-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 7 เรื่องลึกลับสยองขวัญ  (อ่าน 282 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18209
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
7 เรื่องลึกลับสยองขวัญ
« เมื่อ: 14 ธันวาคม 2018, 10:58:39 »

7 เรื่องลึกลับสยองขวัญ
cr. Cammy-เต่านรก

7 เรื่องราวต่อไปนี่คือเรื่องสยองขวัญลึกลับที่ผมเลือกเรื่องที่คิดว่าน่ากลัว อ่านแล้วขนลุก และหลายคนอาจไม่ค่อยได้ยิน
มามัดรวมเอาไว้เพื่อให้ทุกคนได้อ่านกัน ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ตที่สรรหาเรื่องราวเหล่านี้ให้คนทั่วโลกได้อ่าน

 
7. โทรศัพท์จากความตาย (Calls From The Dead)



โทรศัพท์จากความตายเป็นเรื่องธรรมดาในนิยายและภาพยนตร์ เกี่ยวกับคนตายได้ใช้โทรศัพท์มาบอกลาคนรักและครอบครัว
แน่นอนว่ามันน่าขนลุกและน่ากลัว หากแต่เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง


เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2008 รถไฟสองขบวนได้ชนกันในย่านแชตสเวิร์ท ของลอสแอนเจลีส อุบัติเหตุนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 25 คน
หนึ่งในผู้โดยสารก็มีชาร์ล อี. เปค (Charles E. Peck) ที่กำลังเดินทางจากเมืองซอลท์เลคไปสัมภาษณ์งานในลอสแอนเจลิส
รวมอยู่ด้วย ซึ่งเขาหวังกับงานนี้มาก และเขาก็มีคู่หมั้นชื่อแอนเดรียน แคทซ์ (Andrea Katz) ที่อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
และเขาก็วางแผนที่จะแต่งงานกับเธอถ้าเขาได้รับการว่าจ้าง


ในช่วงสิบเอ็ดชั่วโมงหลังเกิดอุบัติเหตุ คู่หมั้นของเขา, ลูกชาย, พี่ชาย, แม่เลี้ยง และน้องสาว ได้รับสายโทรศัพท์จำนวนมาก
จากโทรศัพท์มือถือของชาร์ลส์ โดนรวมแล้วคนที่เขารักได้รับ 35 สาย แม้ว่าพวกเขาจะพยายามโทรกลับ แต่พวกเขาก็ได้ยิน
เสียงไม่ชัด หรือไม่ก็ข้อความตอบรับเท่านั้น แต่พวกเขายังมองโลกในแง่ดีว่าชาร์ลส์ยังมีชีวิตอยู่ในซากปรักหักพังและกำลัง
เรียกเพื่อขอความช่วยเหลือ

ในที่สุดเมื่อทีมค้นหาตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ของชาร์ลส์ ก็พบว่าเขาเป็นศพในรถโดยสารไปแล้ว โดยสภาพบาดเผล
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตเกือบทันที จนไม่สามารถเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะโทรศัพท์ไปหาครอบครัวได้

และที่น่าแปลกคือพวกเขาไม่พบโทรศัพท์ของชาร์ลส์ในที่สุดเหตุเลยแม้แต่น้อย......
 



6.  เรื่องแปลกของเอลิซ่า แลม  (The Strange Case Of Elisa Lam)



มันเป็นเรื่องลึกลับและน่ากลัว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2013 สาวชาวเอเซีย-แคนาดาอายุ 21 ปีคนหนึ่งชื่อเอลิซ่า แลม ได้หายตัวไป
จากโรงแรมเซซิล (Cecil Hotel ) ใจกลางเมืองลอสแอนเจลิส สามสัปดาห์ให้หลังคนงานซ่อมบำรุงได้ไปตรวจสอบถังเก็บน้ำ
หลังจากแขกที่มาพักบอกว่าน้ำเน่าเหม็นแบบแปลกๆ และเมื่อตรวจสอบหนึ่งในถังเก็บน้ำบนชั้นบนของโรงแรม พวกเขาก็พบศพ
อลิซ่า แลม จมในน้ำในถัง จากการชันสูตรก็ไม่พบร่องรอยบาดเจ็บ หรือยาเสพติดใดๆ ทั้งสิ้น และสาเหตุการตายคือจมน้ำ
ดังนั้นตำรวจจึงสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิต


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าจะมีการพบเอลิซ่า แลมเป็นศพนั้น ตำรวจได้ปล่อยคลิปเบาะแสตามหาอลิซ่า แลมจากเทปจากวีดีโอวงจรปิด
ที่บันทึกภาพเธอขณะใช้ลิฟท์ครั้งสุดท้ายนั้น ได้ทำให้หลายคนขนหัวลุกไปตามๆ กัน เพราะสิ่งที่ปรากฏในภาพนั้นไม่สามารถอธิบายได้




ภาพกล้องวงจรปิด ถ่ายเมื่อเวลา 1.31 นาฬิกา ความยาว 4 นาที กล้องจับภาพเอลิซ่ากดปุ่มลิฟท์เพื่อหวังทำงาน แต่ลิฟท์ก็ไม่มี
ทีท่าว่าจะทำงาน ประตูลิฟท์เปิดค้างไม่ยอมเลื่อนปิด  เวลานั้นเองจู่ๆ เธอก็เริ่มแสดงพฤติกรรมประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้
เหมือนกับว่ามีบางอย่างน่ากลัวที่กำลังใกล้เข้ามา เธอกังวลอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็พยายามกดปุ่มลิฟท์หลายครั้ง แต่ประตูลิฟท์
ก็ยังค้างอยู่อย่างงั้น หลังจากนั้นเธอก็ออกนอกลิฟท์แล้วคุยอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวตน พร้อมทำภาษามือในลักษณะประหลาด
ก่อนที่เดินห่างจากตัวลิฟท์ หายไปจากหน้าจอ ไม่รู้ว่าเธอไปที่ใด จากนั้นจู่ๆ ลิฟท์ก็เลื่อนเปิด –ปิดเอง ทั้งที่เวลานั้นไม่มีใคร
เข้ามาใช้บริการลิฟท์เลยแม้แต่น้อย และนั่นเป็นภาพสุดท้ายของเอลิซ่าที่ยังมีชีวิตอยู่

หลังจากที่เอลิซ่าออกจากลิฟท์   รู้เพราะอะไร เธอผ่านระบบความรักษาความปลอดภัยของโรงแรม ขึ้นไปบนด่านฟ้าของโรงแรม
เดินไปยังถังเก็บน้ำ เปิดถังน้ำที่หนักเกินกว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะเปิดได้  จากนั้นก็โดดลงเพื่อจมน้ำตาย แน่นอนว่ามีข้อสันนิษฐาน
มากมาย เป็นต้นว่า เธอมีอาการจิตเภทโรคสองขั้ว เห็นภาพหลอน ไปจนถึงเธอเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายอะไร
ทางวิทยาศาสตร์ ก่อนพบจุดจบแบบสยอง

และเมื่อตรวจสอบประวัติโรงแรมก็พบเรื่องแปลกประหลาดมากมายเพราะมันเคยเป็นที่อยู่อาศัยของฆาตกรต่อเนื่อง และมีสถิตแขก
ที่มาพักฆ่าตัวตายสูงมากผิดปกติ จนบัดนี้ยังไม่มีใครอธิบายภาพวาระสุดท้ายของเอลิซ่า แลมได้เลยว่าเธอเห็นอะไรกันแน่?

 


5. อีเมล์จากหลุมศพ  (Emails From The Grave)


    
แจ็ค ฟรอสต์ (Jack Frost) เสียชีวิตจากหัวใจเต้นผิดปกติเมื่อเดือนมิถุนายน 2011 ขณะอายุได้ 32 แน่นอนว่ามันโชคร้าย
แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องน่าขนลุก  ในเดือนพฤศจิกายนเพื่อจองแจ๊คแต่ละคนได้รับอีเมล์ที่ส่งมาจากอีเมล์ของแจ็ค ทั้งๆที่
เพื่อนและครอบครัวของแจ็คยืนยันว่าไม่มีใครรู้รหัสผ่านอีเมล์ของเขา และไม่มีใครเข้าไปใช้อีเมล์เขาแน่นอน


ที่แปลกคือเนื้อหาของอีเมล์เป็นข้อความที่มีเพียงแค่แจ๊คและคนที่แจ๊คส่งเท่านั้นที่เข้าใจ เป็นต้นว่า
“clean his f***ing attic” ( “ทำความสะอาดห้องใต้หลังคาละ” )

ซึ่งเป็นการสนทนาส่วนตัวไม่นานก่อนที่แจ๊คจะเสียชีวิต อีเมล์ยังถูกส่งไปยังญาติของเขา ข้อความว่า 
“ผมรู้นะว่าข้อเท้าของคุณบาดเจ็บ”

ซึ่งการบาดเจ็บที่ว่าเกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่อีเมล์จะส่งถึง แม้หลายคนจะบอกว่าเป็นฝีมือของแฮกเกอร์โรคจิต
แต่ญาติและเพื่อนของแจ๊คคิดว่าเป็นฝีมือของแจ๊คที่ตายไป แล้วเขาก็ยังคงส่งอีเมล์จากอีกภพหนึ่งก็เป็นไปได้




4. ฝาแฝดผู้ไม่ยอมพูด  (The Silent Twins)
    


เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องน่ากลัวของเจนนิเฟอร์ และ จูนนี่ กิบบอนที่ส์เติบโตขึ้นมาในเวลส์  โดยฝาแฝดคู่นี้มีหน้าตาเหมือนกันมาก
จนแยกไม่ออก และมีนิสัยแปลกๆ ตั้งแต่เด็ก หลายคนเรียกเธอว่า “ฝาแฝดไม่ยอมพูด” เพราะพวกเธอไม่ยอมคุยกับคนอื่นเลย
นอกจากคุยกันเองสองคน ถึงขนาดมีภาษาเฉพาะที่ใช้คุยกันและไม่มีใครฟังรู้เรื่อง


นอกจากไม่ยอมพูดกับคนอื่นแล้ว ทั้งสองยังไม่ยอมอ่าน พูด หรือเขียนอะไร (ที่โรงเรียนยังโดนกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง) แต่เมื่ออยู่ที่บ้าน
ทั้งสองอ่านหนังสือเป็นจำนวนมากหลากหลายประเภท อีกทั้งยังเขียนไดอารี และแต่งนิยายที่มีเนื้อหารุนแรงและรักร่วมเพศต้องห้าม


อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ออกจะสลับซับซ้อน ถึงแม้ทั้งคู่จะสนิทกันมากชนิดว่าไม่ยอมแยกจากกัน แต่บางครั้งทั้งสอง
ก็พยายามจะฆ่ากันเอง ครั้งหนึ่ง เจนนิเฟอร์ รัดคอจูนนี่ ด้วยสายไฟจากวิทยุ ส่วนอีกครั้งจูนนี่ ก็ผลักเจนนิเฟอร์ ตกจากสะพาน
เพื่อหวังให้จมน้ำ พฤติกรรมแปลกๆ แบบนี้ติดตัวไปจนถึงเมื่อโตและในที่สุดก็กลายเป็นนิสัยขี้ขโมยและชอบวางเพลิง ส่งผลให้ทั้งคู่
ถูกวินัยฉัยว่าเป็นโรคทางจิตเวช และถูกส่งไปยังโรงพยาบาลโรคจิตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยหนาแน่นที่สุดในประเทศอังกฤษ

เป็นเวลา 14 ปีกว่าที่ทั้งคู่อยู่ในฐานะนักโทษโรงพยาบาล ในที่สุดทั้งสองก็พูดคุยกับนักข่าวซึ่งตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติของพวกเธอว่า
ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องตายในโรงพยาบาลนี้ และทั้งคู่ได้ตัดสินใจกันแล้วว่า คนนั้นก็คือเจนนิเฟอร์และด้วยความบังเอิญหรืออย่างไร
ก็ไม่อาจรู้ได้ ในวันที่ทั้งสองจะได้ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลที่ระบบคุ้มกันแน่นหนาน้อยกว่า เจนนิเฟอร์ ก็เสียชีวิตกะทันหันจากโรคหัวใจ
ที่หาได้ยาก ส่วนจูนนี่ ปัจจุบันนี้ก็อาศัยอยู่อย่างสงบกับครอบครัวของเธอ

 



3. ใครยัดเบลล่าไว้ในต้นวอทช์ เอล์ม  (Who put Bella in the Wych Elm?)
    


หนึ่งในคดีที่ลึกลับและแปลกมาก เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 18 เมษายน 1943 เด็กชายสี่คนได้รุกล้ำ
เข้าไปในป่าฮัควูดส์  (Hagley Woods) ใกล้วอทช์บิวรี่ ฮิลล์ (  Wychbury Hill) สเตาร์บริดจ์ ประเทศอังกฤษ พวกเขาได้พบ
ต้นวอทช์ เอล์ม ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับในการล่านก พวกเขาจึงพยายามปีนต้นไม้สำรวจ ขณะที่ปีนเขาก็มองลงไปใน
กลางลำต้นกลวง พวกเขาก็พบกะโหลกศีรษะหนึ่งหัว ตอนแรกเชื่อว่ามันเป็นของสัตว์ แต่หลังจากพิจารณาถี่ถ้วนแล้วก็พบว่ามันเป็น
กะโหลกศีรษะของมนุษย์ที่มีเส้นผมติดอยู่ พวกเขาตกใจและหนี และตกลงกันว่าจะไม่บอกใคร (เพราะกลัวตำหนิว่าบุกรุกที่ดินคนอื่น)


อย่างไรก็ตาม หลังกลับบ้าน เด็กอายุน้อยที่สุดในกลุ่มรู้สึกไม่สบายใจ จึงบอกเรื่องนี้แก่พ่อแม่แล้วแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจสำรวจลำต้น
ของต้นไม้ก็พบโครงกระดูกของมนุษย์ รองเท้า แหวนแต่งงาน และเสื้อผ้าบางส่วน แต่ที่แปลกคือมือถูกตัดออก และมันถูกฝังอยู่ใน
พื้นดินใกล้กับต้นไม้ที่พบโครงกระดูก


หลังจากชันสูตร พบว่าผู้ตายเป็นผู้หญิง น่าจะตายอย่างน้อย 18 เดือน สาเหตุการตายพบผ้าแพรแข็งในปากของเธอทำให้เชื่อว่า
ขาดอาการหายใจ แล้วฆาตกรยัดต้นไม้ ซึ่งสภาพในต้นไม้นั้นอบอุ่นทำให้ศพเกิดสภาพแข็งทื่อหลังตาย ทำให้ศพไม่สามารถเอาออก
จากโพรงไม้ได้



ปัญหาในการสืบหาคดีคือตำรวจไม่ทราบว่าผู้ตายเป็นใคร เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงสงครามโลก การระบุตัวตนของบุคคลเต็มไปด้วย
ความยากลำบาก เพราะช่วงนี้มีแต่คนตาย และมีหลายคนที่หายไป  ทำให้ไม่มีใครสามารถระบุได้ว่าผู้หญิงที่ตายคนนี้เป็นใคร
และใครเป็นคนฆ่า

ส่วนสาเหตุที่หลายคนเรียกศพว่า “เบลล่า” นั้นเชื่อว่าเป็นโสเภณีที่ชื่อเบลล่าที่หายไป หรืออาจเป็นในปี 1943 มีข้อความลึกลับ
ปรากฏในกำแพงในเมืองเบอร์มิ่งแฮม เขียนเอาไว้ว่า “ใครยัดเบลล่าไว้ในต้นวอทช์ เอล์ม” และต่อมามันก็ปรากฏตามที่ต่างๆ



 

2.เอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก  (Edward Mordrake)
    

ข้อมูลจาก http://pantip.com/topic/31369631

เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องน่ากลัวอีกเรื่อง โดยเป็นเรื่องของเป็นตำนานของคนสองหัว  เอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก เป็นชายชาวอังกฤษ
ที่มีชีวิตอยู่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19 จากข้อมูลที่เล่าต่อกันมา


“หนึ่งในความแปลกประหลาดกับเรื่องราวที่เศร้าที่สุดของความผิดปกติของมนุษย์ เรื่องของเอ็ดเวิร์ด มอร์เดรก เขาได้รับเลือก
เป็นทายาทขุนนางระดับสูงของอังกฤษ หากแต่เขาไม่เคยอ้างชื่อตำแหน่ง และฆ่าตัวตายขณะอายุ 23 ปีเท่านั้น ”


เอ็ดเวิร์ดอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และปฏิเสธการรับแขกแม้แต่สมาชิกในครอบครัวเขาเอง เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความรู้ เป็นนักวิชาการ
และนักดนตรีที่หาตัวจับยาก เขามีหน้าตาที่หล่อเหล่า หากแต่สิ่งที่แปลกคือเขามีอีกหนึ่งใบหน้า อีกหน้าหนึ่งที่ด้านหลังของศีรษะ
เหมือนเนื้องอก ใบหน้าที่สองหน้าตาเหมือนผู้หญิงแม้นไม่สามารถพูดหรือกินอาหารได้ แต่มันสามารถแสดงอารมณ์ หัวเราะ และร้องไห้ได้
ราวกับมีความรู้สึกนิดคิดของตัวเอง


เอ็ดวาร์ดเกลียดชังใบหน้านี้มาก เขาเรียกมันว่าปีศาจ เพราะมันคอยกระซิบสิ่งชั่วร้ายแก่เขาตลอดเวลา แม้แต่ตอนกลางคืนมันก็คอย
กระซิบกระซาบอันน่ารำคาญอยู่เสมอ หากเขาร้องไห้มันจะยิ้มและหัวเราะเยาะ ส่วนดวงตาก็คอยมองตามผู้คนที่มองมัน ส่วนริมฝีปากนั้น
เล่าก็เจื้อยแจ้วไม่หยุด ถึงแม้ ไม่มีใครได้ยินเสียงของมัน แต่เอ็ดเวิร์ดได้ยิน

“มันไม่เคยหลับเลย มันเล่าให้ผมฟังถึงเรื่องต่างๆ ที่พวกมันพูดกันอยู่ในนรกตลอดเวลาไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ถึงสิ่งยั่วยุ
อันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นต่อหน้าผมได้หรอกเพราะความโหดร้ายที่ไม่สมควรให้อภัยของบรรพบุรุษของผมทำให้ผมต้องถูกผูกติด
อยู่กับเจ้าอสูรร้ายนี่มันต้องเป็นอสูรร้ายอย่างแน่นอนที่สุด ผมขอร้องและอ้อนวอนคุณให้กำจัดมันออกไปจากร่างกายนี้ให้ทีถึงแม้ว่า
มันจะทำให้ผมต้องตายก็ตาม”


เอ็ดเวิร์ดได้ร้องขอให้แพทย์ทำการผ่าตัด ใบหน้าปีศาจด้านหลังออกจากหัวของเขาแต่ไม่มีแพทย์รายใดที่ยอมผ่าตัดให้

จนในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็ไม่สามารถทนอยู่กับสิ่งนี้ได้ เขาตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลง ในวัย 23 ปี ด้วยการกินยาฆ่าพิษตัวตาย 
ก่อนตายเขาก็ได้ทิ้งจดหมายเอาไว้บอกให้ทำลาย “หน้าปิศาจ” นั้นให้ได้ก่อนทำพิธีฝังศพเขา

“มิเช่นนั้นมันอาจจะตามไปกระซิบสิ่งชั่วร้ายต่อในหลุมฝังศพของผม”

และตามคำขอของเขา ศพของเขาจึงถูกนำไปฝังไว้ที่ฝังกลบขยะโดยไม่มีหินหรือป้ายจารึกปักอยู่ที่หลุมศพของเขาเลย
 


1.คดีฆาตกรรมฮินเตอร์เคเฟก  (Hinterkaifeck Murders)
 

อ้างอิง http://www.horrorthai.com/hinterkaifeck-murders/

คดีฆาตกรรมฮินเตอร์เคเฟกของประเทศเยอรมัน เป็นคดีฆาตกรรมสังหารหมู่ครอบครัวกรูเบอร์ 6 คน ประกอบไปด้วย
อันเดรส กรูเบอร์ วัย 63 ปี, คาซิลเลีย ภรรยาวัย 72 ปี วิกตอเรีย เกเบรียล ลูกสาววัย 35 ปี และลูกของวิกตอเรีย 2 คน
คือ คาซิลเลีย วัย 7 ขวบ และโยเซฟ วัย 2 ขวบ และแม่บ้านมาเรีย บอมการ์ตเนอร์ (ที่ทำงานเพียงหนึ่งวันก่อนฆ่าตัวตาย)
พวกเขาอาศัยอยู่ในฟาร์มบนพื้นที่ห่างไกลจากตัวเมืองเล็กน้อย ซึ่งชาวบ้านเรียกมันว่าฮินเตอร์เคเฟก


คดีฆาตกรรมนี้เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเหตุการณ์แปลกประหลาดมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้น
ทั้งก่อนหน้าและหลังจากเกิดเหตุ

เรื่องราวแปลกประหลาดได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อในปลายปี 1921 เมื่อจู่ ๆ แม่บ้านก็เก็บข้าวเก็บของลาออกจากงานอย่างกะทันหัน
โดยให้เหตุผลว่าเธอเชื่อว่าบ้านที่เธอทำงานอยู่มีผีสิง เธอได้ยินเสียงแปลกประหลาดที่ไม่รู้ที่มาของเสียงหลายครั้ง ต่อมา
อันเดรสก็พบรอยเท้าลึกลับบนหิมะซึ่งไม่ใช่ของสมาชิกในบ้าน และมีหนังสือพิมพ์ที่ไม่ใช่ของเขาปรากฏอยู่ในบ้าน


วันที่ 4 เมษายน เพื่อนบ้านพบสิ่งผิดปกติของครอบครัวอันเดรสจึงเข้าไป เมื่อพวกเขาสำรวจโรงนาก็ภาพสยดสยอง ร่างของ
อันเดรส คาซิลเลีย วิกตอเรีย และคาซิลเลีย ถูกนำมากองซ้อนทับกันโดยมีฟางคลุมร่างอยู่ภายในโรงนา



ชาวบ้านค้นหาสมาชิกที่เหลือก็พบร่างหนูน้อยโยเซฟนอนเสียชีวิตอยู่ในเปล และร่างของมาเรียสาวใช้คนใหม่นอนเสียชีวิต
อยู่ในห้องนอน พวกเขาทั้ง 6 คนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ผู้เคราะห์ร้ายมีบาดแผลถูกตีที่ศีรษะเพียงครั้งเดียว อาวุธน่าจะ
เป็นพลั่ว และไม่มีร่องรอยการต่อสู้ 

แต่ที่น่าประหลาด น่าขนลุก หลังลงมือสังหารหมู่ครอบครัวหมดแล้ว มีความเชื่อกันว่าคนร้ายยังคงอยู่ที่ฟาร์มหลายวัน แถมยัง
คงดูแลวัวให้ และรับประทานอาหารในห้องครัวอย่างใจเย็น เพราะมีพยานที่เป็นเพื่อนบ้านเห็นควันจากปล่องไฟในช่วงกรูเบอร์
ถูกฆ่าไปหลายวันแล้ว

กว่า 100 คนที่ถูกสัมภาษณ์ในคดีฆาตกรรม แต่ไม่มีใครเคยถูกจับกุมในข้อหา หรือแม้แต่หาไม่สามารถหาแรงจูงใจการฆ่าได้เลย
และนั้นทำให้คดีฆาตกรรมฮินเตอร์เคเฟเป็นโหดเหี้ยม ประหลาด และลึกลับมากที่สุดของประเทศเยอรมัน

 
 
อ้างอิง

http://listverse.com/2013/06/03/10-more-bizarre-mysteries/
http://whatculture.com/history/10-real-life-horror-stories-that-will-freak-you-out.php
http://whatculture.com/offbeat/10-real-life-horror-stories-will-probably-ruin-day.php
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15 ธันวาคม 2018, 10:15:32 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่