-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Katherine Mary Knight หญิงอารมณ์ร้ายแห่งออสเตรเลีย  (อ่าน 999 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18235
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Katherine Mary Knight หญิงอารมณ์ร้ายแห่งออสเตรเลีย
« เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2015, 14:58:40 »

Katherine Mary Knight หญิงอารมณ์ร้ายแห่งออสเตรเลีย



บางครั้งเพศหญิงใช่ว่าจะเป็นเพศที่อ่อนหวานเสมอไป หากคุณได้อ่านเรื่องราวของ แคทเธอรีน แมรี่  ไนท์
(Katherine Mary Knight) หญิงสาวที่หลายคนขนามนามเธอว่าเป็น


“ฆาตกรหญิงที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย”

คุณอาจจะเปลี่ยนใจ ว่าผู้หญิงอะไรถึงได้มีความโหดเหี้ยมเลือดเย็นและโรคจิตถึงเพียงนี้
 
 
แคทเธอรีน แมรี่ ไนท์ (Katherine Mary Knight)


 
แคทเธอรีน ไนท์ มีชื่อเต็มว่า แคทเธอรีน แมรี่ ไนท์  เกิดหลังจอย  พี่สาวฝาแฝดประมาณครึ่งชั่วโมง
ในโรงพยาบาลทริคเตอร์ฟิลด์ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลล์ เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1955


แคทเธอรีนเกิดในสภาพแวดล้อมครอบครัวที่เต็มไปด้วยปัญหา บาร์บารา  เธอเป็นลูกที่เกิดขึ้นจากแม่ไปมี
ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเคน ไนท์ พ่อของเธอและยังเป็นผู้ช่วยของแจ๊ค โรฮาน สามีคนก่อนของบาร์บารา
ทั้งที่บาร์บารามีลูกกับแจ๊คอยู่แล้วถึง 4 คน และเมื่อความแตกก็กลายเรื่องซุบซิบอื้อฉาวประจำเมือง
จนครอบครัวทนไม่ไหวจึงบีบให้บาร์บาร่าย้ายออกจากบ้านเดิมมาอยู่อเบอร์ดีนแทน

เคนผู้เป็นพ่อของแคทเธอรีนนั่นเป็นคนขี้เหล้าเมาแอลกอฮอล์ชอบใช้ความรุนแรง มักข่มขู่และขื่นใจแม่ของเธอ
ถึง 10 ครั้งต่อวัน ในขณะบาร์บาร่ามักจะบอกรายละเอียดเรื่องเพศเหล่านี้แก่ลูกสาวรวมไปถึงการสร้างทัศนคติ
ให้เธอเกลียดเรื่องเพศและผู้ชาย จากการตรวจสอบสภาพจิตเธอยังอ้างว่าเธอถูกทารุณกรรมทางเพศโดยสมาชิก
หลายคนในครอบครัวของเธอ (แต่ไม่มีพ่อรวมอยู่ด้วย) อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเธออายุ 11

สภาพแวดล้อมดังกล่าวไม่แปลกใจเลยว่าแคทเธอรีน จึงกลายเป็นเด็กสาวที่มีแต่ปัญหา เป็นคนเจ้าอารมณ์
ชอบพูดคำหยาบคาย ในสมัยที่เธอเรียนในโรงเรียนมัธยม เธอกลายเป็นคนสันโดษ มักมีเรื่องทะเลาะอยู่บ่อยครั้ง
บางครั้งถึงขั้นรุนแรงเลือดตกยางออก เมื่อเธออายุ 15 ปีก็ออกจากโรงเรียน ด้วยความเรียนรู้เพียงแค่หางอึ่ง
อ่านและเขียนแทบไม่ได้ ทำให้ต้องทำงานเป็นลูกจ้างในโรงงานเสื้อผ้า ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นอาชีพที่เธอเรียกว่า
“งานในฝัน” นั่นคือการเป็นพนักงานฆ่าสัตว์ในท้องถิ่นเนื่องจากพ่อของเธอประกอบอาชีพดังกล่าว และมักพา
เธอมาดูการทำงานตอนเป็นเด็ก ซึ่งเธอหลงใหลมันมาก กลิ่นของเลือด กลิ่นของไขมัน เสียงมีดกระทบเขียง
เรียกได้ว่าเธอชอบทุกสิ่งทุกอย่างในโรงฆ่าสัตว์ และด้วยความรักทำให้เธอเรียนรู้งานอย่างรวดเร็ว จนถึงวันที่เธอ
ได้รับชุดมีดเขียงประจำตัว เธอก็นำมันมาแขวนไว้เหนือเตียงของเธอด้วยเหตุผลที่ว่า

“มันจะมีประโยชน์หากฉันต้องการพวกเขา”

ในปี 1973 แคทเธอรีน (เวลานั่นเธออายุ 18 ปี)ได้พบรักครั้งแรกกับเดวิด เคลเล็ท  พนักงานขับรถบรรทุก
หลังจากคบหาดูใจมา 1 ปีทั้งสองก็แต่งงานกัน พร้อมกับข่าวลือหนาหูว่าคืนแรกที่เข้าหอเธอพยายามที่จะรัดคอสามี
เมื่อเขาบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับเธอ หลังจากมีเพศสัมพันธ์กันสามครั้ง



ในปี 1976 แคทเธอรีนก็ได้คลอดเมลิสสา แอน  ลูกคนแรก แต่เดวิดไม่มีความสุขกับเรื่องนี้มากนัก
เนื่องจากเขาพบว่าภรรยาของเขามีอารมณ์ร้าย และหึงอย่างร้ายกาจ เพียงแค่เธอเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เธอถึงกับ
ซ้อมเขาอย่างรุนแรง บางครั้งก็เผาเสื้อผ้า ตีหัวเขาด้วนกระทะ ทำให้เดวิดถึงขั้นต้องหนีไปอาศัยเพื่อนบ้านเพื่อให้
เธอสงบสติอารมณ์ลง

ความจริงแล้ว หากไม่นับอารมณ์ร้ายของแคทเธอรีน เธอก็ถือว่าเป็นแม่บ้านที่ดีคนหนึ่ง ทำอาหารอร่อย งานเย็บปัก
ถักร้อยก็เก่ง แต่ข้อดีเหล่านี้ไม่เพียงพอที่ทำให้เดวิดอดทนที่อยู่กับเธอได้ เขาเลยตัดสินใจแยกทางกับเธอ
หลังเดวิดโบกมือลา แคทเธอลีนก็เกิดอาการภาวะซึมเศร้าหลังคลอดอย่างรุนแรง เธอระบายเรื่องถูกสามีทิ้งกับลูก
ด้วยการเอา “มาลิสา” ลูกสาววัยเพียง 2 เดือนที่เกิดกับเดวิดไปวางทิ้งบนรางรถไฟหวังให้รถไฟทับ แต่มีคนพบเสียก่อน
จึงช่วยทารกน้อยได้ปลอดภัย ชนิดที่เรียกว่าไม่กี่นาทีก่อนที่รถไฟจะแล่นผ่าน เธอถูกจับกุมและถูกส่งเข้าโรงพยาบาล
เพื่อรักษาทางจิตระยะหนึ่ง

ต่อมาเดวิดก็กับมาคืนดีกับเธออีกครั้งและให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนชื่อ “นาตาชา” ในปี 1980
ก่อนที่จะหย่าในเวลาต่อมาในปี 1988 แคทเธอลีนแต่งงานกับสามีคนที่สอง เดวิด ชอนเดอร์ ชาวเหมืองแร่อายุ 38 ปี
เธอหอบลูกสาวทั้งสองมาอยู่ด้วย แต่ไม่กี่ปีเขาก็รู้ฤทธิ์ความขี้หึงของเธอ ในเดือนพฤษภาคม 1987 เธอเชือดคอลูกสุนัข
สองเดือนของเขาเพื่อเป็นตัวอย่างที่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรหากนอกใจเธอ


นอกจากนี้เธอยังทำร้ายร่างกายเขาหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งถึงขั้นเอากะทะตีศีรษะเขาอย่างรุนแรงจนสลบ แม้ว่าในเดือน
มิถุนายน 1988 เธอก็กำเนิดลูกสาวคนที่สามชื่อซาร่าห์  แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ไม่ได้ดีแม้แต่น้อย  ต่อมาความอดทน
ของเดฟถึงจุดแตกหัก เมื่อแคทเธอลีนทุบรถเขา และไล่แทงเขาด้วยกรรไกรจนแทบหนีเอาชีวิตไม่รอด ทำให้เขาต้อง
ออกจากบ้านชั่วคราว และเมื่อกลับมาก็พบว่าภรรยาของเขาทำกรรไกรตัดผ้าของเขากองเรื่อยราดบนพื้นบ้าน ทำให้เขา
หวาดกลัวเธอมากจึงขอหย่าขาดจากเธอในที่สุด

ในปี 1990 แคทเธอรีนแต่งงานกับจอห์น ชิลลิงเวิร์ซ เพื่อนร่วมงานอายุ 43 ปี และมีลูกชายกับเขา 1 คนชื่ออีริค (Eric)
อย่างไรก็ตาม 3 ปีต่อมาความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็สิ้นสุด เนื่องจากจอห์นทนอารมณ์โมโหร้ายของเธอไม่ไหว 
และเวลานั้นเธอเองก็ได้พบกับรักครั้งใหม่กับคนรักคนที่ 4 ของเธอ จอห์น ไพรซ์
 
 
จอห์น ไพรซ์


 
ด้วยนิสัยคุ้มดีคุ้มร้าย ทำให้แคเธอรีนอยู่กับคนรักคนอื่นไม่ค่อยนาน และแล้วในปี 1994 เธอก็ได้พบกับจอห์น ไพรซ์
หนุ่มใหญ่วัย 38 ปีที่มีลูก 3 คน ในโรงแรมท้องถิ่นซึ่งเขาเป็นคนตลกและเป็นเพื่อนดื่มที่คุยสนุกกับแธอ หลังจาก
คุยไปคุยมาก็พบว่าทั้งคู่มีอายุเท่ากัน หลังจากที่เธอมีเพศสัมพันธ์กับเขา ทั้งคู่ก็แต่งงานในปี 1988 และอาศัย
อยู่ในบ้านหลังหนึ่งบนถนนเฮนด์ แอนดรูว์ อาเบอร์ดีน


ต่อมาไม่นานจอห์นก็รู้ซึ้งถึงอารมณ์รุนแรงของแคเธอรีน  ความขัดแย้งได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงขั้นทำร้ายร่างกาย
เธอใช้มีดแทงที่หน้าอกของเขาระหว่างมีการโต้เถียงในห้องครัว จนถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล และในช่วงเวลานั้นเอง
จอห์นก็เริ่มมีความคิดที่ต้องการให้แคเธอรีนออกไปจากชีวิตของเขา โดยหารู้ไม่ว่านั้นเป็นจุดเริ่มต้นของคดี
ที่ต่อมาได้รับการกล่าวขันว่าโหดเหี้ยมที่สุดในออสเตรเลีย

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2000 จอห์นบอกเพื่อนร่วมงานของเขาว่าจะไม่มาทำงานในวันพรุ่งนี้
เพราะเขาต้องสะสางเรื่องของแคทเธอรีน หลังจากนั้นเขาก็มาที่บ้าน ในช่วงเวลาเดียวกันแคทเธอรีนก็ส่งลูกๆ
ให้ไปนอนบ้านเพื่อน และเธอก็ไปบ้านของจอห์น เวลา 23:00 น. ตอนนั้นไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดอะไรกัน
หรือเธออยู่อารมณ์ไหนกันแน่ แต่ในช่วงที่เธอมาถึงจอห์นกำลังนอนหลังหลังดูทีวีไม่กี่นาทีก่อน
จากนั้นเธอก็ในชุดนอนสีดำแล้วปลุกให้เขาตื่นและมีเพศสัมพันธ์กัน และเมื่อจอห์นหลับไป แคทเธอรีน
ก็ได้กระทำอย่างหนึ่งที่ได้รับการจารึกว่าเป็นคดีที่"โหดที่สุดในประวัติศาสตร์ออสเตรเลีย"



เช้าวันถัดไป วันที่ 1 มีนาคม เพื่อนบ้านเริ่มกังวลเมื่อพวกเขายังเห็นรถบรรทุกของจอห์นยังคงอยู่ที่จอดรถ
และในขณะเดียวกันเพื่อนที่ทำงานและนายจ้างก็แสดงกังวลว่าจอห์นไม่มาทำงาน และเมื่อเพื่อนบ้านและ
คนงานพยายามเคาะที่หน้าต่างห้องนอนเพื่อปลุกเขา แต่หลังจากสังเกตเห็นเลือดบนประตูหน้าบ้าน
จึงเรียกตำรวจทันที


เวลา 8:00 น. ตำรวจได้มาถึงบ้าน และทำงานพังประตูหลัง ส่วนแคทเธอรีน พบเธอนอนกรนเสียงดัง
อยู่ในสภาพหมดสติอยู่บนเตียงคาที่ส่วนท้ายของบ้าน เชื่อว่าเป็นผลมาจากฤทธิ์ยาจำนวนมาก ตำรวจ
ต้องนำเธออกจากบ้านทันทีเพื่อส่งเธอไปโรงพยาบาล

และหลังจากที่ตำรวจทำการสำรวจบ้าน พวกเขาก็ได้พบสิ่งที่สยดสยองเมื่อเขาพบศพจอห์นในสภาพ
ไม่แตกต่างอะไรไปจากสัตว์ชำแหละ ชิ้นส่วนต่างๆ ของเขากระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณบ้าน ไม่ว่าจะเป็น
ในห้องนั่งเล่น ห้องครัว หากแต่นี่แตกต่างไปจากคดีฆาตกรรมทั่วๆ ไปเพราะมันสยดสยองยิ่งกว่านั่น

ต่อไปนี้เป็นรายงานการสืบสวนอาชญากรรมของตำรวจอาวุโสปีเตอร์ ผู้ซึ่งเข้าไปสถานที่เกิดเหตุครั้งแรก
และพบศพจอห์น ซึ่งเขาได้บรรยายไว้ว่า

“วันนั้นเราได้รับแจ้งว่ามีการเกิดเหตุฆาตกรรม ในบ้าน 84 ถนนเซนต์แอนดรูส์ สถานที่ดังกล่าวเป็นบ้านธรรมดา
ที่พบเห็นทั่วๆ ไป เป็นบ้านชั้นเดียว เราทำการตรวจสถานที่คร่าวๆ และผมเดินผ่านประตูด้านหลังและเข้าไปในครัว
จนถึงห้องครัว เมื่อมาถึงผมได้สังเกตเห็นสิ่งที่ดูเหมือนหนังของสัตว์ขนาดใหญ่ห้อยแขวนจากขอบประตูด้านบน
ก่อนที่จะถูกนั่งเล่น แผบาน เมื่อเขาทำการสำรวจมันไม่ใช่หนังสัตว์

หากแต่เป็นผิวหนังของมนุษย์ที่พึ่งถูกถลกออกมาไม่นาน
 
หลังจากนั้นมองผ่านประตู ก็พบเรื่องน่าขนหัวลุก เมื่อพบร่างไร้หัวของจอห์น ในสภาพชำแหละศพอย่างน่าสยดสยอง
เลือดนองเต็มพื้น คราบเลือดจำนวนมากสาดละเลงเต็มกำแพงราวกับโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งคราบเลือดดังกล่าวนอกจาก
ห้องโถงแล้ว ห้องนอนก็เป็นอีกสถานที่ที่เลือดสาดไม่แพ้กัน ซึ่งเชื่อว่าจอห์นอาจถูกฆ่าในห้องนอน เมื่อตรวจสอบ
อย่างละเอียดตำรวจก็พบว่าชิ้นเนื้อของส่วนสะโพกบั้นท้ายขอจอห์นเอง

เมื่อทำการตรวจค้นละเอียดพบเรื่องต้องใจ ในห้องรับประทานอาหารและห้องครัว นั่นพวกเขาพบของหลายรายการ
อันน่าขนหัวลุก เมื่อตำรวจเปิดฝาหม้อไอน้ำที่กำลังอุ่น (อุณหภูมิ 40-50 องศา) ซึ่งถูกเตรียมไว้เป็นอาหารเช้า
ตำรวจได้เจอหัวของจอห์นในหม้อที่ถูกต้มจนเปื่อย เต็มไปด้วยน้ำซุปเกรวี่และผักสุก เนื้อสุกสองชิ้น มันฝรั่งอบ
ฟักทองอบ บวบ กะหล่ำปี 

ที่ใกล้ๆ โต๊ะอาหารตำรวจได้เห็นกระดาษที่ฉีกเขียน เขียนไว้ว่า “แบคกี” และ “โจนาธาน”” ซึ่งเป็นชื่อลูกของแคทเธอรีน
ซึ่งเชื่อว่าเธอเตรียมอาหารเนื้อมนุษย์ดังกล่าวไว้เพื่อลูกของเธอให้กิน ซึ่งสิ่งที่เห็นทั้งหมดไม่เคยเห็นอะไรที่น่าสยองขวัญ
เช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต"




เมื่อตำรวจเข้าไปปลุกแคทเธอรีน และเมื่อเธอตื่น เธอก็อ้างว่าจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันก่อนไม่ได้ เพราะเมื่อเธอกลับมา
ถึงบ้านและมีเพศสัมพันธ์กับคนรัก เธอก็ไม่จำอะไรอีกแล้ว อย่างไรก็ตามตำรวจก็จับผิดเธอจากกล้องวงจรผิดจับเธอได้ว่า
เธอกดตู้เอทีเอ็มหลังจากฆ่าจอห์น ส่งผลทำให้เธอถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมจอห์นในที่สุด


หลังจากทำการชันสูตรตำรวจก็สามารถลำดับเหตุการณ์ฆาตกรรมฆาตกรรมจอห์นว่า แคทเธอลีนคงแค้นจอห์นมาก
ถึงได้ก่อคดีฆาตกรรมสยองถึงเพียงนี้ ในวันที่เกิดเหตุ เธอออกจากห้องและกลับเข้ามาใหม่พร้อมมีด ยืนดูจอห์น
นอนอยู่ปลายเตียงในชุดนอนสีดำ จากนั้นเธอก็กระโดดขึ้นคร่อมแล้วใช้มีดแล่เนื้อ แทงเขาถึงแก่ความตาย
เขาถูกแทงอย่างน้อย 37 ครั้ง ทั้งหน้าและหลังและหน้าอกจนเลือดท่วม หลายแผลแทงทะลุอวัยวะภายใน
ที่สำคัญหลายแห่ง

จากหลังฐานเลือดพบว่าในขณะที่เธอแทง จอห์นก็ได้ตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะเปิดไฟ และพยายามหนีเธอออกจากประตูหน้าบ้าน
แต่เขาก็ไมพ้นและถูกลากไปฆ่าที่ห้องนั่งเล่น ถลกหนังเขาแบบที่เราเห็นในโรงฆ่าสัตว์ แล้วแขวนหนังที่ถลกแล้วไว้กับ
ประตูห้องนั่งเล่น ส่วนเนื้อเอามากองไว้หน้าโทรทัศน์ที่เปิดเครื่องทิ้งไว้ จากนั้นเธอก็เอาตัดหัวเขาออกแล้วนำไปใส่ในหม้อซุป
และอบส่วนสะโพกบั้นท้ายของเขา แล้วเตรียมน้ำเกรวี่และผักเพื่อเป็นเครื่องเคียงเนื้ออบ และเธอกับหม้อมาวางตรง
หม้อซุปอาหารพร้อมชื่อคนรับประทานข้างจาน

หลังจากแคเธอลีนฆ่าจอห์นเธอก็ขับรถเพื่อไปถอนเงินกว่า 1,000 ดอลลาร์จากบัญชีของจอห์นในตู้เอทีเอ็ม
และกลับบ้านกินกาแฟ สูบบุหรี่และนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และนอกจากนี้ยังมีการพบชิ้นเนื้อศพบางส่วน
ตกอยู่ในสนามเชื่อว่าเธอคงพยายามกินมัน แต่รสชาติไม่ได้เรื่อง เธอเลยตัดสินใจทิ้ง หวังจะให้สุนัขที่เลี้ยงไว้มากิน
โชคดีที่ทั้งหมดเหล่านี้ถูกพบโดยตำรวจก่อนที่ลูกของจอห์นขะกลับมาบ้านพบอาหารค่ำ.......

การพิจารณาคดีของแคทเธอรีนเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2001 ซึ่งเธอเลือกที่ปฏิเสธว่าไม่มีความผิด
อีกทั้งจากการตรวจสอบทางจิต ของจิตแพทย์ 5 คนประกาศว่า เธอเป็นบ้า.........

อย่างไรก็ตามวันที่ 8 พฤศจิกายน ผู้พิพากษาแบร์รี่ โอคีฟได้พิพากษาจำคุกตลอด




แคทเธอรีนได้ถูกบัทึกว่าเป็นผู้หญิงคนแรกของออสเตรเลียที่ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีการลดหย่อน
ผ่อนโทษโดยผู้พิพากษาแบร์รี่ โอคีฟ ได้แถลงว่า


“หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบ เห็นว่าจำเลยฆ่าคนตายโดยมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่เพียงแต่วางแผนสังหารเท่านั้น
จำเลยยังมีความสุขในการก่อเหตุ และมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ หลังจากการฆ่าคนแล้วด้วย จำเลยยังมีสติ รู้ทุกอย่างที่
ตนกำลังทำ ทำด้วยความตั้งใจ ตระหนักถึงผลที่ตามมา และทำด้วยความชำนาญ”


แคเธอรีน ไนท์ใช้ชีวิตในทัณฑสถานหญิงมูวาค่าในนิวเซาท์เวลล์ เธอพยายามทำเรื่องขออุทธรณ์หลายครั้งแต่ไม่เป็นผล
เนื่องจากคดีที่เธอก่อค่อนข้างสะเทือนขวัญต่อจิตใจของคนในสังคม อีกทั้งหลักฐานที่บ่งบอกว่าอาการทางจิตของเธอ
ไม่มีทางที่จะรักษาหาย และหากปล่อยตัวเธออาจจะมีแนวโน้นที่จะก่อคดีสะเทือนขวัญทำให้คนอื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้

ทุกวันนี้แคเธอรีนได้ใช้เวลาว่างในการทำความสะอาดในสำนักงานราชการ แม้ว่าเธอจะมีทักษะในการทำอาหาร
แต่เธอไม่เคยทำในครัวเลย หลังจากเกิดคดีดังกล่าว



credit :: cammy@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 พฤศจิกายน 2015, 14:21:51 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่