-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานผีญี่ปุ่น Part6  (อ่าน 2045 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18210
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
ตำนานผีญี่ปุ่น Part6
« เมื่อ: 25 เมษายน 2014, 14:45:03 »

1. เท็งกุ มนุษย์นก



ผีเท็งกุ เป็นผีที่ว่าได้ว่าเป็นผีที่เป็นเทพ คือคนญี่ปุ่นยกย่องเป็นพรายภูเขา คงทำนองกัีบเ้ทพอารักษ์ป่าเขา
เพราะอยู่ในรูปลักษณ์ของนกกึ่งมนุษย์ โดยมีลักษณะเป็นนกและมีปากนก แต่ต่อมากลายลักษณะของมนุษย์มากขึ้น
แปลกที่มีจมูกยาวเท่านั้น (มีปีศาจบางตนก็ถูกยกย่องเป็นเทพ เช่น ดาการะ ปีศาจขาเดียวที่ยกย่องเป็นเทพแห่งภูเขาเช่นกัน)


เท็งกุ ถึงจะได้รับการเคารพนับถือในฐานะเทพแห่งธรรมชาติ แต่ก็ยังคงมีด้านมืดเป็นผีร้ายที่กลั่นแกล้งมนุษย์เหมือนกัน
โดยมีบางตำนานความเชื่อว่า เท็งกุจะร้ายต่อเมื่อไม่พอใจ ถ้าเกลียดใครคนนั้นเท่ากับว่าโคตรซวย คือ เท็งกุจะทำทุกอย่าง
ให้คนๆนั้นพินาศเช่น เผาบ้านของคนนั้น ขโมยลักของที่เป็นของรักของคนนั้นไป เช่น เคยมีการขโมยเด็กทารกไปทิ้งในป่าก็มี
ถึงจะร้ายแต่ถ้าเขาพอใจใครก็จะดีกับคนนั้นเอามากๆ เลยมีนิทานเป็นตำนานเรื่องเล่ากันมาว่า

ชายคนหนึ่งนามว่า "มังโซ" เกิดมีปากเสียงกับภรรยาของตนเอง จึงออกจากบ้านตฃด้วยความโมโหและน้อยใจภรรยา
และเกิดอารมณ์ที่หงุดหงิด ระยะเขาเดินไปอยู่นั้น เท็งกุก็ปรากฏตัวขึ้นและเกาะหลังเขาพาบินขึ้นฟ้าไป และพาไปยังบ้าน
ในหุบเขาที่สวยงามด้วยธรรมชาติที่งดงาม เท็งกุได้เลี้ยงเหล้าแก่มังโซ และยังพามังโซมาส่งยังหมู่บ้านอีก

นี้เป็นตำนานที่เล่ากันมาถึงความเชื่อในผีเท็งกุที่ว่ากันว่า "ดีก็ดีจนใจหาย ร้ายก็ร้ายจนฉิบหาย"



2. มุจินะ ผีไร้หน้า



คราวนี้มารู้จักับผีอีกตนที่น่ากลัวไม่แพ้กัน หากใครพบเจอล่ะก็ล้มตึงกันเป็นแถวแน่ๆ เมื่อเราหวังไปเรียกคนที่เดินมา
และกลับเห็นใบหน้าที่ขาวซีดและไร้ปราศจากใบหน้า.... คุณจะทำอย่างไร...?


ผีตนนี้ปรากฏตัวเป็นกิจวัตรประจำวันหลอกหลอนผู้คนอยู่เป็นนิจ ณ เนินคิอิ โนะ คุนิซะกะ ผู้คนที่ผ่านทางนี้มันจะพบกันทุกราย
มุจินะ เป็นผีที่น่ากลัวติดลำดับนิยมของมหาชนชาวญี่ปุ่นมาแต่อดีตแล้วด้วยใบหน้าที่ปราศจากจมูก ปาก และดวงตาบนใบหน้า
อันขาวดั่งใข่ปอก หากคุณพบเจอคุณคงต้องวิ่งป่าราบเป็นแน่แท้...


ผีมุจินะ เป็นผีที่มีเรื่องเล่ากลายเป็นตำนานเล่าขานกันต่อๆมาปากต่อปากจากรุ่นบรรพบุรุษสู่รุ่นลูกหลานเหลนโหลน เรื่องราวมีอยู่ว่า
มีถนนสายหนึ่งชื่อ "อะกะซะกะ" เป็นถนนที่เป็นสายตัดจากเมืองโตเกียวไปยังเนิินคิอิ โนะ คุนิซะกะ จังหวัดคิโอะ ซึ่งเนินนี้
เป็นที่เล่ากล่าวขานกันว่าเป็นเนินอาถรรพ์ เป็นเนินที่มีผีมุจินะมาปรากฏตัวหลอกผู้คนอยู่เป็นประจำ


พอตกเย็นดวงอาทิตย์ลาลับกลับสู่ใต้พสุธา ความมืดเข้าปกคลุมด้วยสมัยก่อนไม่มีเสาไฟฟ้าให้ความสว่างในเวลากลางคืน
ผู้คนทั้งชาวบ้านที่อาศัยในจังหวัดคิโอะเองซึ่งเป็นคนท้องถิ่นก็จะย้ายเส้นทางโดยไม่ได้ผ่านเนินคิิอิ โนะ คุนิซะกะเป็นอันขาด
ด้วยความเฮี้ยนของผีมุจินะที่เป็นที่กล่าวขวัญ ถนนสายนี้จึงเปลี่ยวมากในเวลากลางคืน พ่อค้าคนหนึ่งวัยสามสิบปีจากเมืองเคียวบะชิ
ได้มาทำการค้าขายยังเมืองโตเกียว แต่ด้วยกลัวว่าจะกลับถึงบ้านดึกจึงอาศัยเส้นทาง ที่ผ่านเนินอาถรรพ์นี้เพราะเป็นทางที่ลัด
ไปถึงบ้านของเขาได้เร็ว เพราะหากย้ายไปเดินทางอื่นจะไกลและเสียเวลา



พ่อค้าจึงเดินทางผ่านเนินคิอิ โนะ คุนิซะกะ ที่ใครๆก็ปฏิเสธที่จะผ่านมันไป(คงไม่คุ้มกันล่ะกะมัง) ซึ่งเขาเดินทางเพียงตัวคนเดียว
บนเส้นทางสายเปลี่ยวที่เป็นที่อาถรรพ์ ไม่ทันไรเขาก็พบกับหญิงสาวนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ เขาเองจะผ่านไปด้วยใจที่ไม่สนก็ไม่ได้
เขาจึงเขาไปถามไถ่หญิงสาว นั่งลงใกล้ๆหญิงสาวเพื่อจะปลอบเธอ แต่พอเธอเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นเอง ใบหน้าอันขาวไข่ปอก
หน้าที่ไร้ดวงตา ปาก และจมูก พ่อค้าตกตะลึง


"อะไรนี่ข้าเจอกับผีุมุจินะเข้าแล้ว..."

พ่อค้าวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งเข้าสู่ความมืดและร้องโวยวายด้วยความกลัว เขาวิ่งต่อไปถึงจะได้ยินเสียงของผีมุจินะที่หลอกเขา
ตามมาข้างหลังก็ตาม เขาไม่หยุดและวิ่งจนมาถึงบนเนิน เขาเห็นแสงโคมไฟอยู่ข้างหน้า เขาวิ่งไปและใจชื่นมากที่ได้เห็นแสงไฟ
ซึ่งแสดงว่ามีคนผ่านมา เขาวิ่งมาถึงก็พบกับชายขายบะหมี่ซึ่งวางหาบบะหมี่และปัดโคมไฟไว้ เขากับไำปมุดกับแทบเท้า
ของชายขายบะหมี่ด้วยความกลัว

"ท่านหนีอะไรมาล่ะ ท่าทางจะน่ากลัวมาก คงเป็นโจรล่ะซิ"
"ไม่ใช่ท่าน มันไม่ใช่โจร มันน่ากลัวกว่าโจรอีก...."
"อะไรล่ะท่านที่น่ากลัวกว่าโจร..."
"ตอนนั้นข้าเดินผ่านเส้นทางนี้ พบหญิงสาวนั่งก้มหน้า้ร้องไห้อยู่ ข้าก็สงสารหวังจะเข้าไปถามไถ่และปลอบเธอ
แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น หน้าของเธอ....กลับ...."


"หน้าของเธอคงเป็นเช่นนี้ใช่ไหม"

พ่อค้าอึ้งกับคำพูดของชายขายบะหมี่ ชายขายบะหมี่หัวเราะแบบมีเล่ห์สนัยและเขาก็เอามือลูบไปมาบนใบหน้า ใบหน้าของเขาก็หายไป
อย่างกลับถูกลบออก ใช่ชายขายบะหมี่เป็นผีมุจินะอีกตนหนึ่ง (เข้าตำราหนีเสือปะจระเข้จริงๆ) และพ่อค้าก็ล้มลงขาก็อ่อนด้วยความกลัว
ชายขายบะหมี่เดินเข้ามาใกล้ๆตัวเขา แสงสว่างของโคมไฟก็ดับลง.... พ่อค้าเป็นลมนิ่งไป เขาเห็นแต่ใบหน้นปราศจากดวงตา จมูก ปาก
และขาวซีดดั่งไข่ปอกจ้ิองใกล้หน้าเขามาก (สยอง....)

พอรุ่งเช้ามาถึงเขาตื่นขึ้นมาก็มีชายแก่วัยกลางคนนั่งอยู่ข้างๆ เขาพยาบาลพ่อค้าและพาพ่อค้าิอาศัยเกวียนกลับไปบ้านเพราะตนจะผ่านทาง
ไปที่บ้านของพ่อค้าพอดี และตนก็เล่าเรื่องราวนี้่แก่ชายที่ช่วย "สมแล้วถ้าท่านไปอีกทางคงไม่เป็นอย่างนี้เหรอ"
หลังจากนั้นมา 30 ปี พ่อค้าผู้นั้นก็เสียชีวิตลง 



3. ยูเร วิญญาณอาฆาตแค้น



วิญญาณของผู้ที่ตายไปโดยยังคงบางสิ่งบางอย่างยึดติดตัวเขาไว้ไม่ให้ไปสู่สุคติ นั้นคือ ความอาฆาต แค้น และพยาบาท
วิญญาณประเภทหากไม่ได้ทำการแก้แค้นแล้วไซร้ก็ยังคงดำรงอยู่เป็นวิญญาณที่เรียกกันง่ายๆแบบบ้านเราว่า


"สัมภเวสี"

วิญญาณประเภทนี้มักจะเป็นผู้ที่ตายโดยไม่รู้ตัว ตายในสงคราม ตายโดยมีคนทำให้ตายคือตายไม่เป็นธรรมดา
(อย่างปีศาจโมโนฮานะ ที่ถูกคนฆ่าโดยการกดน้ำให้ขาดอากาศหายใจและวิญญาณกลายเป็นวิญญาณแค้นไปตามล้างแค้น
โดยสิงในปลาทอง คงจำกันได้นะปีศาจตนนี้ก็เป็นวิญญาณยูเรเช่นกัน)


วิญญาณพวกนี้จะปรากฏตัวในช่วงตี 2 - ตี 3 หากใครผ่านไปยังบริเวณที่เคยเป็นที่ตายของวิญญาณยูเร อาจได้เจอกับเขาก็เป็นได้
เช่น กาซาโดคุโร ปีศาจที่มาจากวิญญาณแค้นของที่ถูกฆ่าหมกทุ่ง ไง มักจะปรากฏมาหลอกคนที่ผ่านทุ่งที่ตนเคยถูกฆ่า นี้เป็นปีศาจ
ประเภทยูเรเช่นกัน

วิญญาณยูเร มักจะเป็นหญิงสาว ซึ่งในตอนที่ยังมีชีวิตก็ได้รับทุกขเวทนาต่างๆนานา ทั้งชีวิตครอบครัว ได้รับการริษยา และได้รับ
ความโศกเศร้าเสมอ คือหาสุขมิได้แแล้วกัน วิญญาณยูเรที่ไม่เป็นกับผู้ชายเพราะมักจะตายในสนามรบอันถือว่าการตายเช่นนี้เป็นหน้าที่
แต่ก็มีเช่นกันคือ วิญญาณของนักโทษที่ถูกประหาร ก็ถือเป็นวิญญาณอาฆาตแค้นเช่นกัน

วิญญาณยูเร มักจะปรากฏในลักษณะของชุดสีขาว และำไม่มีขา(คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการมีขาและเท้าสัมผัสกับพื้นยังเท่ากับติดพันธ์
กับโลกของคนเป็น คือ โลกแห่งความเป็นจริง และเมื่อผีไม่มีขา เท่ากับหลุดพ้นจากโลกของความเป็นจริงไปแล้ว...คือ ตายนั้นเละ)
และลอยไปมาในอากาศ มีไฟดวงวิญญาณด้วย (เห็นบ่อยในการ์ตูนญี่ปุ่น) คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า ขานั้นเป็นอวัยวะที่บ่งบอกว่าอวัยวะใด
ในร่างกายสูงอวัยวะใดต่ำ และจะมีช่วงเวลาเดียวที่อวัยวะส่วนต่างๆอยู่ในระดับเดีัยวกันคือ ตอนที่นอน จึงเชื่อว่าคนตายหากอยู่ในท่านอน
จะสามารถปรากฏตัวให้ผู้คนเห็นได้ ดังนั้นในพิธีศพของญี่ปุ่นจึงมักจะจับศพในอยู่ในท่านั่ง ไม่ว่าจะฝังหรือเผา เชื่อว่าจะทำให้ผู้ที่ล่วงลับ
ไปเกิดในท่าที่ถูกต้อง   



4. โอกิกุ วิญญาณสาวใช้นับจาน



วิญญาณตนนี้เป็นวิญญาณที่ตายไปทั้งยังมีความแค้น แค้นนี้เป็นแค้นที่เกิดจากตนเอง เป็นความแค้นตนเอง เพราะเกิดว่าตนเอง
ทำผิดพลาดทำจานของประจำตระกูลของผู้เป็นนายแตกเสียหาย จึงจบชีวิตจบในบ่อน้ำหลังบ้านของเจ้านายและจะออกมาจากบ่อน้ำ
นับจาน 10 ใบ 1...2...3...4...5...6...7...8...9.....10..และเสียจานก็แตก... วิญญาณของเธอยังคงนับจานเช่นนี้ไปพร้อมด้วย
ความเศร้าเสียใจที่เธอมิอาจจะนำจานทั้ง10ใบไปคือแก่เจ้าผู้เป็นนายได้


เรื่องราวของวิญญาณโอกิกุ เป็นตำนานเล่าขานกันอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับเรื่องราวของภูตผีปีศาจตนอื่น วิญญาณที่น่าสงสาร
ของโออิกุยังคงนับจานไปตลอดด้วยความแค้นที่นางมิอาจจะวางความแค้นและเศร้าไปได้ด้วยความจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้านาย
เพราะเธอเป็นเพียงสาวใช้ที่มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย 


เรื่องของวิญญาณนี้มีอยู่ว่า หญิงสาวนามว่า "โอกิกุ" เป็นสาวใช้ในบ้านของซามูไรคนหนึ่งนามว่า "อาโอยามะ เทสซัน" วันหนึ่งโอกิกุ
ก็กำลังทำความสะอาดจานกระเบื้องเนื้อดีซึ่งเป็นสมบัติของตระกูลของเจ้านาย แต่ด้วยความโชคร้ายเข้ามาเยืยนสาวน้อย เธอทำจาน
กระเบื้องแตกเสียหายไปใบหนึ่ง เธอถูกกับชะตาขาดด้วยความโกรธเกรี้ยวของเจ้านายที่เป็นซามูไรเลือดร้อน จึงชักดาบลงทัณฑ์โอกิกุ
จนถึงแก่ชีวิต และนำศพของเธอโยนลงไปในบ่อน้ำหลังบ้าน ทุกค่ำคืนวิญญาณของโอกิกุจะขึ้นจากบ่อน้ำและนับจาน

"1..2...3...4...5...6...7...8...9...10..เพล้งงง อีกแล้ว...นับใหม่อีกแล้ว...ท่านอาโอยามะคงไม่ให้อภัยข้าแน่...
1..2..3..4..5..6..7..8..9..10...เพล้งงง อีกแล้ว..."


วิญญาณโอกิกุคิดว่าตนเป็นผู้ที่ผิดในการครั้งนี้จึงโทษแต่ตนเอง และวิญญาณไม่สามารถไปสู่สุคติได้ ได้แต่มานับจานครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่เคยครบสักที ซามูไรอาโอยามะ ถึงกับเสียสติวิปริตเป็นบ้า คนรับใช้และภรรยาก็พากันทิ้งกลับไปอาศัยกับครอบครัวของตน
ทำให้อาโอยามะ ต้องจบชีวิตลงตามไป แต่ถึงอย่างไรวิญญาณของโอกิกุก็ยังไม่ได้ไปสู่สุคติยังคงนับจานทุกคืน คืนแล้วคืนเล่า
และทักวันนี้เธอยังคงนับจานอยู่


" 1...2...3...4...5...6...7...8...9...10...ฮะ...ฮา...เพล้งงง อีกแล้ว....ฮื้อ...ฮื้อ...ท่านอาวยะมะต้องเอาฆ่าตายแน่..."



แต่...ตำนานเรื่องนี้ยังมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่เบื้องหลังการตายของโอกิกุสาวน้อยผู้น่าสงสาร ความจริงแล้วด้วยความงามแบบสาวสะพรั่น
อาโอยามะผู้เป็นนาย เกิดหลงรักโอกิกุอยากได้นางมาเป็นอนุภรรยา(เมียน้อย) แต่บังเอิญประจวบเหมาะที่นางกลับทำจานกระเบื้อง
ของตระกูลแตก ความจริงเป็นสิ่งที่ยกผลประโยชน์ได้ แต่อาโอยามะได้ทำการขู่เพื่อให้โอกิกุยอมเป็นภรรยาตน แต่นางกลับคิดว่า
การที่ทำจานแตกเป็นความผิดของนางจึงยอมรับโทษทัณฑ์ อาโอยามะ ก็โมโหไม่คิดไตร่ตรองเสียก่อนจึงลงมือสังหารนางอันเป็นที่รักลงไป
กับมือของตนเอง... เป็นเรื่องผีที่เป็นโศกนาฏกรรมที่น่าสงสารเสียจริง....บ้านของอาโอยามะ กลายเป็นบ้านร้างในเวลาต่อมา
ถึงบ้านจะไร้ผู้คนแต่กลับไม่ไร้วิญญาณของโอกิกุ เธอยังคงนับจานอยู่ บ้านหลังนั้นจึงเรียกต่อมาว่า บ้านนับจาน....


ตำนานไม่ได้มีแค่นี้นะ ตำนานนึงก็บอกว่าไม่ใช่จานของตระกูล แต่เป็นจานนำเข้าจากต่างประเทศ (น่าจะจีน) ซึ่งมีราคาสูง มีจำนวน 10 ใบ
ด้วยสามี อาโอยามะ ชูเซ็น กับภรรยา เป็นผู้ที่มีนิสัยโหดมากๆ ได้โยนโอคิคุลงบ่อน้ำ โอกิกุก็ได้อ้อนวอนขอชีวิตแต่ก็หาได้ฟังไม่
ปล่อยให้โอกิกุตายไปทั้งอย่างนั้น และก็ได้แจ้งทางราชการไปว่าเธอป่วยตาย




เรื่องน่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้นตอนเดือนพฤษภาคมของปีนั้น ภรรยาของชูเซ็นได้คลอดลูกชายแต่เด็กกลับไม่มีนิ้วกลางที่มือขวา
ซึ่งขาดไปนิ้วเดียว นอกจากนั้นก็มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย บ้านของขุนนางชูเซ็นตกอยู่ในอากาศหนาวเหน็บบ้าง
ตอนกลางคืนมีไฟประหลาดๆ ออกมาจากบ่อน้ำที่โยนโอคิคุลงไปบ้างและหลักๆ เลย คือมีคนได้ยินเสียงอันน่าสยดสยองของผู้หญิง


นับว่า "1.. 2.. 3.. 4.. 5.. 6.. 7.. 8.. 9.. *สะอึกสะอื้น*"

คนรับใช้ที่นั่นต่างก็หวาดกลัวและลาออกไปกันหมด ครั้นจะรับสมัครคนใช้ใหม่ก็หามีไม่เพราะชาวบ้านเค้าทราบข่าวกันหมดแล้ว

อีกตำนานหนึ่งก็ว่าว่า อาโอยามะวางแผนจะโค่นล้มอำนาจเจ้าเมือง โอกิกุดันไปได้ยินเข้า เลยไปเล่าให้คนรักของเธอ
ซึ่งเป็นทหารของเจ้าเมืองฟัง ทำให้แผนการของอาโอยามะล้มเหลวไปในที่สุด เมื่ออาโอยามะรู้เข้าว่าโอกิกุเป็นคนที่แอบฟัง
เรื่องแผนการจึงวางแผนจะสังหารนางแทน โดยการใส่ร้ายว่านางขโมยจานล้ำค่าไป 1 ใบ สุดท้ายโอกิกุก็โดนทรมานจนสิ้นชีพ
และศพของนางก็ถูกทิ้งลงไปในบ่อนั้น




4. โออิวะ วิญญาณอาฆาตตามล่าล้างแค้น



เรื่องต่อมานี้เป็นเรื่องเล่าที่กล่าวขานกันมา เข้าขั้นเรื่องสยองขวัญน่าชวนขนหัวลุกของญี่ปุ่นได้เลยทีเดียว เรื่องของวิญญาณแค้น
ที่ถูกสังหารจากสามีของเธอเอง เรื่องอันน่าสงสารของดวงวิญญาณตนนี้ ยังคงเป็นตำนานที่ชาวญี่ปุ่นให้การสืบทอดเล่ากันจาก
รุ่นบรรพชนสู่รุ่นลูกหลาน ในปัจจุบันเรื่องราวของโออิวะยังคงอยู่ ถึงขนาดมีการตั้งเป็นศาลสถิตของดวงวิญญาณผู้น่าสงสารนี้
และศาลนั้นยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน...


เรื่องเล่านี้มีอยู่ว่า หญิงสาวงดงามผู้หนึ่งนามว่า"โออิวะ"เธอเป็นที่หมายปองของชายมากมาย แต่เํธอเลือกแต่งงานกับชายหนุ่ม
ที่เป็นซามูไร นามว่า"อิเยมอน" เธออยู่กินกันมานานจนเธอเริ่มล้มป่วยมีอาการเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ถึงจะหาหมอดีอย่างใด
มารักษาก็ไม่หาย ยากี่ขนานก็ไม่หาย ต่อมาอิเยมอนผู้เป็นสามีจากแต่เดิมเป็นซามูไรที่มีสังกัดมีเจ้านายแต่พอเจ้านายหมดบุญ
ตนก็ตกเป็นซามูไรไร้นาม(เท่ากับคนตกงานนั้นเละ)


เขาจึงเริ่มที่จะเบื่อที่จะอยู่กับภรรยาที่ขี้โรคป่วยเรื้อรัง และยังตั้งท้องเสียอีก เขาเห็นปัญหาต่างๆที่ตามมาเช่น จะหาเงินที่ไหน
ไปหาหมอหายามารักษาโออิวะ และเงินที่จะต้องใช้เลี้ยงดูแลลูกที่กำลังจะเกิดขึ้นมาดูโลกอีก ช่างน่าสงสารโออิวะเธอเป็นสาว
ที่มีความงามแต่เธอตกที่นั่งลำบากมาเช่นนี้ ถึงความงามของเธอจะไม่แพ้หญิงใดที่มันกินไม่ได้สำหรับอิเยมอนในขณะนี้
เขากลับเห็นว่าเธอและลูกในท้องเป็นตัวถ่วงนำพาความลำบากมาให้

และแล้วสิ่งเลวร้ายมาเยืยนโออิวะ เมื่อสามีอันเป็นที่รักคิดนอกใจไปรักใคร่กับหลานสาวของผู้มั่งคั่งของเมือง และเจ้าตัว
หลานสาวคนนี้ก็กลับหลงรักในตัวอิเยมอนเสียด้วย ผู้เป็นตาก็เอาใจหลานสาวผู้แสนสวยเพียงคนเดียวจึงยินยอมแม้จะทราบว่า
เจ้าอิเยมอนมีภรรยาอยู่แล้ว (เลวจริงๆ)




อิเยมอนจึงคิดว่าหากให้โออิวะมีชีวิตอยู่คงเป็นตัวปัญหาแน่ๆ เขาจึงทำการกำจัดนาง โดยมีตาของหญิงสาวอนาคตภรรยา
เป็นผู้ช่วยในการครั้งนี้ จัดหายาพิษมาให้อิเยมอนสังหารโออิวะเสีย อิเยมอนทำการทำท่านำยามาให้โออิวะกิน เธอก็หลงเชื่อว่า
ยาที่สามีสุดที่รักนำมาให้เป็นยารักษาโรค เธอจึงดื่มเสียด้วยความยินดี แต่แล้วพอยานำไหลลงสู่ภายในร่างกายเท่านั้น
ก็ร้อนทุรนทุรายเหมือนไฟเผาไหม้ข้างใน เธอดิ้นไปมาด้วยความทรมาน อิเยมอนยืนอยู่ไม่ห่าง เธอพยายามจะคลาน
ไปหาอิเยมอนสามีที่รักหวังให้ช่วย แต่เขากลับหลีกหนีและหัวเราะด้วยความสะใจ โออิวะเงยหน้าขึ้นมาใบหน้าของเธอข้างหนึ่ง
กลับกลายเป็นปุ่มและเป็นแผลน่าเกลียด เธอเสียโฉมเพราะพิษของยา เธอร้องไห้ด้วยความทรมาน


"ท่านพี่ท่านเอาอะไรให้ข้ากิน"
"เจ้ายังโง่อยู่อีกหรือ ยาที่เจ้ากินนั้นเป็นยาพิษ"
"ยาพิษ...ท่านพี่..ทำไมถึงทำกับข้าอย่างนี้"
"ก็เจ้านั้นนะเป็นตัวถ่วง บ้านเราก็จนเอาจนเอาก็เพราะโรคที่เจ้าเป็นอยู่"
"ท่านพี่...."
"ตอนนี่ข้าจะแต่งงานใหม่กับหลานสาวของเศรษฐีใหญ่ของเมือง"
"ท่านพี่...จึงคิดจะกำจัดฆ่าเสียซินะ"
"นับว่าเจ้ายังฉลาดนะ"
"ข้าไว้ใจท่าน คิดว่้ายาที่ท่านมอบให้นั้นจะเป็นยารักษาโรคแต่ที่แท้มันเป็นยาพิษ....ท่านช่างเลวเสียจริง"
"เจ้าต้องขอบใจข้านะที่ให้เจ้าไปจากโลกใบนี้ได้เร็วกว่าจะมาทรมานกับโรคที่เป็นอยู่"
"ท่านช่าง........."

โออิวะสิ้นลมหายใจด้วยทนพิษของยาไม่ไหว เธอสิ้นไปด้วยการทำลายจากคนที่เธอรัก หลังจากนั้นอิเยมอนได้สังหารโออิวะลง
ก็คิดว่าจะเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าสังหารภรรยาตนเพื่อจะมาแต่งงานใหม่ จึงสร้างข่าวว่าตนฆ่าโออิวะเป็นการลงโทษในข้อหามีชู้
กับคนรับใช้ในบ้าน และเขาก็ฆ่าคนรับใช้ไปคนหนึ่งและโทษว่าเป็นชู้รักของโออิวะ เพื่อเป็นข้ออ้างที่ชาวบ้านน่าจะเชื่อถือได้
อิเยมอนนำศพของโออิวะและคนรับใช้ตรึงไว้กับบานประตูเลื่อนคนละบานและทิ้งที่แม่น้ำเพื่อเป็นการทำลายศพ


อิเยมอนเข้าพิธีแต่งงานกับหลานสาวเศรษฐีได้อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่เขากำลังจะปิดผ้าปิดหน้าเจ้าสาว สิ่งที่เห็นต่อสายตาของเขาคือ
ใบหน้าของโออิวะที่อัปลักษณ์ เขากลัวและตกใจจึงคว้าดาบของตนสังหารเจ้าสาวตายคาที่ พอได้สติดูอีกทีกลับเป็นเจ้าสาวของเขา
และเธอก็สิ้นใจเพราะฝีมือของเขา อิเยมอนวิ่งออกจากบ้านด้วยความเสียขวัญเขาพยายามจะไปขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นตา
ของเจ้าสาวแต่เขากลับพบกับผีของคนรับใช้ที่พยายามจะเข้ามาบีบคอเขา แต่อิเยมอนก็เอาดาบนั้นสังหารตัดคอขาดกระเด็น
แต่ที่เขาฆ่าไปนั้นกลับเป็นตาหรือเศรษฐีใหญ่นั้น



อิเยมอนหนีกระเซอะกระเซิงไปทั่วและจะมีผีของโออิวะและคนรับใช้ตามหลอกหลอนไปด้วยทุกที่ เขาหนีไปหลบตัวยังหมู่บ้าน
ในหุบเขา ในขณะที่เขากำลังตกปลาเพื่อหวังจะคลายความกลัวและทุกข์ที่ตนเองก่อไว้ เกิดเบ็ดเจ้ากรรมดันไปติดกับบานประตู
ที่ตรึงศพของโออิวะ เขาตกใจกับศพของโออิวะจนเขาต้องตกเบ็ดและวิ่งหนีเข้าไปในป่า เขาขึ้นเขาซ่อนตัวแต่วิญญาณของโออิวะ
ยังไม่ลดละและปรากฏตัวเป็นโคมไฟที่มีใบหน้าของโออิวะปรากฏอยู่และลอยไปมาบนศีรษะของอิเยมอน เขากลัวจนเป็นบ้า
และพูดสารภาพผิดทั้งหมดที่เขาฆ่าโออิวะ ในขณะที่บังเอิญพอดีน้องชายของโออิวะเดินทางมาตามตัวพี่เขยตัวแสบพอดี
ก็ได้ยินคำพูดสารภาพผิดเลยทราบว่าเจ้าพี่เขยตัวดีมันฆ่าพี่สาวของตนจริงๆ จึงเข้าไปสังหารอิเยมอนผู้เป็นพี่เขยเสีย...
จากนั้นโออิวะก็ได้รับการแก้แค้นสำเร็จ แต่ดวงวิญญาณของเธอยังคงวนเวียนอยู่และมีผู้คนสร้างศาลให้สถิตจนถึงปัจจุบัน...   




5. โฮอิชิ นักบวชตาบอดเผชิญกับวิญญาณร้าย



เรื่องราวที่เล่าต่อไปนี้่เป็นเรื่องของเหล่าดวงวิญญาณแค้นที่ไม่ยอมไปสู่สุคติ คือ ดวงวิญญาณของตระกูลไฮเกะ มีเรื่องอยู่ว่า
ในอดีตมีสองตระกูลใหญ่ที่ไม่ถูกกันมานานแต่บรรพบุรุษจนมาถึงลูกหลานจึงจงเกลียดจงชังกันมาตลอดและมักจะก่อสงคราม
กันระหว่างสองตระกูลนี้บ่อยครั้ง (ดูๆไปคล้ายกับละครบ้านเราเรื่องขมิ้นกับปูนอย่างนั้น) ด้วยความบาดหมางที่เก็บมานาน
เลยเกิดสงครามของสองตระกูลนี้อีกครั้ง ทำให้ผู้คนล้มตายและฝ่ายตระกูลไฮเกะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จึงพบจุดจบฆ่าล้างผลาญตระกูล
แม้เจ้านายตัวน้อยของตระกูลที่เป็นทายาทก็ถูกสังหาร วิญญาณของตระกูลรวมถึงญาติพี่น้องและข้าทาสบริวารจึงกลายเป็นวิญญาณแค้น
เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมเล่าขานโดยมีพระตาบอดเป็นผู้ที่เข้าไปใกล้กับโลกแห่งวิญญาณและถูกเหล่าวิญญาณนั้นตามล่า
และรอดมาได้...จึงเป็นตำนานเล่ามาจนถึงปัจจุบัน


เรื่องนี้มีอยู่ว่า สองตระกูลที่ยิ่งใหญ่คือ ตระกูลไฮเกะ(ทะอิระ)กับตระกูลเยนติ(มินะโมะโตะ) เป็นสองตระกูลที่มีความแค้น
ต่อกันเกลียดชังกันมาแต่อดีตของบรรพบุรุษและมีรุ่นลูกหลานที่ต้องรับหน้าที่ในการบาดหมางครั้งนี้ จนถึงกลับมีสงครามฆ่า
ล้างตระกูลให้มันหมดจบลง โดยทำสงครามที่ทะเลช่องแคบชิโมะโนะเซกิ เกิดฝ่ายตระกูลไฮเกะพ่ายแพ้ถูกสังหารทั้งตระกูล
แม้แต่ข้าทาสบริวารก็ยังไม่รอด เจ้านายตัวน้อยผู้เป็นทายาทคนรุ่นสุดท้ายของตระกูลก็จบชีวิตลง เหล่าวิญญาณของตระกูลไฮเกะ
ยังคงวนเวียนอยู่และร้องด้วยเสียงที่น่าสยดสยองและกล่าวแต่คำว่า


"ต้องล้างแค้น"

มีผู้คนพบดวงไฟวิญญาณลอยไปมาในทะเลและชายหาดที่เป็นสมรภูมิ เหล่าวิญญาณตายโหงของตระกูลไฮเกะก็คอยหลอกหลอน
ชาวประมงที่แล่นเรือผ่านบริเวณนั้น บางทีจะพยายามจมเรือก็มี สร้างความเตือนร้อนชวนขนลุกแก่ชาวบ้านเป็นอันมาก เหล่าชาวบ้าน
จึงรวมตัวกันอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พาดวงวิญญาณไปพบกับความสงบ และช่วยกันสร้างวัดทางพระพุทธศาสนาชื่อว่า"อะมิดะจิ"
ขึ้นในที่ของตระกูลไฮเกะเพื่อการสร้างกุศลครั้้งยิ่งใหญ่ให้แก่ตระกูลไฮเกะ และไม่มีดวงวิญญาณใดของตระกูลไฮเกะปรากฏตัวมาอีกเลย
 
จนกระทั่งมีพระตาบอดนามว่า "โฮอิชิ" มีความสามารถในการเล่นพิณและมีฝีมือเป็นที่ล่ำลือในความไพเราะ เขาสามารถขับกลอน
เป็นบทเพลงอันไพเราะและน่าเศร้าชวนน้ำตาไหลในบทขับกล่อมกล่าวถึงตระกูลไฮเกะผู้น่าสงสาร เหล่าชาวบ้านล่ำลือจนมีผู้คนมาขอฟังกันมากมาย

นักบวชโฮอิชิมักจะร้องเพลงขับกล่อมให้เจ้าอาวาสฟังเสมอเพราะเจ้าอาวาสชื่นชอบในบทกวี แต่ต่อมาเจ้าอาวาสและพระภิกษุบางรูป
ถูกนิมนต์ไปสวดในพิธีศพ จึงมีพระโฮอิชิกับเด็กวัดไม่กี่คน ในตอนกลางคืนอากาศร้อนพระโฮอิชิจึงออกมานั่งเล่นพิณอยู่นอกที่กุฎิ
(ขอเรียกแบบนี่ละกันเป็นพุทธดี) ท่านบรรเลงบทกวีอยู่อย่างเพลินเพลิดจนท่านสัมผัสได้ถึงว่าคนอยู่ใกล้ๆ ท่านกลัวตัวสั่นด้วยที่ตาบอด
จึงกลัวและพยายามจะหนี

"ท่านเป็นใคร...ท่านเป็นใคร..."
หญิงสาววัยกลางคนแต่งกายแบบผู้มีอันจะกินด้วยเครื่องประดับและกิโมโนที่สวยงาม

"ข้าน้อยขอนมัสการท่านพระโฮอิชิ"
"โยมมีอันใดกับอาตมาหรือ"
"ข้าน้อยได้ยินคำล่ำลือว่าที่วัดแห่งนี้มีพระตาบอดที่บรรเลงพิณได้ไพเราะและร้องบทเพลงกล่อมได้เป็นเลิศ"
"โยมพูดเช่นนี้...."
"คือว่าเจ้านายของข้าน้อยเป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่มาประทับที่เมืองนี้ และได้ยินกิตติศักดิ์ของท่าน และเจ้านายของข้า
จึงต้องการเป็นอันมากที่จะฟังเพลงพิณและบทขับกล่อมของท่าน จึงให้ข้าน้อยมารับท่านไปขับกล่อมให้ฟังเจ้าค่ะ"

"ถ้าเป็นเช่นนั้น อาตมาก็ยินดี"





จากนั้นหญิงสาวผู้เป็นสาวใช้ของผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ก็นิมนต์พระโฮอิชิขึ้นรถม้าและตนเองก็ขึ้นนั่งข้างคนขับรถ รถม้าวิ่งผ่านควันมาก
หลังวัดมาไม่นานก็ปรากฏคฤหาสน์อันใหญ่โตและโอ่อ่า สาวใช้พาพระโฮอิชิเข้าไปยังห้องโถงที่ใหญ่และสว่างด้วยแสงเทียน
เหล่าผู้คนจำนวนมากนั่งตามที่นั่งของตนเองมากมาย แต่งกายด้วยเสื้อผ้าไหมอย่างดีทั้งชายและหญิง ที่นั่งตรงกลางห้องที่วาง
ด้วยเบาะนุ่มๆ สาวใช้นิมนต์ให้พระโฮอิชินั่งบนเบาะนั้น ผ้าม่านที่ฝั่งหนึ่งขอห้องตรงหน้าพระโฮอิชิก็เปิดออก เด็กชายน่ารักวัย 8 ขวบ
นั่งพร้อมกับเหล่าสาวใช้และแม่นมที่ดูแก่มีอาวุโส


"ข้าแต่ท่านหลวงพี่ ข้านิมนต์ท่านมาในครั้งนี้ด้วยใคร่อยากจะฟังบทกล่อมและเสียงพิณของท่านที่ล่ำลือ หลวงพี่ท่านจะช่วยสนอง
แก่ข้าน้อยช่วยบรรเลงขับลำนำประวัติของตระกูลไฮเกะ พร้อมกับประสานเสียงพิณได้หรือไม่"

"ไ้ด้...อาตมายินดี..แต่ว่าบทขับลำนำของประวัติตระกูลไฮเกะนี้ยาวมากคงเล่นไม่ได้พร้อมในช่วงค่ำคืนนี้ โยมช่วยบอกอาตมา
ว่าต้องการฟังตอนไหนของบทขับนี้"

"เช่นนั้นข้าน้อยขอฟังตอนทำสงครามที่ดันโนะอุระเลยลล่ะกัน เป็นตอนที่น่าโศกสลดที่สุด"


จากนั้นโฮอิชิก็เริ่มจับพิณและดีดบรรเลง มือบรรเลงสัมผัสบนเส้นพิณดีดดังสัมผัสกันจนเกิดเสียงที่เศร้าสร้อย...และค่อยๆรุนแรงขึ้น
คล้ายเสียงคลื่นลมในทะเล และเสียงของดาบและกระบี่ เสียงธนู ผู้คนชมเชยกันถูกฝีมือของพระโฮอิชิที่บรรเลงได้เสมือนจริง
แต่พอพระโฮอิิชิขับกล่อมมาถึงตอนที่ว่าเป็นจุดสำคัญของตอน

"นักรบตระกูลเยนจิผู้ชนะในสงครามเข้าบุกคฤหาส์นแห่งตระกูลไฮเกะ.... ธนูไฟยิงใส่ต้นไม้หลังคาและผู้คนล้มตายน่าสังเวชสยดสยอง
ดิ้นทุรนทุรายไฟผลาญเผาำไหม้ตายน่าเวทนา.... แม่นมนิืิอิโนะอะมะด้วยความภักดีจะรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลไฮเกะ...
เธอเข้าอุ้มกอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมกอดและพยายามหาทางออกจากคฤหาส์นที่เต็มไปด้วยไฟดั่งทะเลเพลิง "


เด็กน้อยผู้นั่งเป็นประธานน้ำตาไหลริน ภาพแห่งอดีตปรากฏขึ้น หญิงสาวแก่วัยอาวุโสกั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจึงไหลหลั่นเป็นสายธาร
และเธอเข้ากอดเด็กน้อย...เหล่าสาวใช้เอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตาและร้องไห้ด้วยความสังเวช ผู้คนให้ห้องโถงร้องไห้สะอึกสะอื้น
พอบทขับกล่อมจบลง เด็กน้อยตบมือ


"สมกับคำล่ำลือเสียจริงท่านหลวงพี่ บทกล่อมและเพลงพิณของท่านช่างหาฟังได้ยากยิ่ง เป็นบุญและที่ข้าน้อยได้ฟัง"
"อย่าชมอาตมาเลยโยม แค่อาตมาต้องการใช้เป็นคติสอนใจมนุษย์เท่านั้่น"
"ข้าน้อยชอบมากเลยท่านหลวงพี่ ท่านช่วยมาบรรเลงกล่อมข้าน้อยเช่นนี้ได้หรือไม่"
"อาตมายินดีหากโยมชอบ อาตมาก็จะมาให้"
"เดี๋ยวสาวใช้ข้าคนเดิมจะเป็นผู้รับหน้าที่ไปรับท่านที่วัด แต่หลวงพี่โปรดอย่าบอกใครว่าท่านมาบรรเลงขับกล่อมเพลงพิณแก่ข้าน้อยนะ
ข้ากลัวว่าชาวบ้านจะหาว่าข้าบังคับพระผู้ทรงศีลมาทำอะไรตามใจตน"
"ได้โยม อาตมาชอบเสียอีกที่มีคนชอบบทกล่อมของอาตมา"


จากนั้นพระโฮอิชิก็ขึ้นรถม้ามาส่งยังวัด ในขณะที่เจ้าอาวาสกลับก็เข้าถามพระโฮอิชิว่า
"เจ้าไปไหนมา"
"ข้าไปทำธุระมาท่านเจ้าอาวาส"
"ไม่เป็นไรหากเจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัยก็ดีแล้วไปนอนเถิด"
"ขอรับท่านเจ้าอาวาส"




เจ้าอาวาสหันออกไปยังประตูวัดก็พบกับไฟวิญญาณ 2 ดวง ที่ทำท่าแอบอยู่ข้างประตู เจ้าอาวาสจึงเริ่มสงสัยว่าจะมีวิญญาณมายุ่งกับ
พระโฮอิชิซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ที่คนธรรมดาไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณ จากนั้นต่อมาพระโฮอิชิก็ไปเล่นขับกล่อมให้เจ้านายน้อยเป็นประจำ
จนเจ้าอาวาสเริ่มสงสัยในธุระส่วนตัวของพระโฮอิชิ ท่านจึงสั่งให้เด็กวัดตามพระโฮอิชิไป และแล้วก็ปรากฏว่า พระโฮอิชิเดิมตาม
ดวงไฟวิญญาณ 2 ดวง ไปทางป่าช้าหลังวัด เด็กวัดก็สะกดรอยตามอย่างเงียบๆจนมาพบพระโฮอิชิบรรเลงพิณและขับเพลงกล่อม
อยู่ท่ามกลางดวงไฟวิญญาณจำนวนมากท่ามกลางสุสานของตระกูลไฮเกะ


เด็กวัดจึงเ้ข้าไปจับตัวพระโฮอิชิออกและพากลับวัดไปหาเจ้าอาวาส พระโฮอิชิกำลังโมโหที่ถูกลักพาตัวมาในขณะที่กำลังบรรเลงเพลงพิณ
ต่อหน้าเจ้านายผู้ส่งศักดิ์ตัวน้อย เจ้าอาวาสจึงกล่าวถามพระโฮอิชิว่า
"โฮอิชิเอย...เจ้าจงเล่ามานะว่าเจ้าไปทำอะไรในตอนกลางคืน"
 "กระผมแค่ถูกเชิญไปบรรเลงเพลงพิณให้เจ้านายผู้สูงศักดิ์"
 "เจ้าแน่ใจนะ...ว่าเจ้าไปบรรเลงเพลงใ้ห้คนฟัง"
 "โธ่หลวงพ่อ...ก็มีคนมารับกระผมขึ้นรถม้าไปยังที่ประทับของเจ้านายน้อยผู้สูงศักดิ์"
 "ที่เจ้าเด็กวัดว่าข้าว่า...เจ้าไปบรรเลงเพลงอยู่ที่สุสานของตระกูลไฮเกะ"
 "อะไรนะหลวงพ่อ"
 "เจ้าไม่เชื่อก็ตามเจ้าเด็กวัดดูล่ะกัน"
 "จริงครับ หลวงพี่ ผมเห็นกับตาว่ามีดวงไฟวิญญาณมากมายอยู่ท่ามกลางหลวงพี่และที่นั้นเป็นสุสานตระกูลไฮเกะครับหลวงพี่"


พระโฮอิชิถูกกับอึ้งไปเลย

"เจ้านะตาบอด ผีมันก็เลยหลอกเจ้าไป ถ้าข้าปล่อยเจ้าให้ไปบรรเลงอยู่กับวิญญาณ เจ้าคงอายุสั้นแน่ๆ"
 "หลวงพ่อครับ...กระผมมันเป็นคนตาบอด...ผมจึงมิอาจจะรู้ได้เลยว่าใครผีใครคน"
 "โฮอิชิ...ข้าว่าถ้าเจ้ายังอยู่ เหล่าวิญญาณน้อยต้องตามเอาตัวเจ้าแน่ๆ"
 "เช่นนั้นผมควรทำอย่างไรขอรับ หลวงพ่อช่วยกระผมด้วย"
 "หากเป็นเช่นนั้น...."





เจ้าอาวาสให้พระโฮอิชิถอดผ้าออกและท่านก็หยิบขวดน้ำหมึกกับพู่กันอันเล็กมาและจุ่มเขียนลงบนตัวของพระโฮอิชิ
ภาพจากภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่นำเรื่องนี้มาสร้างเป็นภาพยนตร์ (เป็นภาพที่พระโฮอิชิถูกลงยันต์ทั่วตัวเพื่อป้องกันจากวิญญาญร้าย)

เจ้าอาวาสเขียนตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์เป็นยันต์ทั่วตัว และลงอาคมคาถาป้องกันให้พ้นจากวิญญาณร้าย  เจ้าอาวาสถูกนิมนต์ไป
พร้อมกับพระภิกษุรูปอื่นไปสวดพิธีศพอีกที่หนึ่ง จึงต้องปล่อยพระโฮอิชิไว้อีก แต่่ท่านวางใจเพราะท่านได้ลงยันต์ป้องกันไว้
ให้กับพระโฮอิชิ(จะไม่ให้วางใจได้ไงล่ะ ก็เขียนยันต์ซะเต็มตัวเลงนี้) พอตกกลางคืน พระโฮอิชิมานั่งที่ระเบียงรอเจ้าอาวาส
กลับวัดอยู่นั้น

"ท่านหลวงพี่โฮอิชิเจ้าค่ะ...หลวงพี่เจ้าค่ะ...ข้าน้อยมารับท่านแล้วค่ะ"
 
พระโฮอิชินั่งนิ่งแข็งตัว เสียงนั้นอยู่ไม่ไกลตัวท่านเลย
"ท่านหลวงพี่ค่ะ นายน้อยรออยู่นะค่ะท่านอยู่ไหนเนี้ย..."
สาวใช้อันเป็นวิญญาณร้ายเดินขึ้นบันไดมาถึงระเบียงที่พระโฮอิชินั่งอยู่พร้อมกับชายขับรถม้า
นี้พิณของหลวงพี่โฮอิชินี้แต่ตัวท่านไปไหนนะ"
  "เจ้าดูนั้นซิ...หู...."
  "อะไรกันนี้หู...แล้วตัวไปไหน"
  "เราจะทำให้ภารกิจครั้งนี้เสียไปไม่ได้...ถึงจะไม่มีตัวแต่เราจะเอาหูไป เราจะทำงานที่นายมอบมาให้เสียไม่ได้ ทำได้เท่าไหนก็ทำเท่านั้น"
  ชายขับรถม้าก็ดึงกระชากหูทั้งสองข้างและกำไว้ พระโฮอิชิถูกกระชากหูไป ถึุงจะเจ็บปวดทรมานจนอยากจะ้ร้องออกมาสุดเสียงก็ตาม
  แต่ก็กลัวว่าผีจะจับได้จึงอดทนเงียบไว้
 
  "จะดีหรือได้เพียงแค่หูไป..."
  "เอ้าน่า...กลับไปหานายน้อยกัน"

 ดวงวิญญาณ 2 ดวงก็ลอยออกไหจากวัด พระโฮอิชิผู้น่าสงสารหูของเขาขาดทั้ง 2 ข้าง และเลือดก็ไหลรินมานองแก้ม ท่านกลัวจึงไม่กล้าไปไหน
จึงนั่งอยู่ที่ระเบียงนั้น เจ้าอาวาสกลับมาถึงวัด ก็เข้าไปหาพระโฮอิชิและพบภาพที่พระโฮอิชิร้องไห้สะอึกสะอื้นและไร้หูไปแล้ว

"โธ่ โฮอิชิผู้น่าสงสาร ข้าช่างแย่จริงๆเลย ข้าไม่ไ้ด้เขียนยันต์บริเวณหูของเจ้า.... นโมแด่พระพุทธองค์อมิตาพุทธภะจะรักษ์พิทักษ์เจ้า...
ตอนนี้เจ้าจะรอดพ้นจากวิญญาณเหล่านั้นเลย..."


จากนั้นพระโฮอิชิกลายเป็นพระตาบอดและพระไม่มีหู เจ้าอาวาสให้หมอมารักษาแผลที่บริเวณหูจนหาย จากพระตาบาดมาถูกเรียกว่า
โฮอิชิไร้หู (เป็นเวรเป็นกรรมอะไรของท่านจริงๆ) แต่เรื่องราวของพระโฮอิชิก็กลายเป็นที่ล่ำลือ จนขนาดขุนนางและเศรษฐีก็เดินทาง
มาฟังเพลงพิณของพระโฮอิชิ และได้ถวายปัจจัยและของมีค่าต่อวัดจนวัดเป็นวัดที่มีทรัพย์สามารถอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาได้
และได้มีการศาลอนุสรณ์เป็นรูปพระโฮอิชินั่งเล่นพิณและยังคงตั้งมาจนถึงทุกวันนี้

 

credit :: มะเดหวีมาตา@dek-d.com

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26 เมษายน 2014, 14:30:42 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่