-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Murder of Kitty Genovese น้ำใจของคน  (อ่าน 860 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18221
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Murder of Kitty Genovese น้ำใจของคน
« เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2016, 15:26:00 »

Murder of Kitty Genovese น้ำใจของคน



นี่คือคดีประวัติศาสตร์ที่เป็นการตั้งคำถามถึง “น้ำใจของคน”
 
คุณเคยสังเกตว่าไหมว่า มีหลายครั้งที่เกิดสถานการณ์ที่ฉุกเฉินหรือมีอุบัติเหตุจนมีผู้เดือดร้อน
คนที่เห็นเหตุการณ์กลับไม่ใส่ใจให้ความช่วยเหลือคนอื่นเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ผู้ประสบอุบัติเหตุกำลังเดือดร้อน
ต้องการความช่วยเหลือ ตัวอย่างเช่น หากใครสักคนปั่นจักรยานล้มลงในตลาด ทุกคนที่อยู่บริเวณรอบๆ ทำได้มองเท่านั้น
ไม่มีใครช่วยเหลือสักคน


เหตุการณ์ที่ยกตัวอย่าง สามารถอธิบายในเรื่องจิตวิทยาพฤติกรรมของสังคมที่เรียกว่า เรียกว่า
“การกระจายความรับผิดชอบ (diffusion of responsibility) ”  หรือ “ปรากฏการณ์คนมุงผู้ เพิกเฉย (the bystander effect)”
(หรือ เจนโนวีส  ซินโดรม“Genovese syndrome”) โดยคิดว่าแม้ตนไม่ช่วยก็จะมีคนอื่นไม่ช่วยเอง ไม่ใช่เรื่องของเรา
จึงทำให้ความรู้สึกอยากชวยน้อยลงไปด้วย บางคนคิดว่าการช่วยเหลือเป็นความรับผิดชอบของตำรวจ หมอ พยาบาล
หรืออาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ

ทั้ง 3 คำศัพท์นี้มีที่มาจากคดีหนึ่งที่น่าอับอายที่สุดที่มีการตั้งคำถามน้ำใจของคน เป็นคดีหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ 13 มีนาคม 1964
ได้เกิดคดีฆาตกรรมเขย่าขวัญ คดีหนึ่งของโลกและการตั้งคำถามเกี่ยวกับน้ำใจของคนต่อการช่วยเหลือคนอื่นเวลามีเรื่องเดือดร้อน
โดยเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อคิตตี เจนโนวีส หญิงสาวอายุ 29 ปี ที่กำลังกลับบ้านเธอในเมืองควีนส์ นิวยอร์ก ได้ถูกคนร้ายแทงสามครั้ง
พร้อมเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือ “พระเจ้า เขาจะแทงฉัน” ผ่านสายตาคนที่ผ่านไปผ่านมาในนิว การ์เด้น ซึ่งมีผู้พบเห็น
เหตุการณ์หลายคน แต่ที่น่าตกตะลึงก็คือไม่มีใครเลยที่จะโทรแจ้งตำรวจในขณะที่เห็นเหตุการณ์ แท้กระทั้งคนเข้าไปช่วยยังไม่มี
จนกระทั้งมีพลเมืองดีคนเดียวเท่านั้นที่โทรศัพท์แจ้งตำรวจ แต่ก็เป็นหลังจากที่เกิดคดีนานถึงครึ่งชั่วโมง โดยเธอเสียชีวิต
ในขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล

เหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกบรรยายในหนังสือพิมพ์ในสองสัปดาห์ต่อมา ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
และต่อมาศัพท์ทั้ง 3 คำจึงเกิดขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องราวดังกล่าว

 
 


คิตตี เจนโนวีส



แคทเธอรีนซูซาน “คิตตี” เจนโนวีส (วันที่ 7 กรกฎาคม 1935 – 13 มีนาคม 1964) เป็นหญิงสาวชาวอเมริกันที่ถูกแทงตาย
ใกล้บ้านของเธอในนิว การ์เด้น พื้นที่ใกล้เคียงของเมืองควีนส์ ในนิวยอร์ก เมื่อ 13 มีนาคม 1964


เจนโนวีสเป็นลูกคนโตในจำนวนเด็กห้าคนในครอบครัวอิตาเลียนชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในบรุกลีน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
หลังจากที่แม่ของเธอได้เห็นการฆาตกรรมในเมือง เธอก็รู้สึกกลัว เลยย้ายครอบครัวไปคอนเน็ก เพราะเชื่อว่าที่นั้นปลอดภัยกว่า
อย่างไรก็ตามในปี ในปี 1954 เธอได้ย้ายมาอยู่บ้านเกิดขึ้นอีกครั้ง และได้พบแมรี่ แอน ซีลอนคา และมีความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยน
ทั้งคู่อาศัยอยู่อพาร์ตเมนต์ในนิว การ์เด้น ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่เธอถูกฆาตกรรมมากนัก

ในวันที่เจนโนวีสเสียชีวิตนั้น เธออายุ 29 ปี เป็นผู้หญิงผมดำและมีดวงตาสีเขียวมรกตทำให้เป็นสเน่ห์ดึงดูดแก่คนรอบข้าง
เธอทำงานเป็นผู้จัดการบาร์ Ev's Eleventh Hour Club  ในถนนจาเมกา อเวนิว ซึ่งเธอทำงานที่นั้นจนกระทั้งเกิดคดีขึ้น
 
 
เรื่องราวแห่งความแล้งน้ำใจของคน เริ่มต้นขึ้นช่วงเช้าของวันที่ 13 มีราคม 1964 เจนโนวีสได้ออกที่ทำงานของเธอ
เพื่อเดินทางกลับบ้าน เวลานั้นเป็นเวลาประมาณตี 3 ในตอนเช้าวันใหม่ แต่ช่วงเวลาดังกล่าวยังมีรถผ่านไปผ่านมาบนถนน




 
เส้นทางการกลับบ้านของเธอเหมือนเช่นปกติเช่นทุกวัน เธอหลังจากที่เธอจอดรถในพื้นที่จอดรถที่อยู่ติดกับอพาร์ทเม้น
ที่เธออาศัยอยู่ และในขณะเจนโนวีสกำลังมุ่งหน้าไปยังอาคาร เธอก็เริ่มสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังแอบตามเธอในมุมมืด
เงามืดดังกล่าวเป็นของชายผิวดำที่ดูเหมือนจะพร้อมที่จะจู่โจมเธอทุกเมื่อ เวลานั้นเธอเริ่มใจเสียและไม่มีเวลาแม้จะไป
ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อขอความช่วยเหลือกับตำรวจ


เจนโนวิสพยายามหนีสละพ้นชายดังกล่าว ซึ่งภายหลังถูกระบุชื่อวินสตัน มอสลีย์  เธอพยายามวิ่งหนีชายดังกล่าวจนถึง
ทางสัญจรหลัก หากแต่ชายผิวดำยังตามทันอย่างรวดเร็วพร้อมโจมตีเธอด้วยการแทงสองครั้งที่กระเพาะอาหาร
จนเลือดไหลออก และเวลานั้นเองเธอก็เริ่มตะโกน

“โอ้ พระเจ้า!! เขาแทงฉัน ช่วยฉันด้วย!!”

เสียงของเธอนั้นทำให้อาคารรอบๆ เปิดไฟ หากแต่เวลานั้นพอดีเป็นคืนที่อากาศหนาวทำให้กว่าที่มีคนมาเปิดหน้าต่าง
มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เจนโนวิสก็ถูกทำร้ายจนสาหัสเรียบร้อยแล้ว และมีใครบางคนเห็น พวกเขาก็ไม่คิดที่ลงไปถนน
เพื่อไปช่วยเหลือเธอแม้แต่น้อย เวลานั้นเองนายโรเบิร์ต โมเซอร์หนึ่งในเพื่อนบ้านได้ตะโกนไปที่คนร้ายว่า

"อย่าไปยุ่งกับเธอ!!”


 
มอสลีย์ตกใจกับเสียงตะโกนดังกล่าว ทำให้เจนโนวิสมีโอกาสวิ่งหนี หากแต่เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายแผล ทำให้วิ่งไม่ได้
รวดเร็วนัก แต่เธอพยายามกัดฟันรวบรวมพละกำลังเพื่อไปด้านหลังอาคารอพาร์มเม้นของเธอหวังจะมีใครมาช่วยเหลือ
ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็มีพยานหลายคนเห็นฉากดังกล่าวมากมายหลายราย หากแต่คนเหล่านั้นก็ไม่เข้าไปช่วยหรือโทรเรียกตำรวจ
แม้แต่น้อย


แต่เรื่องราวความแล้งน้ำใจคนยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น โดยพยานได้ให้การในภายหลังว่าเห็นมอสสลีย์ไปที่รถของเขาและ
พยายามที่จะออกจากที่เกิดเหตุ หากแต่ไม่นานเขาก็กลับมาอีกในอีกสิบนาทีต่อมา สันนิษฐานว่าตอนแรกมอลสลีย์คิดจะมี
คนมาขัดขวางเขา หากแต่เมื่อผ่านไปหลายนาทีก็ไม่เกิดอะไรเกิดขึ้น เขาเลยตามหาเจนโนวิสเพื่อจัดการเธอให้เสร็จเรียบร้อย
โดยพื้นที่ล็อบบี้ด้านหลังของอาคาร เขาก็พบกับเธอในสภาพแทบไม่มีสติ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบว่าเกิดขึ้นอะไรกับเธอแล้ว
หากแต่สภาพที่พบเธอก็พบว่าเธอถูกแทงหลายแผล แผลใบไม้ในมือของเธอเป็นตัวบ่บอกชัดเจนว่าเธอพยายามป้องกัน
ตนเองจากมีด และขณะที่เธอนอนหมดสติเขาก็ข่มขืนเธอ และขโมยเงินไปเพียง 49 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันสิ้นสุดการโจมตี
และความไร้น้ำใจของคนครึ่งชั่วโมง (3.15-3.50 น. )

ไม่กี่นาทีหลังการโจมตีครั้งสุดท้ายพยานคนหนึ่งก็ได้แจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึงเจนโนวีสก็ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล
แต่สุดท้ายเธอก็เสียชีวิตระหว่างทางไปโรงพยาบาล จากการสอบสวนในภายหลังตำรวจได้เปิดเผยว่ามีพยานประมาณ
หนึ่งโหล (จำนวนไม่แน่นอน บางแหล่งบอกว่ามีประมาณ 38 คน) ที่เป็นบุคคลใกล้เคียงที่ได้ยินเสียงและเห็นการโจมตี
ดังกล่าว แต่หลายคนไม่สนใจที่เกิดขึ้น ในขณะที่พยานบางคนคิดว่าเป็นการทะเลาะกันระหว่างเธอกับลูกค้าขี้เมา
หรือเพื่อนของเธอมากกว่าจะเป็นการฆ่ากัน

 
   


วินสตัน มอสลีย์



เมื่อตำรวจมาถึงพบว่ามอลสลีย์ยังคงมีลมหายใจมีชีวิตอยู่ หากแต่เธอก็สิ้นใจในโรงพยาบาลในระหว่างส่งตัวเธอไปโรงพยาบาล
มอสลีย์ถูกจับกุมในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบประวัติพบว่า เขาเป็นเพียงแอฟริกัน-อเมริกันที่ทำธุรกิจเล็กๆ และยังเป็นโจร
ลักเล็กขโมย (เกิด 2 มีนาคม 1935)  จากการสอบสวน เขาก็จนมุมด้วยหลักฐานกายภาพที่พบในเกิดเหตุ และเมื่อเขาถาม
แรงจูงใจว่าทำไมถึงก่อเหตุสะเทือนขวัญถึงเพียงนี้ เขาแค่ตอบว่า


“ผมแค่อยากฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง” เขากล่าว “เธอฆ่าง่ายและไม่ต่อสู้ตอบโต้ด้วย”

พูดง่ายๆ เขาแค่มีความรู้สึกอยากฆ่าคน ขอให้เป็นใครก็ได้ที่เป็นผู้หญิง มอสลีย์ได้เล่าอีกว่าเขาตื่นนอนตอนตี 2
ออกจากเตียงที่ภรรยาของเขากำลังหลับอยู่ ก่อนที่จะออกจากบ้าน ขับรถไปตามหาเหยื่อ จนกระทั้งมาพบเจนโนวิส
และเขาก็ตามเธอไปที่ลานจอดรถ และเมื่อสบโอกาสก็จัดการกับเธอเหมือนกับที่พยานอ้างเห็นเหตุการณ์ข้างต้น

มอสลีย์ถูกตัดสินคดีฆาตกรรมเจนโนวิส เมื่อวันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน 1964 เขาถูกตัดสินให้ประหารชีวิต เมื่อสิ้นเสียงประกาศ
โดยคณะลูกจุน ทั้งห้อง (ศาล) ทุกคนต่างระเบิดเสียงปรบมิดังลั่น ในขณะที่บางคนพูดไชโย จนผู้พิพากษาบอกให้ทุกคน
อยู่ในอาการสงบก่อนที่เขาจะพูดกล่าวเสริมว่า


“ผมไม่เชื่อในโทษประหาร แต่เมื่อผมเห็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ผมจะไม่ลังเลที่จะกดสวิทช์ (เก้าอี้ไฟฟ้า) ด้วยตนเอง”


อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักมอสลีย์ก็ได้นักโทษที่ได้รับปาฏิหาริย์ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 1967 ศาลอุทธรณ์ได้พบว่าเขามี
อาการทางจิตการชอบมีเพศสัมพันธ์กับศพ (necrophilia) ซึ่งศาลได้พิจารณาแล้วว่าสมควรยกเลิกโทษประหารและ
เปลี่ยนมาเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแทน
 
 
เจนโนวิสในการ์ตูน Watchmen


 
ทางด้านปฏิกิริยาสาธารณะชน เมื่อหลายได้ทราบข่าวการฆาตกรรมเจนโนวิส ซึ่งเป็นตัวอย่างของความไร้น้ำใจของคน
โดยเฉพาะนิวยอร์กไทมส์ได้พาดหัวข่าว ที่เผยแพร่วันที่ 27 มีนาคม สองสัปดาห์หลังจากเกิดคดีฆาตกรรม


“38 พยานที่เห็นการฆาตกรรมต่อหน้าต่อตาแต่ไม่ได้เรียกตำรวจ” (มีการเซ็นเซอร์ชื่อและที่อยู่พยานสามสิบแปดคนเอาไว้)
พร้อมกับเนื้อหาหญิงสาวตะโกนกว่าครึ่งชั่วโมงแต่ไม่มีใครสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเนื้อหาข่าวดังกล่าวทำให้สังคมตื่นตกใจไปทั่ว

หลังจากที่นิวยอร์กไทม์เผยแพร่ข่าว ก็มีหลายคนพยายามหาข้อสรุปพฤติกรรมแปลกประหลาดของพยานเหล่านั้นว่าเกิดขึ้น
เพราะอะไร หลายคนออกมาตำหนิว่าความเงียบ ความขี้ขลาด ความไม่แยแสของพวกเขาแสดงให้เห็นสภาพสังคมของอเมริกัน
บางคนถึงขั้นให้ออกกฎหมายลงโทษคนเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่ตระหนักถึงความรับผิดชอบของพลเมืองดี



อย่างไรก็ตามนักจิตวิทยาได้มองพฤติกรรมพยานของคดีนี้ว่าเกิดจาก
“การกระจายความรับผิดชอบ (diffusion of responsibility) ” หรือ “ปรากฏการณ์คนมุงผู้ เพิกเฉย (the bystander effect)”
(ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า เจนโนวีส  ซินโดรม“Genovese syndrome”)

ความเพิกเฉยของผู้เห็นเหตุการณ์ (bystander effect) เป็นศัพท์จิตวิทยาทางสังคม ที่อ้างถึงการเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “คนมุง”
ที่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือใดๆ แก่ผู้เดือดร้อนตรงหน้า ทำได้แต่ยืนดู และที่น่าสนใจคือยิ่งมีคนอยู่รอบข้างมาก จะยิ่งไม่มีคนให้ความช่วยเหลือ
เกิดจากความคิดที่ว่า คนอื่นอยู่กันตั้งเยอะ และทำไมฉันจะต้องเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือคนที่กำลังมีปัญหาด้วยล่ะ?

หรือการปัดความรับผิดชอบให้พ้นตัวเอง เพราะคิดว่าคนอื่นก็อยู่กันตั้งมากมาย ถ้าฉันไม่ไปช่วยสักคนหนึ่งก็ยังจะมีคนอื่นอยู่อีก
ตั้งหลายคนที่สามารถเข้าไปช่วยได้ โดยปกติแล้วคนเราจะมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่ เวลาอยู่คนเดียวแล้วเห็นคนที่ต้องการ
ความช่วยเหลือเราจะวิ่งเข้าไปให้ความช่วยเหลือในทันที เพราะว่ามีแต่เราอยู่คนเดียวเท่านั้น แต่พอมีหลายคนเข้าการปัดความ
รับผิดชอบก็จะเกิดขึ้น นำมาซึ่งการแพร่กระจายความรับผิดชอบ (Diffusion of responsibility) เมื่อเกิดปัญหาขึ้นเราก็โยน
ความรับผิดชอบให้คนอื่น ยิ่งจำนวนคนมากเอาใดตนเองก็ไม่รู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น



อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ไทยมุมดังกล่าวจะเกิดเพราะปัจจัยเหล่านี้ก็ไม่ได้ เพราะมันมีองค์ประกอบอื่นๆ เขามามากมายที่ทำให้
คนเราไม่ช่วยเหลือกัน เช่น อารมณ์ของบุคคล, วัฒนธรรม, ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ  ซึ่งกรณีของเจนโนวีสนั้นได้กลายเป็น
ตัวอย่างจิตวิทยาสังคมคลาสสิกที่อธิบายศัพท์จิตวิยาดังกล่าว

 

credit :: cammy@dek-d.com
http://en.wikipedia.org/wiki/Murder_of_Kitty_Genovese
http://www.thaiinsuranceetc.com/tag/bystander-effect/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 กุมภาพันธ์ 2016, 11:55:49 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

gogorin

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 100
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: Murder of Kitty Genovese น้ำใจของคน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 29 กุมภาพันธ์ 2016, 02:09:56 »

สมัยนี้ต้องระวังตัวอย่างเดียวเลย

Little Tiger

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 142
  • Country: 00
  • คะแนนจิตพิสัย +1/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: Murder of Kitty Genovese น้ำใจของคน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 29 กุมภาพันธ์ 2016, 21:20:34 »

เรื่องที่จิตแพทย์พูดผมว่าจริงนะ