-->

ผู้เขียน หัวข้อ: จี้กง (济公活佛) พระอรหันต์สุดเพี้ยน  (อ่าน 347 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
จี้กง (济公活佛) พระอรหันต์สุดเพี้ยน
« เมื่อ: 18 ตุลาคม 2018, 17:10:13 »

จี้กง (济公活佛) พระอรหันต์สุดเพี้ยน

จี้กง เป็นพระอรหันต์ในศาสนาพุทธนิกายมหายาน แต่พระอรหันต์รูปนี้ มีความแปลกประหลาดจนผู้คน
ให้ฉายาว่าพระบ้าหรือพระเพี้ยน เนื่องจากฉันเนื้อสัตว์ ดื่มสุรา แถมยังชอบแต่งกายสกปรก สวมรองเท้าสานขาดๆ
ถือพัดใบลานที่มีรู ใส่เสื้อผ้ารุ่งริ่ง สวมหมวกเก่า ๆ ขาดความสำรวม ซึ่งถือว่าผิดกับพระสงฆ์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง




พระอรหันต์ “จี้กง”  เดิมมีแซ่ว่า “หลี่” (李) ชื่อ “ซิวหยวน” (修元) เกิดในสมัยราชวงค์ซ่งใต้ (พ.ศ. 1670 – 1822) ประเทศจีน
ณ ตำบลหย่งหนิง อำเภอเทียนถาย มณฑลเจ้อเจียง บิดาของท่านเป็นนายทหารคุมทหารอยู่ชายแดน มีนามว่า “หลี่เหมาชุน”
และมารดามีแซ่ว่า “หวาง” บิดามารดาของท่านนั้นเป็นคนโอบอ้อมอารี ท่านหลี่ระหว่างคุมทหารอยู่ชายแดน เพราะเป็นคนมีเมตตา
หละหลวมในการคุมทหาร จึงถูกทางการปลดออกจากราชการทหาร กลับคืนสู่ภูมิลำเนา บิดาของ ท่านชอบทำบุญศุลทาน ซ่อมถนน
เสริมสะพาน ช่วยผู้คนตกทุกข์ได้ยาก ใครๆก็ขานเรียกท่าน “นักบุญหลี่”


วันหนึ่ง ท่านหลี่ได้ไปธุระในตลาด ได้ยินชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ท่านว่า “มิใช่นักบุญจริง ถ้าเป็นนักบุญจริง ทำไมไม่มีลูก สืบตระกูล”
ท่านหลี่ได้ฟังคำนินทาเหล่านั้น ก็เกิดความรู้สึกกลัดกลุ้มใจ กลับมาบ้าน ภรรยาเห็นเข้า จึงได้ถามไถ่ท่าน ว่า ท่านเป็นอะไรไป
ท่านหลี่จึงได้เล่าเรื่องที่ชาวบ้านพูดคุยกันให้ภรรยาฟัง เมื่อฟังจบ ภรรยาของท่านก็เสนอให้ ท่านหลี่นั้น ขอภรรยาน้อยมาสืบตระกูล
แต่ท่านหลี่ไม่เห็นด้วย



ในที่สุด สองสามีภรรยาจึงได้ปรึกษาตกลง จำศีลกินเจอยู่สามวัน แล้วร่วมเดินทางไปยังเทียนถายซัน (เขาเทียนถาย) วัด เกวอะชิน
เพื่อบูชากราบไหว้ขอพรพระที่สถิตย์ในวัดทุกองค์ จนถึง ห้องสถิตย์ของพระองค์อรหันต์ เมื่อกราบไหว้ถึงองค์ที่สี่บัดดลนั้น พระอรหันต์
“เจี้ยงหลง” ก็ได้พลัดจากพระแท่นสู่ดิน เจ้าอาวาส “ซิ่นคง” ก็ได้เปล่งวาจาว่า “ดีแล้วท่านหลี่ ปี หน้าจะได้บุตรชาย”

หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาของท่านหลี่ก็ตั้งครรภ์ และใน เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีจีน ก็คลอดบุตรชายออกมา ซึ่งต่อมาก็ คือ พระอรหันต์
“จี้กง”นั่นเอง  เจ้าอาวาส “ซิ่นคง” ได้ทราบ ข่าวว่า ท่านหลี่ได้บุตรชาย ก็ได้มาที่บ้านท่านหลี่ เพื่อแสดง ความยินดี และขอท่านหลี่
อนุญาตให้บุตรชาย มาเป็นศิษย์ ในนามของท่าน พร้อมประทานชื่อให้ว่า “หลี่ซิวหยวน”

หลี่ซิวหยวน เป็นเด็กที่ฉลาด เมื่ออายุครบ 14 ปี ก็สามารถ อ่าน และเข้าใจหนังสือ “ซื่อซู” “อู่จิง” ซึ่งเป็นตำราโบราณ ที่ลึกซึ้งได้
คล่องแล้ว เดิมทีหลี่ซิวหยวนตั้งใจจะสอบเข้ารับ ราชการ แต่บิดาไม่สบายจำต้องนอนอยู่กับที่ จึงต้องอยู่ ปรนนิบัติบิดา จนบิดาท่านเสีย
อีกสองปีต่อมา มารดาก็สิ้น บุญไป


หลังจากที่พ่อแม่ได้จากไป หลี่ซิวหยวนได้มอบสมบัติของ บิดามารดาทั้งหมดให้อาเป็นผู้ดูแล แล้วออกเดินทางมายัง วัดหลิงอยิ่น
จังหวัดซีหู มณฑลหังโจว และตัดสินใจแสวง หาความสว่างจากพระพุทธธรรม โดยเข้าไปกราบเจ้าอาวาส “เอี๋ยงคง” ในวัด พร้อม
ฝากตัวเป็นศิษย์  ครั้นเจ้าอาวาส “เอี๋ยงคง” ได้สบตาหลี่ซิวหยวนครั้งแรก ก็เพ่งรู้ว่าหลี่ซิว หยวนนั้นเป็นอรหันต์เจี้ยงหลงอวตารมา
สู่แดนดิน เพื่อมาโปรดสัตว์โลกทั้งหลาย เจ้าอาวาสจึงรับไว้เป็นศิษย์ และโกนหัว อุปสมบทให้ทันที พร้อมทั้งใช้พระกรเคาะศีรษะ
หลี่ซิวหยวน ให้สามารถสำนึกตนว่ามาจากไหน และประทานนามให้ว่า “เต้าจี้”

“เต้าจี้” หลังจากเข้าสู่ประตูพระพุทธธรรม แม้ว่าลักษณะนิสัยท่านจะผิดแผกแปลกจากหลักพระธรรมวินัยของสงฆ์ไป ไม่ว่า จะเป็น
การประพฤติหรือการพูดจาที่ไม่สำรวม การดื่มสุราหรือบริโภคเนื้อสัตว์ แต่เมื่อพิจารณาจากเนื้อแท้ จุดมุ่งหมาย และ ผลลัพธ์แล้ว
การกระทำเหล่านั้นของท่านก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และก่อคุณประโยชน์  ด้วยอริยสติ ปราดเปรื่อง ดลรู้ทุกข์สุขใน แผ่นดินได้ ท่านได้
ช่วยปัดเป่าทุกข์โรคภัยไข้เจ็บให้แก่มวลชน ช่วยเหลือคนทุกข์ทั้งหลาย คนยากคนจน ช่วยกำราบ อิทธิพลอันธพาล และช่วยปราบ
ภูตผีปีศาจต่างๆให้กับมวลมนุษย์ จนได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนให้เป็นเสมือนเทพอีก องค์หนึ่งของคนจีน

 


บางครั้งพระจี้กงก็แสร้งทำเป็นบ้า บางคราวก็ทำเป็นคนปกติ บางทีก็ทำตัวง่ายๆ แต่บางโอกาสก็ทำจริงจัง ยารักษาโรคสารพัดนึก
ก็ทำมาจากคราบไคลของตัวท่านเอง บางเวลาท่านก็เป็นหมอทางเวทย์มนต์ที่ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง การกระทำหลายๆอย่างของจี้กง
แม้จะดูเหมือนผิดศีลธรรม ผิดประเพณีดั้งเดิม แต่จุดมุ่งหมายและผลลัพธ์กลับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ เกิดคุณประโยชน์ พุทธศาสนานิกาย
มหายานเชื่อกันว่า จี้กงเป็นอรหันต์ที่จุติมาเกิดอีกครั้งเพื่อสั่งสอนมนุษย์โลก


ชาวบ้านหางโจว ได้โยงเรื่องที่มาของยอดเขาบินที่วัดหลิงอิ่น(Linyin)เป็นนิทาน พื้นเมืองของชาวหางโจว ที่เล่ากันว่าเดิม
ยอดเขาประหลาดดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณแถบตะวันตกเฉียงใต้ ของมณฑลเสฉวน

 
เช้า วันหนึ่งเมื่อพระจี้กง มีญาณบอกล่วงหน้าว่า ราวเที่ยงวันยอดเขาดังกล่าวจะบินมาตกทับหมู่บ้านข้างวัดหลิงอิ่น จะทำให้มีผู้คน
เสียชีวิตมากมาย พระจี้กงได้วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบอกถึงมหันตภัยดังกล่าวให้ชาวบ้านได้ ทราบ เพื่อที่จะได้พากันอพยพไปยังที่ปลอดภัย

"เที่ยงวันจะมีภูเขาหล่นลงมาทับหมู่บ้าน ทุกคนรีบเก็บข้าวของเร็ว ไม่งั้นก็ไม่ทันแล้ว"

พระ จี้กงกระหืดกระหอบ ตะโกนบอกชาวบ้านไปทั่ว แต่ชาวบ้านมองว่า จี้กง เป็นเพียงพระบ้ารูปหนึ่งที่กล่าวอะไรไร้สาระไปวันๆ
ทุกคนจึงส่ายหัว พร้อมกับด่าทอว่า

"พระบ้าเอ้ย จะหาเรื่องอะไรมาเล่นสนุกอีกละ ภูเขาบินมีที่ไหนกันเล่า"

พอดีในวันนั้นมีการจัดงานมงคลสมรส มีเสียงของงานรื่นเริงดังขึ้นที่มุมหนึ่งของหมู่บ้าน เมื่อจี้กงเห็นว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ตนเองกล่าวเตือน
จึงตัดสินใจแอบเล็ดลอดเข้าไปในงาน แล้วอุ้มเจ้าสาวหนีออกจากงาน จี้กงอุ้มเจ้าสาวและวิ่งอย่างว่องไวออกไปนอกหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้าน
ที่มาร่วมงานต่างก็วิ่งไล่จับ พร้อมกับตะโกนป่าวร้อง ให้ทุกคนช่วยกันคว้าตัว 'พระบ้าขโมยเจ้าสาว' แต่จี้กงก็มีฝีเท้าเร็วพอที่จะไม่ถูกใครไล่
ตามจับได้ทัน ผู้คนทั้งหมู่บ้านพากันวิ่งไล่ตาม ออกมาไกลสิบกว่าลี้หรือราวห้ากิโลเมตรจนกระทั่งเลยรัศมีของยอดภูเขามหันตภัย จี้กงจึง
วางเจ้าสาวลง



เมื่อหยิบพัดใบลานขึ้นมาโบกคลายร้อนก็บังเกิดเสียงดังลั่นสนั่นพสุธา ยอดเขาตกลงมาทับหมู่บ้านอย่างที่คาดไว้

ชาวบ้านที่วิ่งตามมา เมื่อหันกลับไปมองเห็นภูเขายักษ์หล่นมาทับหมู่บ้านของตนเสียแบนราบก็ทราบว่า สิ่งที่จี้กงกล่าวเตือนนั้นเป็นความจริง
ส่วนการที่จี้กงอุ้มเจ้าสาวหนีออกมาจากงานมงคลนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตชาวบ้าน ทั้งหลายนั่นเอง แต่เมื่อเห็นบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติถูกทับแบน
อยู่ใต้ภูเขา ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็เกิดความเสียดายและเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ตีอกชกหัวกันเป็นพัลวัน จี้กงจึงหันไปกล่าวกับชาวบ้าน
เหล่านั้นว่า

"ร้องไห้ไปทำไม พวกเจ้าที่ดินที่มัวแต่เสียดายสมบัติต่างก็ถูกทับจมอยู่ใต้ภูเขาไปแล้ว จากนี้ต่อไปทุกคนก็กลับไป
ทำไรทำนาของตัวเอง ทำเท่าไหร่ได้เท่านั้น ชีวิตก็ยังมี จะยังกลัวสร้างเรือนใหม่ไม่ได้ไปใย"

ชาวบ้านพอได้ยินก็สำนึกได้ว่าท่ามกลางความทุกข์ก็ยังพอมีประกายแสงแห่งความสุข เรืองรองอยู่บ้างท่ามกลางความสูญเสีย
อย่างน้อยที่สุดพวกตนก็ยังรักษาชีวิต ให้รอดอยู่ได้

เมื่อ เห็นชาวบ้านพอจะคลายทุกข์ลงได้แล้ว จี้กงก็รั้งเหล่าชาวบ้านเอาไว้ และกล่าวต่อว่า"อย่างเพิ่งไป ทุกคนฟังอาตมาก่อน ยอดเขาก้อนนี้
เดิมลอยไปลอยมา จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง หลังทับทลายหมู่บ้านของพวกเราแล้วก็อาจจะบินไปทับหมู่บ้านอื่น อาจทำให้คนเสียชีวิตอีกมากมาย

"อาตมา ขอร้องให้พวกเราช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนภูเขาลูกนี้เพื่อที่จะทำให้ภูเขาลูกนี้ไม่บินไปสร้างอันตรายให้กับ ผู้อื่นอีก"

ชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงรีบกลับไปช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนยอดเขาบินกันคนละไม้ละมือ นับจากนั้น ยอดเขาดังกล่าวก็ไม่บิน
ไปสร้างอันตรายให้ใครอีก และถูกเรียกขานกันต่อๆ มาว่า  ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น



ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวก็ยังคงสามารถเข้าชม ยอดเขาบินและพระพุทธรูปสลัก 500 อรหันต์ได้ ทั้งนี้ พระพุทธรูปสลักที่ยอดเขาดังกล่างนี้
ถูกจัดว่าอยู่ในส่วนของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลัก (石窟文化) โดยถ้ำหินสลัก ที่นี่แม้จะไม่ถูกจัดให้เป็น 3 สุดยอดแห่งถ้ำหินสลักแห่งแผ่นดินจีน
เหมือนกับ ถ้ำหินสลักโม่เกา(莫高石窟) แห่งตุนหวง,ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง หรือ ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟)
แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี แต่ ถ้ำหินสลักที่นี่ก็ยังมีดีไม่น้อย เนื่องจากนับว่าเป็นตัวแทนหนึ่งของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลักของจีนภาคใต้
แถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ที่สืบเสาะประวัติศาสตร์ย้อนรอยกลับไปได้นานกว่า 1,000 ปี


ตลอด ชีวิตของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้านโดยวิธีต่างๆกันมาตลอด ทั้งๆที่ท่านมีแต่จีวรขาดๆ รองเท้าขาดๆหนึ่งคู่ โดยไม่สนใจว่า
มันจะเปื้อนโคลนหรือไม่ มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศีรษะโล้น เท้าเปลือยเปล่า ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่ต้องบิณฑบาตเพราะ
ไม่หิวไม่กระหาย พบใครก็เอาแต่อมยิ้ม เพื่อจะได้แผ่บุญ ไม่หลบสังคม พบเสียงทุกข์ก็เข้าช่วยเหลือ ท่านมีจิตเมตตาไม่ถือสา การปรากฏตน
ของท่าน เอาแน่เอานอนไม่ได้ กิริยาล้วนเป็นปริศนาธรรม ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระอาจารย์ทาง
พระกัมมัฏฐาน แม้ท่านจะละสังขารจากโลกนี้ไปแล้วแต่ธรรมะท่าน ยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า เป็น
พระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่

พระอรหันต์จี้กงได้นั่งสมาธิ จนเข้าฌานปลงสังขาร ในรัชสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ “เกียเตีย” อัฐิของท่านบรรจุไว้ในเจดีย์ “เสือผ่าน”
ก่อนที่ท่านจะปลงสังขาร ท่านได้ให้ปริศนาธรรมไว้ว่า “หกสิบปีมานี่ กำแพงตะวันออกล้มตีกำแหงตะวันตก รวบรวมจนถึงบัดนี้
ก็ยังคงเหมือนเดิม ท้องน้ำก็ยังจรดดขอบฟ้าอยู่เช่นเดิม”
หลังจากท่านปลงสังขารแล้วไม่นาน ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้พบพระอรหันต์จี้กง
นั่งอยู่ใต้เจดีย์ ชื่อ “หลักฮั้ว” และยังได้ฝากหนังสือให้บทหนึ่งว่า “หวนรำรึกสมัยก่อน มีศรยิงมาทางด้านหน้า ถึงบัดนี้รู้สึกหนาวเหน็บ
กระดูกไปทุกขุมขน เนื่องจากไม่มีใครรู้จักหน้าตา แล้วยังขึ้นไปวิ่งเล่นบนดาดฟ้าหนึ่งรอบ”
ที่ท่านลงมาอีกครั้งเป็นพระประสงค์ของ
มหาโพธิสัตว์




พระจี้กงในประเทศไทย

แม้ว่าเรื่องเล่าพระจี้กงจะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในจีนใต้ แต่ในไทยกลับ ปรากฏศาลเจ้าจี้กงเป็นเทพประธานอยู่เพียงไม่กี่แห่ง
ที่เห็นเป็นหลักฐานของความเชื่ออย่าง แท้จริงก็คือสถานธรรมสายอนุตตรธรรมอี๋ก้วนเต้าเท่านั้นที่ตั้งพระจี้กงเป็นพระประธานของ
สถานธรรม แม้ว่าศิษยานุศิษย์ของสถานธรรมจะรู้จักพระจี้กงกันอย่างแพร่หลายแต่สำหรับ ชาวไทยเชื้อสายจีนในไทยและชาวไทย
แล้วกลับรู้จักน้อยกว่าพระกวนอิม


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 ตุลาคม 2018, 14:06:38 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่