การฝึกอบรมบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ
เรียบเรียงโดย อาจารย์วิภาวรรณ กลิ่นหอม
สำหรับการดำเนินงานองค์การทุกประเภท เพื่อการทำงานที่บรรลุเป้าหมายองค์การ กำลังสำคัญที่สุดในองค์การ ที่ผู้ทำธุรกิจทุกคนควรตระหนักถึงคือ ความสำคัญของบุคลากร เพราะบุคลากรเป็นตัวจักรสำคัญที่สุดที่จะขับเคลื่อนนำพาความสำเร็จมาสู่องค์การ ไม่ว่าองค์การของท่านจะเป็นองค์การประเภทใดก็ตาม ไม่ว่าธุรกิจของท่านจะเล็กใหญ่เพียงใดก็ตาม ซึ่งความสำเร็จขององค์การก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคลากรในองค์การนั่นเอง และถึงแม้ท่านจะลงทุนให้มีเครื่องจักรอุปกรณ์ในองค์การดีเลิศเพียงไรก็ตาม หากขาดซึ่งบุคลากรคุณภาพแล้ว ก็คงไม่ยากที่จะเริ่มมองเห็นความล้มเหลวอยู่เบื้องหน้าลางๆ
ผู้ทำธุรกิจทุกคนจึงควรหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร ซึ่งวิธีการในการพัฒนาบุคลากรในปัจจุบันมีด้วยกันหลากหลายวิธี แต่วิธีหนึ่งที่ยังคงได้รับการยอมรับในประสิทธิภาพของผลลัพธ์ในการพัฒนา และถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการพัฒนาบุคลากรในทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่มีการรวบรวมทฤษฎีการบริหารจัดการไว้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว คือตามแนวทางทฤษฎีการจัดการเชิงบริหาร (Administrative Theory) ของ Henry Fayo ได้กล่าวไว้ว่าการจะบริหารองค์การให้มีประสบความสำเร็จ ต้องมีการฝึกอบรม (Training) จะเห็นได้ว่าการฝึกอบรมบุคลากรจัดเป็นเครื่องมือของการบริหารชนิดหนึ่ง ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์การ ดังนั้นการฝึกอบรมจึงควรจะตอบสนองต่อเป้าหมายองค์การ เพราะหากการฝึกอบรมไม่สามารถสนับสนุนให้องค์การบรรลุเป้าหมายใดๆ ได้แล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะจัดการฝึกอบรมขึ้นมา ดังนั้นองค์การจะต้องถือว่าการฝึกอบรมเป็นหนทางที่จะนำไปสู่เป้าหมาย โดยการฝึกอบรมเป็นการทำเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทักษะ และความสามารถของพนักงาน ซึ่งผู้ทำธุรกิจทุกคนควรจะได้เห็นความสำคัญในจุดนี้
ที่จริงถ้าจะกล่าวอย่างเป็นทางการแล้ว การฝึกอบรมก็คือกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างหรือเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ความสามารถ และเจตคติ อันจะช่วยปรับปรุงให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้นนั้นเอง แต่ทั้งนี้แม้ว่าการฝึกอบรมจะเข้ามามีบทบาทในการเสริมสร้างประสิทธิภาพขององค์การในหลายๆ ด้าน แต่ผู้ทำธุรกิจก็ต้องเข้าใจก่อนว่าปัญหาใดที่การฝึกอบรมสามารถมีส่วนช่วยแก้ไขได้ ซึ่งความสำเร็จของการฝึกอบรมยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทของผู้บริหารอย่างแนบแน่นทีเดียว
ส่วนถ้าจะถามว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ การฝึกอบรมบุคลากรทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลอย่างที่องค์การต้องการนั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกระบวนการของการจัดการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบเสียก่อน ซึ่งกระบวนการเหล่านั้นมีรายละเอียดดังนี้
ขั้นที่ 1. วิเคราะห์ความต้องการในการฝึกอบรม (Needs Assessment) โดยในการวิเคราะห์นี้ เราต้องวิเคราะห์ความต้องการ 3 ด้าน คือ
- การวิเคราะห์ความต้องการองค์การ (Organization Analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับเป้าหมายขององค์การ และบรรยากาศการทำงานภายในองค์การ
- การวิเคราะห์ภารกิจและคุณสมบัติ (Task and Knowledge , Skill, Ability Analysis) ซึ่งผู้รับการอบรมจะต้องปฏิบัติภายหลังการฝึกอบรม
- การวิเคราะห์บุคคล (Person Analysis) เพื่อจะได้รู้ว่าผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนมีความรู้ ทักษะ และความสามารถที่จำเป็นสำหรับการทำงานอยู่ในระดับใด
การวิเคราะห์ความต้องการทั้ง 3 ด้านนี้ ก็เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาสรุปออกมาเป็นความต้องการในการฝึกอบรม
ขั้นที่ 2. กำหนดวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม โดยนำข้อมูลจาก ขั้นที่ 1 นำมาใช้กำหนดวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม และใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมต่อไป
ขั้นที่ 3. คัดเลือกและออกแบบโครงการฝึกอบรม ซึ่งต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อวิชา เนื้อหา รูปแบบ และวิธีการอบรม สื่อการสอน วิทยากร และเวลาสำหรับการฝึกอบรม และอื่นๆ
ขั้นที่ 4. สร้างเกณฑ์สำหรับการประเมินผล ซึ่งควรทำควบคู่ไปกับการคัดเลือกและออกแบบโครงการฝึกอบรม โดยเกณฑ์ที่สร้างขึ้นจะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การอบรมที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เกณฑ์ควรระบุว่า พฤติกรรมอะไรที่ผู้รับการอบรมจะต้องมีการพัฒนา ทางด้านความรู้ ทักษะ หรือความสามารถ ระดับต่ำสุดของพฤติกรรมที่จัดว่าผ่านเกณฑ์อยู่ที่ตรงไหน และพฤติกรรมนั้นแสดงออกมาภายใต้สภาวการณ์อย่างไร
ขั้นที่ 5. จัดการฝึกอบรม เป็นการดำเนินการฝึกอบรมตามแผนที่ได้กำหนดไว้ โดยต้องดำเนินการเกี่ยวกับสถานที่ของการฝึกอบรม ดูแลประสานงานกับวิทยากรของการฝึกอบรมด้วย ซึ่งระหว่างการจัดการฝึกอบรมอาจจะประสบกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ดังนั้นจึงควรที่จะได้มีการตระเตรียมการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไว้ด้วยเช่นกัน
ขั้นที่ 6. ประเมินผลการฝึกอบรม ประกอบด้วย การสร้างเกณฑ์สำหรับการประเมินผล และการวัดผลโดยใช้วิธีการทดลองหรือวิธีการที่ไม่ใช่การทดลอง เพื่อตรวจสอบว่ามีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่ภายหลังการฝึกอบรม
เมื่อมีการวางแผนและจัดระบบการอบรมอย่างดีแล้ว มาถึงขั้นตอนการปฏิบัติสิ่งที่เป็นจุดเริ่มที่สำคัญคือ ความร่วมมือของบุคลากร ซึ่งผู้ทำธุรกิจหรือผู้ที่มีหน้าที่ในการจัดการฝึกอบรมทุกคนไม่ควรละเลย ก็คือเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาการเรียนรู้ และการจูงใจสำหรับการฝึกอบรม ซึ่งผู้จัดควรให้ควรคำนึงถึงสิ่งสำคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้ ได้แก่
1. ผู้รับการอบรมแต่ละคนมีความพร้อมและความสามารถที่จะรับการฝึกอบรมหรือไม่
2. โครงการฝึกอบรมควรจะได้รับการออกแบบและจัดการอย่างไร จึงจะช่วยเอื้ออำนวยการเรียนรู้ของผู้รับการอบรม
3. ผู้จัดควรจะทำอย่างไร เพื่อให้ผู้รับการอบรมสามารถรักษาและนำความรู้ทั้งปวงที่ได้รับไปใช้ในการทำงานจริง
ทางด้านภาวะความพร้อมของผู้รับการอบรม ที่ผู้จัดควรคำนึงถึงก่อนการฝึกอบรม
ได้แก่
- ความสามารถของผู้รับการอบรม ระดับความถนัดหรือทักษะสำหรับการปฏิบัติงานซึ่งผู้รับการอบรมมีอยู่ในตนเอง ทั้งนี้ยังรวมถึงระดับวุฒิภาวะและประสบการณ์ของบุคคลอีกด้วย จะห็นได้ว่าหากผู้จัดการฝึกอบรมไม่ได้ประเมินความสามารถของผู้รับการอบรมล่วงหน้าแล้วการฝึกอบรมก็อาจล้มเหลวได้ เพราะการประเมินความสามารถของผู้รับการอบรมจะช่วยให้ทราบว่าพวกเขามีความรู้อะไรเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้วบ้าง ผู้ใดจำเป็นต้องได้รับการเสริมความรู้ก่อนอบรม ผู้ใดพร้อมที่จะรับการฝึกอบรมได้ทันที แลผู้ใดที่ไม่สามารถจะรับการฝึกอบรมได้
- แรงจูงใจของผู้รับการอบรม โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อระดับแรงจูงใจ
ของผู้รับการอบรม ได้แก่ 1. ความเชื่อเกี่ยวกับอำนาจควบคุม ไม่ว่าจะเป็นอำนาจควบคุมภายในตนเองหรืออำนาจควบคุมภายนอกตนเอง 2. ความเชื่อในสมรรถภาพแห่งตน ว่าจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้หรือไม่ 3. ความคาดหวังเกี่ยวกับผลลัพธ์ จะนำไปสู่การทำงานที่ดีขึ้นหรือไม่ 4. คุณค่าของการทำงาน ผู้รับการอบรมต้องให้คุณค่าหรือความสำคัญแก่การทำงานที่ดีขึ้น
ซึ่งการสร้างและรักษาแรงจูงใจของผู้รับการอบรมทำได้หลายวิธี ตามทฤษฎีการจูงใจที่น่าสนใจ 4 ทฤษฎีด้วยกัน คือ
1. ทฤษฎีการเสริมแรง อาจเป็นการเสริมแรงทางบวกหรือทางลบก็ได้ แต่ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง โดยควรคำนึงถึง พฤติกรรมที่ต้องการในภายหลัง, แรงเสริมทางบวกหรือรางวัล, ช่วงเวลาที่เสริมแรง, กำหนดการและจำนวนครั้งในการเสริมแรง, การลงโทษ
2. ทฤษฎีความรู้ความเข้าใจทางสังคม คือโครงการฝึกอบรมจะประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวังได้ ก็ต่อเมื่อผู้รับการอบรมมีความเชื่อว่าตนเองมีความสามารถที่จะเรียนรู้เนื้อหาสาระต่างๆ และมีความสามารถที่จะนำความรู้นั้นไปใช้ได้จริง
3. ทฤษฎีการตั้งเป้าหมาย มีส่วนในการฝึกอบรมหลายประการคือ
- ควรจะต้องมีการอธิบายอย่างชัดเจนถึง วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมให้ผู้รับการอบรมได้รับทราบ ตั้งแต่เริ่มต้นการฝึกอบรมและระหว่างที่กำลังฝึกอบรม
- เป้าหมายของการฝึกอบรมควรจะมีความยากในการปฏิบัติ จนเป็นที่น่าท้าทายของผู้รับการฝึกอบรม เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้เกิดความภูมิใจเมื่อบรรลุถึงเป้าหมายนั้นได้ แต่เป้าหมายนั้นก็ไม่ควรยากจนเกินไปจนทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่มีทางเป็นไปได้
- นอกจากการมีเป้าหมายสูงสุดที่จะบรรลุถึงเมื่อสิ้นสุดการฝึกอบรมแล้ว ควรจะมีเป้าหมายย่อยระหว่างการฝึกอบรมด้วย การมีเป้าหมายย่อยนี้จะทำให้ผู้รับการอบรมรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จเป็นระยะๆ และมีความหวังกำลังใจที่จะพิชิตเป้าหมายสูงสุดให้ได้ต่อไป
4. ทฤษฎีความคาดหวัง ซึ่งทฤษฎีนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำหรับการฝึกอบรมไว้หลายประการ คือ
- โครงการฝึกอบรมที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ผู้รับการฝึกอบรมจะต้องมีความเชื่อว่า การฝึกอบรมนี้มีอะไรที่ให้ประโยชน์แก่ตัวฉัน พวกเขาจะต้องรับรู้ว่า การเข้าร่วมการฝึกอบรม จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าปรารถนา เช่นโอกาสที่จะเลื่อนตำแหน่ง เพราะหากผู้รับการฝึกอบรมเห็นว่าการฝึกอบรมเป็นสิ่งที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรและเสียเวลาแล้ว พวกเขาก็อาจจะไม่ให้ความสนใจและอาจจะขาดการฝึกอบรมไปเลยก็ได้
- องค์การควรจะช่วยให้ผู้รับการอบรมเชื่อว่าความพยายามจะนำไปสู้ผลงานที่ดีขึ้น โดยการจัดหาวิทยากรที่มีความสามารถ ขจัดอุปสรรคของการปฏิบัติงาน และคัดเลือกผู้รับการอบรมซึ่งมีความสามารถและมีแรงจูงใจที่เหมาะสม
- องค์การควรแจ้งให้ผู้รับการอบรมทราบอย่างแน่ชัดว่า ความสำเร็จหรือผลการฝึกอบรมที่ดีเยี่ยมนั้น จะมีผลอย่างไรต่ออาชีพการงานของพวกเขา
- องค์การควรจะได้ทำการสำรวจว่าผลลัพธ์หรือรางวัลประเภทใดที่มีคุณค่าในสายตาของพนักงาน เพื่อที่จะได้ใช้รางวัลเหล่านั้นเป็นสิ่งจูงใจการทำงาน
เมื่อสามารถจูงใจให้บุคลากรเข้ารับการอบรมได้แล้ว การฝึกอบรมจะได้ผลดีเยี่ยมก็
ต่อเมื่อมี การถ่ายโอนความรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือระดับของการนำเอาความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรม ไปใช้ในการทำงานจริง ได้ เพราะจุดประสงค์หลักของการฝึกอบรมก็คือ การช่วยให้ผู้รับการอบรมมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น ดังนั้นผู้จัดการฝึกอบรมจะต้องตระหลักและพยายามออกแบบโครงการฝึกอบรม ซึ่งช่วยให้เกิดการถ่ายโอนความรู้ในทางบวกเกิดขึ้น (การถ่ายโอนทางบวก คือ การเรียนรู้ในงานแรกหรือในการฝึกอบรม มีผลทำให้การเรียนรู้ในงานต่อมา หรือในการทำงานจริงมีประสิทธิภาพมากขึ้น)
ในการออกแบบโครงการฝึกอบรม ผู้จัดการฝึกอบรมควรคำนึงถึงหลักการเรียนรู้ต่างๆ 4 ประการ ได้แก่ 1) ความคล้ายคลึงกันของงาน 2) การถ่ายโอนโดยอาศัยหลักการทั่วไป ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำงาน 3) ความหลากหลายของสิ่งเร้า เพราะการถ่ายโอนทางบวกจะเกิดขึ้นสูงสุด เมื่อผู้เรียนได้ทดลองทำงานซึ่งสิ่งเร้ามีความหลากหลาย 4) เงื่อนไขของการฝึกฝน ต้องเลือกประเภทของการฝึกฝนให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม
หัวใจสำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้การฝึกอบรมมีประสิทธิภาพก็คือ การกำหนดเนื้อหาของหลักสูตร ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 3 ขั้น คือ การจัดเตรียมโครงร่างของหลักสูตร , การสร้างแผนการเรียน และการจัดวางเนื้อหาวิชา ซึ่งเนื้อหานั้นจะต้องสนองตอบวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมที่ได้กำหนดไว้แล้ว และต้องสอดคล้องกับสภาพการทำงานจริง รวมทั้งต้องมีความถูกต้องทันสมัยด้วย
ส่วน วิธีการฝึกอบรม ในปัจจุบันที่นิยมใช้กันก็มีหลากหลายวิธี ได้แก่
- วิธีการบอกกล่าว / วิธีการกระทำ / วิธีการแสดง
- วิธีการทีมีวิทยากรเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เช่น การบรรยาย การอภิปราย
- วิธีการที่มีผู้รับการอบรมเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เช่นการระดมสมอง กรณีศึกษา การสาธิต
- วิธีการที่เน้นพัฒนาการเรียนรู้เป็นรายบุคคล เช่นการสอนงาน
- วีการที่ใช้โสตทัศนูปกรณ์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เช่น การสอนโดยใช้วิดีโอ
ที่สำคัญคือผู้จัดต้องพิจารณาว่าต้องการให้เกิดการเรียนรู้แบบใด แบบมุ่งเน้นการเรียนรู้เป็นรายบุคคล หรือมุ่งเน้นการเรียนรู้เป็นกลุ่ม แล้วจึงตัดสินใจเลือกวิธีการในการฝึกอบรมตามความเหมาะสมต่อไป
และเมื่อดำเนินการฝึกอบรมเป็นที่เรียบร้อยแล้วต้องไม่ลืมว่า ควรจะต้องมีการประเมินผลการฝึกอบรมด้วย ทั้งนี้ก็ต้องเลือกวิธีการประเมินผลให้เกิดความเหมาะสมด้วย จุดสำคัญอยู่ที่วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลนั่นเอง วิธีที่นิยมใช้กันทั่วไปเป็นวิธีที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ คือมีการทดสอบก่อนและหลังการฝึกอบรม นอกจากนั้นยังควรมีการประเมินความคุ้มค่าของโครงการฝึกอบรมด้วย และอาจมีการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย
กล่าวโดยสรุปจะเห็นว่าการจะทำให้การฝึกอบรมเกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริงได้นั้น ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตัวผู้บริหารหรือผู้ทำธุรกิจเองที่ต้องเล็งเห็นถึงความสำคัญของการฝึกอบรม และมีความเชื่อมั่นในวิธีการพัฒนาบุคลากรด้วยการฝึกอบรม ว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประสิทธิภาพการทำงานองค์การได้ จากนั้นควรยึดมั่นในหลักการที่ถูกต้องสำหรับกระบวนการในการจัดทำการฝึกอบรม โดยทำให้เป็นระบบ ไม่ใช่เพียงทำให้เสร็จให้ผ่านๆ ไปในแต่ละครั้งเท่านั้น เพราะการฝึกอบรมไม่ใช่กิจกรรมที่จะส่งผลในระยะสั้นเท่านั้น หากแต่ยังต้องการการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะการพัฒนาบุคลากรต้องมีความต่อเนื่องจึงจะเกิดผลอย่างแท้จริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันย่อมต้องการความรู้ใหม่อยู่ตลอดเวลา เพื่อการนำมาปรับใช้กับองค์การของท่านต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กฤษฎา เสกตระกูล. พิชิตธุรกิจอย่างมืออาชีพ ชุดบันไดสู่ความมั่งคั่งเล่ม 2. กรุงเทพฯ: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 2546.
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน). SMEs กับการพัฒนาที่ยั่งยืน. กรุงเทพฯ: ฝ่ายแผนงาน, 2536.
ผุสดี รุมาคม. การบริหารธุรกิจขนาดย่อม.กรุงเทพฯ: ฟิสิกส์เซ็นเตอร์, 2544.
ภาวรี ฉัตรกุล ณ อยุธยา. เฟรนไชส์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ เค แอน พี บุ๊ค, 2546.
เรวัต ตันตยานนท์. ก่อร่างสร้างกิจการ เล่ม 1. กรุงเทพฯ: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 2546.
วรภัทร. 99 กฎทองสำหรับ เจ้าของ SMEs. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์กู๊ด มอร์นิ่ง, 2546.
สมชาย หิรัญกิตติ และ ศิริวรรณ เสรีรัตน์. การบริหารธุรกิจขนาดย่อม. กรุงเทพฯ: DIAMOND IN BUSINESS WORLD, 2542.
อำนาจ ธีระวนิช. การจัดการธุรกิจขนาดย่อม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2546.
ข้อมูลจากหนังสือ การฝึกอบรมบุคลากรในองค์การ โดยชูชัย สมิทธิไกร
กรณีศึกษา
จากหนังสือ พิชิตธุรกิจอย่างมืออาชีพ ชุดบันไดสู่ความมั่งคั่งเล่มที่ 2
โดย ดร.กฤษดา เสกตระกูลและคณะ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โกลเด้น มายด์ เซอร์วิส
โกลเด้น มายด์ เซอร์วิส เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่เกิดขึ้นมาไม่นานนี้เอง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลพวงของเศรษฐกิจฟองสบู่ หรือมองอีกแง่หนึ่งก็เป็นไปตามกระแสโลกที่พยายาม Outsource งานที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักออกไป
ธุรกิจบริการรับส่งเอกสาร จัดหาพนักงาน สำนักงานบัญชี บริหารจัดหาพนักงานทั้งชั่วคราวและประจำ ฯลฯ เป็นธุรกิจประเภท ?หลังบ้าน? ของผู้ประกอบการที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่อยากจะแบกรับภาระไว้ จึงเข้าทาง คุณจารุภัทร์ วัฒนะโชติ ผู้บริหารที่ผ่านงานบริหารบุคคลจากบริษัทหลักทรัพย์ใหญ่อย่างเอกธำรงมาก่อน
การเริ่มต้นธุรกิจใหม่จากประสบการณ์โดยตรง เป็นสูตรสำเร็จอย่างหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ แต่สำหรับจารุภัทร์แล้ว การชักชวนบริษัทในธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ที่คุ้นเคยก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะสร้างฐานลูกค้ารายใหญ่ตั้งแต่เริ่มต้นเลย ด้วยเงินทุนจดทะเบียนเริ่มแรกที่ 1 ล้านบาท กับพนักงาน 60 คน เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นมาเป็น 15 ล้านาท มีพนักงาน 2,800 บาท ในวันนี้ ถือว่าเป็นธุรกิจที่โตไว แม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่ายังไม่เร็วนักและต้องการเน้นที่ ?เนื้อหา? มีการเติบโตอย่างเป็นระบบ และเป็นลำดับมีการพัฒนาเป็นขั้นเป็นตอน พยายามเติบโตอย่างสม่ำเสมอ มีพื้นฐานที่ดีโดยตลอดเวลาที่ผ่านมา ได้มีการปรับตั้งแต่โครงสร้างองค์กร มีการจ้างมืออาชีพเข้ามาบริหารกิจการ มีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อรองรับงานต่าง ๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงการทำ ISO9001 v. 2000 นอกจากนี้ บริษัทจะเน้นพัฒนาคุณภาพของพนักงานตลอดเวลา โดยการจัดหลักสูตรฝึกอบรมต่าง ๆ ให้กับพนักงานอย่าง ต่อเนื่อง
โกลเด้น มายด์ เซอร์วิส นับเป็นรายแรก ๆ ที่ให้บริการด้านนี้ โดยเริ่มโอกาสทางการตลาดได้ก่อนใคร แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่าลูกค้าที่เข้ามาจะไม่ถูกใครอื่นแย่งไป และความเป็นธุรกิจบริการ สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ ?คน"?ทำให้โกลเด้น มายด์ ต้องการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สร้างคุณภาพการบริการจากภายในตัวพนักงานด้วยหลัก 6S ได้แก่
- Smile ยิ้มแย้มแจ่มใส
- Speak พูดจา ไพเราะ มีสัมมาคารวะ
- Speed รวดเร็ว ถูกต้อง
- Sincere มีความจริงใจ
- Services บริการดี มีคุณภาพ ลูกค้าประทับใจ
- Satisfaction สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จประการสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจนี้อยู่ยงและเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าการสร้างความเชื่อถือ ไม่ว่าจะในหมู่ลูกค้า ผู้ถือหุ้น หรือแม้แต่พนักงาน โดยใช้หลักความเป็นธรรม ซึ่งหมายถึง
1. ไม่เอาเปรียบลูกค้า (โดยคิดราคาที่เหมาะสม) จ่ายเงินเดือนให้พนักงานก่อนที่จะเรียกเก็บเงินจากลูกค้า
2. คุณภาพในการบริการต้องดี โดยเฉพาะคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนคุณภาพของบริษัท
3. ความเป็นธรรมที่ให้กับพนักงาน เช่น ค่าตอบแทน และสวัสดิการที่ดี รวมทั้งมีส่วนแบ่งผลกำไรให้พนักงานร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิ
ทั้งหมดข้างต้นนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่จะเป็นบริษัทให้บริการรับเหมาแรงงานที่มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในด้านบริการ ที่มีจำนวนพนักงานติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศไทย