริการถุงยางอนามัยแก่เยาวชน ในปี 2013 โดยอ้างอิงตัวเลขสถานการณ์ของการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ของเยาวชนและการติดเชื้อเอชไอวี ไว้ เพื่อประกอบเหตุผล ดังนี้
•   เกือบครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอายุ 15 – 24 ปี ที่ป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นรายใหม่
•   ร้อยละ 20 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในสหรัฐฯ ปี 2011 เป็นเยาวชนอายุระหว่าง 13- 24 ปี
•   ในรอบสิบปีที่ผ่านมา อัตราการติดเชื้อซิฟิลิส หนองในแท้ และหนองในเทียมในกลุ่มเยาวชนและกลุ่มวัยหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มหญิงสาว พบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อหนองในแท้และหนองในเทียมสูงขึ้นมาก
•   แม้อัตราการคลอดลูกในวัยรุ่นอายุ 15-19 ปีของสหรัฐจะลดต่ำสุดในรอบ 70 ปี แต่ก็ยังมีอัตราสูงกว่าประเทศอื่นในกลุ่มประเทศที่ร่ำรวย
คณะกรรมการสถาบันฯ ยังระบุอีกว่า ครึ่งหนึ่งของเยาวชนที่ไม่ได้รับความรู้ในเรื่องเพศศึกษาตามหลักสูตร มีแนวโน้มจะไม่ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เมื่อเทียบกับเยาวชนที่เรียนเรื่องเพศศึกษาตามหลักสูตร
ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงได้ทำการศึกษาโดยมุ่งเรื่องการใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้น รวมทั้งผลที่ได้จากโครงการต่างๆ ที่ออกแบบหลักสูตรเพศศึกษาและการป้องกันเอชไอวีในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 25 ปีจากทั่วประเทศ เนื่องจากแนวทางและความเห็นต่อเรื่องนี้ของสถาบันฯ ที่ออกมาปีล่าสุด คือ 2001 ได้สนับสนุนให้สอนเยาวชนให้ชะลอการมีเพศสัมพันธ์ออกไป รวมทั้งให้ รักนวลสงวนตัว หรือห้ามใจไม่ให้มีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะแต่งงาน
ดังนั้น สถาบันฯ จึงได้ปรับปรุงแนวทางการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่เพิ่มเติม โดยระบุว่ากุมารแพทย์ต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้เด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงมีความเข้าใจและรับผิดชอบต่อการมีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งต้องส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีในกลุ่มวัยเจริญพันธุ์ด้วย
สรุปประเด็นสำคัญของแนวทางการทำงานสำหรับกุมารแพทย์
•   กุมารแพทย์และแพทย์ประจำคลินิกด้านอื่นๆ สนับสนุนพ่อแม่ให้สื่อสารเรื่องเพศกับลูกๆ โดยรวมเข้าไว้ในเรื่องการดูแลสุขภาพ
•   กุมารแพทย์และแพทย์ประจำคลินิกอื่นๆ ต้องจัดให้มีโครงการอบรมให้พ่อแม่มีทักษะที่สามารถคุยกับลูกถึงเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและใช้อย่างต่อเนื่อง
•   กุมารแพทย์และแพทย์คลินิกด้านอื่นๆ ต้องจัดหาถุงยางอนามัยไว้ในคลินิกของตน รวมทั้งสนับสนุนถุงยางอนามัยให้แก่ชุมชนไว้บริการเยาวชน
•   กุมารแพทย์สนับสนุนให้มีการบริการถุงยางอนามัยไว้ในโรงเรียน โดยระบุว่าโรงเรียนคือสถานที่ที่เหมาะสมเนื่องจากเป็นที่รวมของเยาวชนวัยเจริญพันธุ์ ดังนั้น การสอนให้มีทักษะเรื่องถุงยางอนามัยในโรงเรียนจึงสอดคล้องกับวิถีชีวิตของเด็กในวัยนี้
•   กุมารแพทย์สนับสนุนให้การเรียนในชั้นมัธยมปลาย รวมเรื่องการให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำถึงผลที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ และควรให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการต่างๆ ที่มีถุงยางอนามัยเข้ามาเกี่ยวข้อง
•   กุมารแพทย์ยืนยันว่า ผลจากการศึกษา ถุงยางอนามัยไม่ได้กระตุ้นให้เด็กมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น แต่พบว่า 42% มีการชะลอเพศสัมพันธ์ออกไปอย่างน้อย 6 เดือน และ 55% ของผลการศึกษา พบว่าถุงยางอนามัยไม่มีผลอะไรเลยกับระยะเวลาในการกระตุ้นให้มีเพศสัมพันธ์
•   สถาบันฯ สนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยด้านยุทธศาสตร์การทำงานเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์และการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัยให้มากขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก 3c4teen.org

Report by www.livcapsule.com


52
แอดมินเพจ “Med Sci Smoothies” ชี้ ข่าวผลตรวจ HIV พลาด กระทบความน่าเชื่อถือ “วิชาชีพเทคนิคการแพทย์” ยันวิธีการตรวจและยืนยันผลต้องปฏิบัติตามไกด์ไลน์ เผยจากการติดตามข่าวมีการให้ข้อมูลย้อนแย้ง ขอตั้งข้อสังเกตประเด็นสงสัย
ภายหลังจากที่ได้มีการนำเสนอข่าวกรณีความผิดพลาดการยืนยันการตรวจเชื้อเอชไอวีของผู้ป่วยหญิงรายหนึ่ง ซึ่งภายหลังพบว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่พบเชื้อเอชไอวี และได้มีการให้ข้อมูลโน้มเอียงชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องของการตรวจยืนยันเชื้อ แอดมินเพจ “Med Sci Smoothies” ซึ่งเป็นเพจรวมตัวของนักเทคนิคการแพทย์ จึงขอให้ข้อมูลและข้อสังเกตต่อกรณีที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าข่าวที่เกิดขึ้นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือต่อวิชาชีพเทคนิคการแพทย์
แอดมินเพจ Med Sci Smoothies กล่าวว่า การออกมาให้ข้อมูลในครั้งนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อชี้ว่าใครผิดใครถูก แต่จากการติดตามข่าวต่อเนื่องผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะข่าวจากอินเตอร์เน็ต พบว่ามีข้อย้อนแย้งหลายประเด็นที่น่าติดตาม ทั้งยังมีการให้ข้อมูลที่มุ่งว่าเป็นความผิดพลาดจากการตรวจโดยห้องปฏิบัติการ (แลป) ดังนั้นจึงขอไล่เรียงประเด็นข่าวโดยเปรียบเทียบตามแนวทางการตรวจเชื้อเอชไอวี (Guideline) ของประเทศ และวิเคราะห์จากการมองที่เป็นการมองจากข้อมูลทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งในส่วนของผู้ป่วยและวิชาชีพ จึงขอตั้งข้อสังเกตดังนี้
1.การตรวจเชื้อเอชไอวี มีการระบุว่าผู้ป่วยได้ทำการตรวจด้วยวิธี ELISA ในครั้งแรก รวมถึงการตรวจด้วยวิธี Western Blot ในช่วงเวลาต่อมา โดยใช้ 2 วิธีนี้เท่านั้น ซึ่งไม่เป็นไปตามไกด์ไลน์ระดับประเทศที่กำหนดให้ผู้ป่วยจะต้องทำการตรวจ Anti-HIVซึ่งเป็นแอนติบอดี้ หรือภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ HIV ก่อน อีกทั้งการตรวจด้วยวิธี Western Blot โรงพยาบาลร้อยละ 99 ในประเทศไทยไม่ใช้วิธีการตรวจนี้แล้ว เนื่องจากมีราคาแพง และมีความไวไม่เท่าการตรวจด้วยวิธีใหม่ๆ ในขณะนี้ อย่างวิธี PCR (Polymerase Chain Reaction) หรือ NATที่มีประสิทธิภาพมากกว่า
ทั้งนี้วิธี PCR หรือ NAT เป็นวิธีการตรวจเอชไอวีที่ใช้กันมากในปัจจุบัน แม้แต่ศูนย์บริจาคโลหิต สภากาชาดไทยยังใช้เป็นวิธีในการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในผู้บริจาคโลหิต เนื่องจากเป็นวิธีการตรวจหาพันธุกรรมของเชื้อที่ให้ผลเร็วที่สุดในปัจจุบัน และแม่นยำถึงร้อยละ 99
“วิธีการตรวจทั้ง Western Blot แม้ว่าจะเป็นวิธีการตรวจเอชไอวีที่เป็นมาตรฐาน แต่ปัจจุบันยกเลิกเกือบทุกโรงพยาบาลแล้ว เพราะมีวิธีที่มีประสิทธิภาพดีกว่า แต่หากเป็นเมื่อ 15 ปีที่แล้วก็เป็นไปได้ และทั้ง 2 วิธีนี้ผู้ป่วยต้องทำการตรวจ Anti-HIV ก่อน ประเด็นนี้จึงเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกันและขัดแย้งกับไกด์รายการตรวจ HIV”
2.โรงพยาบาลที่เกิดเหตุ จากการติดตามข้อมูลหากเป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ตที่แอดมินเพจ  Med Sci Smoothies  คาดว่าผู้ป่วยเข้ารบการตรวจหาเชื้อในครั้งแรกนั้น เท่าที่ทราบโรงพยาบาลดังกล่าวได้ขายกิจการให้กับเครือโรงพยาบาลเอกชนใหญ่แห่งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังเกิดเหตุ ดังนั้นจึงไม่สามารถตรวจสอบระบบการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ประวัติคนไข้ย้อนหลัง รวมถึงวิธีการรายงานผลได้ ยกเว้นกรณีที่โรงพยาบาลซึ่งที่ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจเชื้อในครั้งแรกได้ทำการโอนถ่ายข้อมูลให้กับโรงพยาบาลที่ซื้อกิจการ ซึ่งทำให้จะสามารถสืบย้อนข้อมูลและทราบข้อเท็จจริงได้   
3.การตรวจหา CD4 และปริมาณเชื้อไวรัส ในประเด็นนี้บุคลากรเทคนิคการแพทย์ได้เข้าไปสอบถามหน้าเพจผู้ที่ออกให้ข่าวในเรื่องนี้จำนวนมากว่าผู้ป่วยได้มีการตรวจหา CD4 และปริมาณไวรัสเอชไอวีหรือไม่ เพราะการให้ยาต้านไวรัสทุกครั้งจะต้องทำการตรวจทั้ง 2 รายการนี้ แต่ปรากฎว่าคำถามเหล่านี้ได้ถูกเลี่ยงตอบมาโดยตลอด และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ ซึ่งต่อมาได้รับคำตอบซึ่งอ้างว่าเป็นของผู้ป่วยฝากมา แต่กลับยิ่งมีข้อย้อนแย้งหลายประเด็น จึงเป็นประเด็นที่สงสัย
“แต่หากดูข่าวจากหลายสำนักที่นำเสนอข่าวนี้ในครั้งแรก คือผู้ป่วยได้ทำการรักษาหลังทราบว่ามีเชื้อเอชไอวีมาตลอด 4 ปี จึงเชื่อว่าผู้ป่วยก็น่าจะได้รับยาต้านไวรัสมาโดยตลอดเช่นกัน แต่พอดูข่าวที่ให้สัมภาษณ์ต่อทีวีช่องหนึ่ง คนไข้กลับระบุว่า ได้ทำการตรวจ CD4 มาโดยตลอด ซึ่งผล CD 4 ไม่ลดจึงไม่ได้ทานยาต้านไวรัส ประเด็นนี้ก็ขัดแย้งกัน” 
4.ขั้นตอนการตรวจหาเชื้อเอชไอวีครั้งแรก หลังทราบผลจะต้องมีการติดตามเพื่อทำการตรวจซ้ำอีกไม่เกิน 1 เดือน เพื่อยืนยันว่าผลเลือดเป็นบวกหรือลบ และหากผลยืนยันครั้งแรกเป็นบวกแพทย์จะยังไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทราบเพราะต้องทำการตรวจซ้ำใหม่อีกรอบ และหากผลยังคงเป็นบวกจึงแจ้ง และเริ่มกระบวนการรักษาตาม Guide Line ซึ่งการตรวจยืนยันมีหลายขั้นตอนหลายครั้งมาก กว่าจะยืนยันผลกับผู้ป่วย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ในข้อมูลที่ไม่ชัดเจน เช่น กรณีจำนวนปีที่ได้รับการตรวจหาเชื้อ เพราะมีการระบุหลายตัวเลขตั้งแต่ 4 ปี 5 ปี และ 7 ปี รวมถึงไม่มีการพูดถึงอาการของสามี ทั้งที่ผู้ป่วยระบุว่าเสี่ยงรับเชื้อจากสามี ทั้งที่สามีเป็นผู้ให้กำลังใจมาตลอด เป็นต้น ส่วนความเป็นไปได้ในการอ่านผลแลปผิดพลาดของแพทย์นั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นไปได้ยากในกรณีใช้ระบบ N Health แต่ในกรณีที่เป็นระเบบเก่ามากใช้การแจ้งผลโดยเอกสารก็เป็นไปได้กรณีที่ลายมือหวัด แต่การยืนยันผลก็มีหลายขั้นตอนอีก นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงไปยังการผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ซึ่งทั้งวิชาชีพแพทย์และนักเทคนิคการแพทย์ต่างมี พ.ร.บ.ที่ลงโทษซึ่งเขียนอยู่ใน พ.ร.บ.อยู่แล้ว
“กรณีที่เกิดขึ้นนี้บุคลากรเทคนิการแพทย์ให้ความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อวิชาชีพเทคนิคการแพทย์โดยตรง เนื่องจากการให้ข้อมูลมีการโจมตีไปที่แลป ที่เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของสภาเทคนิคการแพทย์ที่ต้องออกมาเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับแพทยสภา เพราะเรื่องนี้วิชาชีพเทคนิคการแพทย์กำลังถูกมองในแง่ลบเพราะถูกโจมตีอย่างเดียว และเรื่องนี้คงต้องติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป” แอดมินเพจ Med Sci Smoothies กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก hfocus.org

Report by www.livcapsule.com

53
Clinic สุด Seed / เริม (Herpes simplex)
« เมื่อ: 16 ตุลาคม 2015, 18:46:15 »
เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อ herpes virus [HSV] โดยโรคเริมที่่ริมฝีปาก และโรคเริมที่อวัยวะเพศจะเกิดจากเชื้อตัวเดียวกัน ลักษณะของผื่นจะเหมือนกัน
การติดเชื้อ herpes simplex
เชื้อ herpes virus [HSV]เป็นสาเหตุที่สำคับของการติดเชื้อเริมที่ผิวหนัง ริมฝีปาก และอวัยวะเพศและอาจจะติดเชื้อที่ส่วนอื่นของร่างกาย และอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ลักษณะผื่นของโรค herpes จะเหมือนกันไม่ว่าเกิดที่ไหน จะเป็นตุ่มน้ำเล็กๆบนผิวหนังที่อักเสบสีแดง
เชื้อ herpes มีสองชนิดคือ
•   Herpes simplex virus 1 (HSV-1) มักเกิดบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไปเกิดที่ปากเรียก Herpes labialis โรคนี้ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
•   Herpes simplex virus 2 (HSV-2) เชื้อมักเกิดบริเวณอวัยวะเพศ และติดต่อโดยเพศสัมพันธ์เรียก Herpes genitalis
เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายและอยู่ในชั้นของผิวหนังเชื้อจะแบ่งตัว ทำให้ผิวหนังเกิดอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและเกิดการอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่ปมประสาท ganglia เป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการแบ่งตัวถ้า หากปัจจัยแวดล้อมเหมาะสมเชื้อก็เกิดการแบ่งตัว ทำให้เกิดอาการเป็นซ้ำผู้ป่วยที่เป็นเริมที่ริมฝีปากจะมีอัตราการเกิดซ้ำประมาณร้อยละ 20-40 สำหรับเริมที่อวัยวะเพศจะมีอัตราการเกิดเป็นซ้ำประมาณร้อยละ 80 ปัจจัยที่กระตุ้นไม่แน่นชัดเชื่อว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับแสงแดด ไข้ การมีประจำเดือนความเครียด การเกิดเป็นซ้ำจะมีอาการน้อยกว่าและหายเร็วกว่าการเกิดเป็นครั้งแรก

อาการของการติดเชื้อ herpes simplex
อาการเริมต้นจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนตำแหน่งที่ได้รับเชื้ออาการของการติดเชื้อที่ปาก และที่อวัยวะเพศจะเหมือนๆกันเพียงแต่ขึ้นกันคนละที่อาการจะแบ่งเป็น การเป็นครั้งแรก Primary Infection ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding และอาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections
•   การเป็นครั้งแรก Primary Infection เริ่มด้วยอาการปวดแสบร้อน ต่อมาจะมีอาการบวม และอีก 2-3 วันจะมีตุ่มน้ำใสเกิดบนฐานสีแดงตุ่มน้ำแตกออกใน 24 ชั่วโมงและตกสะเก็ด ตุ่มอาจจะรวมเป็นกลุ่มใหญ่และเป็นแผลกว้างทำให้ปวดมาก แผลจะหายใน 2-3 สัปดาห์ ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ ปาก ริมฝีปาก ตา เมื่อแผลแห้งแล้วจะไม่ติดต่อระหว่างที่เป็นผื่นต่อมน้ำเหลืองใกล้ๆ อาจจะโต และอาจจะมีไข้ปวดเมื่อยตามตัว
•   ระยะปลอดอาการ Latency and Shedding ช่วงนี้เชื้ออยู่ในร่างกายโดยที่ไม่เกิดอาการอะไร เชื้ออาจจะแบ่งตัวและสามารถติดต่อได้โดยเฉพาะเชื้อที่อวัยวะเพศแม้ว่าจะไม่มีผื่น
•   อาการกลับเป็นซ้ำ Recurring Infections มีอาการน้อยกว่า และเป็นพื้นที่น้อยกว่าไม่ค่อยมีไข้ และมักเป็นบริเวณใกล้กับที่เดิม โดยเฉพาะที่อวัยวะเพศอาจจะกลับเป็นซ้ำได้ 5 ครั้งต่อปี

Report : www.livcapsule.com


54
ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรค เอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ (เพร็พ) ว่า โดยหลักการให้ยาต้านไวรัสยังคงให้ฟรีเฉพาะผู้ป่วยเอดส์ทุกสิทธิการรักษา แต่สำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีโดยการรับประทานยาต้านไวรัสล่วงหน้านั้นยังต้องจ่ายเงินเองซึ่งที่ผ่านมามีผลการศึกษาว่า ร้อยละ 90 ช่วยป้องกันได้ แต่จะต้องรับประทานยาต้านไวรัสแล้วอย่างน้อยประมาณ 7 วันขึ้นไป ดังนั้น หากจะป้องกันโดยซื้อยาต้านไวรัสมากินแล้วไปมีเพศสัมพันธ์ทันทีในวันนั้นอาจทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันไม่เต็มที่สำหรับยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อสามารถซื้อได้ตามสถานพยาบาลทั่วไป แต่หากมารับบริการที่ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ค่าใช้จ่ายในส่วนของยาต้านไวรัสและค่าบริการตรวจเลือดติดตามผลจะอยู่ที่ครั้งละ 30 บาท

นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า ที่ผ่านมาพบว่าการรับประทานยาต้านไวรัสก่อนการติดเชื้อ สามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ถึงร้อยละ 90 แต่การศึกษาครั้งนี้เพื่อต้องการให้เห็นภาพชัดในสังคมไทยว่าสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้จริง ส่วนที่จะขยายให้บริการยาต้านไวรัสฟรี เช่นเดียวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกสิทธิที่ได้รับ ยาต้านไวรัสหรือไม่นั้น จำเป็นที่จะต้องรอผลการศึกษาก่อนว่าดำเนินการแล้วมีปัญหาอุปสรรคใดหรือไม่ และมีความคุ้มค่าหรือไม่ เพราะจริงๆ แล้ว การสวมถุงยางอนามัยก็ป้องกันการติดเชื้อได้อยู่แล้ว

Report : www.livcapsule.com

55
Clinic สุด Seed / อาการที่บ่งบอกว่าติดเชื้อ HIV
« เมื่อ: 16 ตุลาคม 2015, 18:42:21 »
ผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายส่วนใหญ่จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลยระหว่างนี้สุขภาพจะแข็งแรง  สมบูรณ์  เหมือนคนปกติทุกประการ แต่ก็พบว่าภายใน 2 – 3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปแล้ว ผู้ป่วยร้อยละ 20 จะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัดคือมีไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต หรือพูดง่ายๆ คือ อาการคล้ายไข้หวัด เป็นอยู่ประมาณ 10 – 14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดา บางคนอาจจะไม่มีอาการอยู่นานถึง 10 ปี หรือนานกว่านั้นก็ได้ (โดยเฉลี่ยประมาณ  7 – 8 ปี) คนไข้ทุกรายที่อยู่ในระยะนี้ แม้จะไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นๆ ได้
โรคเอดส์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่ปรากฏอาการ (Asymptomatic Stage or Carrier Stage) หรือเรียกว่า ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ สุขภาพจะแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนคนปกติทุกประการ แต่อาจจะเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับคนปกติอื่นๆ เป็นไข้หวัด ซึ่งจะหายใจได้เหมือนปกติทั่วไป ไม่มีโรคแทรกซ้อนบางคนอาจจะอยู่ในระยะนี้ 2 – 3 ปีก่อนที่จะเข้าสู่ระยะต่อไปโดยเฉลี่ยประมาณ 7 – 8 ปี แต่บางคนอาจจะไม่มีอาการนานถึง 10 ปี หรือนานกว่านั้นก็ได้ ผู้ติดเชื้อทุกรายที่อยู่ในระยะนี้แม้จะไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นๆ ได้ ในช่วงแรกอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต ตับม้ามโต มักจะเป็นอาการอันแรกของการติดเชื้อ ท้องร่วง บางคนอาจจะเรื้อรังน้ำหนักลด มีไข้ ไอและหายใจลำบาก
เมื่อไม่ได้รับการรักษาเชื้อก็จะแบ่งตัวเรื่อยและทำลายระบบภูมิคุ้มกันและกลายเป็นโรคเอดส์ซึ่งจะมีอาการดังนี้
•   เหงื่อออกกลางคืน
•   ไข้หนาวสั่น ไข้สูงเรื้อรัง
•   ไอเรื้อรังและหายใจลำบาก
•   ท้องร่วงเรื้อรัง
•   ลิ้นเป็นฝ้าขาว
•   ปวดศีรษะ
•   ตามัวลงหรือเห็นเป็นเส้นลอยไปมา
•   น้ำหนักลด
•   การติดเชื้อฉวยโอกาส
•   เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย
•   หากเป็นผู้หญิงก็มีอาการตกขาวบ่อย
•   เพลียและเหนื่อยง่าย
•   บางคนมีผื่นตามตัว
ระยะที่ 2 : ระยะมีอาการสัมพันธ์กับเอดส์ (Aids Related Complex หรือ ARC) ระยะนี้นอกจากมีเลือดบวกแล้ว ยังอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างปรากฏ  ให้เห็นได้ เช่น
•   ต่อมน้ำเหลืองโตหลายแห่งติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน
•   น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วมากกว่า 10% ของน้ำหนักตัวใน 1 เดือน
•   อุจจารระร่วงเรื้อรังเป็นเวลานานเกิน 1 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ
•   มีฝ้าขาวที่ลิ้นและในลำคอ มีไข้เรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
•   มีการติดเชื้อแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรง เช่น เริมที่ไม่ลุกลาม วัณโรคที่ไม่แพร่กระจาย เป็นต้น
•   เป็นไข้เกิน 38 องศาเซลเซียส เรื้อรังเกิน 4 สัปดาห์
ระยะนี้อาจจะเป็นอยู่นานหลายเดือนหรือเป็นปี แล้วจะกลายเป็นระยะเอดส์เต็มขั้นต่อไป นักวิชาการบางท่าน อาจจะรวมระยะต่อมน้ำเหลืองโตไว้ในระยะนี้ด้วย แต่เนื่องจากมีการศึกษาถึงการดำเนินโรคของระยะนี้ดีขึ้น ก็พบว่า
พวกที่มีน้ำเหลืองโตนี้ มีการดำเนินโรคคล้ายกับพวกไม่ปรากฏอาการมากกว่า บางคนจึงไม่นับเอาพวกที่มีต่อมน้ำเหลืองโตไว้ในระยะนี้
ระยะที่ 3 : ระยะเอดส์เต็มขั้น  (Full Blown AIDS) หรือ เรียกว่า ระยะ “โรคเอดส์” ระยะนี้เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่างกายถูกทำลายลงมาก จนมีผลต่อการป้องกันการติดเชื้อชนิดอื่นๆ เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวถูกทำลายไปจนเหลือน้อยเกือบหมด ทำให้เกิดการติดเชื้อโรคที่ตามปกติไม่สามารถทำอันตรายต่อคนปกติได้ที่เรียกว่า “โรคติดเชื้อฉวยโอกาส” ซึ่งมีอยู่หลายชนิดแล้วแต่ว่ามีการติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดใดที่ส่วนใดอาการแสดงที่จะพบจึงเป็นได้หลายแบบ เช่นถ้าเป็นปอดบวมจากเชื้อ Pneumocystis carinii  ก็จะมีไข้ ไอ หอบ เจ็บหน้าอก ถ้าเป็นเชื้อราของทางเดินอาหาร ก็จะมีอาการเจ็บคอ  กลืนลำบาก ถ้าเป็นสมองอักเสบ จากเชื้อ Cryptococcus ก็จะมีอาการไข้ ปวดศีรษะมาก คอแข็ง หรือ ถ้าเป็นโรคเอดส์ของระบบประสาท โดยตรงก็จะมีอาการความจำเสื่อม สติฟั่นเฟือน  ซึมเศร้า สมองเสื่อม แขนขาชา หรือ อ่อนแรงชักกระตุก เป็นต้น บางรายอาจมีมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งหลอดเลือดหรือ Kaposi’s Sarcoma โดยปรากฏเป็นจ้ำสีม่วงแดงคล้ำๆ ตามผิวหนัง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง  (Lymphoma) พบเป็นก้อนโต ตามที่ต่างๆ ของร่างกาย เป็นต้น
เมื่อเข้าสู่ระยะนี้แล้วส่วนใหญ่จะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน โดยทั่วไปจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 1 – 2 ปี โดยเฉลี่ย
อาการที่บ่งบอกว่าติดเชื้อเอดส์
ผู้ที่ได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปในร่างกายส่วนใหญ่จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลยระหว่างนี้สุขภาพจะแข็งแรง  สมบูรณ์  เหมือนคนปกติทุกประการ แต่ก็พบว่าภายใน 2 – 3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไปแล้ว ผู้ป่วยร้อยละ 20 จะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัดคือมีไข้ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต หรือพูดง่ายๆ คือ อาการคล้ายไข้หวัด เป็นอยู่ประมาณ 10 – 14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดา บางคนอาจจะไม่มีอาการอยู่นานถึง 10 ปี หรือนานกว่านั้นก็ได้ (โดยเฉลี่ยประมาณ  7 – 8 ปี) คนไข้ทุกรายที่อยู่ในระยะนี้ แม้จะไม่มีอาการก็สามารถแพร่เชื้อให้กับบุคคลอื่นๆ ได้

Report : www.livcapsule.com



56
Clinic สุด Seed / ซิฟิลิส (Syphillis)
« เมื่อ: 16 ตุลาคม 2015, 18:40:23 »
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือด และไปจับตามอวัยวะต่างๆทำให้เกิดโรคตามอวัยวะและทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว โรคนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่
1.   Primary
2.   Secondary
3.   Latent
4.   Tertiary (or late)
คนเราติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร
การติดต่อจะติดต่อจากคนสู่คนโดยการสัมผัสผ่านแผล Chancre
ทางเพศสัมพันธ์
•   เชื้อโรคสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
•   เชื้อโรคจะติดต่อได้บ่อยในระยะ primary เนื่องจากระยะนี้จะไม่มีอาการ
•   ในระยะ secondary จะมีหูดระยะนี้จะมีเชื้อโรคปริมาณมากหากสัมผัสอาจจะทำให้เกิดการติดต่อ
การติดต่อทางอื่น
•   เชื้อจะอ่อนแอตายง่ายดังนั้นการสัมผัสมือหรือการนั่งโถส้วมจะไม่ติดต่อ
•   หากผิวหนังที่มีแผลสัมผัสกับแผลที่มีเชื้อก็ทำให้เกิดการติดเชื้อ
จากแม่ไปลูก
•   เชื้อสามารถติดจากแม่ไปลูกขณะตั้งครรภ์และขณะคลอด

อาการของโรค
1 Primary Syphilis
ในระยะ primary รอยโรคจะปรากฏเป็นแผลริมแข็ง Chancre ซึ่งจะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้
•   หลังจากได้รับเชื้อ 10-90 วันโดยเฉลี่ยประมาณ 21 วัน จะมีตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า
•   แผลมักจะเป็นแผลเดียว ไม่เจ็บ ขอบนูน ต่อมน้ำเหลืองจะโตกดไม่เจ็บ
•   ตำแหน่งที่พบได้บ่อยได้แก่ อวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีปาก
•   แผลจะอยู่ 1-5 สัปดาห์แผลจะหายไปเอง
•   แม้ว่าแผลจะหายไปแต่ยังคงมีเชื้ออยู่ในกระแสเลือด
•   สำหรับผู้ที่เป็นโรคเอดส์ และมีขนาดใหญ่และมีอาการเจ็บมาก
•   การตรวจเลือกในช่วงนี้อาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ 30
2 Secondary Syphilis
•   ระยะนี้จะเกิดหลังได้รับเชื้อ 17วัน- 6 เดือน
•   ผู้ป่วยจะมีอาการอยู่ประมาณ 2-6 สัปดาห์แล้วจะหายไปแม้ว่าจะไม่ได้รับการรักษา
•   ต่อมน้ำเหลืองโต
•   ปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ
อาการที่สำคัญมีดังนี้
•   มีผื่นสีแดงน้ำตาลที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ไม่คัน
•   ผื่นนี้สามารถพบได้ทั่วตัว ทั้งฝ่ามือ ฝ่าเท้า
•   จะพบหูด Condylomata lata บริเวณที่อับชื้น เช่นรักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ
•   จะพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก
•   ผมร่วงเป็นหย่อมๆ
•   ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย
•   อาการเหล่านี้จะอยู่ได้ 1-3 เดือนหายไปได้เอง และอาจจะกลับเป็นซ้ำ
•   การตรวจเลือดในช่วงนี้จะให้ผลบวก
3 Latent Stage ระยะแฝง
•   ช่วงนี้ผู้ป่วยไม่มีอาการของโรค ช่วงนี้กินเวลา 2-30 ปีหลังจากได้รับเชื้อ
•   ในช่วงนี้จะทราบได้โดยการเจาะเลือดตรวจ
•   ในระยะนี้อาจจะเกิดผื่นเหมือนในระยะ Secondary Syphilis
•   ในระยะนี้หากตั้งครรภ์ เชื้อสามารถติดไปยังลูกได้
4 Late Stage (Tertiary)
•   ระยะนี้จะกินเวลา 2-30 ปีหลังได้รับเชื้อ
•   ระยะนี้เชื้อโรคจะทำลายอวัยวะต่างๆเช่น หัวใจและหลอดเลือด สมองทำให้อ่อนแรงหรืออาจจะตาบอด กระดูกหักง่าย
•   หากไม่รักษาให้ทัน อวัยวะต่างๆจะถูกทำลายโดยที่ไม่สามารถกลับเป็นปกติ
•   การตรวจเลือดอาจจะให้ผลลบได้ร้อยละ30
Congenital Syphilis
หมายถึงทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เด็กจะมีอาการดังนี้
•   เด็กจะมีอาการหลังคลอด 3-8 สัปดาห์
•   อาการอาจจะมีเล็กน้อยจนไม่ทันสังเกตเห็น ทำให้ไม่ได้รับการรักษา
•   เด็กโตขึ้นจะกลายเป็นระยะ Late Stage (Tertiary)
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นซิฟิลิส
การตรวจวินิจฉัยโรคนี้สามารถทำได้โดยการนำหนองจากแผล หรือเลือดไปตรวจหาตัวเชื้อ การตรวจเชื้อทำได้โดย
Darkfield Exam
•   การตรวจทำไดโดยการน้ำเหลืองจากแผลหรือผื่นที่สงสัยไปตรวจ
•   นำน้ำเหลืองนั้นไปส่องกล้องเพื่อหาตัวเชื้อ
•   การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยได้ทั้งระยะ Primary Syphilis และ Secondary Syphilis
การตรวจเลือด
•   การเจาะเลือดตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิสทำได้ 2วิธีคือ
•   การเจาะเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันซึ่งไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส ได้แก่การเจาะ VDRL (Venereal Disease Research Laboratory) หรือ RPR (Rapid Plasma Reagent) หากให้ผลบวกต้องเจาะเลือดอีกเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
•   การเจาะเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโดยการเจาะ FTA-ABS (Fluorescent Treponemal Antibody Absorption Test) หรือ MHA-TP (Microhemagglutination-Treponema Pallidum)
ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่เคยเป็นซิฟิลิสมาก่อนอาจจะให้ผลบวกหลอกโดยที่ไม่เป็นโรค
•   Cerebrospinal Fluid Test การตรวจน้ำไขสันหลังจะทำในรายสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อในระบบประสาท
ความสัมพันธ์ระหว่างซิฟิลิสและโรคเอดส์
หากคุณเป็นซิฟิลิสไม่ว่าจะที่ช่องคลอด อวัยวะเพศชาย หรือทวารหนักคุณจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเอดส์มากกว่าไม่มีถึง 2-5 เท่า
ใครที่ต้องตรวจหาเชื้อซิฟิลิส
•   คนตั้งครรภ์
•   เกย์
•   เป็นโรคเอดส์
•   มีคู่ครองที่ผลเลือดการตรวจพบเชื้อโรคเอดส์
การรักษาโรคนี้ต้องทำอย่างไร
•   ยาที่ใช้รักษาคือ Penicillin
•   การรักษาต้องรักษาทั้งคู่
•   หลังจากรักษา 6 เดือนต้องตรวจซ้ำหลังจากนั้นตรวจทุกปี

Report : www.livcapsule.com

57
ความหนาของถุงยางอนามัย
อย่างที่พูดไว้ข้างต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากลำไส้สัตว์หนาตั้ง 0.15 มิลลิเมตร แต่สำหรับถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติจะบางกว่านั้นมาก เพราะเหนียวและยืดได้มากกว่า ของญี่ปุ่นทำได้บางที่สุดในโลก คือ บางแค่ 0.02 มิลลิเมตร ส่วนของอเมริกากำหนดมาตรฐานไว้ที่ ไม่น้อยกว่า 0.03 มิลลิเมตร ของอังกฤษเจมส์บอนด์ กำหนดไว้หนาไม่เกิน 0.04 มิลลิเมตร ขององค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ ระหว่าง 0.05 - 0.08 มิลลิเมตร แล้วของพี่ไทยล่ะ… ไม่มีครับ ไม่มีกำหนดความหนาไว้ในประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ปี 2535 แต่เท่าที่เคยมีการกำหนดมาตรฐานของถุงยางอนามัยที่ประกาศในการจัดซื้อถุงยางอนามัยไว้ใช้ในโครงการวางแผนครอบครัว เมื่อปี 2526 ได้กำหนดความหนา ไม่มากกว่า 0.06 มิลลิเมตร เอาไว้
ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด
ถุงยางอนามัย เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ดี มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ ถ้าใช้ถุงยางอนามัยที่ได้มาตรฐาน ไม่เสื่อม ไม่รั่ว ไม่ซึม ใช้อย่างถูกวิธีและใช้อย่างสม่ำเสมอ จะมีอัตราตั้งครรภ์ 3 ราย ใน 100 ราย ที่ใช้ใน 1 ปี นี่พูดตามทฤษฎีนะครับ แต่ในทางปฏิบัติจริง พบว่ามีอัตราตั้งครรภ์ สูงถึง 10-15 ราย ใน 100 ราย ใน 1 ปี ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ??
สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย
ท้องได้ไง ก็ใช้ถุงยางแล้ว ..อ้าวทำไมปัสสาวะถึงแสบๆ ก็ใช้ถุงยางอนามัยแล้ว การล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย ย่อมทำมาซึ่งความหายนะอันใหญ่หลวงที่หลายๆคนเคยประสพมาแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอ
2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน การใส่ที่ไม่เว้นส่วนติ่งไว้(คือดึงมาจนสุดไม่เหลือติ่ง) ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม(กรณีให้สาวใส่ให้) การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอนสมอ การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นานจนนกเขาหลับ การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด(หกปากถ้ำ)
3. การแตกของถุงยางอนามัย แม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัยแม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
การแตกของถุงยางอนามัย
แม้ได้ใช้อย่างถูกวิธี ระมัดระวังอย่างดี ก็ยังแตกได้ครับ มีรายงานตั้งแต่ร้อยละ 1 ถึง 12 เฉลี่ยก็ร้อยละ 5 แต่ถ้าร่วมเพศทางทวารหนัก จะหนักกว่านี้ จากการศึกษาของอีตา steiner แกพบว่า ครึ่งหนึ่งจะแตกตรงส่วนปลายปิด หนึ่งในสี่แตกตรงตัวถุง และอีกหนึ่งในสี่ แตกตรงปลายเปิด แต่ที่สำคัญคือ กว่าจะรู้ว่าแตก ก็เสร็จกิจไปแล้ว ถึงสองในสามของการแตก นี่ซิ ซวยชนิดไม่บอก
แล้วมันแตกได้ยังไง
1. ใช้ไม่ถูกวิธี
2. พฤติกรรมทางเพศ ที่ไม่เหมาะสม เช่น ร่วมเพศอย่างเมามันรุนแรง ยาวนาน หรือมีการเสียดสีอย่างมาก หรือช่องคลอดที่แห้งยังไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ หรือช่องคลอดแห้งในสตรีวัยทอง
3. การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม สารหล่อลื่นที่ใช้กับถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ จะต้องมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำหรือซิลิโคนเท่านั้น ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากน้ำมันหรือ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันโดยเด็ดขาด (petroleum and derivatives) รวมทั้งน้ำมันพืชด้วยนะครับ ยางกับน้ำมันไม่ถูกกันครับ จาการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่า ความแข็งแรงของถุงยางอนามัยลดลงถึงร้อยละ 90 เมื่อถุงยางอนามัยสัมผัสกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (เพียงแค่15นาที)
อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ต้องสังวรไว้ก็คือความเชื่อที่เคยเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่สามารถล้างออกด้วยน้ำได้ ก็สามารถใช้ได้กับถุงยางอนามัยนั้น ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะมีผลิตภัณฑ์บางชนิดมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันอยู่ด้วยก็มี
4.ใช้ขนาดของถุงยางอนามัยไม่เหมาะสม ในเมืองไทย มี 2 ขนาด คือขนาด 49 มิลลิเมตร และขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาดที่เหมาะสมกับคนไทยคือ ขนาด 49 มิลลิเมตร
5. คุณภาพของถุงยางอนามัยไม่ดี ปกติถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทย เขาก็ผลิตดี ได้มาตรฐาน ISO กันทั้งนั้น มีอายุเก็บไว้ได้นานถึง 5 ปี นับแต่วันที่ผลิตถ้าเก็บไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่ที่คุณภาพมันแย่ ก็มักเกิดขึ้นหลังจากผลิตออกมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เก็บไว้แล้วโดนแสงอุลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์(ตั้งโชว์ไว้หน้าร้าน) หรือโดนแสงนีออนนานๆ ความร้อน ความชื้น โอโซน ความเค็มของอากาศชายทะเล ล้วนเป็นเหตุให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนหมดอายุได้ทั้งสิ้น แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือพวกที่ชอบพกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าตังนี่ซิ แค่เดือนเดียวก็หมดสภาพแล้วครับ
แล้วที่โรงงานผลิตออกมาห่วยๆ มีไม๊…ก็มีครับ แต่ก็น้อยยยยมากกกกก เช่น ความหนาของผิวยางไม่สม่ำเสมอ มีฟองอากาศ เป็นรอยพับย่น มีเศษวัสดุแปลกปลอม รอยตำหนิเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการแตกของถุงยางอนามัยได้เช่นกัน
สารฆ่าเชื้ออสุจิ
ในสมัยปัจจุบันมีหลายบริษัทได้เพิ่มสารฆ่าตัวอสุจิเคลือบถุงไว้ด้วย ด้วยหวังว่าถ้าเกิดเผื่อถุงยางแตก หรือรั่วก็ยังพอมียาตัวนี้ช่วยฆ่าเชื้ออสุจิด้วย แม้ไม่มากนักก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สารที่ใช้มีหลายประเภท แต่ที่นิยมกันมากเป็นสารประเภท surfactant หรือ surfactant active เป็นสารเคมีในกลุ่ม detergent สารเคมีประเภทนี้ฆ่าตัวอสุจิโดยการจู่โจมเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของตัวอสุจิชำรุด เกิดการรั่วไหลของส่วนประกอบภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย ตัวที่นิยมใช้กันมากที่สุด(หรือเกือบทั้งหมด) ได้แก่ สาร nonoxynol-9 มีชื่อทางเคมีว่า nonylphenoxyl-polyethoxye-thanol (ต่อมาก็มีการพัฒนามาใช้ nonoxynol-11้ ) ต่อมาพบว่าสารนี้สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคได้ รวมทั้งเชื้อเอดส์ด้วย ได้มีการทดลองในหลอดทดลอง โดยเอาเชื้อเอดส์ และเซลล์ที่ติดเชื้อเอดส์มาผสมกับตัวยาnonoxynol-9 ผลปรากฏว่า เชื้อตายหมดภายในไม่กี่วินาที
ขอขอบคุณข้อมูลจาก นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ และ clinicrak

Report by www.livcapsule.com


58
ถุงยางอนามัยเป็นอุปกรณ์คุมกำเนิดที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่กลับไม่ค่อยชอบใช้กัน บ้างก็อ้างว่า ไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่ถุงยางอนามัยนั้นทำมาจากยางธรรมชาติแท้ๆ อย่าว่าแต่พกถุงยางอนามัยเลย แม้แต่จะซื้อถุงยางอนามัยก็ยังอาย ก็ไม่รู้จะไปอายอะไรกัน พึงระลึกเสมอว่า "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยนั้นคือคนที่มีความรับผิดชอบ" รับผิดชอบต่อตนเอง และรับผิดชอบต่อคู่ของตัว เพราะถุงยางอนามัยนั้นนอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย ป้องกันตัวเองที่จะไม่รับเชื้อและป้องกันไม่แพร่เชื้อไปยังคู่ของตัวเอง
ความนิยมและอัตราการใช้ถุงยางอนามัย
ความนิยมใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดมีอัตราแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการใช้สูงเกือบร้อยละ 20 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาใช้ไม่ถึงร้อยละ 5 ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก มีการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อการคุมกำเนิดสูงถึง ร้อยละ 80 ในช่วง10ปีที่ผ่านมา
แล้วบ้านเราล่ะ แต่ก่อนนี้มีการใช้น้อยมาก แต่ตั้งแต่เจ้าเอดส์ระบาดนี่ คนไทยใช้ถุงยางอนามัยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จะไม่ใช้ได้ยังไงละครับ ถ้าไม่ใช้หญิงบริการจะไม่ยอมให้อึ๊บโดยเด็ดขาด อยากอึ๊บก็เลยจำต้องใช้ แต่การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดในคนทั่วไปก็ยังมีน้อย ก็ด้วยเหตุผลทางค่านิยมที่รังเกียจกลัวคนจะรู้ว่าตัวเองพกถุงยางอนามัย "อาย" ว่างั้นเถอะ เราคงต้องเปลี่ยนค่านิยมอันนี้เสียใหม่แล้วครับ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ชนิดทูอินวัน อย่าลืมนะครับ "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยคือคนที่มีความรับผิดชอบ"
ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์
คุณทราบหรือไม่ว่าถุงยางอนามัยเนียะ จัดเป็นเครื่องมือแพทย์นะครับ และเป็นเครื่องมือแพทย์อันเดียวที่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นแพทย์แต่ก็สามารถใช้ได้ เมื่อถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ก็ต้องมีกฎหมายรับรอง ต้องมีประกาศมาตรฐาน ควบคุมการผลิต กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเป็นกฎกระทรวงฉบับที่ 11 พ.ศ. 2535 ว่าให้ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด หรือใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ชนิดของถุงยางอนามัย
ถุงยางอนมัยที่มีการผลิตจำหน่ายในโลกนี้มี 3 ชนิดตามวัสดุที่ใช้
1. ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom)
วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียก caecum มีใช้ในอเมริกา ราว ร้อยละ 5 เขาว่าใช้แล้วรู้สึกสบายยามสวมใส่ ไม่รัดรูป ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์สามารถสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ และความชุ่มชื่นจากสารคัดหลั่งสามารถซึมผ่านเนื้อเยื่อได้ แต่เนื่องจากผิวของวัสดุมีรูพรุนเล็กๆที่ขวางได้เฉพาะตัวอสุจิเท่านั้น จึงไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ skin condom มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร และไม่สามารถยืดตัวได้ (แต่มีความอ่อนนุ่ม) จึงสวมใส่แบบหลวมๆ ไม่รัดแนบแน่นแบบที่ทำจากยางธรรมชาติ ขนาดความกว้างเมื่อวางแบนราบ มีตั้งแต่ 62 มิลลิเมตร ถุง 80 มิลลิเมตรถุงยางชนิดนี้ไม่มีการผลิตจำหน่ายในเมืองไทย ไม่ต้องถามหากันนะครับ (อ้อ..ราคาแพงมากด้วยครับ)
2. ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom)
จากวัสดุที่ทำนี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่า "ถุงยางอนามัย" ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดค้นชื่อนี้ ชอบครับ ถุงยางที่ถูกสุขอนามัย สะอาด ตรงและเหมาะสมจริงๆ แต่คนไทยไม่ชอบยาวๆ (ทีอย่างอื่นละก็เรียกร้องจะเอาแบบยาวๆ..เนาะ) กลับเรียกไปต่างๆนานา ปลอก นวม เสื้อ เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย ฯลฯ ฝรั่งก็มีชื่อเรียก นอกจาก Condom แล้ว ก็เรียก sheath, prophylactic, French letter, English cape เป็นต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาตินี้มีราคาถูกกว่า บางกว่า ยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบทำจากลำไส้สัตว์ จึงมีขนาดความกว้างน้อยกว่า การสวมใส่ก็กระชับรัดแนบเนื้อ สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อการคุมกำเนิดและป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย
3. ชนิดที่ทำจากPolyurethane (ถุงยางพลาสติก)
ปัจจุบันได้มีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น สาร Polyurethane เพราะถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติก็มีข้อด้อย เช่นแพ้ รั่วได้ ใช้สารหล่อลื่นบางชนิดไม่ได้ กลิ่นไม่ค่อยชวนดมเรียกถุงยางอนามัยชนิดนี้ว่า ถุงยางพลาสติก (plastic condom) แต่เขาว่าถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ คงทนกว่าแบบยางธรรมชาติ สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้ เท่าที่มีจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ใช้ชื่อ AVANTI เป็นของ DUREX
แบบของถุงยางอนามัย
ถุงยางอนามัยเมื่อเป็นสินค้าก็ย่อมมีการตลาด จึงต้องมีแบบต่างๆ ให้ลูกค้าเลือกมากมาย ตามความต้องการของลูกค้ารวมทั้งทำเพื่อเป็นจุดขายเพื่อการโฆษณาด้วย ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติชนิดเข้มข้นมีรูปแบบที่เกี่ยวกับลักษณะสำคัญ 6 เรื่องคือ
1. สารหล่อลื่น มีทั้งแบบแห้งคือไม่มีสารหล่อลื่น และแบบที่มีสารหล่อลื่น แบบที่มีสารหล่อลื่นก็ยังแบ่งเป็นแบบสารหล่อลื่นธรรมดา และแบบที่มีตัวยาฆ่าเชื้อ เช่น nonnoxynol-9 หรือ N-9 เป็นต้น
2. ลักษณะของก้นถุง แบ่งเป็นแบบก้นถุงมนแบบถุงกาแฟ (plain) และแบบถุงมีกระเปาะ หรือติ่ง (reservoir-ended or teat) เพื่อเป็นที่เก็บน้ำอสุจิ ซึ่งแบบนี้จะเป็นที่นิยมมากกว่า และวิธีการสวมใส่ก็แตกต่างกัน
3. รูปทรงของถุง แบ่งเป็นแบบทรงกระบอกตรงๆ (straight) และแบบลูกคลื่น (rippled)
4. ลักษณะผิว แบ่งเป็นแบบผิวเรียบ (smooth) และแบบผิวไม่เรียบ (textured)
5. สี อันนี้คงรู้จักกันดี มีทั้งแบบสีธรรมชาติของยาง หรือ เจ็ดสีมีชัย ประกายรุ้ง
6. กลิ่นและรส มีให้เลือกทั้งกลิ่นรสมินต์ กลิ่นสตรอเบอรี่ กลิ่นมะนาว บางยี่ห้อมีกลิ่นทุเรียนด้วย การเติมกลิ่นและรสนี้เพื่อคนที่ใช้การร่วมเพศทางปาก (oral sex)
ขนาดของถุงยางอนามัย
คุณภาพมาตรฐานและข้อกำหนดของถุงยางอนามัยตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขปี 2535 ได้กำหนดประเภทของถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ เป็น 13 ประเภท ตามขนาดความกว้าง คือตั้งแต่ขนาด 44 มิลลิเมตร จนถึงขนาด 56 มิลลิเมตร และกำหนดความยาวของถุงยางวัดจากปลายเปิดจนถึงปลายปิดไม่รวมส่วนที่เป็นติ่งหรือกระเปาะ ต้องไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ซึ่งกำหนดตามมาตรฐานขององค์การกำหนดมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO) ปี ค.ศ. 1990
สำหรับตลาดในเมืองไทยเท่าที่มีจำหน่าย ก็มีอยู่ 2 ขนาด คือขนาดใหญ่กับขนาดยักษ์ (คนไทยไม่ชอบอะไรที่เล็กๆ)
ขนาดใหญ่ (ความจริงมันก็ขนาดเล็กนั่นแหละ) หรือขนาด 49 มิลลิเมตร มีขนาดความกว้างเมื่อวางถุงยางที่คลี่แล้วแบนราบกับพื้น วัดจากขอบหนึ่งถึงขอบหนึ่ง 49 มิลลิเมตร มีขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 160 มิลลิเมตร ขนาดนี้เหมาะกับคนไทยมากที่สุด
ขนาดยักษ์ หรือขนาด 52 มิลลิเมตร ความกว้างเมื่อวางแบนราบ เท่ากับ 52 มิลลิเมตร ความยาวเท่ากับ 180 มิลลิเมตร
ขอขอบคุณข้อมูลจาก นายแพทย์รุ่งโรจน์ ตรีนิติ และ clinicrak

Report by www.livcapsule.com

59
ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกับคำว่า "เอดส์" กับ "ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) พอสมควร ไม่ว่าจะด้วยฐานะ โรคที่น่ารังเกียจ หรือโรคที่น่าสงสาร แต่รู้หรือไม่ว่าความจริงแล้ว 2 คำนี้ ไม่เหมือนกัน และเรารู้จัก 2 คำนี้ดีแค่ไหน มาดูกันค่ะ

HIV ย่อมาจาก Human immunodeficiency virus นี่เป็นชื่อของ "ไวรัส" หรือ เชื้อโรคตัวหนึ่ง ส่วน AIDS (เอดส์) ย่อมาจาก Acquired immunodeficiency syndrome (ไม่ได้แปลว่าช่วยเหลือนะคะ) เป็นชื่อของ "กลุ่มอาการ" อย่างหนึ่งของภาวะ "ภูมิคุ้มกันบกพร่อง"

คนที่ติดเชื้อไวรัส HIV เมื่อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด จะตรงไปหาเซลล์เม็ดเลือดขาว ปกติแล้วเม็ดเลือดขาวเป็นเหมือนตำรวจในร่างกายของเรา ค่อยจับและทำลายเชื้อโรคซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายของเรา แต่เมื่อเชื้อ HIV ไปเจอกับเซลล์เม็ดเลือดขาว มันจะเข้าไปกบดานในนั้น แล้วเพิ่มจำนวนตัวเอง ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวนั้นอ่อนแอ และทำงานไม่ได้ ก่อนจะตายไป แล้วเชื้อ HIV ก็จะกระจายไปสู่เซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆ เซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายของเรามีนับได้เป็นล้านตัว เจ้าเชื้อ HIV นี้ก็จะค่อยๆกระจายไปเรื่อยๆ ระหว่างนี้คนที่ติดเชื้อ HIV ก็จะยังสบายดีอยู่ ไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ถึงมีก็อาจมีเล็กน้อย จนกระทั่งเม็ดเลือดขาวถูกทำลายไปถึงระดับหนึ่ง เหมือนกับตำรวจในประเทศที่ทำงานจริงๆ ค่อยๆลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถดูแลทั่งร่างกายได้ทั่วถึงอีกต่อไป เมื่อถึงจุดนี้ คนที่ติดเชื้อ HIV ก็จะมีลักษณะของการติดเชื้อที่ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป อันนี้แหละค่ะที่เรียกว่า "AIDS"

แล้วคนที่ติด HIV ทำยังไงถึงจะไม่เป็นเอดส์
ปัจจุบันเราพูดได้ว่า "เอดส์รักษาไม่ได้ แต่ 'ควบคุม' ได้" ตอนนี้เรามียาต้านไวรัส HIV เป็นยาที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส ทำให้เม็ดเลือดขาวไม่ถูกทำลาย และถ้าได้รับยาต่อเนื่อง เม็ดเลือดขาวก็จะถูกสร้างขึ้นมาและทำงานได้ตามปกติ ทำให้คนที่ติดเชื้อ HIV สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป แต่ปัญหามีอยู่คือ ยาเหล่านี้เกิดการดื้อได้ง่ายมาก เพียงแค่การลืมกินยาเพียงครั้งเดียว หรือไม่ตรงเวลาไปแค่ 1 ชั่วโมง ก็มีโอกาสทำให้เชื้อดื้อยาได้แล้ว ถ้าดื้อยาครั้งแรกก็ยังมียาที่เป็นทางเลือกอื่นให้ลองใช้ แต่ถ้าเกิดการดื้อบ่อยๆ จนสุดท้ายแล้วดื้อยาทุกตัวที่มีอยู่ ก็เรียกว่าหมดความหวังกันเลยทีเดียว

ได้ยินว่ารักษาได้แล้ว
ไม่นานมานี้มีข่าวว่าเราสามารถรักษา HIV ได้แล้ว ก็ใช่ค่ะ แต่เป็นการได้ยาภายใน 7 วันหลังจากได้รับเชื้อ เรียกว่าก่อนที่เชื้อจะกระจายก็กินยาเพื่อสกัดกั้นไว้ก่อน ซึ่งในความเป็นจริง คนไข้ก็ไม่ค่อยรู้ตัวหรอกค่ะว่าติดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จะรู้ตัวก็เพราะมีอาการแล้ว หรือรู้จากการเจาะเลือดด้วยจุดประสงค์อย่างอื่น ค่ะ

ป้องกันดีกว่าแก้
ว่าแล้วก็อยากจะแนะนำตรงนี้ HIV เป็นไวรัสที่ติดต่อทาง "เลือด" และ "เพศสัมพันธ์"

ทางเลือดก็สามารถมาจากการใช้เข็มร่วมกันเช่น ยาเสพติด การสักตามร่างกาย ถูกเข็มจากผู้ป่วยตำ (กรณีบุคลากรทางการแพทย์) ส่วนการรับเลือดนั้น ปัจจุบันมีการตรวจเช็คเลือดที่ค่อนข้างรัดกุม จึงมีโอกาสเกิดน้อยมาก นอกจากนี้ก็มีการติดจากแม่สู่ลูกด้วย

ทางเพศสัมพันธ์เป็นด้านที่ควบคุมได้ยากที่สุด การป้องกันอยู่ที่การไม่สำส่อนทางเพศ ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย การตรวจเลือดตอนฝากครรภ์ และการเจาะเลือดจากการบริจาคเลือด ช่วยให้ตรวจพบผู้ติดเชื้อเร็วขึ้นก่อนจะมีอาการ ทั้งนี้ยังมีมาตรการต่างๆที่ต่างประเทศใช้ (แต่ประเทศไทยไม่มี) เช่น ส่งเสริมให้มีการเจาะเลือดก่อนแต่งงาน เป็นต้น แต่ถึงเมืองไทยยังไม่มี แต่คู่ไหนอยากทำก็ทำได้นะคะ

ปัจจุบันยาโรคเอดส์ดีขนาดที่ว่า มีคนมากมายในสังคมที่เป็นเอดส์ แต่เขากินยาควบคุมไว้ และสามารถใช้ชีวิตแบบปกติสุข

Report : www.livcapsule.com



60
สำนักข่าววีโอเอ รายงานว่า บริษัทผลิตยากำลังจะทดสอบยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบฉีด ที่สามารถใช้ทดแทนยาต้านไวรัสเอชวีเเบบเม็ดที่ผู้ติดเชื้อเอดส์หลายล้านคนทั่วโลกกำลังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ยาต้านไวรัสเอดส์แบบฉีดนี้ ชื่อว่า PRO140 โปรวันโฟตี้ เป็นโปรตีนภูมิต้านทานที่มุ่งกำจัดไวรัสเอชไอวีที่ก่อให้เกิดโรคเอดส์

การศึกษาล่าสุดเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของยา ทีมวิจัยแห่งบริษัทผู้พัฒนายาตัวนี้พบว่ายา PRO140 สามารถลดปริมาณไวรัสเอชไอวีในร่างกายผู้ติดเชื้อลงได้อย่างมาก จนไม่สามารถตรวจพบเชื้อในกระเเสเลือดของผู้ป่วย 98 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดนานอย่างน้อย 1 เดือน

หลังได้รับยาต้านไวรัสแบบฉีด ผู้ติดเชื้อเอชไอวีบางคนพบว่าโรคเข้าขั้นเกือบสงบนานถึง 11 เดือนติดต่อกัน ยาต้านไวรัสแบบฉีดชนิดนี้พัฒนาขึ้นมาใช้กับเชื้อไวรัสเอชไอวีสายพันธุ์ R5 เป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นไวรัสที่พบใน 85 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีระยะเฉียบพลันและใน 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อระยะเอดส์

หากทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ ยา PRO140 จะเป็นประโยชน์กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนมาก

คาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกราว 33 ล้านคนในปัจจุบัน ผู้ติดเชื้อต้องกินต้านไวรัสเอชไอวีถึงสัปดาห์ละ 30 เม็ดนานตลอดชีวิต เพื่อควบคุมปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกายให้ต่ำ ยาต้านไวรัสเอชไอวีแบบเม็ดอาจทำลายตับและไตในระยะยาว มีผลกระทบทางสุขภาพจิตและในบางกรณีอาจทำให้ดื้อยา

คุณ Nader Pourhassan แห่งบริษัท CytoDyn บริษัทไบโอเทคที่พัฒนายาต้านไวรัสแบบฉีด กล่าวว่าในการทดลองรักษาทางคลินิค ผู้ติดเชื้อที่เข้าร่วมในการทดลองต้องหยุดกินยาต้านไวรัสเเบบเม็ด

คุณ Pourhassan กล่าวว่าหากการทดลองได้ผลดี เป็นไปได้ว่าทางบริษัทอาจจะสามารถผลิตยาต้านไวรัสแบบฉีด PRO140 ออกมาวางตลาดได้ภายในอีกสองปีข้างหน้า โดยจะออกมาในรูปยาฉีดแบบสัปดาห์ละครั้ง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก VOA THAI และ prachachat.net

Report : www.livcapsule.com

61
ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ ชี้ กินยาต้านไวรัสเอชไอวีป้องกันติดเชื้อได้ 90% แต่ต้องกินต่อเนื่อง 7 วัน ระบุกินแล้วมีเซ็กซ์ทันที ประสิทธิภาพการป้องกันลดลง เผยยาต้านฯเพื่อป้องกันยังต้องซื้อกินเอง ไม่อยู่ในสิทธิฟรีแบบผู้ติดเชื้อ ต้องศึกษาให้ฟรีคุ้มค่าหรือไม่
       
       นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า โครงการเทสต์แอนด์ทรีต ซึ่งเปิดรับอาสาสมัครกลุ่มชายรักชาย และสาวประเภทสองจาก 7 จังหวัด รวมกว่า 8,000 คน เพื่อร่วมโครงการตรวจหาเชื้อเอชไอวีและรักษาหากติดเชื้อ และมีการติดตามเพื่อตรวจซ้ำทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ และแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีสู่บุคคลอื่นนั้น ได้เริ่มเปิดรับสมัครตั้งแต่ พ.ค. ที่ผ่านมา ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วจำนวนหนึ่ง โดยกลุ่มอาสาสมัครที่ตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวีจะได้รับการชักชวนเข้าโครงการแพร็พ คือให้ยาต้านไวรัสกับกลุ่มเสี่ยงฟรี เพื่อศึกษาอัตราการติดเชื้อในคนที่กินยาก่อนติดเชื้อว่ามีโอกาสมากน้อยเพียงใด
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการขยายให้ยาต้านไวรัสฟรีแก่กลุ่มเสี่ยงหรือไม่ หากผลการศึกษาพบว่าสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้จริง นพ.โสภณ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พบว่า การรับประทานยาต้านไวรัสก่อนการติดเชื้อ สามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ถึง 90% แต่การศึกษาครั้งนี้เพื่อต้องการให้เห็นภาพชัดในสังคมไทย ว่า สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้จริง ส่วนที่จะขยายให้บริการยาต้านไวรัสฯฟรี เช่นเดียวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกสิทธิที่ได้รับยาต้านไวรัสฯหรือไม่นั้น จำเป็นที่จะต้องรอผลการศึกษาก่อน ว่า ดำเนินการแล้วมีปัญหาอุปสรรคใดหรือไม่ และมีความคุ้มค่าหรือไม่ อย่างไรก็ตาม โดยปกติการป้องกันก็จะมีการสวมถุงยางอนามัยอยู่แล้ว ซึ่งไม่ว่ากลุ่มเสี่ยงหรือประชาชนทั่วไป ก็สามารถขอรับได้ฟรีที่สถานพยาบาล ทั้งนี้ ทั้ง 2 โครงการจะนำไปกำหนดนโยบายเพื่อยุติปัญหาเอดส์อย่างตรงสภาพปัญหา โดยตั้งเป้ายุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573
       
       ด้าน ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวียังคงให้ฟรีเฉพาะผู้ป่วยเอดส์ทุกสิทธิการรักษา แต่สำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยการรับประทานยาต้านไวรัสฯ ล่วงหน้านั้นยังต้องจ่ายเงินเอง ซึ่งอย่างที่ทราบผลการศึกษาพบว่า 90% สามารถช่วยป้องกันได้ แต่จะต้องรับประทานยาต้านไวรัสฯแล้วอย่างน้อยประมาณ 7 วันขึ้นไป ดังนั้น หากจะป้องกันโดยซื้อยาต้านฯมากินแล้วไปออกศึกมีเพศสัมพันธ์ทันทีในวันนั้นเลยนั้น ประสิทธิภาพในการป้องกันอาจไม่เต็มที่ สำหรับยาต้านไวรัสฯเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือ ยาเพร็พ นั้น สามารถซื้อได้ตามสถานพยาบาลทั่วไป แต่หากมารับบริการที่ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ค่าใช้จ่ายในส่วนของยาต้านไวรัสฯและค่าบริการตรวจเลือดติดตามผลจะอยู่ที่ครั้งละ 30 บาท
              "ส่วนการขยายการให้ยาเพร็พแก่กลุ่มเสี่ยง หรือคนทั่วไปฟรีแบบคนติดเชื้อนั้น ต้องศึกษาผลให้ดี รวมไปถึงความคุ้มค่า เพราะหากจะแจกฟรีเพื่อป้องกันก็อาจมีเสียงสะท้อนว่าเป็นการเอางบประมาณไปละลาย แต่ก็คงต้องดูในระยะยาวด้วย เพราะหากสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ก็จะทำให้ตัวเองไม่ป่วย และไม่ติดเชื้อไปยังบุคคลอื่น” ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูล จาก manager.co.th

Report : www.livcapsule.com


62
Clinic สุด Seed / การติดต่อของเชื้อ HIV
« เมื่อ: 06 ตุลาคม 2015, 12:28:40 »
เชื้อ HIV สามารถติดต่อได้หลายทางดังต่อไปนี้
1.   ทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะไม่ได้ใส่ถุงยางคุมกำเนิดเมื่อร่วมเพศกับกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อ(ติดยาเสพติด รักร่วมเพศ ไม่ทราบสถานะของคู่ขา ) ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศระหว่างชายหญิงหรือทางทวารหนัก หรือทางปาก หรือการใช้อุปกรณืทางเพศร่วมกันโดยไม่ได้ทำความสะอาด เช่นถุงยางคุมกำเนิด การที่มีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เช่นหนองใน แผลริมอ่อน หรือการใช้ยาฆ่า sperm จะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV  พฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์
2.   การใช้เข็มร่วมกันสำหรับผู้ป่วยที่ใช้ยาเสพติดท่านควรจะใช้เข็มครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่ควรใช้ร่วมกับคนอื่นโดยเฉพาะใช้ร่วมกันหลายคนและยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อตับอักเสบ บี
3.   เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ถูกเข็มตำ อัตราการติดเชื้อพบได้ 3/1000 ราย
4.   ติดต่อโดยการให้เลือดที่มีเชื้อโรค ซึ่งปัจจุบันการตรวจเลือดและการคัดกรองการบริจาคทำให้ปัญหานี้ลดลง
5.   การติดต่อจากแม่ไปลูก เด็กประมาณ1/4-1/3ของผู้หญิงที่ติดเชื้อ HIV ที่ไม่ได้รับการรักษาจะติดเชื้อ HIV แต่ถ้าหากแม่ได้รับการรักษาโอกาสติดเชื้อจะลดลงโดยเฉพาะหากผ่าตัดทางหน้าท้อง
กิจกรรมที่ไม่ติดต่อ
หลายท่านที่มีเพื่อนหรือญาติเป็นโรค AIDS กังวลจะติดเชื้อจากผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจนำไปสู่การซึมเศร้าท่านไม่สามารถติดเชื้อจาก อากาศ อาหาร น้ำ ยุงหรือแมลงกัด ห้องน้ำ ช้อนซ่อม ท่านสามารถช่วยผู้ป่วยใส่เสื้อผ้า ช่วยป้อนอาหารอาบน้ำโดยที่ไม่ติดเชื้อ กิจกรรมที่ดำเนินตามปกติมักจะไม่ติดต่อเช่น
1.   การจับมือหรือการสัมผัสภายนอก
2.   การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน
3.   การใช้ถ้วยชามร่วมกัน
4.   สัมผัสกับเหงื่อหรือน้ำตาก็ไม่ติดต่อ
5.   การว่ายน้ำในสระเดียวกัน
6.   การใช้โถส้วมเดียวกัน
7.   ถูกแมลงหรือยุงกัด
8.   การจูบกัน
9.   การบริจาคเลือด

Report : www.livcapsule.com


63
Clinic สุด Seed / โรคเริ่มที่ปาก Herpes labialis
« เมื่อ: 05 ตุลาคม 2015, 12:49:17 »
โรคเริ่มที่ปาก Herpes labialis
เป็นการติดเชื้อไวรัส herpes ที่ริมฝีปาก โดยจะมีตุ่มใสที่ริมฝีปาก เหงือก จะมีอาการปวด
เริมที่ปาก herpes labialis
เป็นการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปากเกิดจากเชื้อ herpes โดยมีลักษณะเป็นตุ่มใสๆเล็ก บริเวณริมฝีปาก ปาก เหงือกและมีอาการปวด
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อ herpes simplex type 1 ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อครั้งแรก อาจจะไม่มีอาการหรือเกิดตุ่มใส เชื้อนั้นจะไปยังปมประสาท และอยู่โดยไม่มีการแบ่งตัว จนมีภาวะแวดล้อมเหมาะสมเชื้อจะแบ่งตัว และทำให้เกิดตุ่มใสที่ปากลักษณะเป็นกลุ่มของตุ่มน้ำใส แสบและคันเล็กน้อย ตุ่มน้ำใสนี้จะแตกออกง่ายแล้วตกสะเก็ด หายไปในเวลาประมาณ 7-8 วัน ก่อนจะเกิดตุ่มน้ำใส อาจมีอาการตึงๆ ร้อนวูบวาบบริเวณริมฝีปากนำมาก่อนได้ในผู้ป่วย บางรายอาการครั้งแรกจะรุนแรง มีแผลตุ่มน้ำจำนวนมาก มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโตได้ หลังจากอาการหายแล้ว เชื้อไวรัสจะหลบซ่อนภายในปมประสาท ต่อมาเมื่อร่างกายอ่อนแอลง มีอารมณ์เครียด ถูกแสงแดด ฯลฯ เชื้อไวรัสนี้จะออกจากปมประสาทมายังบริเวณที่เคยมีอาการติดเชื้อครั้งแรก ทำให้โรคเป็นๆ หายๆ อยู่บ่อยๆ โดยทั่วไปการติดเชื้อเริมมักจะไม่รุนแรง แต่ในคนที่มีภูต้านทานต่ำกว่าปกติ เช่น คนที่กำลังได้รับยารักษาโรคมะเร็งหรือกำลังได้รับการฉายรังสี เป็นต้น อาการที่เป็นอาจรุนแรงได้
การติดต่อ
การติดต่อเชื้อนี้จะติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรงเช่นการจูบ หรือการใช้ของร่วมกัน เช่น การใช้ใบมีดโกน การใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน หลังจากได้รับเชื้อ 7-10 วันจะเริ่มเกิดอาการแสบร้อนและตามด้วยตุ่มใสเล็กๆ ตุ่มใสนี้จะอยู่เป็นเวลา 7-10 วันแล้วจึงเริ่มหาย
อาการ
o   เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน คันๆบริเวณปากก่อนเกิดผื่น 2 วัน
o   ต่อมาเกิดตุ่มใสที่ปากหรือริมฝีปาก ตุ่มอาจจะรวมกันเป็นแผลใหญ่
o   อาจจะมีไข้ต่ำๆ
การวินิจฉัย
o   จากลักษณะเฉพาะของผื่น
o   จากการเพาะเชื้อ
o   จาการตรวจ Tznack test
การรักษา
o   เมื่อเกิดอาการครั้งแรกในระยะตุ่มน้ำใส ควรรับไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยถูกต้องแน่นอน ซึ่งอาจได้รับยาที่ช่วยให้อาการระยะเฉียบพลันดีขึ้น
 
o   รักษาความสะอาดของร่างกายรวมทั้งล้างมือให้สะอาดทันทีหลังจับต้องแผล เพราะอาจจะนำเชื้อไปสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้
 
o   หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น เช่น การจูบ ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันโดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆ หรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำเพาะมีโอกาสติดเชื้อง่าย
 
o   ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาอาจจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์
o   ให้ทำความสะอาดผื่นด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ
o   การรับประทานยาฆ่าเชื้ออาจจะทำให้หายเร็วขึ้น
โรคแทรกซ้อน
o   ตาบอดได้หากเชื้อนี้เกิดที่ตา
o   เชื้อนี้แพร่ไปติดเนื้อเยื่อข้างเคียง
o   มีการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผื่น
o   มีการกลับเป็นซ้ำของผื่น
o   ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องการติดเชื้อนี้อาจจะทำให้เสียชีวิต
การป้องกัน
o   ระวังการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นเริมและยังมีผื่นในระยะติดต่อ
o   อย่าใช้ของร่วมกัน
o   หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก HealthFood

Report : www.livcapsule.com

64
โรคฉวยโอกาส (Opportunistic Infectione-OIs) คือโรคที่จะค่อยเกิดกับคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์ดี โรคฉวยโอกาสที่มักพบในผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ติดเชื้อเอชไอวีมีดังนี้
       
1.โรคราในปาก (Candidiasis) เป็นการติดเชื้อจำพวกราในบริเวณช่องปาก ลำคอ และในช่องคลอด
2.Cytomegalovirus (CMV) เป็นการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้ตาอักเสบจนอาจถึงขั้นตาบอด
3.โรคพุพอง (Herpes simplex viruses) อาจเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ (เป็นการอักเสบที่พบบ่อยที่ที่สุด แต่สำหรับการระบาดที่รุนแรง ผู้ป่วยอาจเป็นได้บ่อยและรุนแรงมากขึ้น)
4.ปอดบวม (Pneumocystis pneumonia-PCP) เป็นการอักเสบอันเกิดจากเชื้อราที่อาจทำให้ผู้ป่วยเป็นปอดบวมและเป็นอันตรายถึงชีวิต
5.โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Toxoplasmosis-Toxo) เป็นการติดเชื้อโปรโตซัวในสมอง
6.วัณโรค (Tuberculosis-TB) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ทำลายปอดและทำให้ให้เยื่อหุ้มอักเสบ วัณโรคเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่คร่าชีวิตผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลก

Report :  www.livcapsule.com

65
Clinic สุด Seed / โรคภูมิแพ้อสุจิ
« เมื่อ: 03 ตุลาคม 2015, 19:27:12 »
เคยมีรายงานแล้วว่าพบผู้ป่วยชายหลายคนมีอาการ ภูมิแพ้อสุจิ ตัวเอง หรือที่เรียกกันแบบทางการว่า Post-orgasmic illness syndrome (POIS) อาการทั่วไปคือ หลังจากที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ ผู้ป่วยจะมีไข้ คัดจมูก แสบตา และเหนื่อยล้าอย่างหนัก อาการเหล่านี้อาจจะอยู่ได้นานเป็นสัปดาห์นั่นเอง
 
ในตอนแรกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็คิดว่าอาการ ภูมิแพ้อสุจิ เหล่านี้เกิดจากสภาวะทางจิตที่มีผลต่อร่างกาย แต่งานวิจัยชิ้นล่าสุดของ ศาสตราจารย์ มาเซล วอลดิงเกอร์ (Marcel Waldinger) แห่ง Utrecht University ในประเทศเนเธอร์แลนด์ยืนยันว่าอาการ ภูมิแพ้อสุจิ ตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน เหมือนกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ ไม่ใช่อาการทางจิตที่ผู้ป่วยคิดไปเอง โดย ทีมวิจัยของ ศาสตราจารย์ มาเซล ได้ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วย ภูมิแพ้อสุจิ POIS จำนวน 45 คน ในจำนวนนี้มี 33 คนยินยอมให้นักวิจัยทดสอบอาการภูมิแพ้ด้วยวิธีเอาเข็มที่จุ่มสารละลายเจือจางของน้ำอสุจิตัวเองจิ้มเข้าผิวหนังที่แขน (skin prick test) ผลออกมาว่า 29 จาก 33 คน แสดงอาการแพ้ ซึ่งสามารถแปลความได้ว่า ภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อน้ำอสุจิจริงๆ

นอกจากนี้เมื่อทีมวิจัยใช้วิธีการรักษาอาการภูมิแพ้แบบที่เรียกว่า hyposensitization therapy กับผู้ป่วย 2 คน คือ เริ่มแรกฉีดสารละลายน้ำอสุจิที่เจือจางมากๆ เข้าไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นทุกๆ เดือน ก็พบว่าภายในระยะเวลา 1 และ 3 ปี ผู้ป่วยมีอาการแพ้ลดลง นี่เป็นอีกหลักฐานที่ชี้ว่าอาการ ภูมิแพ้อสุจิ เป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันเหมือนกับโรคภูมิแพ้อื่นๆ และสามารถรักษาให้อาการบรรเทาได้ด้วยวิธีเดียวกัน ตอนนี้ทีมวิจัยของ ศาสตราจารย์ มาเซล ก็ดำเนินการรักษาผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไป ขณะเดียวกันก็พยายามหาคำตอบด้วยว่า “ทำไมผู้ป่วยถึงไม่มีอาการ ภูมิแพ้อสุจิ ที่อยู่ในอัณฑะ แต่จะแพ้ก็ต่อเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิเท่านั้น?”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก หลังคาเดียวกัน

Report by : www.livcapsule.com


66
แม้จะไม่แน่ชัดว่าประชากรกลุ่ม “ชายรักชาย” มีจำนวนมากน้อยเท่าไร แต่ที่ต้องยอมรับคือคนกลุ่มนี้มีการแสดงตัวต่อสังคมมากขึ้น อาจเนื่องด้วยสังคมไทยเปิดกว้างกับเรื่องทางเพศมากกว่าแต่ก่อน แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับประชากรกลุ่มนี้คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์
       
       ที่เป็นเช่นนั้นเพราะจากการสำรวจสถานการณ์โรคเอดส์ในไทย พบว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 9,000-10,000 คน สาเหตุของการติดเชื้อร้อยละ 85 มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยในการป้องกัน ส่วนกลุ่มที่มีการติดเชื้อมากที่สุด หากไม่นับการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันแล้ว กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายนี่เองที่มีการติดเชื้อมากที่สุด
ส่วนสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เล่าว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณเกือบ 5 แสนคน แต่มีการเจาะเลือดตรวจหาเชื้อ รวมถึงพบเชื้อแล้วทำการรักษาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นคือ 2 แสนกว่าราย ดังนั้น สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือ การรณรงค์ให้มาตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงคือ ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และควรมาตรวจทุกปีเพื่อความแน่ใจ เพราะหากยังมีพฤติกรรมเสี่ยงก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้
       
        สอดคล้องกับ พญ.นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ แพทย์ประจำศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ที่บอกว่า ไม่ว่าคุณจะมีเพศสัมพันธ์ทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือแม้แต่ทางปากหรือออรัลเซ็กซ์ ก็ควรที่จะมาตรวจเชื้อหาเอชไอวี โดยเฉพาะกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ซึ่งมีการร่วมรักกันผ่านทาง ทวารหนัก มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดในผู้หญิงถึง 10 เท่า เนื่องจากทวารหนักมีความเปราะบางกว่าช่องคลอด
        “จากการศึกษาพบว่า กลุ่มคู่ต่างคือฝ่ายหนึ่งมีการติดเชื้อเอชไอวี ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีการติดเชื้อนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย หรือชายมีเพศสัมพันธ์กับหญิงนั้น หากผู้ติดเชื้อเป็นฝ่ายรุก ส่วนผู้ไม่ติดเชื้อเป็นฝ่ายรับ เมื่อมีการหลั่งน้ำภายในทวารหนักของฝ่ายชายหรือในช่องคลอดของฝ่ายหญิง ฝ่ายรับจะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีมากกว่า แต่หากผู้ติดเชื้อเป็นฝ่ายรับ ส่วนผู้ไม่ติดเชื้อเป็นฝ่ายรุก กรณีเช่นนี้ฝ่ายรุกจะมีโอกาสติดเชื้อน้อยกว่า”
       
        อย่างไรก็ตาม แม้ฝ่ายรุกที่ไม่ติดเชื้อจะมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีน้อยกว่า แต่ พญ.นิตยา บอกว่า ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสติดเชื้อเลย ดังนั้น การป้องกันยังคงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ซึ่งพื้นฐานในการป้องกันคือการใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะสามารถช่วยป้องกันโรคได้ และอีกแนวทางหนึ่งที่มีผลการศึกษาชัดเจนแล้วว่า การรักษาด้วยการรับยาต้านไวรัส สามารถป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีได้ ไม่ว่าจะเป็นจากแม่ไปสู่ลูก หรือจากคู่รักไปสู่คู่รัก
       
        พญ.นิตยา อธิบายว่า การรับยาต้านไวรัสจะเป็นการกดเชื้อไวรัสในร่างกายลง ซึ่งเมื่อกดเชื้อไวรัสจนไม่พบในกระแสเลือด โอกาสในการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่นจึงน้อย และยิ่งมารับยาต้านไวรัสเร็วเท่าไรก่อนภูมิคุ้มกันหรือค่า CD4 ของร่างกายจะต่ำลง ก็จะยิ่งลดโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อได้มากขึ้น ซึ่งจากการวิจัยโครงการ HPTN 052 โดยศึกษาอาสาสมัครคู่ต่างกว่า 1,700 คู่ ใน 9 ประเทศ รวมทั้งไทย พบว่า กลุ่มที่กินยาต้านไวรัสเร็ว ก่อนที่ค่า CD4 จะตก มีการติดเชื้อไปสู่คู่รักเพียง 0.0-0.4 คน ใน 100 คนต่อปีเท่านั้น คือต่ำกว่า 0-1% ส่วนกลุ่มที่กินยาต้านไวรัสเมื่อภูมิคุ้มกันต่ำกว่า 250 ซึ่งถือว่าป่วยแล้ว พบว่าป้องกันได้แต่น้อยกว่า โดยมีโอกาสติดเชื้อไปสู่ผู้อื่นอยู่ที่ 1.1-2.5 คน ใน 100 คนต่อปี
       
        เรียกได้ว่าการกินยาต้านไวรัสเร็วก่อนค่า CD4 จะตก ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อเอดส์ไปสู่คนอื่นได้มากกว่าการกินยาต้านไวรัสเมื่อค่า CD4 ตกแล้วสูงถึง 96% แต่ที่จะลืมไม่ได้เลยคือ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ คนหนึ่งจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์จะต้องสวมถุงยางอนามัยป้องกัน และผู้ติดเชื้อเอชไอวี หากคุณรักตัวเองและคู่รักของคุณก็ควรกินยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ เพื่อให้ไวรัสในร่างกายของคุณไม่ไปติดหรือไม่ไปทำร้ายคนที่คุณรักต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย

Report : www.livcapsule.com

67
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญ และพบบ่อยในประเทศไทยประกอบไปด้วยโรคยอดนิยม 5  โรคดังนี้

1.   หนองในแท้ (Gonorrhea)

เมื่อประมาณ 20 -30 ปีก่อน หนองในแท้นับว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อับดับหนึ่งเลยทีเดียว จวบจนมีโรคเอดส์เข้ามา และมีการรณรงค์ให้ใช้ ถุงยางอนามัยมากขึ้น โรคหนองในก็หายหน้าหายตาไปนาน จนช่วงกลาง ปี 2546 เริ่มพบหนองในแท้มากขึ้นพร้อมกับข่าวร้ายที่ตามมา คือเชื้อนี้ดื้อยากินจนไม่อาจใช้ยากินรักษาได้อีกต่อไป

หนองในแท้ (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษา หายขาดได้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae สามารถเกิดได้ ทั้งที่อวัยวะสืบพันธุ์ มดลูก ปากมดลูก ช่องท้อง ในช่องปาก ทวารหนัก หรือแม้แต่นัยน์ตาทารกแรกเกิด อาการที่เป็นก็เช่น ปัสสาวะแสบขัด หรือปัสสาวะ มีเลือด มีเลือดออกเวลามีเพศสัมพันธ์ มีตกขาวสีเหลืองออกเขียวเป็นต้น ส่วนรายที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เมื่อติดเชื้อก็จะมีอาการคันหรือระคายเคือง ที่ทวารหนัก อาจมีเมือกหรือหนองออกมาทางทวารหนักเช่นเดียวกับในท่อปัสสาวะ มีคนเข้าใจผิดมากๆหลายราย ที่เข้าใจว่าเวลาไปเที่ยวไม่ใช้อวัยวะสอดใส่ แต่ให้หญิงบริการใช้ปากกับอวัยวะเพศของตนแล้วจะปลอดภัย คนที่เข้าใจอย่างนี้เป็นโรคมาแล้วนับไม่ถ้วน เพราะในลำคอของหญิงบริการเหล่านี้ มีเชื้อโรคหนองในแท้อาศัยพักอยู่ เพราะเธอก็ไปใช้ปากให้กับผู้ใช้บริการราย อื่นมาก่อน เมื่อมาใช้ปากกับท่าน เชื้อหนองในเลยกระโดดมาติดอวัยวะของท่านดังนั้นต่อให้ใช้ปากก็ต้องใส่ถุงยางอนามัย

2.   หนองในเทียม

หนองในเทียมเป็นหนึ่งในสี่ของโรคที่พบบ่อยในคลินิกกามโรคชาย (หนองในแท้ หนองในเทียม โรคเริม และหูดหงอนไก่) อาจมาเดี่ยวๆ โรคเดียว หรือมาพร้อมกับโรคหนองในแท้ก็ได้ หนองในเทียมส่วน ใหญ่จะรักษาหายด้วยยากิน แต่ก็มีคนไข้ส่วนหนึ่งที่รักษาหายยาก (มีไม่ถึง 10 %) จัดอยู่ในประเภทหนองในเทียมที่รักษายาก เมื่อมีการอักเสบในท่อปัสสาวะ ต้องเอาหนองหรือของเหลวจากท่อปัสสาวะมาตรวจย้อมแล้วส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ (หรือตรวจด้วยวิธีอื่น) ถ้าไม่พบเชื้อหนองในแท้ (gram negative dipplococci) เราจะจัดให้อยู่ในกลุ่มหนองในเทียม ทั้งหมด เพราะการรักษาไม่ต่างกัน หนองในเทียมมีชื่อภาษาอังกฤษหลายชื่อ เช่น NGU, NSU, PGU แต่ละชื่อมีความแตกต่างกันเล็กน้อย
3.   ซิฟิลิส (Syphilis)
ซิฟิลิสเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มีอันตรายเนื่องจากมี อาการเรื้อรัง มีระยะติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี สามารถทำให้เกิดโรคแก่ระบบต่าง ๆของร่างกายได้หลายระบบ อาจมีอาการแสดงที่ชัดเจน หรืออาจอยู่ในระยะสงบได้เป็นระยะเวลานาน นอกจากติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้วยังสามารถติดต่อจากมารดาไปยังทารกได้มีระยะฟักตัว 9 - 90 วัน

4.   เริมที่อวัยวะเพศ
เริมเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย ประกอบกับเป็น โรคที่ไม่หายขาด จึงมีจำนวนคนที่เป็นโรคนี้สะสมมากขึ้นทุกปีการติดเชื้อเริมส่วนใหญ่ติดจากการร่วมเพศ เชื้อไวรัสติดเข้าสู่ร่างกาย ทางแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อบุอ่อนๆ แล้วอาจไม่แสดงอาการแต่กลับไปแฝงตัวที่ปมประสาทรับความรู้สึก ( Sensory nerve ganglion) โดยเชื้อจะจะยึดปมประสาทนี้เป็นที่มั่นตลอดไป แต่อาจถูกกระตุ้นให้กลับมาก่อโรคที่ผิวหนังได้เป็นครั้งคราว และระหว่างที่มีรอยโรคอยู่ ก็สามารถที่จะแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นที่ไปสัมผัสได้ แต่ที่ร้ายกว่านั้น หญิงที่มีเชื้อเริมที่ปากมดลูก หรือช่องคลอด มีเกือบครึ่งที่ไม่มีอาการอะไรผิดปกติแสดงออกมาให้เห็น ดังนั้นหญิงเหล่านี้จึงมีโอกาสที่จะแพร่เชื้อไปให้ชายที่มี เพศสัมพันธ์ด้วยได้โดยไม่รู้ตัว

5.   หูด HPV
HPV หรือในชื่อเต็มว่า Human Papilloma Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิด หูดชนิดต่างๆ มีมากกว่า 180 สายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ก็ก่อโรคหูด แตกต่างกันไป ที่สำคัญมีหลายสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ เป็นหูดที่เรารู้จักกันดีมานาน แต่เดิมเราก็ไม่ได้เฉลียวใจถึงความร้ายกาจของมัน เป็นมาก็รักษากันไป แต่ในตอนหลังเราพบว่า หูดเหล่านี้นอกจากจะเกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ หมายเลข 6 และ หมายเลข 11 แล้วก็มีสายพันธุ์หมายเลข 16 และ 18 ซึ่งเป็น สายพันธุ์ที่ร้ายแรงมีโอกาสทำให้กลายเป็นมะเร็งได้  มีการประมาณการกันว่า ประชากรของ ไทยเรา ประมาณ 20 – 40 % ติดเชื้อ HPV แต่ส่วนใหญ่การติดเชื้อนั้น ไม่แสดงอาการ ส่วนที่มีอาการไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ธรรมดาหรือสาย พันธุ์ร้ายแรง ก็มีโอกาสหายเองได้เหมือนกัน โดยที่คนอายุน้อยมีโอกาสหาย ได้เองมากกว่าคนอายุมาก

Report : www.livcapsule.com

68
Clinic สุด Seed / ยาเสพติดกับเอชไอวี
« เมื่อ: 03 ตุลาคม 2015, 19:20:01 »
จากงานวิจัยพบว่า พฤติกรรมทางเพศคือปัจจัยหลักต่อความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวี ในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด นอกจากนี้ การใช้ยาเสพติด ยังรวมถึง เมธาแอมเฟตามีน หรือแอลกอฮอล์อีกด้วย เพราะทั้งหมดนี้ต่างเพิ่มโอกาส ทำให้ผู้เสพขาดสติและการป้องกันตัวเองหรือใส่ถุงยางอนามัยในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์

- บางคนใช้ยาเสพติด เพื่อลดความหวาดหวั่นก่อนการมีเพศสัมพันธ์ เพราะยาเสพติดบางประเภท สามารถกระตุ้นให้ผู้เสพสามารถกล้าที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเพศได้ แม้ว่าในเวลาปกติเขาจะไม่ทำก็ตาม รวมถึง การมีเซ็กซ์โดยไม่ป้องกันติดต่อในเซ็กซ์ปาร์ตี้ เซ็กซ์หมู่ หรือมีเพศสัมพันธ์หลายคนโดยไม่ป้องกัน

- ในขณะที่บางคนอาจจะไม่สามารถลิมิตการกระทำของตัวเองได้ ในขณะที่อยู่ภายใต้การออกฤทธิ์ของยาเสพติดและแอลกอฮอล์

- การใช้ยาเสพติดและแอลกอฮอล์ จะลดการใช้ถุงยางอนามัยและการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
บางครั้งคนที่ใช้ยาเสพติดเป็นประจำมักจะเกี่ยวพันธ์กับการมีคู่หลายคน นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ  และคนที่ใช้ยาเป็นประจำ ก็จะเพิ่มความเสี่ยงของตัวเองในการเป็นพาหะแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงในการติดเชื้อและแพร่เชื้อเอชไอวี

บทสรุป
การใช้ยาเสพติด มักเป็นสาเหตุใหญ่อันหนึ่งของการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน สามารถแพร่เชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ และโรคอื่นๆ
อย่าใช้เข็มฉีดยาเสพติดเก่าเป็นอันขาด หากคุณจะต้องใช้ ก็ควรจะใช้เข็มฉีดยาของตัวเองคนเดียว และทำความสะอาดให้ดีทุกครั้งหลังใช้งาน การทำความสะอาดก็สามารถช่วยได้ส่วนหนึ่ง
แอลกอฮอล์ และยาเสพติดชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช้แบบฉีด มักจะเป็นยาที่ทำให้ผ่อนคลาย เพิ่มความบันเทิง และนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ข้อควรรู้สำหรับการใช้สารเสพติดกับการรักษาเอชไอวี
ในการรักษาเอชไอวี สิ่งสำคัญที่สุดคือการจะต้องทานยาต้านไวรัส คนที่ทานยาไม่ตรงเวลา ไม่สม่ำเสมอนั้น จะทำให้เกิดเชื้อไวรัสเพิ่มในเลือดมากขึ้น และจะทำให้เชื้อพัฒนาเป็นเชื้อดื้อยาต่อยาต้านไวรัส ดังนั้น การใช้ยาเสพติดจะส่งผลให้การทานยาไม่ตรงเวลา ไม่สม่ำเสมอ และนำไปสู่ความล้มเหลวในการดูแลรักษาเอชไอวีได้

ยาเสพติดบางประเภทมีปฏิกิริยาต่อยาต้านไวรัส อันจะมีผลร้ายแรงต่อตับ เพราะตับของเราต้องทำงานหนักในการต่อสู้กับเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ยาเสพติดเป็นประจำ รวมถึง แอลกอฮอล์ เมื่อทั้งยาเสพติดและยาต้านไวรัสไปรวมกันที่ตับ และยาทั้งสองอาจตีกันและส่งผลให้ตับทำงานช้าลง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การใช้ยาเกินขนาดไม่ว่าจะจากยาต้านไวรัสหรือยาเสพติด

การใช้ยาเกินขนาดนั้น จะนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงมาก การใช้ยาเสพติดเกินขนาดอาจถึงแก่ชีวิตได้ มีรายงานว่า มีผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีเสียชีวิตจากการทานยาร่วมกับการใช้ยาเสพติดเช่นยาอี

นอกจากนี้ ยาต้านไวรัสบางตัว ยังสามารถเปลี่ยนปริมาณเมทาโดนในเส้นเลือดได้ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องปรับปริมาณการรับประทานเมทาโดนในบางกรณี โดยท่านสามารถดูจากเอกสารการแพทย์ของยาแต่ละชนิดที่คุณรับประทานและปรึกษาแพทย์ที่ดูแลรักษาเอชไอวี และผู้ให้การบำบัดยาเสพติดของท่าน

บทสรุป
ยาเสพติดบางชนิดสามารถทำให้เราขาดทานยาต้านไวรัสไว้ และจะเพิ่มโอกาสของความล้มเหลวทางการรักษา และก่อให้เกิดการดื้อยา รวมไปถึงการใช้ยาเสพติดร่วมไปกับการทานยาต้านไวรัสนั้นอันตรายมาก ปฏิกิริยาของร่างกายต่อยาจะนำไปสู่ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงหรือการใช้ยาเกินขนาดได้


การใช้สารเสพติดเกี่ยวข้องกับเอชไอวีได้อย่างไร?
การใช้สารเสพติด คือ ปัจจัยหลัก ในการเผยแพร่เชื้อเอชไอวี การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน สามารถส่งต่อเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ และ ยังทำให้เกิดกิจกรรมทางเพศที่ไม่ป้องกัน
การใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์นั้น ยังเป็นอันตรายต่อผู้ที่รับประทานยาต้านไวรัส ดังนั้น ผู้ใช้ยาเสพติดทั้งหลายจึงไม่สามารถทานยาควบคู่กันไปได้

ฉีดแล้วติดเลย
การติดต่อของเชื้อเอชไอวี สามารถแพร่กันได้อย่างง่ายดาย เมื่อเราใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี ตลอดจนโรคติดต่อร้ายแรงอื่นๆ

การติดต่อทางเลือดนั้น คือเมื่อเราสัมผัสโดยตรงกับเข็มฉีดยา และส่งต่อๆ กัน นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ติดเชื้อเอชไอวีจากการใช้ยาเสพติด เพราะเข็มฉีดยา ฉีดตรงสู่เลือดเข้าเราเลย  แม้แต่หยดเลือดเพียงเล็กน้อยที่มือ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ก็สามารถนำพาเชื้อเอชไอวีได้ ในกรณีของการใช้เข็มและอุปกรณ์เสพติดร่วมกัน
เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีและโรคไวรัสตับอักเสบ อย่าใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ใด และให้ล้างมือทุกครั้ง และทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกชนิดอย่างถูกต้อง

การใช้ยาเสพติดนำพาเซ็กซ์ที่ไม่ป้องกัน
สำหรับหลายๆ ท่าน ที่รักสนุกด้วยการใช้ยาเสพติดและมีเพศสัมพันธ์ไปด้วยกันนั้น  รู้หรือไม่ว่า ผู้ที่ใช้ยานั้นอาจจะใช้เซ็กซ์เพียงเพื่อแลกเงินหนือยาก็เป็นได้ บางคนอาจจะข้องเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันและใช้ยา
การใช้ยาเสพติด นั้นรวมถึง แอมเฟตตามีนและแอลกอฮอล์ด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้ จะเพิ่มโอกาสของการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำเพื่อแลกเงินหรือยา ก็ยิ่งจะยินยอมพร้อมใจ  เพราะยาเสพติดทั้งหลายจะลดความสามารถในการควบคุมสติและตัวเองในการใช้ถุงยาง อนามัยและพฤติกรรมที่ปลอดภัย

บ่อยครั้งที่ผู้ใช้ยาเสพติดอาจข้องเกี่ยวกับคู่นอนหลายคนในเวลาเดียวกัน และนี่ก็คือสาเหตุที่เราสามารถติดเชื้อเอชไอวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จากการลองหรือรักสนุกเพียงชั่วคราวได้  แม้ที่กล่าวมาจะเป็นเพียงการพูดในวงกว้าง สันนิษฐาน แต่ก็ล้วนอยู่บนความเป็นไปได้ทั้งสิ้น

บทส่งท้าย
การใช้สารเสพติด คือสาเหตุหลักของการแพร่เชื้อเอชไอวี  การใช้อุกรณ์ และเข็มฉีดยาร่วมกัน จะสามารถแพร่เชื้อเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบได้ ตลอดจนโรคติดต่ออื่นๆ
ป้องกันตัวคุณเองจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น  การใช้สารเสพติดควบคู่กับยาต้านไวรัสเป็นอันตรายมาก ทำให้ร่างกายดื้อยาได้ในที่สุด และยังเป็นเหตุให้รับยาเกินขนาดอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คลีนิคนิรนาม

Report : www.livcapsule.com



69
โรคเอดส์หรือเอชไอวี (HIV) เป็นที่ทราบ เป็นโรคที่น่ากลัว ยังไม่มียารักษาให้หายขาด มีเพียงยาต้านเชื้อเพื่อยื้อเวลาเท่านั้น แต่…เกิดกรณีที่ทำให้ใครได้ฟังต้องถึงกับมึน เมื่อพบว่าได้มีหญิงสาวคนหนึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเอดส์ และต้องรักษาตัวนานถึง 4 ปี ภายหลังกลับมาตรวจกลับไม่พบเชื้อ ทางโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในพื้นที่ภาคใต้ ระบุอาการของหญิงดังกล่าวว่า เธอหายป่วยแล้ว โดยอ้างว่า "ร่างกายสามารถล้างเชื้อเองได้...!?!"
เปิดปมหญิงสาวรักษาเอดส์ 4 ปี เช็กซ้ำไม่เจอ รพ.อ้างร่างกายผู้ป่วยล้างเชื้อเองได้
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จึงติดต่อไปยัง นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ เพื่อสอบถามถึงที่ไปที่มาของเรื่องดังกล่าว นางปรียนันท์ เล่าว่า เรื่องนี้สืบเนื่องจากมีผู้ป่วยท่านหนึ่งมาร้องเรียนกับเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง โดยมีการตรวจเลือดผิดพบว่าเป็นเอชไอวี และเข้าใจเช่นนั้นมาตลอด 4 ปี ไม่กล้าไปตรวจซ้ำที่อื่น เนื่องจากตอนนั้นเพิ่งเลิกกับสามีเก่าซึ่งค่อนข้างเจ้าชู้ จึงเข้าใจว่าอาจติดเชื้อจากสามีเก่าหรือไม่ ต่อมาสังเกตสุขภาพยังดีอยู่ จึงตัดสินใจไปตรวจซ้ำหลายโรงพยาบาล ผลออกมาตรงกันว่าไม่พบเชื้อเอชไอวี แต่กลับได้คำตอบจากแพทย์โรงพยาบาลต้นเหตุว่า เป็นเพราะร่างกายผู้ป่วยล้างเชื้อเอชไอวีได้เอง
"เรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 50 เธอไปตรวจเลือดเพื่อวางแผนมีลูกกับสามีใหม่ ผลการตรวจแพทย์วินิจฉัยว่ามีเชื้อเอชไอวีซึ่งก่อนการวินิจฉัยก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจที่มีมาตรฐานของมัน เธอก็เชื่อสนิทใจเพราะว่าตัวเธอเป็นพยาบาลวิชาชีพ รู้ว่ากระบวนการตรวจต้องผ่านอะไรมาบ้าง เลยไม่ได้ไปตรวจที่อื่น และเธอเชื่อว่าเธออาจจะติดจากสามีคนแรกที่เจ้าชู้ ประกอบกับทางโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย ก็รักษากับที่โรงพยาบาลนี้มาตลอด 4 ปี และเธอก็ไม่ได้รับยาต้าน CD4 ใกล้เคียงปกติ เธอจึงเฝ้าสังเกตอาการ แต่ก็พบว่าสุขภาพยังดีอยู่ พอปี 55 ก็เลยตัดสินใจตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของที่นั่น กลับไม่พบเชื้อเอชไอวี หลังจากนั้นเธอจึงตัดสินใจไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาลอื่นอีกหลายแห่ง ผลตรงกันหมดว่าเธอไม่ได้เป็นเอดส์ เมื่อถามกลับไปยังแพทย์โรงพยาบาร่างกายมนุษย์จะสามารถล้างเชื้อเอชไอวีได้จริงหรือ!?
มาถึงตรงนี้แล้วสังคมคงแคลงใจว่า "ร่างกายมนุษย์จะสามารถล้างเชื้อเอชไอวีได้จริงหรือไม่" ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์พยายามค้นหาคำตอบของคำถามนี้ จึงติดต่อไปยังแพทย์หญิง นิตยา ภานุภาค พึ่งพาพงศ์ หัวหน้าแผนกป้องกันและหัวหน้าหน่วยวิจัยเสิร์ช ศูนย์วิจัยโรคเอดส์สภากาชาดไทย เผยกับทีมข่าวฯ ว่า "ในปัจจุบันเรายังไม่เห็นว่ามีผู้ติดเชื้อรายไหนที่มีการล้างเชื้อออกไปได้ด้วยตัวเอง หรือแม้แต่ว่าด้วยการกินยาต้านไวรัสเป็นเวลาช่วงหนึ่ง แล้วหยุดกินไปแล้วเชื้อจะล้างออกไปได้เอง เรียกว่ายังไม่เคยพบเจอ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี เรากำลังควานหาคนเหล่านั้นอยู่ ในโลกนี้มีคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน เขาหายขาดจากเชื้อเอชไอวีได้ แต่รายนี้เขาเป็นกรณีพิเศษ เขาเป็นเอชไอวี กินยาต้านไวรัส แล้วดันเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ก็เลยไปเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ฉายแสง ให้เคมีบำบัด แล้วเขาก็ได้รับบริจาคเม็ดเลือดของคนซึ่งพอดีมันไม่มีตัวรับเอชไอวี (การที่เอชไอวีจะเข้าสู่ร่างกายคน ก็จะเข้าสู่เซลล์ ซึ่งเซลล์นั้นต้องมีตัวรับกับเชื้อเอชไอวี ตัวรับนี้จะอยู่บนผิวของเม็ดเลือดขาว พอเชื้อเข้าไปมันก็จะไปจับกับตัวรับนี้ แล้วค่อยๆ แทรกเข้าไปอยู่ในเซลล์ของคน บางคนโดยธรรมชาติแล้ว เซลล์เม็ดเลือดขาวจะไม่มีตัวรับนี้อยู่ แต่จะเจอได้น้อยมาก จาก 1 ในหลายหมื่น หรือโดยเฉพาะบางเชื้อชาติ) เข้ามาในตัวเขา คนนี้เป็นคนที่หลังจากหยุดยาต้านไวรัสไปแล้ว ตอนนี้ผ่านมาเป็น 10 ปี ก็ยังตรวจไม่เจอเชื้อเลยในร่างกาย ซึ่งหมายความว่าเชื้อก็ไม่ได้ขับออกไปเอง แต่ต้องอาศัยกระบวนการต่างๆ นานา ในการทำให้เขาหายได้" พญ.นิตยา กล่าว
ลต้นเหตุ แต่พญ.นิตยา กล่าวต่ออีกว่า การตรวจเอชไอวีในปัจจุบันที่มีให้บริการในโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ จะเป็นการตรวจโดยใช้เลือด มีหลักการตรวจอยู่ 2 วิธี คือ 1. การตรวจโดยตรวจหาภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างต่อตัวเชื้อเอชไอวี เรียกการตรวจนี้ว่า การตรวจ Anti-HIV จะสามารถบอกได้ว่าใครมีเชื้อหลังจากที่ไปสัมผัสหรือไปรับเชื้อมาไม่เกิน 4 สัปดาห์ กรณีถ้าตรวจครั้งที่ 1 พบว่าเป็นลบคือไม่มีเชื้อ ประกอบกับการพิจารณาความเสี่ยงของผู้ตรวจ ถ้าไม่มีความเสี่ยงทางแพทย์ก็จะรายงานผลว่าเป็นลบและไม่นัดมาตรวจซ้ำอีก อีกกรณีถ้าตรวจครั้งที่ 1 พบว่าเป็นลบ แต่ผู้ตรวจเพิ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อมา 3-4 วัน แพทย์ก็จะแจ้งให้มาตรวจซ้ำอีกใน 2 อาทิตย์และหากผลตรวจครั้งที่ 2 ออกมาเป็นบวกคือมีเชื้อ ทางแพทย์ก็จะตรวจซ้ำอีก 2 วิธี โดยชุดตรวจที่เป็นคนละชนิดกับชุดแรก ทั้งนี้ แพทย์จะรายงานผลต่อเมื่อชุดตรวจทั้ง 3 วิธีให้ผลเหมือนกันหมด
วิธีที่ 2 การตรวจหาตัวเชื้อโดยตรง เรียกการตรวจนี้ว่า การตรวจ NAT (Nucleic Acid Amplification Testing) จะมีความไวกว่า Anti-HIV ขึ้นมาประมาณ 1-2 อาทิตย์หลังจากไปสัมผัสหรือไปรับเชื้อมา เพราะไม่ต้องรอให้ร่างกายสร้างโปรตีนขึ้นมา การตรวจชนิดนี้ จะใช้ในกรณีการบริจาคเลือด ก่อนการนำเลือดไปเก็บเพื่อที่จะส่งต่อให้คนอื่น จะมีการตรวจ NAT ก่อน ส่วนผู้ป่วยที่ตรวจแบบวิธีที่ 1 แล้วมีกรณีพิเศษเกิดขึ้นก็อาจจะมีการตรวจ NAT เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
กลับได้รับคำตอบว่า ร่างกายคนไข้สามารถล้างเชื้อเอชไอวีเองได้" ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์เล่า
ผลการตรวจอาจจะผิดพลาดได้..!?
จะเห็นได้ว่าขั้นตอนการตรวจหาเชื้อเอชไอวี มีอยู่หลายขั้นตอน แต่ทว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ผลการตรวจจะเกิดการผิดพลาด พญ.นิตยากล่าวถึงข้อสงสัยนี้ว่า "ผลการตรวจผิดพลาดเป็นไปได้ว่ามีแน่นอน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของการตรวจเอชไอวี วิธีการตรวจตามห้องปฏิบัติการมันไม่มีอะไร 100% เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราพยายามทำกันอยู่คือการเลือกชุดตรวจ ซึ่งมีความไว ความเฉพาะสูงที่สุด ชุดตรวจแต่ละชุดซึ่งใช้ในโรงพยาบาลต้องผ่านการรับรองคุณภาพของเมืองไทยก่อน ซึ่งเขาก็จะเซตเอาไว้เลย เลือดที่บวกทั้งหมดต้องตรวจเจอ เกินกี่เปอร์เซ็นต์ เลือดที่เป็นลบตรวจแล้วลบเกินกี่เปอร์เซ็นต์ จะเห็นว่าทั้งหมดมันไม่มีอะไร 100% หมายถึงอาจจะมี 1 ในหมื่น 1 ในแสน ที่อาจจะเป็นผลปลอมได้ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร'' พญ.นิตยา ระบุ
อย่างไรก็ตาม ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และ ได้รับการเปิดเผยบทสรุปของเรื่องนี้ จาก นางปรียนันท์ อีกครั้งว่า หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้ร้องเรียนต่อแพทยสภา แต่เลือกที่จะสู้ผ่านกระบวนการยุติธรรม...
"หลังเกิดเหตุเธอไม่ได้ร้องต่อแพทยสภา เพราะเห็นว่าการไกล่เกลี่ยคงจะไม่ได้ผล จึงนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ศาลให้ไกล่เกลี่ยถึง 3 ครั้ง ปรากฏว่าโรงพยาบาลไม่รับผิดชอบ โดยยืนยันว่าโรงพยาบาลทำการตรวจถูกต้องแล้ว และยังยืนกรานว่าเธอติดเชื้อเอชไอวีจริง อ้างว่าร่างกายคนไข้สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายเองได้ เธอรู้สึกเจ็บใจเพราะเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็เข้าสู่กระบวนการนำสืบ ศาลนัดสืบพยานปี 57 ฟ้องโรงพยาบาลเป็นจำเลยที่ 1 และแพทย์เป็นจำเลยที่ 2 ปรากฏว่าเธอหาพยานทางการแพทย์ไม่ได้ ก็เลยมาขอความช่วยเหลือกับเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ทางเราจึงหาพยานทางการแพทย์ให้ได้ 2 ท่าน หลังจากนั้นก็ไปเบิกความ ผลออกมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งวันนั้นเธอได้ไปฟังคำพิพากษาด้วย แต่ทางเราไม่ได้ไป เธอจึงส่งข้อความสั้นๆ บอกว่า "เราชนะ หมอผิด จ่าย 3.2 ล้าน โรงพยาบาลไม่ผิด แต่ศาลให้ร่วมจ่าย" ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ระบุ.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th

Report by www.livcapsule.com

70
ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ ชี้ กินยาต้านไวรัสเอชไอวีป้องกันติดเชื้อได้ 90% แต่ต้องกินต่อเนื่อง 7 วัน ระบุกินแล้วมีเซ็กซ์ทันที ประสิทธิภาพการป้องกันลดลง เผยยาต้านฯเพื่อป้องกันยังต้องซื้อกินเอง ไม่อยู่ในสิทธิฟรีแบบผู้ติดเชื้อ ต้องศึกษาให้ฟรีคุ้มค่าหรือไม่
       
       นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค (คร.) กล่าวว่า โครงการเทสต์แอนด์ทรีต ซึ่งเปิดรับอาสาสมัครกลุ่มชายรักชาย และสาวประเภทสองจาก 7 จังหวัด รวมกว่า 8,000 คน เพื่อร่วมโครงการตรวจหาเชื้อเอชไอวีและรักษาหากติดเชื้อ และมีการติดตามเพื่อตรวจซ้ำทุก 6 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ และแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีสู่บุคคลอื่นนั้น ได้เริ่มเปิดรับสมัครตั้งแต่ พ.ค. ที่ผ่านมา ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วจำนวนหนึ่ง โดยกลุ่มอาสาสมัครที่ตรวจไม่พบเชื้อเอชไอวีจะได้รับการชักชวนเข้าโครงการแพร็พ คือให้ยาต้านไวรัสกับกลุ่มเสี่ยงฟรี เพื่อศึกษาอัตราการติดเชื้อในคนที่กินยาก่อนติดเชื้อว่ามีโอกาสมากน้อยเพียงใด
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการขยายให้ยาต้านไวรัสฟรีแก่กลุ่มเสี่ยงหรือไม่ หากผลการศึกษาพบว่าสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้จริง นพ.โสภณ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พบว่า การรับประทานยาต้านไวรัสก่อนการติดเชื้อ สามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ถึง 90% แต่การศึกษาครั้งนี้เพื่อต้องการให้เห็นภาพชัดในสังคมไทย ว่า สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อได้จริง ส่วนที่จะขยายให้บริการยาต้านไวรัสฯฟรี เช่นเดียวกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกสิทธิที่ได้รับยาต้านไวรัสฯหรือไม่นั้น จำเป็นที่จะต้องรอผลการศึกษาก่อน ว่า ดำเนินการแล้วมีปัญหาอุปสรรคใดหรือไม่ และมีความคุ้มค่าหรือไม่ อย่างไรก็ตาม โดยปกติการป้องกันก็จะมีการสวมถุงยางอนามัยอยู่แล้ว ซึ่งไม่ว่ากลุ่มเสี่ยงหรือประชาชนทั่วไป ก็สามารถขอรับได้ฟรีที่สถานพยาบาล ทั้งนี้ ทั้ง 2 โครงการจะนำไปกำหนดนโยบายเพื่อยุติปัญหาเอดส์อย่างตรงสภาพปัญหา โดยตั้งเป้ายุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573
       
       ด้าน ศ.กิตติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวียังคงให้ฟรีเฉพาะผู้ป่วยเอดส์ทุกสิทธิการรักษา แต่สำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โดยการรับประทานยาต้านไวรัสฯ ล่วงหน้านั้นยังต้องจ่ายเงินเอง ซึ่งอย่างที่ทราบผลการศึกษาพบว่า 90% สามารถช่วยป้องกันได้ แต่จะต้องรับประทานยาต้านไวรัสฯแล้วอย่างน้อยประมาณ 7 วันขึ้นไป ดังนั้น หากจะป้องกันโดยซื้อยาต้านฯมากินแล้วไปออกศึกมีเพศสัมพันธ์ทันทีในวันนั้นเลยนั้น ประสิทธิภาพในการป้องกันอาจไม่เต็มที่ สำหรับยาต้านไวรัสฯเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือ ยาเพร็พ นั้น สามารถซื้อได้ตามสถานพยาบาลทั่วไป แต่หากมารับบริการที่ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ค่าใช้จ่ายในส่วนของยาต้านไวรัสฯและค่าบริการตรวจเลือดติดตามผลจะอยู่ที่ครั้งละ 30 บาท
              "ส่วนการขยายการให้ยาเพร็พแก่กลุ่มเสี่ยง หรือคนทั่วไปฟรีแบบคนติดเชื้อนั้น ต้องศึกษาผลให้ดี รวมไปถึงความคุ้มค่า เพราะหากจะแจกฟรีเพื่อป้องกันก็อาจมีเสียงสะท้อนว่าเป็นการเอางบประมาณไปละลาย แต่ก็คงต้องดูในระยะยาวด้วย เพราะหากสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ก็จะทำให้ตัวเองไม่ป่วย และไม่ติดเชื้อไปยังบุคคลอื่น” ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ กล่าว
ขอขอบคุณข้อมูล จาก http://manager.co.th/QOL

Report : www.livcapsule.com

71
มีหลักเกณฑ์ในการใช้ถุงยางอนามัย ดังนี้
1. ถ้าใช้อย่างถูกต้องตามวิธีการใช้และเลือกใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพมาตรฐานของ อย. รวมทั้งเก็บอย่างถูกวิธีแล้ว ความปลอดภัยสูงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
ควรเลือกถุงยางอนามัยชนิดที่เคลือบผิวด้านนอกด้วยสารฆ่าเชื้อที่มีชื่อว่า non oxonal-9 หรือ non oxonal-11 จะเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้น

2. ถ้าฝ่ายหญิงมีแผลในปากที่มีเลือดออก หรือมีฟันผุอยู่ ซึ่งคงจะดูยาก โอกาสที่จะติดเชื้อก็จะสูงกว่า ผู้หญิงที่ไม่มีแผล
อย่างไรก็ตามในการให้ผู้หญิง มีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก (ออรัลเซ็กส์) ฝ่ายชายก็ควรจะสวมถุงยางอนามัยเพื่อการป้องกันเช่นเดียวกับการร่วมเพศ

3. ได้แก่การสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งในการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะโดยวิธีใด ไม่อย่างนั้นคงต้องให้คู่นอนใช้มือช่วยทำให้จึงจะปลอดภัย รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์โดยที่อวัยวะเพศไม่สัมผัสกับเยื่อเมือกของ ฝ่ายหญิงด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก doctor.or.th

Report by www.livcapsule.com


72
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรนำในการส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งด้านนวัตกรรมเพื่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ได้รับทราบถึงความสำเร็จของ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO ผู้วิจัยพัฒนาด้านสารสกัดจากธรรมชาติอย่างต่อเนื่องมากว่า 38 ปี ในการวิจัยและพัฒนา "APCOcap" และประกาศสูตร APCOcap เป็นนวัตกรรมของชาติ ซึ่งสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV
สูตรนี้พัฒนาขึ้นจากสารผสมเสริมฤทธิ์ของสารสกัดที่ได้จาก มังคุด งาดำ ถั่วเหลือง ฝรั่ง และ บัวบก ได้รับการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ว่าสามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาว T helper 17, T helper 1, T helper 9 และทดสอบเชิงคลินิกแล้วว่า สามารถเพิ่มจำนวน CD 4 ลดปริมาณไวรัส ขจัดผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านไวรัส แก้ไขอาการติดเชื้อฉวยโอกาส สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิต และใช้ได้อย่างต่อเนื่องระยะยาวโดยปราศจากผลข้างเคียง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก thailand4.com/food

Report by www.livcapsule.com

หน้า: 1 [2]