-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ไมร่า ฮินเลย์ และ เอียน แบรดี ฆาตกรคู่โหด Part 2 (จบ)  (อ่าน 2578 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18202
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

พันธุ์เดียวกัน



สำหรับไมรา การพบกันครั้งแรกของเธอกับเอียนนับเป็น "ความประทับใจที่รวดเร็วล้ำลึก" คนอื่นๆ อาจเห็นว่าเอียน แบรดีเป็นมนุษย์อารมณ์บูด
ใบหน้าบึ้งตึง แต่ในสายตาของไมรา เขากลับเป็นคนเงียบขรึม โดดเดี่ยว เป็นบุคลิกที่เธอคิดว่าช่างลึกลับ ซ่อนด้วยความฉลาดเฉลียแตกต่าง
จากหนุ่มคนอื่นๆ ที่เคยพบ ทุกคืนเธอมักเขียนไดอารี่ระบายอารมณ์โหยหาที่มีต่อเขา แต่บางคืนอารมณ์กลับเปลี่ยนเป็นเกลียด
เพราะเอียนไม่สนใจเธอมาปีกว่าแล้ว


แต่แล้วฝันของไมราก็เป็นจริงเมื่อคริสมาสต์มาถึง ที่บริษัทมีงานเลี้ยงสังสรรค์ ทำให้มีโอกาสชักนำให้ทั้งสองหันมามองอีกครั้ง เอียนดื่มเหล้า
เข้าไปเล็กน้อย เขาเริ่มสนใจไมรา เอียนเริ่มนัดเดทเธอเป็นครั้งแรก และนั้นคือจุดเริ่มต้นนำเธอสู่โลกลึกลับซ่อนเร้นอย่างที่ไม่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน
การนัดเดทครั้งแรกระหว่างเอียนกับไมรา นับว่าเป็นการนัดเดทที่แปลกประหลาดกว่าคู่เดทอื่นๆ เอียนกลับพาเธอไปดูภาพยนตร์เรื่องการตัดสินคดี
ที่นูเร็มเบิร์ก (เนื้อหาเกี่ยวกับพวกนาซีโกยศพชาวยิวที่ถูกรมแก๊สพิษลงหลุม)  แล้วนัดต่อมาก็เอาเพลงมาร์ชของฮิตเลอร์มาเปิดเล่น เอาหนังสือ
โปรดเกี่ยวกับความรุนแรงและซาดิสต์มาให้เธออ่าน

ไมราเริ่มมีความสุขและเพลิดเพลินกับสิ่งที่เอียนมอบให้ ดูเหมือนเธอได้พบสิ่งที่ใผ่หามานาน แต่ด้วยความอ่อนหัดและกระหายในรักรวมถึง
ไม่เคยมีบทเรียนในการจัดการกับผู้ชาย ทำให้เธอไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งใดที่เป็นอันตราย หรือสิ่งใดที่ควรขัดขืน

เอียน แบรี่เปลี่ยนจากคนรักกลายเป็นคู่นอนคนแรก จึงไม่น่าแปลกใจมากนักที่ไมราจะยิ่งหลงใหลเขาอย่างหนัก ยอมให้ปรัชญาที่บูดๆ เบี้ยวๆ
ของเอียนฝังเข้าไปในหัวของเธอ เพราะสิ่งที่เธอต้องการมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือทำให้เขาพอใจ เธอยอมแม้กระทั้งเปลี่ยนการแต่งกาย
เป็นแบบเยอรมัน ใส่บู๊ทสูง ใส่กระโปรงมินิสเกิร์ต ฟอกสีผม กระทั้งยอมให้เอียนถ่ายภาพลามกของตัวเอง




ยิ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนามากเท่าไหร่ เอียนก็ยิ่งหวาดระแวงและมีท่าที่จะแสดงความรุนแรงมากขึ้น กระนั้นไมราก็ยอมทุกอย่างโดย
ไม่มีข้อโต้แย้ง เมื่อเอียนบอกว่าไม่มีพระเจ้า ไมราก็หยุดไปโบสถ์ เมื่อเอียนบอกว่าการข่มขืนและฆ่าไม่มีความผิด การฆ่าคือคือการสร้าง
เธอก็ไม่สงสัย    ตอนนี้ตัวตนของไมราเริ่มหลอมละลายจนรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเอียนไปแล้ว

ความเปลี่ยนแปลงของไมราไม่พ้นสายตาของบรรดาเพื่อนฝูงที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน เธอกลายเป็นคนหยาบคาย หยิ่งยโสและก้าวร้าว
การแต่งเนื้อแต่งตัวเริ่มประหลาด เธอกลายเป็นคนลึกลับไม่เข้าสังคม และเริ่มเกลียดเด็กเข้ากระดูกดำ

ต้นปี 1963 เอียนคิดลองใจไมรา บอกว่าเขาจะวางแผนปล้นธนาคารจึงอยากให้เธอขับรถหนี ไมราก็รีบไปเรียนขับรถทันที
ทั้งยังซื้อปืนมาสองกระบอกเข้าสมาคมยิงปืนเพื่อหัดยิง แต่คราวที่รู้ว่าเอียนโกหกแทนที่จะโกรธ กลับไม่พูดอะไรมากนัก เอียนชอบใจ
กับพฤติกรรมของไมราที่ตอบสนองกับความต้องการของเขา เขารู้ว่าเธอนี้แหละที่เป็นของเขาอย่างแท้จริง

ด้วยความรู้สึกเช่นนี้เองที่ทำให้เอียน แบรดีได้ชักชวนไมรา ฮินด์เลย์ทำการฆาตกรรมครั้งแรกกับเหยื่อวัย 16 ปี พอลลีน รีด
ในวันที่ 12 กรกฎาคม 1963


พอลลีน รีด
               
วันที่ 12 กรกฎาคม 1963 พอลลีน รีด วัย 16 ปี ออกจากบ้านเพื่อไปเต้นรำที่สโมสรคนงานรถไฟ อันที่จริง เธอมีนัดกับเพื่อนสามคน
คือ ลินดา บาร์บารา และแพท แต่พ่อแม่ของสามสาวกลับเปลี่ยนใจไม่ยอมอนุญาตให้ไปเพราะเพิ่งรู้ว่าที่นั้นขายแอลกฮอล์ด้วย ทำให้
พอลลีนจำใจต้องไปงานนั้นคนเดียว เธอใส่ชุดสีชมพูสวยสด ออกจากบ้านเพื่อไปงาน
แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย.....

เที่ยงคืน พ่อแม่ของพอลลีนเริ่มเป็นห่วงและได้ออกตามหาแต่ก็ไร้วี่แวว เมื่อเห็นท่าไม่ดีทั้งสองจึงเอาเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจตอนเช้า
ให้ช่วยเหลือแต่ก็ล้มเหลว ไม่มีร่องรอยของพอลลีน มันเหมือนเธอหายไปจากโลกยังไงยังงั้น..

เรื่องของพอลลีนเงียบหายไปพักหนึ่ง คดีคนหายครั้งที่สองก็เกิดขึ้นอีก.........

จอห์น คิลไบรด์
                 
วันที่ 11 พฤศจิกายน 1963 จอหน์ คิลไบรด์ ออกไปดูหนังกับเด็กชาย จอห์น ไรอัน หนังจบ 5 โมงเย็นทั้งสองเลยตั้งใจเข้าไปหาลำไพ่
ที่ตลาดในแอชตัน อันเดอร์ ลีน เผื่อจะมีเจ้าของแผงจ้างให้ช่วยเก็บแผงขายของ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจจ้างเด็กทั้งสอง จอห์น ไรอัน
หันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะจับรถบัสกลับบ้าน

ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นเพื่อนคือ จอห์น คิลไบรด์ยืนอยู่ข้างถังขยะใกล้แผงร้ายขายพรม......

จอห์น คิลไบรด์ไม่ได้กลับบ้านตอนอาหารเย็นแม่ของจอห์นรู้สึกเป็นห่วง จึงไปแจ้งความกลับตำรวจ และนี้เป็นครั้งที่สองที่เป็นการค้นหา
ชนิดพลิกแผ่นดินโดยใช้อาสาสมัครจำนวนมาก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้อะไรคืบหน้า
             
คีธ เบ็นเน็ต

วันที่ 16 มิถุนายน 1964 คีธ เบ็นเน็ต อายุ 12 ปี วันเกิดเหตุนั้นคีธเดินไปที่บ้านของยายเพื่อไปนอนค้างที่บ้านที่ห่างจากบ้านพ่อแม่ของคีธ
แค่ 1 ไมล์ แม่ของเขามองคีธออกจากบ้านข้ามถนนไปตามทางบ้านของยาย และก็หายไปเลย.............

แต่กว่าจะรู้ว่าคีธหายไป ก็จนเช้ายายมาบ้านของหลานนึกว่าคีธไม่มาเพราะไม่สบาย พ่อแม่ของคีธตกใจเมื่อลูกหาย และรีบแจ้งตำรวจ
และก็เป็นอีกครั้งที่ตำรวจระดมค้นหาชนิดพลิกแผ่นดินแต่ก็ล้มเหลว เด็กชายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
               
เลสลี แอน ดาวนี
               
26 ธันวาคม 1964  ตอนบ่าย เลสลี แอน ดาวนี อายุ 10 ขวบ เธอไปเที่ยวงานแฟร์กับพี่ชายสองคนและเพื่อนๆ ที่ฮูลม์ ฮอลล์ เลน
ห่างจากบ้านแค่ 10 นาที เงินก็หมดไปกับการเล่นเกมต่างๆ ในงาน เมื่อเงินหมดก็หมดสนุก ทั้งหมดตัดสินใจกลับบ้านยกเว้นเลสลี
แอนคนเดียวที่ไม่ยอมกลับ มีคนสุดท้ายเห็นเธอเมื่อตอนห้าโมงครึ่ง เห็นว่าเธอยืนอยู่คนเดียวข้างรถคนหนึ่ง
แล้วก็หายตัวไปเลย.........................

เมื่อเลสลี่ แอนไม่กลับบ้านในตอนเย็น แม่ของเธอและพ่อคนใหม่เริ่มออกตามหา แจ้งตำรวจมาช่วย แต่ไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก
แม้จะมีอาสาสมัครมาช่วยนับพันคน โปรเตอร์ถูกติดไปทั่วเมือง แต่ผลก็ซ้ำรอยเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปในความมืด ไม่มีใคร
ตอบได้ว่าเธอหายไปไหน.....

อีก 10 เดือนต่อมาความลับทั้งหมดก็ถูกเปิดเผย
               
หลักฐานจากนรก



เมื่อตำรวจขุดหลุมเพื่อหาศพที่ทุ่ง จนในวันที่ 10 ตุลาคม 1965 ก็พบศพของเลสลี่ แอนน์ ดาวนี่ เป็นรายแรก ศพเธอนั้นเปลือยเปล่า
ฝังในก้นหลุมตื้นๆ เสื้อผ้าของเธอถูกดึงลงมากองกับเท้า เมื่อมีการค้นพบศพแรก วันที่ 15 ตุลาคม ตำรวจทำการค้นบ้านของทั้งสองอีกครั้ง
คราวนี้ไม่เสียเที่ยวตำรวจพบหลักฐานมากมายตามที่ต้องการ


เริ่มจากตั๋วฝากกระเป๋าที่พบในหนังสือสวดมนต์ มันพาตำรวจไปที่ตู้ล็อคเกอร์ฝากของในสถานีรถไฟแมนเชสเตอร์เซ็นทรัล
ในตู้นั้นมีกระเป๋าสองใบในนั้นเต็มไปด้วยภาพถ่ายกึ่งลามกของเลสลี่ แอน 9 ภาพ เธออยู่สภาพเปลือย ถูกมัดมือมัดเท้า
ถูกจัดท่าทางให้ถ่ายรูปในมุมต่างๆ ในห้องนอนของไมรา ฮินเลย์

ที่สำคัญตำรวจได้พบเทปบันทึกเสียง เมื่อเปิดออกมามันเป็นเสียงเด็กหญิงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ร้องไห้ ร้องขอชีวิต
อีกสองเสียงเป็นเสียงชายกับเสียงผู้หญิงคู่หนึ่งกำลังข่มขู่เด็กหญิง ตำรวจรู้ทันทีเลยว่าเสียงชายหญิงคู่นั้นเป็นของเอียน  แบรดี
และไมร่า ฮินเลย์ สิ่งที่ทารุณที่สุดในการยืนยันหลักฐานชิ้นนี้คือ  การให้แม่ของเลสลี่ แอนยืนยันเสียงนี้ว่าเป็นของเธอหรือไม่
โดยให้ฟังจนถึงถึตอนเธอถูกฆ่าเลย


แม้จะมีหลักฐานแน่หนาแต่ คู่รักนรกยังปฏิเสธไม่ได้ฆ่าเลสลี่ แอน แถมยังซัดทอดไปที่เดวิด สมิธ อีก บอกว่าเขาเป็นคนพาเด็กมาที่บ้าน
ให้เอียนกับไมราถ่ายรูป หลังจากที่ถ่ายแล้วก็ปล่อยให้สมิธพาเธอกลับบ้าน แล้วก็ไม่เห็นเธออีกเลย ต้องเป็นสมิธแน่ๆ ที่ฆ่าเธอ

ส่วนรายของจอห์น คิลไบรด์ แม้จะไม่มีรูปถ่ายชัดเจนของเขา แต่ตำรวจเจอลายมือของแบรดี เขียนคำว่า "จอห์น คิลไบรด์" ไว้ในสมุดโน๊ต 
กับเขียนกำกับไว้บนรูปถ่ายของไมราซึ่งนั่งในทุ่ง ซึ่งต่อมาตำรวจได้สืบทราบว่ามันเป็นที่เดียวกับหลุมศพของเด็กชาย
แต่อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่พบร่างของเด็กอีกสองคนที่หายไป จึงดำเนินคดีได้เฉพาะเรื่องของเอ็ดเวิร์ด อีแวน, เลสลี แอน ดาวนีย์ และจอห์น คิงไบรด์เท่านั้น

27 เมษายน เอียน แบรดีและไมรา ฮินด์เลย์ ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาล ทั้งคู่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และไม่มี
ที่ท่าจะสำนึกผิดหรือแสดงความเสียใจใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นทั้งสองยังป้ายสีเดวิด สมิธเป็นฆาตกรอีกต่างหาก แต่ไม่ว่าทั้งสองจะแก้ตัวอย่างไร
เอียนและไมราก็ถูกศาลตัดสินให้รับโทษฐานทำการฆาตกรรมเอ็ดเวิร์ด อีแวน, เลสลี แอน ดาวนีย์ และจอห์น คิงไบรด์
โดยรับโทษสูงสุดคือจำคุกตลอดชีวิต


น่าเสียดายอย่างยิ่ง เนื่องจากกฤษฎีกาการยกเลิกโทษประหารเพิ่งนำมาบังคับใช้ก่อนที่เขาจะถูกจับเพียงอาทิตย์เดียวเท่านั้น!

หลังติดคุก


               
ตลอดช่วงหลายปีที่ทั้งสองติดคุก ไมราและเอียนยังคงติดต่อกันทางจดหมายเนื่องๆ และขอเรื่องอนุญาตแต่งงานแบบถูกกฎหมาย
แต่ปัญหามันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อไมรายังยืนยันมาโดยตลอดว่าเธอไม่ผิด อ้างว่าเอียนและเดวิด สมิธต่างหากที่ต้องรับผิดชอบกับการฆาตกรรม
ดังนั้นหลังจากที่เธอติดคุกไม่นานก็เริ่มอุทธรณ์


แต่ศาลอุทรธรณ์ไม่รับคำร้องของเธอด้วยเหตุผลที่ว่า ศาลชั้นต้นตัดสินไม่ผิด  ปี 1970 ไมรายุติการติดต่อกับเอียน แบรดีโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากเธอคงคิดว่าว่าไม่มีเว้นที่เธอจะพบเขาอีก หลังจากติดคุกมากกว่า 10 ปี ไมรา ฮินเลย์ยังคงพยายามหาอิสรภาพ เธอเขียนหนังสือ
ที่มีความยาวถึง20,000 คำ(นับได้ไงฟ่ะ) เพื่ออธิบายลักษณะตัวตนของตัวเอง ว่าถูกแบรดีครอบงำยัดเยียดความชิดชั่วร้ายต่างๆ นาๆ ใส่หัว
(ปัจจุบันนี้เป็นข้ออ้างที่นักโทษหลายคนชอบนำมาใช้แก้ตัว) เอียน แบรดี ต่างหากที่ผิด โดยมีเดวิด สมิธเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด


เอกสารดังกล่าวยื่นให้รัฐมนตรีมหาดไทยเพื่อขอทัณฑ์บน แต่ได้รับการปฏิเสธแล้วบอกว่าอีกสามปีให้มาพูดใหม่อีกที........
ปี 1978 เอียนกล่าวต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรก บอกว่า เขาไม่ต้องการทัณฑ์บนเพราะ
"ผมยอมรับการลงโทษของศาลที่ตัดสินให้ข้าพเจ้าและไมราจำคุกตลอดชีวิต แม้ว่าข้าพเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองและสำนึกผิดแล้ว"

หลังจากนั้นเป็นต้นมาเอียนก็หายหน้าไปจากสังคมเพราะร่างกายเริ่มอ่อนแอ และทนทุกข์กับการเห็นภาพหลอน แต่ไมราไม่เป็นแบบเอียน
เธอยังทำทุกวีถีทางเพื่อที่จะออกจากคุก ตลอดเวลาที่เธอติดคุกมายี่สิบปี เธอขอทัณฑ์บนต่อรัฐมนตรีทุกคนที่รับตำแหน่งแต่ก็ได้รับปฏิเสธ
ทุกรายต่างวางเฉย แม้กระทั้งศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปยังไม่เข้าข้าง แถมบอกว่า

"การที่ไมรา ฮินเลย์อ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมอันสุดสยองล้วนเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น"

ปลายปี 1987 ไมรา ตัดสินใจสารภาพหมดเปลือกกับสิ่งที่ตนทำขึ้นเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้น 5 ครั้ง แต่เธอสารภาพ
เนื่องจากแม่ของคีธ เบ็นเน็ต ขอให้เธอเปิดเผยว่าอะไรเกิดขึ้นกับลูกชายเธอ คำสารภาพของไมราบีบให้เอียน แบรดีต้องสารภาพ
หลังจากนั้นด้วย แต่ทั้งคู่ไม่ได้โศกเศร้าเสียใจอะไรเลยกับสิ่งที่พวกเขาทำกันใดๆ ทั้งสิ้น

จนแล้วจนรอดทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่าศพของคีธ เบ็นเน็ตและพอลลีน รีด ฝังอยู่ที่ในจุดไหนในท้องทุ่งกันแน่ แต่ในที่สุดปี 1 กรกฎาคม 1987
ตำรวจก็ขุดพบศพของพอลลีน ในชุดเต้นรำสีชมพู แต่แล้วจู่ๆ ไมราก็กลับคำรับสารภาพในคดีของพอลลีน รีดอีก เธอบอกว่าไม่มีส่วน
ร่วมกับการฆาตกรรมใน  ของพอลลีน รีด เธอเล่าว่าตัวเธอเองแค่ล่อลวงให้พอลลีนไปที่ทุ่งแซดเดิ้ลเวิร์ธ ว่าให้ช่วยเธอหาถุงมือที่หายไป
ระหว่างทางโดยจะให้แผ่นเสียงเป็นการตอบแทน พอเธอพาพอลลีนไปถึงที่นั้น เอียนก็ขี่มอเตอร์ไซด์ออกมาสมทบ และให้ไมรารออยู่
ที่รถเสร็จแล้วพอลับตาก็ลงมือข่มขื่นและปาดคอให้ตาย เสร็จแล้วก็เรียกไมราช่วยนำศพไปฝัง แต่เอียนกับให้คำตรงข้ามกับไมรา
บอกว่าไมราเองก็เข้าร่วมกิจกรรมเซ็กซ์กับเด็กสาวร่วมกับเขาด้วย


ส่วนศพของคีธ เบ็นเน็ตยังไม่มีใครพบจนถึงบัดนี้ แต่จากคำสารภาพของไมราบอกว่าไมราล่อคีธไปที่รถบอกว่าให้ช่วยขนของขึ้น
แล้วก็พาตัวเขาขึ้นรถขับไปที่ทุ่งแซดเดิ้ลเวิร์ธ ข่มขื่นและฆ่ารัดคอ

               
สู้เพื่ออิสรภาพ


               
ตลอดระยะเวลาที่จำคุกอันยาวนาน ไมราไม่เคยหยุดพยายามขอทำทัณฑ์บนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เรื่องของเธอ ภาพของเธอยังติดตาใจ
มากเกินกว่าจะลืมลง


ปี 1997 ไมรา ฮินเลย์ยื่นคำร้องขอคัดค้านการตัดสินใจของโฮเวิร์ดรัฐมนตรีช่วยว่าการคนก่อนที่ไม่ให้โอกาสเธอทำทัณฑ์บน
ครั้งนี้มีลอร์ลองฟอร์ด และลอร์ด แอสเตอร์ เป็นคนสนับสนุนเธออย่างเต็มที่โดยมีเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ทว่าผลสุดท้ายรัฐมนตรีช่วยว่าการคนปัจจุบันแจ๊ค สตรอว์ กลับบอกว่า "ตราบใดที่ผมยังอยู่ในตำแหน่งผมจะไม่มีวันปล่อยเธอเป็นอันขาด"
คำร้องของไมราก็ไม่เป็นผลอีกครั้ง


จากการสังเกต หากสมมุติว่าถ้าไมราเป็นคนใจเย็นอดทนไม่โต้แย้งต่อสู้ บางที่เมื่อวันเวลาผ่านไปสักสามสิบปีอาจจะทำให้คนลืมเลือน
และอิสรภาพที่เธอโหยหาอาจจะมาถึงก็เป็นได้ แต่เธอไม่ใช้ผู้หญิงที่นิสัยอย่างนั้น เธอเป็นเครื่องหมายของความชั่วร้ายของอังกฤษไปเสียแล้ว
เพราะเธอดันทำตัวเป็นข่าวห้ประชาชนชาวอังกฤษเหม็นขี้หน้าซะงั้น

แต่ในความพยายามอย่างเหลือเกินของไมรา ก็มีครั้งเดียวเท่านั้นที่เธอออกจากเรือนจำ แต่มันก็ได้แค่อิสรภาพช่วงสั้นๆ เมื่อผู้คุมพาเธอ
ออกจากคุกไฮพอยท์ในซัฟโฟคไปยังโรงพยาบาลซัฟโฟคตะวันตกเพื่อตรวจร่างกาย เนื่องจากไมราล้มหมดสติจากการสูบบุหรี่อย่างหนัก
จนแน่นหน้าอกเพราะความดันโลหิตสูง

วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 มีข่าวออกมาว่า ไมรากำลังยื่นต่อสู้คัดค้านการติดคุกไปสู่สภาขุนนาง โดยการประท้วงอดอาหารสามเดือน
เธอบอกว่ายอมฆ่าตัวตายดีกว่ายอมตายในคุก ในขณะนั้นเธอติดคุก 33 ปี และเอียนอายุ 61 ปี

การต่อสู้เพื่ออิสรภาพของไมราดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น ไม่ว่าเธอจะพยายามยืนคำร้องกี่ครั้งกี่หน แต่บรรดาผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่ผ่านมา
ก็ไม่มีใครเสี่ยงกับการปล่อยเธอ ปี 1997 ไมราส่งเรื่องเข้าสู่ศาลสูง และรู้สึกว่าศาสสูงจะยอมรับความคิดเห็นของเธอและมีแนวโน้ม
ที่เธอจะได้อิสรภาพ โดยให้เหตุผลว่า

"ไมราเผชิญกับการชดใช้ความผิดมามากพอแล้ว และไม่เป็นภัยกับสังคมอีกแล้ว เราคงต้องพิจารณาเรื่องของเธอกันใหม่อีกครั้ง"
แต่ไม่ทัน ที่ศาลจะพิจารณาไมรากลับตายก่อนเสียนี้!
               
บทส่งท้าย

"ฆาตกรชื่อดังเสียชีวิต"

หนังสือพิมพ์ดีพิมพ์การเสียชีวิตของไมรา ฮินเลย์ วัย 60 ว่าเสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อจนระบบหายใจล้มเหลว เธอทรมา
เพราะโรคหัวใจมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้เกิดอาการแน่นหน้าท้องหายใจไม่ออกและยังเป็นโรคกระดูกพรุนอีกต่างหาก
ศพของไมราได้รับการฝังโดยวิธีการทางศาสนา มีญาติใกล้ชิดมาดูใจก่อนฝัง


เทย์เลอร์ นิโคลทนายความของไมราได้ส่งคำรับสารภาพก่อนตายของเธอแก่สื่อมวลชนว่า ลูกความของเขาสำนึกผิดต่อ
อาชญากรรมร้ายแรงที่ทำต่อผู้ตายและบรรดาญาติๆ ของผู้ตาย และยังมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า เธอจะไม่มีวันรับการให้อภัย

วินนี่ จอห์นสัน แม่ของคีธ เบนเน็ต เหยื่อรายเดียวที่หาศพไม่พบ ยังคงตั้งความหวังว่าสักวันอาจได้เจอกระดูกสักชิ้นของเขา
"ถ้าไมราตาย ฉันคงต้องหมั่นไปถามเอียน แบรดี ซะแล้ว แต่ฉันไม่รูสึกเสียใจเลยนะที่หล่อนตายเสียได้ ฉันหวังว่าหล่อนคงตกนรกนะ"

เทอร์รี่ คิลไบรด์ น้องชายของจอห์น คิลไบรด์ กล่าวว่าครอบครัวยังทำใจไม่ได้เลยกับความตายของจอห์น
"คิดถึงครั้งใด ก็เหมือนมีมีดปักอยู่ในใจ และยังปักคาอยู่อย่างนั้น แม้เธอ(ไมรา)จะตายแล้วก็ตาม"

แครอล แอน เดวี นักเขียนชีวประวัติเข้าไปสัมภาษณ์ไมรา โทษเอียนว่าเป็นต้นเหตุที่เข้าไปครอบงำจนไมราเป็นฆาตกร
"ไมราเป็นผู้ดูแลเด็กอย่างแท้จริง ไม่งั้นพ่อแม่หลายคนคงไม่ไว้ใจทิ้งลูกไว้กับเธอ ตอนที่เธอยังเป็นตัวของตัวเองหรอก"

มาร์ ลีซ บรรณาธิการหนังสือคู่มือคุก เคยใช้เวลาอยู่กับไมราสามชั่วโมงหลังลูกกรงกลับให้ความเห็นกับเทอร์รี่ว่า
"เธอไม่เห็นเสียใจกับอะไรสักอย่าง"

ไม่ว่าใครจะมีความเห็นเป็นอย่างไร ไมรา ฮินเลย์และคดีของเธอก็เป็นตัวอย่างของนักจิตวิทยาว่า จากเด็กสาวสดใสที่เติบโต
มาอย่างธรรมดาคนหนึ่ง สามารถกลายเป็นปีศาจสาวอำมหิตเมื่อเจอกับหนุ่มโรคจิต ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีความสนใจความรู้สึก
ของคนรอบข้าง จึงไม่น่าแปลกใจว่า เมื่อเธอมีความทุกข์ที่สุดก็ไม่มีใครเห็นใจเธอเช่นกัน

               
รู้ไว้ หนักสมอง.....................



หลายคนอาจแปลกใจว่า ทำไมฆาตกรใจเหี้ยมบางครั้งก็ไม่ถูกประหาร อย่างมากแค่จำคุกตลอดชีวิต ในอเมริกานั้นมีการรณรงค์
ต่อต้านโทษประหารอย่างกว้างขวาง และโทษโลกอีก สาเหตุหลักๆ ก็เนื่องจาก


-  มีหลักฐานว่าใน บางรัฐของอเมริกา เมื่อตัดสินใจยกเลิกโทษประหาร สถิติฆาตกรรมจะลดลง นั้นแสดงให้เห็นว่าการประหารชีวิต
มิได้ทำให้ฆาตกรเข็ดหลาบ แต่กลับไปเพิ่มจำนวนด้วยซ้ำ

-  มีผู้บริสุทธิ์จำนวนหนึ่งถูกประหารโดยความผิดพลาดของขบวนการยุติธรรม แต่เมื่อความจริงปรากฏหลังจากผู้บริสุทธิ์ถูกประหาร
ไม่มีใครคืนชีวิตเขาได้ คดีตัวอย่างก็มีมาแล้วเช่นคดีเอหก และคดีเชอรี่แอนที่ดังไปทั่วโลก

-  แม้ประหารชีวิตเป็นเรื่องโหดร้ายที่สุดสำหรับผู้เจริญแล้ว

-  แม้ประหารชีวิต ก็ไม่ให้ครอบครัวที่สูญเสียมีอะไรดีขึ้นในระยะยาว

-  ประเทศตะวันตกทั้งหมดยกเว้นสหรัฐอเมริกายกเลิกโทษประหารแล้ว

-  การใช้โทษประหารทำลายฆาตกรทำให้รัฐและสังคมไม่มีทางแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ กลับกันฆาตกรที่ถูกจองจำ
ในคุกอาจสร้างคุณงามความดี(ที่น้อยนิด)เขียนชีวประวัติตนเองเป็นหนังสือเพื่อนำมาขายให้ประชาชนได้อ่านเพื่อป้องกันตัวเอง
และไม่ให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคม(น่าแปลกทำไมไทยเราไม่ทำบ้างน่ะ มีแต่หนังสือซุบซิบดารา)

-  การประหารสิ้นเปลืองกว่าการจำคุกตลอดชีวิต(เหลือเชื่อ) แต่คิดดูๆ แล้วอาจเป็นจริงนะ

-  คนส่วนใหญ่ในสังคมเห็นควรยกเลิกโทษประหาร(อันนี้ภรรยาผู้พันตึ๋งคงเห็นด้วย)

- แม่ของคีธ เบนเน็ต เหยื่อรายเดียวที่หาศพไม่พบได้เสียชีวิตลงแล้วในปี 2012

http://www.telegraph.co.uk/news/uknews/9507948/Ian-Brady-Winnie-Johnson-buried-with-Keith-Bennetts-glasses.html

ข้อมูลจากผู้หญิงอำมหิต โดยเชิง ไกรวลี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16 พฤษภาคม 2014, 17:00:38 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่