-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 7 เรื่องอภินิหารอาหารที่เป็นเรื่องจริง!!(มั้ง?)ทางอินเตอร์เน็ตฯ  (อ่าน 1109 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

7 เรื่องอภินิหารอาหารที่เป็นเรื่องจริง!!(มั้ง?)ทางอินเตอร์เน็ตฯ
7 Retarded Food Myths the Internet Thinks Are True


เวลาคุณเล่นเฟสบุ๊ค หรืออินเตอร์เนต คุณมักเจอข่าวแปลกๆ ประเภทข่าวลือหรือเปล่า? ซึ่งข่าวลือต่างๆ มีหลากหลาย
ทั้งน้องโดนข่มขืน ตลก คนใหญ่คนโต สมัครพนักงาน ฯลฯ แต่ที่เด่นคงเห็นไม่เกินเรื่องอาหารครับ มีหลายเรื่องเลยที่เป็นข่าวลือที่เกี่ยวกับอาหาร
ซึ่งเนื้อหาของมันค่อนข้างแสดงให้เห็นถึงอันตรายของอาหารชนิดๆ นั้นๆ มากกว่าเป็นเรื่องดี วันนี้ผมก็เลยรวบรวมมาให้ทุกท่าน
ได้อ่านกันว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือโกหกกันแน่...?


อันดับ 7 โคลา โคล่าทำให้กระเพาะอาหารของคุณทะลุได้

(Coca-Cola Will Melt Your Stomach)


 
โค้ก (Coke)หรือ โคคา โคล่า (Coca Cola)คือเครื่องหมายการค้าของ บริษัทโคคาโคล่า สำนักงานใหญ่อยู่ที่ แอตแลนตา รัฐจอร์เจีย
ในสหรัฐอเมริกา โค้กเป็นน้ำอัดลมชนิดน้ำโคล่า ที่ได้รับความนิยมในมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก


ถึงแม้ว่าโค้กจะถูกอ้างถึงในกรณีที่เป็นเครื่องดื่มที่ทำให้เสียสุขภาพ เช่น ทำให้ฟันผุ ทำให้ปวดท้อง หรือเป็นโรคอ้วน และนอกจากนี้
ยังมีข่าวลือประหลาดๆ เกี่ยวกับตัวมันด้วย ดังนี้

ข่าวลือ
"You can put a T-bone steak in a bowl of Coke and it will be gone in two days.
The active ingredient in Coke is phosphoric acid. Its pH is 2.8. It will dissolve a nail in about 4 days.
Phosphoric acid also leaches calcium from bones and is a major contributor to the rising increase in osteoporosis.
To carry Coca-Cola syrup (the concentrate) the commercial truck must use the Hazardous material
place cards reserved for Highly corrosive materials."


ใจความบอกว่า ถ้าคุณวางT-boneสเต็กในชามมันจะละลายเมื่อเวลาผ่านไป 2 วัน
ซึ่งโค้กมีค่าความเป็นกรดด่างถึงpHอยู่2.8สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถันในด้านความเป็นกรด ด่างสารตัวสำคัญ
ที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถันในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน4วัน

มันเรื่องจริงหรือเปล่า...?
โค้กมีเรื่องเล่าและข่าวลือมากมายกล่าวถึงผลเสียของโค้ก ซึ่งข่าวลือยังมีปรากฏแม้แต่ในเว็บไซต์สภากาชาดไทย ส่วนมาก
จะเน้นในแนวขำขันและการนำโค้กไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่น ปริมาณกรดในโค้กมีมากเพียงพอที่จะทำลายอวัยวะภายในร่างกาย
ซึ่งในความเป็นจริงค่าความเป็นกรดด่าง หรือpHของโค้กมีค่า 2.5 ซึ่งใกล้เคียงกับมะนาว หรือ เลมอน มีค่าpH2.4 หรือ
ส้ม มีค่าpH3.5

(นอกจากนี้ยังมีข่าวลืออีกว่าตำรวจสหรัฐอเมริกาใช้โค้กในการล้างเลือดบนถนนกรณีเกิดเหตุรถชน, โค้กสามารถละลายฟัน
ในช่องปากในตอนกลางคืน,โค้กใช้ในการป้องกันการตั้งครรภ์โดยใช้โค้กที่มีฤทธิ์เป็นกรดเทฆ่าอสุจิ,โค้กใช้ในการขจัดคราบเกลือ
บริเวณขั้วแบตเตอรีรถยนต์ให้สะอาดได้(โดยปกติแล้วคราบเกลือสามารถกำจัดได้โดยใช้น้ำอุ่นธรรมดาเช่นเดียวกัน)
ซึ่งข่าวลือต่างๆ เป็นเพียงเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อความสนุกสนาน (ถึงแม้ว่ารายการมิธบัสเตอร์ส ได้มีการทดสอบในการใช้โค้ก
ช่วยในการล้างเลือดที่เปื้อนเสื้อผ้า)



อันดับ 6 กระทิงแดงเป็นมากกว่าเครื่องดื่มและทำให้เกิดเนื้องอกในสมอง
(Red Bull Gives You Wings, and By Wings, We Mean a Brain Tumor)


 
กระทิงแดง เป็นเครื่องดื่มให้พลังงานยี่ห้อหนึ่ง (หรือที่นิยมเรียกว่า เครื่องดื่มชูกำลัง) มีส่วนผสมหลักได้แก่ น้ำตาล,คาเฟอีน
และแร่ธาตุอื่นๆ ในประเทศไทย กระทิงแดงเป็นที่นิยมของผู้ใช้แรงงานมาเป็นเวลานาน เนื่องจากทำให้ตื่นตัว และแน่นอน
มันมีข่าวลือเกี่ยวกับตัวมันด้วย....


ข่าวลือ
Ever wondered what's in a can of Red Bull Energy drink? The small print lists a host of ingredients
and among them is an artificially manufactured stimulant developed in the early 60's by the
American Government.

Glucuronolactone was first used in the Vietnam conflict to boost morale amongst GI's who were
suffering from stress and fatigue, but was banned after a few years following several deaths and
hundreds of cases involving anything from severe migraines to brain tumors in personnel prescribed
the stimulant.

An article in this month's edition of the British Medical Journal has highlighted a growing number
of cases reported by Doctors and Surgeons involving the very same side effects from the 70s.
All of the patients examined were regular drinkers of RedBull and it is believed that the safety
of Glucuronolactone is currently under review in at least three major European countries."


“เขาบอกว่ากระทิงแดงเป็นอะไรมากกว่าเครื่องดื่มกระตุ้นสมองที่ผลิตโดยรัฐบาลของอเมริกันในยุค 60แล้วก็บอกว่า
ก็บอกว่ากระทิงแดงถูกสั่งเก็บออกจากแผงตลาดในเวียดนามเนื่องจากผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มยี่ห้อนี้เกิดอาการปวดศีรษะข้างเดียว
อย่างรุนแรงจนเป็นเนื้องอกในสมอง จากนั้นข่าวลือก็อ้างว่าเป็นของบทความในวารสารของประเทศอังกฤษที่บอกผล
การทดลองให้อาสาสมัครดื่มกระทิงแดงทุกวันเพื่อศึกษาผลข้างเคียงเกี่ยวกับเนื้องอกในสมองและล่าสุดมี 3 ประเทศ
ห้ามเครื่องดื่มกระทิงแดงห้ามจำหน่ายแล้ว......”


มันเรื่องจริงหรือเปล่า...?

พี่ครับกระทิงแดงต้นตำหรับเป็นของประเทศไทยนะครับไม่ใช่ของอเมริกันซึ่งต่อมาลิขสิทธิ์ก็ถูกขายให้กับคนออสเตเลีย
และก็นิยมไปทั่วโลก และทุกข้อกล่าวมานั้นล้วนเป็นเรื่องโกหกหมด ไม่มีใครเป็นเนื้องอกในสมองเพราะดื่มกระทิงแดงหรอกนะ

Red Bullและ กระทิงแดง มีส่วนผสมสำคัญ3ประการ คือ ทอรีน(taurine)กรดอะมิโนชนิดหนึ่ง กลูคูโรโนแลคโทน
สารที่พบในร่างกายมนุษย์ทั่วไป และ คาเฟอีน ซึ่งมีปริมาณน้อยกว่า กาแฟชงสำเร็จ1แก้ว ซึ่งส่วนผสมดังกล่าว
ยังไม่มีข้อพิสูจน์ได้ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ในหลายประเทศก็มีคำแนะนำว่า อย่าดื่มผสมกับแอลกอฮอล

สำหรับสหภาพยุโรปแล้ว มีเพียงประเทศฝรั่งเศสและเดนมาร์กเท่านั้น ที่ห้ามการจำหน่ายในท้องตลาด ซึ่งรัฐสภาของ
สหภาพยุโรปก็โต้แย้งว่าคำสั่งห้ามไม่ถูกต้อง หลังจากที่เมื่อ2ปีที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ได้ประกาศผล
การสอบสวนครั้งแรกออกมาว่า ไม่มีข้อพิสูจน์มากพอที่จะระบุว่า สารอย่าง ทอรีน และ กลูคูโรโนแลคโทนที่ผสมในเครื่องดื่มนี้
มีปริมาณสูงเกินกว่าขั้นอันตรายได้ แต่นั้นต้องพิสูจน์ต่อไป(ไม่มีการห้ามดื่มเกินขนาด ยกเว้นในประเทศไทยซึ่งเป็นต้นกำเนิดเท่านั้น)




อันดับ 5 ผงชูรสทำให้สมองของคุณไหม้
(MSG Burns Your Brain Cells)


 
ผงชูรส เป็นชื่อกลางที่ใช้เรียก โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MonosodiumGlutamate)วัตถุเจือปนอาหารประเภท วัตถุปรุงแต่ง
รสอาหารที่มีการใช้ในอาหารกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ผงชูรสมีลักษณะเป็นผงผลึกสีขาวไม่มีกลิ่น มีประโยชน์ในการเป็นสาร
เพิ่มรสชาติอาหาร ทำให้อาหารมีรสชาติโดยรวมดีขึ้น



ข่าวลือ

"Monosodium glutamate (MSG) is a dangerous food ingredient compound known as an excitotoxin.
Excitotoxins are proteins which make brain cells fire their impulses rapidly when they make contact
with it. The cells become so hyper-excited that they continue to fire until the cell is exhausted,
and subsequently die.

Monosodium glutamate isn't just sensed by the taste buds in our tongues, it also triggers and excites
the neurons in the brain. Free glutamic acid is able to reach the brain where it can injure and kill
the neurons.

This acid doesn't cause a problem in anyone when it is a part of whole, natural, God created
unprocessed food. It becomes a problem when man separates it through a chemical process
in a laboratory."



มันเรื่องจริงหรือเปล่า...?

"คร่าวๆ เขาบอกว่า ผงชูรสMonosodiumglutamate ( MSG )มีเป็นวัตถุเจือปนอาหารที่อันตราย นั้นคือ excitotox in Excitotoxins
เป็นโปรตีนที่ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ตาย เหมือนจุดไฟเผา และตายลงอย่างช้าๆ และนอกจากนี้ยังส่งผลต่อเซลล์ประสาท ตบท้ายด้วย
ก็อ้างถึงผลการทดลองในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์."


น่าสังเกตส่วนใหญ่ข่าวลื่อมักอ้างผลการทดลองต่างๆ นาๆ ซึ่งไม่บอกว่ามันเป็นที่ไหนใครเป็นผู้ทดลองว่ามันจริงแท้ขนาดไหน
จริงอยู่ผงชูรสนั้นค่อนข้างเป็นอันตราย แต่กระนั้นมันก็ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ เช่น มีการกล่าวหาว่าการบริโภคผงชูรส
เป็นสาเหตุของ ผมร่วง ตาบอด เป็นหมัน เนื้องอกในสมอง มะเร็ง เป็นพิษต่อเด็กทารกและสตรีมีครรภ์ หรือแม้กระทั่งโรคภูมิคุ้มกัน
บกพร่อง(AIDS)เป็นต้น แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ เลยที่บอกว่ามันจริงหรือเปล่า??

นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารก็ออกมายืนยันว่า ผงชูรสเป็นวัตถุเจือปนอาหารที่มีพิษต่ำ นอกจากนี้ถ้าเราบริโภคผงชูรส
จนถึงขั้นอันตรายจริง ร่างกายก็จะขับกลูตาเมตส่วนเกินร่างกายโดยอัตโนมัติ ซึ่งไม่มีทางที่ทำให้เกิดการสะสมของกลูตาเมต
ในกระแสเลือดอย่างแน่นอนและมันไม่มีทางไปถึงสมองแน่ๆ






อันดับ 4 ดื่มน้ำเย็นหลังอาหารจะทำให้เป็นมะเร็งในลำไส้
(Cold Water After a Meal will Give You Cancer... Or a Heart Attack...)



หลายคนๆเคยชินกับการดื่มเครื่องดื่มเย็นๆหลังจากรับประทานอาหารใช่เปล่าละ แต่แล้ววันหนึ่งคุณเกิดไปเปิดเมล์หนึ่งเข้า
ซึ่งมันทำให้ตะลึงและเครียดโดยพลัน.......


ข่าวลือ
"For those who like to drink cold water, this article is applicable to you. It is nice to have a cup of cold
drink after a meal. However, the cold water will solidify the oily stuff that you have just consumed.

A cardiologist says if everyone who gets this mail sends it to 10 people, you can be sure that we'll save
at least one life. Once this "sludge" reacts with the acid, it will break down and be absorbed by the intestine
faster than the solid food. It will line the intestine. Very soon, this will turn into fats and lead to cancer.
It is best to drink hot soup or warm water after a meal. A serious note about heart attacks: You should
know that not every heart attack symptom is going to be the left arm hurting. Be aware of intense pain
in the jaw line. Nausea and intense sweating are also common symptoms."



มันเรื่องจริงหรือเปล่า...?


มันเขียนไว้ว่า “เวลาได้กินน้ำเย็นๆ สักแก้ว หลังอาหารมันรู้สึกชื่นใจดีใช่มั้ยครับ แต่ว่าน้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่คุณเพิ่งกินเข้าไปจับตัว
เป็นไขขึ้นมา ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง ถ้าคราบไขมันทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วถูกดูดซึมไปที่ลำไส้
ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไปแล้วจะเคลือบลำไส้เราไว้ ในไม่ช้ามันก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อนๆ
และเป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด ดังนั้นควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหารดีกว่า???”



เรื่องจริงละ

อีเมล์ในลักษณะนี้มีการส่งต่อกันไป ทั่ว แม้แต่ในต่างประเทศ ในประเทศไทยก็ดันมีหลายเว็บที่เขียน เคยมีคนตั้งกระทู้นี้ในเว็บเด็กดี
ดูเหมือนจะเป็นวิชาการ แต่กลับไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มารับรอง ไม่มีงานวิจัยฉบับไหนเลย ที่บอกว่าดื่มน้ำเย็นแล้วจะเป็นมะเร็ง?

ความจริงการดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ไม่เป็นอันตราย ถึงขั้นทำให้ไขมันจับตัวเป็นไข เป็นก้อนขนาดนั้น เพราะปกติอุณหภูมิร่างกาย
คนเราอยู่ที่ประมาณ37 องศาเซลเซียสน้ำที่เราดื่มเข้าไปถึงจะเย็น แต่ร่างกายเราร้อนอยู่แล้ว ก็จะเปลี่ยนให้เป็นน้ำอุ่นๆ อยู่ดี
ไขมันกว่าจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ต้องอาศัยอุณหภูมิเหมือนอยู่ในตู้เย็น 3 -4 องศาเซลเซียส(ถ้าร่างกายเราเหมือนตู้เย็นก็อีกเรื่อง)


นอกจากนี้การดื่มน้ำเย็นมีประโยชน์ครับ เพราะจะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย โดยน้ำ 1 แก้ว จะช่วยเผาผลาญไขมัน
ประมาณ 9 กิโลแคลอรี ถ้าเราดื่มน้ำ 8 แก้วก็จะเผาผลาญไขมันได้ถึง 70 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว นั่นก็หมายความว่า
ยิ่งดื่มน้ำมาก ก็จะยิ่งช่วยลดความอ้วน





อันดับ 3 ขนมทวิงกีไม่ใช้อาหาร,เราจะคงอยู่ตลอดกาล
(Twinkies Are Not Real Food, They Last Forever)


 
ขนมทวิงกีเป็นขนมยอดฮิตของอเมริกันแท่งยาว สอดไส้ครีม จำหน่ายในแบรนด์โฮสเตสส์ (Hostess)และมียอดขายไม่ต่ำกว่า
ปีละ500ล้านชิ้นเลยทีเดียว ซึ่งบ้านเราก็มีขายตามห้างใหญ่ๆ นะ แต่ชนบทอย่างผมไม่รู้จักเท่าไหร่ แต่มันก็มีข่าวลือเหมือนกัน....



ข่าวลือ
Twinkies can last up to 20 years on the shelf because they're not food" thing has been around for years.
It was a staple with 80s comedians

This book recounts the full tale, including a whole big back story on how the manufacturer hasn't had
to manufacture Twinkies in years, because they have a huge warehouse full of them somewhere.



เขาบอกว่าขนมทวิงกีมันเป็นมากกว่าอาหาร เพราะมันสามารถเก็บไว้นานถึง 20 ปีโดยไม่มีวันเน่า และเป็นขนมที่เหมาะแก่
ศตวรรษที่ 80 นอกจากนี้ว่ากันว่าขนมชนิดนี้ถูกเก็บตุนไว้โกดังลับแห่งหนึ่งเพื่อรับมืออนาคตในวันข้างหน้า


มันเรื่องจริงเปล่า
อีเมล์นี้คงมีที่มาจากหลายคนยังกังวลเรื่อง”โลกแตก”ก็มั้ง และต้องการหาอาหารอะไรตุนและเก็บไว้นานๆ หน่อย
ซึ่งถ้าเขียนอีเมล์เรื่องปลากระป๋องคนอื่นคงไม่สนใจ เลยเอาเจ้าทวิกกีขนมยอดฮิตแทน.......

จริงอยู่ขนมขนมทวิงกีมันไม่ได้ทำสดแน่เพราะมันถูกผลิตอย่างมีขั้นตอนและทำให้แห้ง แต่อายุเฉลี่ยของมันพอๆ
กับเค้กธรรมดาเท่านั้นเองแหละ เพราะเมื่อเราดูส่วนประกอบของมันและปริมาณของมันก็พบว่าส่วนประกอบของมันนั้น
เป็นส่วนผสมของเค้กชัดๆ ไม่ว่าจะเป็น แป้ง,น้ำตาล,น้ำ,ข้าวโพด และไข่ นั้นก็หมายความว่าคุณสามารถเก็บขนมทวิกกี
ได้เพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้นเอง(ก็ดันมีส่วนผสมของไข่นี้น่า)และถ้านานกว่านั้นมันอาจไม่อร่อยและบูดอีกด้วย





อันดับ 2 มาการีนทำมาจากพลาสติก
(Margarine is Actually Plastic)


 
มาการีนหรือเนยเทียม คืออาหารสังเคราะห์อย่างหนึ่งเพื่อใช้แทนเนย ผลิตขึ้นจากไขมันชนิดอื่นที่ไม่ได้มาจากนมวัว เนยเทียม
ทำยอดขายได้ดีสำหรับแบบที่ใช้ทาขนมปัง ถึงแม้ว่าเนยธรรมดาและน้ำมันมะกอกก็ยังครองตลาดส่วนใหญ่อยู่ เนยเทียมสามารถ
นำมาใช้ประกอบอาหารแทนเนยธรรมดาได้ ในบางประเทศมีกฎหมายว่าไม่ให้อ้างถึงเนยเทียมว่าเป็น "เนย"
ข่าวลือ


"Margarine was originally manufactured to fatten turkeys. When it killed the turkeys, the people
who had put all the money into the research wanted a payback so they put their heads together
to figure out what to do with this product to get their money back. It was a white substance
with no food appeal so they added the yellow coloring and sold it to people to use in place of butter.

Triple risk of coronary heart disease.
Increases the risk of cancers up to five fold.
Decreases immune response.
And here's the most disturbing fact.... HERE IS THE PART THAT IS! VERY INTERESTING!
Margarine is but ONE MOLECULE away from being PLASTIC."



เขาบอกว่าโรงงานผลิตดั้งเดิมของมาการีนอยู่ที่ตรุกี และเกิดสงสัยว่าทำไมคนตรุกีกินพวกเนยเทียมทำไมถึงเกิดอาการป่วย
เลยเอามาตรวจสอบพบว่ามันมีส่วนประกอบของพลาสติกอยู่ในส่วนผสมของมาการีน ซึ่งมีผลทำให้เสี่ยงการเกิดโรคหายใจสามเท่า!!
เพิ่มการก่อเกิดมะเร็งถึงห้าเท่า!!ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคต่ำ ฯลฯ

มันเรื่องจริงเปล่า...?

เราต้องรู้จักมาการีนให้ดีกว่านี้ หลายคนมักกลัวเหลือเกินกับคำว่า“เนยเทียม”ขอบอกอีกครั้งว่าทำมาจากน้ำมันผัก(หรืออาจเป็นสัตว์ก็แล้วแต่)
ซึ่งมันถูกผลิตขึ้นเนื่องจากมันถูกกว่าเนยแท้ๆ ซึ่งมันถูกผลิตครั้งแรกที่ฝรั่งเศสใน ศตวรรษที่ 9 ไม่ใช้ตรุกี และนอกจากนี้เนยเทียม
ไม่มีส่วนประกอบใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลาสติกทั้งสิ้น ซึ่งมาการีนนั้นทำมาจากไขมันไม่อิ่มตัว แล้วอัดโมเลกุลของไฮโรเจนเพื่อให้แข็งตัว
ส่วนเรื่องเป็นอันตรายต่อสุขภาพนั้นเป็นแน่นอนครับ



น้ำมันคาโคล่าเป็นน้ำมันเรพ(Canola Oil is RAPE OIL)
(Canola Oil is RAPE OIL)
(rape,[N]เรพพืชชนิดหนึ่งใช้สำหรับเลี้ยงสัตว์หรือสกัดเอาน้ำมันจากเมล็ด)
 




อันดับหนึ่งติดเพราะมันเวอร์มากๆ ครับ
Canola Oilเป็นน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำสุดในบรรดาน้ำมันทั้งหลาย และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากเป็นอันดับสอง
รองจากน้ำมันมะกอก สามารถทำอาหารได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทอด ผัด หรือทำน้ำสลัด

ข่าวลือ
"Here are just a few facts everyone should know before buying anything containing canola.
Canola is not the name of a natural plant but a made-up word, from the words "Canada" and "oil".
Canola is a genetically engineered plant developed inCanadafrom the Rapeseed Plant, which is part
of the mustard family of plants. According to AgriAlternatives, The Online Innovation, and Technology
Magazine for Farmers, 'By nature, these rapeseed oils, which have long been used to produce oils
for industrial purposes, are... toxic to humans and other animals.'

Rapeseed.
It is an industrial oil. It is not a food. Rape oil, it seems, causes emphysema, respiratory distress,
anemia, constipation, irritability, and blindness in animals and humans.
There's more, but to conclude: rape oil was the source of the chemical warfare agent mustard gas,
which was banned after blistering the lungs and skins of hundred of thousands of soldiers and
civilians during W.W.I."


"คร่าวๆข้อความนี้อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าพืชที่ใช้ทำน้ำมันCanola Oilไม่ใช้พืชที่ขึ้นตามธรรมชาติ ความจริงแล้วมันเป็นพืช
คือน้ำมันที่ได้มาจากเมล็ดของต้นเรที่ไว้ให้สำหรับแกะกินและมันมาจากกระบวนการตัดต่อพันธุกรรม(GMO) ซึ่งเหมาะสม
กับการผลิตในอุตสาหกรรม แต่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ซึ่งสาเหตุทำให้เกิดภาวะเนื้อเยื่อโป่งพอง,หายใจลำบาก,
โลหิตจาง,ท้องผูก,หงุดหงิด,และตาบอด มากไปกว่านั้นน้ำมันนี้มีต้นกำเนิดจากแก๊สมัสตาร์ดในสงครามโลกครั้งที่ 1
(แก๊สมัสตาร์ดนั้นชื่อมันน่ากินก็จริงแต่เป็นอาวุธเคมีสารพิษร้ายแรงชนิดหนึ่ง มีชื่อทางเคมีว่า ไดคลอโรไดเอทิลซัลไฟด์
(dichloro diethylsulphide)มีสูตร (CH2CH2Cl)2 Sลักษณะเป็นของเหลว คล้ายนํ้ามัน เคยใช้ในสงครามโลกครั้งที่1
และเรียกกันว่า แก๊สมัสตาร์ดเพราะมันมีกลิ่นฉุนคล้ายกะกล่ำปลี นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ในสงครามอีรักอีกด้วย)



มันเรื่องจริงหรือเปล่า

เรื่องของCanola Oilถูกนำไปอ้างข่าวลื่อต่างๆ นาๆสาเหตุก็เพราะน้ำมันชนิดนี้ถูกนำไปทดลองในงานวิจัยต่างๆ
เนื่องจากคุณสมบัติที่เหมาะแก่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ ส่วนเรื่องมันเป็นอันตรายหรือเปล่าCanola Oilนั้นถือได้ว่า
เป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ที่สุดแล้วเพราะเป็นน้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง และเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ส่วนเรื่องGMOกับแก๊สมัสตาร์ดเป็นแค่ข่าวลื่อ)


credit :: cammy@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10 กันยายน 2016, 14:37:13 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่