-->

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องราวรังลับ ของเหล่าคนโฉด  (อ่าน 258 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18154
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
เรื่องราวรังลับ ของเหล่าคนโฉด
« เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2019, 14:56:18 »

เรื่องราวรังลับ ของเหล่าคนโฉด
cr. Cammy-เต่านรก


หากจะกล่าวถึงเรื่อง “ที่ซ่อน” หรือที่ “กบดาน” ของคน หรือภาษาอังกฤษก็คือ "Lairs" ก็ต้องนึกถึงคนที่เข้าไปอยู่ ที่ส่วนมาก
มักจะเป็นผู้ร้ายหรือคนชั่ว จำพวกอาชญากร หรือฆาตกรต่อเนื่อง เวลาทำผิดอะไรเรามักจะได้ยินหนีไปกบดาน
โดยสถานที่ดังกล่าวเป็นได้มากกว่าบ้านที่หลบภัย บางคนใช้บ้านเป็นฐานทัพบัญชาการก่อการร้ายนับไม่ถ้วน หรือบางคน
เป็นสถานที่ฆาตกรรมและซุกซ่อนเหยื่อที่หามาได้ และนี้คือ เรื่องราวของที่ซ่องสุมของเหล่าคนร้ายๆ ทั่วโลก

 
8. Führerbunker
   



ช่วงวันสุดท้ายของสงคราม ระหว่างยุทธการเบอร์ลิน เยอรมนีใน ค.ศ. 1945 เมื่อฝ่ายนาซีของฮิตเลอร์ใกล้สิ้นฤทธิ์เมื่อทหาร
ฝ่ายโซเวียตปิดทางหนีจากทิศตะวันออก ส่วนอีกด้านทหารอังกฤษและสหรัฐก็ใกล้เข้ามาเบอร์ลิน ทำให้ในเดือนมกราคมฮิตเลอร์
จำเป็นต้องหลบหนีไปยังที่มั่นสุดท้ายซึ่งก็คือ “ฟูเล่อร์บังเกอร์” ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะแก่การซ่อนตัว เพราะเป็นบังเกอร์ที่อยู่ใต้ดิน
ที่เต็มไปด้วยแผงผังอาคารที่ซับซ้อน ห้องพักหลายท้อง


ที่นี้ก็คือสถานที่พักอาศัยสุดท้ายของฮิตเลอร์ ที่ใช้วางแผนและออกคำสั่งเพื่อหวังบดขยี้ฝ่ายสัมพันธมิตรและโซเวียต และเป็น
ศูนย์กลางสุดท้าย ของระบอบการปกครองของนาซี ซึ่งสุดท้ายก็พบกับความล้มเหลว




ในช่วงปลายเดือนเมษายนฮิตเลอร์ตระหนักว่าเวลาของเขาใกล้หมดลงแล้ว เขาจึงรีบแต่งงานกับเอวา บราวน์ และเพื่อหลีกเลี่ยง
มิให้ถูกจับกุมโดยกองทัพโซเวียต ทั้งสองทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 โดยฮิตเลอร์ใช้ปืนพกยิงตัวตาย
ส่วนเอวากินคปซูลไซยาไนต์และร่างของทั้งสองถูกเผาโดยนายทหารคนสนิท

อย่างไรก็ดี ไม่มีใครพบศพของฮิตเลอร์เลย ทำให้เชื่อว่า ฮิตเลอร์หลบหนีไปได้ หลังสงครามบังเกอร์ดังกล่าวถูกทำลายเสียหาย
เป็นอย่างมาก แม้ว่ายังคงมีบางส่วนที่ยังเหลือรอดอยู่ แต่กระนั้นสถานที่ดังกล่าวก็ไม่ได้เปิดให้ประชาชนชนทั่วไปรับชมข้างใน
 




7. Osama bin Laden's Compound


   
อุซามะห์ บิน ลาดิน หนึ่งในผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐต้องการตัวมากที่สุด ตัววีรกรรมที่ก่อเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่ม
ก่อการร้ายระดับโลกอัลกออิดะห์ และเป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องรับผิดชอบเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 ต่อสหรัฐอเมริกา
และเหตุวินาศกรรมที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากอีกหลายครั้ง จนเป็นเหตุทำให้สหรัฐทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
และตามหาหาบินลาเดนแทบพลิกแผ่นดิน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าบินลาเดนอาศัยอยู่ในถ้ำแถวชายแดนอัฟกานิสถานกับปากีสสถาน


อย่างไรก็ตามในวันที่ โลกก็ได้รู้ว่าบินลาเดนนั้นอาศัยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจมูกสหรัฐฯ เลย เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่สีขาว
ที่ดูเหมือนจะเป็นบ้านธรรมดา ในเมืองอับบอตตาบัด เมืองเล็กๆ ที่มีประชาชนประมาณ 90,000 คน อยู่ห่างจากกรุงอิสลามาบัด
ของปากีสถานไปทางเหนือเพียง 40 ไมล์ (ประมาณ 90 กิโลเมตร) สถานที่ตั้งกบดานซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ของบิน ลาเดน
อยู่ห่างจากกรมทหารเพียง 100 เมตรเท่านั้น




โดยจากรายงานพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง มีกำแพงรั้วล้อมบ้านที่สูงมาก 12-18 ฟุต (ประมาณ 4-6 เมตร)
พร้อมรั้วลวดหนาม และประตูป้องกันความปลอดภัย 2 ประตู  ที่ยอดกำแพงยังติดลวดหนามไว้อีกชั้น และสิ่งปลูกสร้างภายใน
ยังมีกำแพงแบ่งกั้นส่วนต่างๆ มีระบบเผาขยะของตัวเองเพื่อป้องกันคนภายนอกเล็ดลอดเข้ามา

บินลาเดน อาศัยอยู่ในบ้านนี้กับภรรยาบางคนและลูกของเขา โดยมี “ผู้เดินสาร” คอยทำหน้าที่ติดต่อกับโลกภายนอก และไม่มี
สายโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ต จนเป็นเหตุทำให้ หน่วยข่าวกรองสหรัฐสงสัยและตามรอยจนพบบินลาเดนในบ้านหลังนี้จนได้
และในวันที่ 29 เมษายน 2009 ประธานาธิบดีบารักโอบามา ก็ได้มีคำสั่งอนุมัติแผนปฏิบัติการตามล่าบินลาเดน ด้วยการใช้
เฮลิคอปเตอร์ 4 ลำ บรรทุกเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยซีล ทีมที่ 6 บุกเข้าไปในอาคาร และได้ปะทะกับลูกน้องของบิน ลาเดน
ยิงอาวุธจากหลังคาสอยเฮลิคอปเตอร์ของสหรัฐตกกระแทกพื้นระเบิดไปลำหนึ่ง

ผลสุดท้ายการปฏิบัติการก็เสร็จสิ้นภายใน 38 นาที สามารถยึดบ้านและสังหารผู้อยู่ในอาคารรวม 5 ศพ หนึ่งในนั้นคือ บิน ลาเดน
อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของ บิน ลาดินได้สร้างความสงสัยให้กับผู้คนจำนวนมากว่าเขาจริงหรือไม่ เพราะทางการสหรัฐอเมริกา
ยังไม่เปิดเผยภาพศพ เนื่องจากทางการสหรัฐฯ เกรงว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง
 


 
6.The Manson Family Ranch



ชาร์ลส แมนสันเป็นเจ้าลัทธิ “แมนสันและครอบครัว” และได้รวบรวมกลุ่มคนโดยให้คำสอน ว่าจะเพียงแต่เขาและครอบครัวซึ่งเป็น
เชื้อสายบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอดวันในสิ้นโลก และกลายเป็นผู้ปกครองโลกตลอดกาล เขาและสาวกจึงเริ่มหาที่ปักหลัก


จนกระทั่งในปี 1968  เกษตรกรอายุ 80 ปี คนหนึ่งอนุญาตให้แมนสันพาสาวกตั้งสำนักงานใหญ่ใหญ่ได้ โดนมันเป็นฟาร์มที่มี
พื้นที่กว่า 500 เอเคอร์ (200ไร่) ใกล้หุบเขาโทแพงก้า ในตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย โดยชได้ตั้งชื่อฟาร์มนี้ว่า “ไร่แมนสัน”
สมาชิกใช้ชิวิตอยู่แบบอิสระไม่เสียค่าเช่า โดยแลกเปลี่ยนงานบ้านและการมีเพศสัมพันธ์ และเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ซ่อน
ฝังศพเหยื่อของแมนสันด้วย




โดยช่วงนี้เองที่แมนสัน เริ่มนำเอาความคิดสิ้นโลกมาเผยแพร่ นำไปสู่การฆาตกรรมภรรยากำกับหนังคนดังโรมัน โปแลนสกี้
และ ดาราสาว ชื่อ ชารอน เทท อายุ 26 ปี และเพื่อนที่มาร่วมงานดินเนอร์แบบเป็นกันสามคน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1969
สุดท้ายในวันที่ 13 เดือนธันวาคม 1969  ทั้งหมดถูกจับได้ยกลัทธิรวมทั้งชาร์ลส์ แมนสัน    

ทุกวันนี้  ชาร์ลส์  แมนสัน ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในคุก ที่แคลิฟอร์เนีย และบรรดาสาวกก็แก่เป็นคุณปู่ คุณยายไปหมดแล้ว ส่วนไร่
ของแมนสันปัจจุบันยังคงอยู่ แต่ปิดให้ประชาชนรับชม เพราะว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม
 



 
5. The Unabomber's Cabin


   
ธีโอดอร์ คาซินสกี้ เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันอัจฉริยะที่ต่อต้านเทคโนโลยี และเป็นโรคหวาดกลัวเทคโนโลยี ถึงขั้นหนีครอบครัว
ไปอาศัยอยู่ในบ้านกระท่อมเล็กๆ ดูทรุดโทรมสร้างแบบหยาบๆตั้งอยู่ในป่าที่ห่างไกลจากตัวเมืองมอนตานา ลินคอล์น เขาอาศัยอยู่
อย่างเรียบง่าย ใช้เงินน้อยมากเพราะไม่มีน้ำและไฟฟ้าใช้ เขาได้เงินเล็กๆ น้อยแลกจากการทำงานเบาๆ และเงินที่ส่งมาจากครอบครัว
ของเขา


ในเวลานั้นเองหนวดเคราของธีโอดอร์ ยาวรุงรังราวกับขอทานไม่มีลักษณะบ่บอกเลยว่าเขาเคยเป็นอัจฉริยะมาก่อน และในช่วงเวลา
นั้นเอง สภาพจิตธีโอดอร์เริ่มตกต่ำ เมื่อความทันสมัยลุกล้ำใกล้เข้ามาในบ้านกระท่อมของเขา ทำให้เขากลายเป็นคนต่อต้านสังคมสุดฤทธิ์
ก่อนที่จะกลายเป็นมือวางระเบิดฉายา “ยูนาบอมเบอร์” ข่มขวัญประชาชนชาวสหรัฐด้วยการส่งระเบิดไปทางไปรษณีย์



ตลอด 20 ปีในชีวิตของเขา ได้ใช้ระเบิดของเขาส่งทางไปรษณีย์ถึง 16 ครั้ง ผู้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นพิการนับสิบ และมันผลาญชีวิตมนุษย์
ที่มีคุณค่าต่อสังคมไป 3 คน จนถูกกล่าวขานว่าเป็นนักต่อต้านสังคม ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์

จนกระทั้งเขาถูกจับได้เมื่อปี 1996 ในขณะอยู่ในกระท่อม เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบกระท่อมก็พบว่ามันดูเหมือนรังปีศาจมากกว่า
บ้านของมนุษย์ เต็มไปด้วยหนังสือ เตา และวัตถุทำระเบิดมากมาย สุดท้ายเขาก็ถูกจำคุกตลอดชีวิต และบ้านกระท่อมหลังดังกล่าว
ถูกย้ายไปแสดงในพิพิธภัณฑ์ข่าว วอชิงตันดี.ซี. ไม่ไกลจากสำนักงานใหญ่ของเอฟบีไอ ซึ่งเอฟบีไอได้ยกย่องคดีนี้ว่าเป็นคดีสืบสวน
ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา



 
4. Josef Fritzl's Dungeon


   
ประเทศออสเตรีย ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สวยงาม และสงบแต่กลับมีคดีอาชญากรรมร้ายแรงที่ทำให้คนทั่วโลกตกตะลึง เป็นเรื่องที่
โหดร้ายทารุณเกินกว่าใครจะคาดคิดได้ เมื่อ โจเซฟ ฟริตเซล เฒ่าอายุ 73 ปีเป็นเจ้าของบ้านชานเมืองชานเมืองในเมืองแอมสเตทเทน
ห่างจากกรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ไปทางตะวันตก ราว 100 กิโลเมตร ภายนอกเหมือนเป็นบ้านธรรมดาสองชั้น
แต่ความจริงแล้วมันคือคุกนรก ที่ห้องใต้ดินของบ้านได้กลายเป็นที่เขาใช้ขังลูกสาวคือ "เอลิซาเบธ"


เขาขังเธอไว้ที่นั่นนานถึง 24 ปี โดยห้องใต้ดินลับดังกล่าวเป็นห้องสภาพแออัด และคับแคบมีพื้นที่รวมเพียง 60 ตารางเมตร ที่ถูก
ออกแบบเป็นพิเศษ ทางเดินแคบ ๆ นำไปสู่ใต้ดินที่มีห้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำขนาดเล็กที่มีฝักบัว ห้องอาหาร
ห้องทำงาน และห้องทั้งหมดเพดานสูงไม่ถึง 1.7 เมตร และไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว ซึ่งสร้างด้วยซีเมนต์หนา กรุด้วยวัสดุกันเสียง
อย่างดี และมีประตูลับที่เชื่อมต่อทางเดินใต้ดิน แต่เป็นประตูเปิด-ปิดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีน้ำหนักถึง 500 กิโลกกรัม ทำจากคอนกรีต
มีเพียงนายฟริตเซิลที่รู้รหัสเท่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกสาวหนีจากห้องใต้ดิน



และในห้องใต้ดินดังกล่าวเขาก็มีเพศสัมพันธ์กับอลิซาเบธจนมีลูกเธอถึง 7 คน

ซึ่งคนหนึ่งตายตั้งแต่เป็นทารก และเขาเอาศพเผาในเตาไฟ เขานำลูกอีก 3 คนของเธอขึ้นมาเลี้ยงในบ้าน (และ 3 คนอยู่ในห้องใต้ดิน
ให้อลิซาเบธเลี้ยง) โดยหลอกภรรยาว่าลูกสาวที่หนีออกจากบ้าน เอาลูกมาทิ้งไว้ให้เลี้ยง และเรื่องนี้เกิดขึ้นนานหลายปีโดยเพื่อนบ้าน
ไม่มีใครรู้ ทั้งๆ ที่บ้านของนายฟริตเซิล ก็เปิดให้คนอื่นเช่าพักด้วย!??



แต่แล้วเรื่องแดงขึ้น เมื่อปี 2008 หลังจากเด็กคนหนึ่งใน 3 คนที่เคยอยู่แต่ในห้องใต้ดิน เกิดป่วยหนักถึงขั้นโคม่าและเขาตัดสินใจ
นำตัวส่งโรงพยาบาล ทำให้ทางโรงพยาบาลสงสัย ต่อมาโจเซฟก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและ ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตทารุณ
กรรมทางเพศ ข่มขืน ส่วนอลิซาเบธและลูกๆ ได้นำไปรักษาทางจิตในเวลาต่อมา
 




3. Jonestown



เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 1978 คนมากกว่า 900 คน (เป็นเด็กถึง 200 คน) ได้เสียชีวิตในชุมชนเมืองที่รู้จักกันดีนาม “โจนส์ทาวน์”
ที่ก่อตั้งโดยเจ้าลัทธิจิม โจนส์ ชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งลัทธิโบสถ์มวลชน ที่ได้ชักชวนสาวกจำนวนมาก ไปสร้างเมือง "โจนส์ทาวน์" ขึ้น
บนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ ในประเทศกายอานา ทวีปอเมริกาใต้


ในปี 1977 โจนส์ทาวน์ เป็นเมืองในระบบเผด็จการ มีการสื่อสารกับโลกภายนอกเพียงไปรษณีย์และโทรศัพท์คลื่นสั้น ระบบสาธารณูปโภค
ย่ำแย่  ยาเสพติดเสรี มีเครื่องกระจายเสียงติดตั้งลำโพงทั้งวันทั้งคืน สาวกชายหญิงถูกแยกออกไปอยู่คนละเขต เด็กถูกกันไปอยู่อีกที่หนึ่ง
มีการปกครองโดยกลุ่มคนผิวขาว คนผิวดำต้องทำงานใช้แรงงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก่อนจะถูกบังคับให้เข้าพิธีในตอนกลางคืน

ผู้ที่คิดหลบหนีจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นทรมาน ไปจนถึงถูกนำทิ้งที่บ่อลึก ซึ่งรู้จักในชื่อ “โพรงแห่งทุกข์ทรมาน” โดยจะ
โยนทิ้งในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั้นอีกเลย และด้วยความเลวร้ายในปีนี้ เกรซ สโตน อดีตคนรัก
ของ จิม ออกมาเปิดโปงเบื้องหลังของโบสถ์ต่อสื่อมวลชน ส่งผลให้อดีตสาวกจำนวนมากออกมาฟ้องศาล



ต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 1978 สส.ไรอันจากรัฐแคลิฟอร์เนีย พร้อมกับนักข่าว อดีตสาวก และครอบครัวของสาวกจำนวน 19 คน
ได้ไปยังประเทศกายอานา เพื่อเข้าตรวจโจนส์ทาวน์ ได้พบคนแก่และคนเจ็บถูกจับนอนเรียงกันบนเตียงเก่าๆจนแน่นไปหมด ในห้อง
เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น แมลงวันบินว่อน มีหนอนคลานอยู่จนทั่ว เมื่อนักข่าวจะถ่ายรูปก็มียามมาห้ามไว้ วันที่ 18 พฤศจิกายน ไรอันเดินทาง
ออกจากโจนส์ทาวน์ ตามกำหนดการ และพาสาวกจำนวน 16 คน ซึ่งต้องการถอนตัวกลับไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน
ได้ถูกกลุ่มสาวกติดอาวุธเข้าโจมตีสังหาร เป็นผลให้ สส.ไรอัน และผู้ติดตามรวม 5 คนเสียชีวิต

เวลา 5 โมงเย็นวันเดียวกัน เพียง 40 นาทีหลังการโจมตีสนามบิน จิม รวบรวมสาวกทั้งหมดกว่า 1100 คน เข้าร่วมในพิธีกรรม "ไวท์ไนท์"
โดยนำน้ำผลไม้ผสมไซยาไนด์ให้สาวกดื่ม เพื่อฆ่าตัวตายหมู่ เพื่อที่วิญญาณของทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียว และได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์
ที่ดาวดวงอื่น มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 900 กว่าคน เกือบ 300 ศพเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

ศพของ จิม ถูกพบบนแท่นเวที ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน มีเพียง 167 คนที่รอดชีวิตมาได้และเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ถูกจารึกว่า
เป็นการฆ่าตัวตายหมู่ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์




 
2. Saddam Hussein's Spider Hole


 
8 เดือนหลังจากที่ซัดดัม ฮุสเซนถูกขับออกจากอำนาจจากประธานาธิปดีอีรัก เขาได้ออกจากแบกแดดแล้วหายตัวไปโดยไม่มีใครทราบข่าว
กองทัพสหรัฐพยายามตามหาไปแทบพลิกแผ่นดิน จนกระทั้งในเดือนธันวาคม 2003 ทางกองทัพได้รายงานว่าซัดดัม หลบหนีไปอยู่ใน
เมือง อัด-ดาวาร์ ห่างจากเมืองทิกริต บ้านเกิดของซัดดัม ทางตอนใต้ราว 16 กิโลเมตร และเมื่อตรวจค้นก็พบซัดดัมในหลุมหลบภัยใต้ดิน
ในบ้านแห่งหนึ่ง


โดยหลุมดังกล่าวมีลักษณะเหมือนหลุมแมงมุม (เป็นหลุมพรางตัวสำหรับคนเดียว) มีความลึก 6 ถึง 8 ฟุต(2 ถึง 2.5 เมตร) ที่กว้างพอ
สำหรับลงไปนอนคนเดียวได้ ซึ่งอดีตผู้นำอิรัก ถูกจับกุมในสภาพกำลังมึนงงสับสน หนวดเครารุงรัง แต่ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด
และเมื่อทำการตรวจค้นหลุมก็พบปืนพก เอเค 47 สองกระบอก ของมีค่ากว่า 750,000 ดอลลาร์ และตั๋วเงิน 100 ดอลลาร์




ซัดดัมถูกนำตัวขึ้นศาล เพื่อดำเนินคดีกับเขา หลังจากปกครองประเทศแบบเผด็จการมานานหลายปี วันที่ 5 พฤศจิกายน 2006
ผู้พิพากษาศาลอิรัก สั่งลงโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอซัดดัม ในคดีสังหารหมู่ชาวชีอะห์ 148 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมือง
ดูเญลเมื่อปี 1982 โดยเขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 ธันวาคม 2006
 




1. lizabeth Bathory's Castle


                 
หลายคนอาจจะคุ้นหู อลิซาเบธ บาโธรี่ มากกว่า หากแต่ชื่อเต็มของเธอคือ เคาส์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เดอ เอ๊กเซด เป็นภรรยาของ
ขุนนางในฮังการีตระกูลบาโธรี่ เธอได้รับฉายาว่า “สาวเลือดแห่งเซติซ” อันเนื่องจากพฤติกรรมและความโหดเหี้ยมที่ปรากฏใน
ประวัติศาสตร์ ว่าเธอได้ร่วมมือกับคนรับใช้ทั้งสี่ฆ่าหญิงสาวจำนวนมากกว่า 650 คน (แต่หลายคนเชื่อว่า 80 คน) โดยเธอนำตัวเหยื่อ
มาฆ่าที่ปราสาทเซติซ (ตั้งอยู่ในประเทศสโลวาเกียซึ่งในอดีตเป็นส่วนหนึ่งราชอาณาจักรฮังการี) ซึ่งเธอเป็น (ภรรยา) เจ้าของ


ปราสาทเซติซถูกสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 13 บนยอดเขาคาร์เปเธียน เพื่อปกป้องเส้นทางการค้า ทำให้ตัวปราสาทถูกล้อนรอบด้วย
หมู่บ้านและพื้นที่การเกษตร แต่บรรยากาศโดยรวมนั้นช่างน่าหดหู่และน่าสยดสยอง เมื่ออลิซาเบธข้าไปอยู่เธอก็กังวลเกี่ยวกับความงาม
จนมีความคิดว่าหากได้อาบเลือดผู้หญิงพรหมจารีแล้ว จะทำให้รักษาความอ่อนเยาว์ของตนได้ตลอดไป 



เธอจึงหลอกลวงผู้หญิงจำนวนมากมายมายังปราสาทแห่งนี้เพื่อที่จะได้ฆ่าเพื่อเอาเลือด โดยวิธีฆ่าก็หลากหลาย ตอนแรกพวกเขา
ฆ่าเหยื่อเพื่อเอาเลือดชโลมผิวในปริมาณน้อย หากนานวันอลิซาเบธก็ใช้เลือดจำนวนเหล่านั้นอาบแทนน้ำเสียเลย โดยเก็บเลือด
ใส่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ เพื่อให้เธอเข้าไปอาบซึ่งเธอจะอาบอ่างน้ำเลือดนี้ถึงสี่ชั่วโมงในตอนเช้า แต่บางครั้งการรอให้เลือดเต็มอ่าง
มันไม่ทันใจสำหรับเธอ ดังนั้นเธอเลยใช้ วิธีปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมาใส่ตนเองเหมือนกับฝักบัวเลือด

ยิ่งถ้าหากเหยื่อ เป็นสาวสวยเธอจะเอาเลือดนี้ไปกินเสมือนเป็นเครื่องดื่มชั้นเลิศที่เธอเชื่อว่าจะช่วยเร่งปฎิกริยาให้เธอสวย และสาวขึ้น

นอกจากนี้ อลิซาเบธ ยังถนัดในการทรมานเหยื่อและชอบเลือดอยู่แล้ว ดังนั้นวิธีการรีดเลือดของเธอยิ่งโหดเหี้ยมเป็นทวีคูณ
ที่ชั้นใต้ดินของปราสาท เต็มไปด้วย  เครื่องทรมานประเภทต่างๆ ที่เธอชอบทรมานเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็น การใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ
ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเอง ล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออกเป็นสองซีก
เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีก็ถูกตัดเท้าทิ้ง




สุดท้ายกษัตริย์และขุนนางหลายคนเริ่มทนไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าว เธอและคนรับใช้ทั้งสี่จึงถูกจับตัวมาลงโทษ คนรับใช้ทั้งหมด
ถูกเผาทั้งเป็น ส่วนตัวเธอถูกจำคุกที่ห้องขังของปราสาทของเธอเอง และเธอก็ขาดใจตายในอีก 4 ปีต่อมา

แม้ว่าเธอจะจากโลกนี้ไปนานแล้วก็ตาม หากแต่เรื่องราวตำนานของเคาส์เตสผู้สูงศักดิ์ ที่ชอบเลือดของหญิงสาวพรหมจารี
เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์นั้นถูกนำไปสร้างเป็นตำนานบทใหม่ในฐานะ แวมไพร์หญิง เคียงคู่กับเคานท์ แดร็กคูล่า ผีดูดเลือดอมตะ
ในนิยายของบราม สโตกเกอร์ เลยทีเดียว



 
 
อ้างอิงจาก

http://www.time.com/time/specials/packages/article/0,28804,2069355_2069356_2069362,00.html
เพิ่มเติมเนื้อหาจาก
ohx3.exteen.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 กุมภาพันธ์ 2019, 14:00:09 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่