-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Rodney Alcala นักฆ่าเกมหาคู่  (อ่าน 852 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18236
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Rodney Alcala นักฆ่าเกมหาคู่
« เมื่อ: 13 พฤษภาคม 2016, 12:10:47 »

Rodney Alcala นักฆ่าเกมหาคู่



ศตวรรษที่ 20 มีรายการเกมโชว์หนึ่งได้รับความนิยมในอเมริกา “The Dating Game” หรือ “เกมเดท” เป็นรายการของเอบีซี
ที่ออกอากาศครั้งแรกเมื่อ 20 ธันวาคม 1965 มันเป็นเกมโชว์เพื่อความบันเทิงที่มีกติกาเกี่ยวกับหาคู่ โดยเกมจะมีดารารับเชิญมา
เป็นกรรมการ ทำการถามคำถามแก่ผู้เข้าแข่งขันสามคนที่เป็นเพศตรงข้ามที่อยู่ด้านหลังของม่าน (กรรมการไม่เห็น แต่ผู้ชมทางบ้าน
และห้องส่งเห็น)


ซึ่งส่วนมากคำถามมักเกี่ยวกับความรัก การเดท โรแมนติก (แต่ห้ามพูดถึงอาชีพหรือตัวตนของพวกเขา) ในช่วงท้ายของรายการ
พิธีกรจะต้องให้กรรมการตัดสินใจเลือกหนึ่งในสามผู้แข่งขันที่ตอบคำถามถูกใจมากที่สุดเพื่อมาเป็นคู่เดท

แน่นอนว่าคู่แข้งขันที่จะสามารถเอาชนะเกมนั้นจะต้องเป็นคนโรแมนติก มีสำนวนโวหารในการตอบคำถามได้อย่างน่าสนใจ
ส่วนมากผู้แข่งขันนั้นจะอยู่สถานะโสด ทำให้เมื่อจบรายการแล้วมีผู้ชมทางบ้านที่ชมรายการเกิดความสนใจผู้แข่งขันบางคน
จนติดต่อขอคบเป็นแฟน และสมหวังมานักต่อนักแล้ว

มีเทปออกอากาศหนึ่งที่น่าสนใจ คือในปี 1978 มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “ร็อดนีย์ อัลคาล่า” ได้ลงชื่อขอแข่งขันรายการเกมจับคู่
โดยอ้างว่าเป็นช่างภาพ ตอนนั้นจิม แลง ซึ่งพิธีกรรายการเกมโชว์ เห็นเขาน่าสนใจดี เลยจับเขาเล่นเกมโชว์ร่วมกับผู้แข่งขันคนอื่นๆ
แม้ว่าในประวัติที่สมัครนั้นเขาจะมีคดีข่มขืนที่กำลังรอการตัดสินก็ตาม

 
 
ร็อดนีย์ในเกมเดท
<a href="http://www.youtube.com/v/Epg8ph_Abls" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/Epg8ph_Abls</a>
 
เมื่อร็อดนีย์ปรากฏตัวรายการ (เขาได้หมายเลข 1)  เหล่าผู้ชมในห้องส่งและทางบ้านก็พบว่าเขาเป็นหนุ่มหน้าตาดี เข้ม ผมยาว
สวมสูทสีน้ำตาล ปกเสือกีฬา ซึ่งเป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมในเวลานั้น และเมื่อถึงเวลาที่เขาตอบคำถามก็พบว่าเสียงของเขาเซ็กซี่
ตอบได้ฉะฉาน อีกทั้งรวยอารมณ์ขัน หยอกล้อกับดาราอย่างน่ารักนิ่ง

ในเวลานั้นดารารับเชิญคือนักแสดงเจด มิลส์ได้อธิบายในภายหลังว่า “เขาเป็นคนที่แปลกมาก” และ “มีความคิดเห็นที่แปลกประหลาด”
เช่นคำตอบคำถามที่ถามว่าเวลาที่ดีที่สุดของคุณคืออะไร? ร็อดนีย์ตอบว่า “ยามค่ำคืน” ก่อนที่จะเสริมว่าเวลาค่ำคืนเป็นวันที่ผมรู้สึกดี
ไม่แปลกเลยว่าผลสุดท้ายเขาก็ได้กลายเป็นผู้ชนะในเกมเดทดังกล่าว

ในตอนนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าเบื้องหลังรอยยิ้มชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นฆาตกรโรคจิตสุดโหดไปได้!
 
   

ร็อดนีย์ อัลคาล่า (Rodney Alcala)


 
ร็อดนีย์ อัลคาล่า เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ออกอาละวาดในซานเควนตินที่สังหารผู้หญิงแปดรายในปี 1970 (แต่เชื่อว่าอาจสังหาร
เหยื่อไปถึง 130 ราย) ได้รับฉายาอย่างหนึ่งว่า “นักฆ่าเกมหาคู่” สาเหตุก็คือเขาเป็นคู่แข่งขันใน “เกมเดท” และได้เป็นผู้ชนะ


ร็อดนีย์เกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ.1943 เป็นชาวเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส เขาเติบโตมาโดยกำพร้าพ่อ
เพราะพ่อหนีครอบครัวไปตั้งแต่เขายังเป็นทารก ทำให้แม่ของเขาต้องเลี้ยงดูเขาและน้องสาวของเขาตามลำพัง เมื่อเขาอายุ 17
เข้าร่วมกองทัพสหรัฐอเมริกา  แต่ในปี 1964 เขาก็ถูกปลดเนื่องจากจิตแพทย์วินิจฉัยว่าเขามีอาการทางจิตเป็นโรคบุคลิกภาพ
ต่อต้านสังคมอย่่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้เองทำให้เขาต้องหันไปศึกษาประดับปริญญาตรีศิลปากรในลอสแอนเจลิสและลงทะเบียน
เรียนที่ UCLA ซึ่งเขาได้รับปริญญาตรีในปี 1968


ร็อดนีย์ขึ้นชื่อว่าเป็นคนอัจฉริยะไอคิวถึง 135 จุด ด้วยความฉลาดดังกล่าว เขาสามารถเรียนจบ มหาลัยแคลิฟอร์เนีย
ได้อย่างง่ายดาย  อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะมีความสามารถในเรื่องศิลปะแต่ในด้านพฤติกรรมนั้นเขากลับมีอารมณ์มักมากในกาม
อย่างร้ายกาจ ในปีเดียวกัน ร็อดนีย์ก่ออาชญากรรมครั้งแรกด้วยการล่อเด็กอายุ 8 ปีในตอนนั้นเขาเห็นเด็กกำลังไปเรียน
เขาเลยล่อเธอถึงบนรถของเขาและ เข้ามาอพาร์ทเมนท์ ตีด้วยแท่งเหล็กและข่มขืนเธอ โชคดีมีคนเห็นเหตุการณ์ได้แจ้งตำรวจ
ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น เมื่อตำรวจเคาะประตูทำให้เขาต้องหนีออกข้างนอกอย่างรวดเร็ว  และถูกตำรวจออกหมายจับ
ทำให้เขาต้องหนีไปนิวยอร์กให้รอเรื่องซาลง หลังจากนั้นเขาก็ลงทะเบียนเรียนมหาลัยนิวยอร์ก ใช้นามแฝงว่าจอห์นเบอร์เกอร์ 

ภายใต้ชื่อจอห์น เบอร์เกอร์ ร็อดนีย์ได้ใช้ชีวิตแบบเพลย์บอยในมหาลัยนิวยอร์ก ที่นั้นเขาได้เรียนกับผู้กำกับหนังชื่อดัง
โรมัน โปสันสกี้ และยังคงไม่หยุดในการก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องเพิ่มขึ้น
 


อย่างไรก็ตามร็อดนีย์ก็ไม่หยุดเส้นทางของฆาตกรต่อเนื่อง เมื่อเขาข่มขืนผู้หญิงชื่อ คอร์เนเลีย มิเชล พนักงาน
ทรานส์เวิลด์แอร์ไลน์ อายุ 23 ปี จากนั้นก็รัดคอเธอด้วยถุงน่องตายคาในอพาร์เม้นแมนฮัตตันของเธอ ซึ่งคดีของเธอ
นั้นต้องใช้เวลาหลายปีเลยที่เดียวกว่าที่คดีนี้จะถูกสะสาง


ในขณะที่ตำรวจกำลังสับสนคดีฆาตกรรม ร็อดนีย์ยังคงใช้นามแฝงจอห์น เบอร์เกอร์ทำอาชีพของเขาใกล้นิว แฮมเชียร์
ในช่วงฤดูร้อนแด็กสองคนก็สังเกตร็อดนีย์ได้ว่าเขาเป็นคนร้านที่เอฟบีไอต้องการ และพวกเขาก็ได้แจ้งเจ้าหน้าที่เขา
มาจับกุมและถูกส่งข้ามพรมแดนไปยังแคลิฟอร์เนียในฐานะนักโทษข้ามแดน เพื่อมาพิจารณาที่เขาทำการพยายาม
ฆาตกรรมผู้หญิงในแคลิฟอร์เนีย หากแต่โชคกลับเข้าข้ามร็อดนีย์อย่างเหลือเชื่อ เมื่อพ่อแม่ของเหยื่อย้ายครอบครัว
ไปเม็กซิโกและปฏิเสธไปเป็นพยานในการพิจารณาคดีของร็อกนีย์ ทำให้ศาลไม่สามารถลงโทษเขาข่มขื่นและพยายามฆ่าได้
และการลงโทษของร็อดนีย์น้อยมากคือถูกจำคุกเพียง 34 เดือน ในปี 1974 แต่เอาเข้าจริงเขาจำคุกเพียงไม่กี่เดือน
ก็ออกมาอีกครั้ง

สองเดือนต่อมาเขาก็ถูกจับกุมหลังจากที่ทำร้ายเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปีซึ่งศาลใช้ชื่อว่า“จูลี่เจ”โดยเธอบอกว่าโดยร็อดนีย์
ได้ลักพาตัวเธอออกจากฮันติงตันบิชและพาไปบังคับสูบบุหรี่กัฐชาและจูบเธอ และถูกจำคุกสองปี




ต่อมาในปี 1977เขาก็ถูกปล่อยคุกและอยู่ลอสแอนเจลิสพักใหญ่ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทัณฑ์บนจะอนุญาตให้เขาเดินไป
นิวยอร์กซิดี้เพื่อไปเยี่ยมญาติ ระหว่างนั้นที่แมนฮัตตันเขาได้ฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเอนเลนเจน อายุ 23ปีในไนท์คลับ
ฮอลลีวู้ดและฝังศพไว้ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมร็อกกี้เฟลเลอร์เมื่อร็อดนีย์กลับมาลอสแอนเจลิสก็กลับไปใช้จอห์น เบเกอร์
อีกครั้งและเข้าทำงานในหนังสือพิมพืไทมส์ ปะปนอยู่กับคนปกติ โดยไม่มีใครรู้เรื่องราวก่อนหน้านั้นของเขาสักคน

ในขณะที่นิวยอร์กกำลังวุ่นต่อคดีเอนเลนเจน ที่นิวยอร์ค ร็อดนีย์ก็ได้ฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งชื่อจิลล์ บารคอมบ์ อายุ 18 ปี
ซึ่งร่างไร้ชีวิตของเธอถูกทิ้งบนท้องถนนใกล้บ้าน ซึ่งร็อดนีย์บังคับเธอเปลือยนั่งคุกเข่า ก่อนที่จะทำร้ายทางเพศ
และรัดคอด้วยสายเข็มขัด แบะทิ้งคราบอสุจิรดใส่ศพไว้ที่เกิดเหตุ ซึ่งต่อมาจากการตรวจสอบดีเอ็นเอพบว่า
มันตรงกับของร็อดนีย์

ต่อมาร็อดนีย์ก็ถูกตำรวจจับฐานมีกัญชาเอาไว้ครอบครอง หากแต่ต่อมาก็ถูกปล่อยตัวหลังจากถูกขังในระยะสั้นๆ
ในช่วงเวลานี้เองรอ็อดนีย์เริ่มหลงใหลในการรูปถ่ายของเหยื่อ เชื่อว่าในเขาได้อาศัยความเป็นช่างภาพอ้างเหยื่อ
ที่มีทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่ว่าเป็นช่างภาพแฟชั่นมืออาชีพ และจะถ่ายภาพพวกเขาเพื่อขึ้นหนังสือพิมพ์ไทมส์
ซึ่งเชื่อว่ามีเหยื่อหลายรายถูกเขาหลอกด้วยวิธีนี้ก่อนถูกฆ่า อีกทั้งขยังมีความเป็นโรคจิตชอบแบ่งบันรูปถ่ายเหยื่อ
ให้เพื่อนร่วมงานให้ดู ซึ่งที่น่าตกใจคือบางภาพเป็นผู้หญิงเกือบเปลือย หากแต่เพื่อนร่วมงานไม่ได้คิดอะไรมากกว่า
ภาพถ่ายธรรมดา




ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ หลังจากที่ร็อดนีย์ถูกตำรวจแคลิฟอร์เนียจับกุม ก็พบภาพถ่ายที่เชื่อว่าเป็นเหยื่อของเขา
กว่า 120 ภาพในล็อกเกอร์ของเขา ซึ่งเหยื่อมีหลายภาพช่วงอายุเด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ เพศชายและหญิง และภาพ
อยู่ในทุกท่วงท่าไม่ว่าแบบสบายๆ แบบกำลังใช้ชีวิตประจำวัน หรือเกือบเปลือย  ซึ่งหลังจากตำรวจออกมาประกาศ
ตามหาบุคคลในภาพ ก็มีคนประมาณ 20 คนมายืนยันว่าเป็นคนในภาพ และมีอย่างน้อย 6 ครอบครัวบอกว่า
คนในภาพเป็นสมาชิกครอบครัวของเขา หากแต่พวกเขาหายตัวไปแล้วไม่ทราบข่าวหรือพบเห็นอีกเลย และส่วนใหญ่
คนในภาพไม่ได้ถูกเชื่อมโยงว่าเป็นเหยื่อฆาตกรรมต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจนถึงปี 2012 ตำรวจยังคึงโพสต์ภาพ
ถ่ายดังกล่าวเอาไว้เพื่อหาเบาะแสคนในภาพที่เหลือต่อไป


มาถึงตรงนี้ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าร็อดนีย์เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่มีความบ้าบิ่นอยู่ในตัว เพราะเป็นคนที่เปิดเผย ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่า
ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่เอฟบีไอต้องการตัว หากแต่ร็อดนีย์ยังคงทำงานภายใต้ชื่อปลอมต่อไป โดยไม่มีการหลบซ่อนแม้แต่น้อย
บวกกับมีโชคอยู่พอตัว เพราะถึงแม้จะถูกจับหากแต่ก็จำคุกอยู่ไม่กี่ปี ซ้ำยังได้ทำงานต่อไป

ที่น่าตกใจคือสุดคือเขาได้ออกอากาศรายการโทรทัศน์ในปี 1978 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวว่ากันว่าเป็นช่วงที่ฆ่าเหยื่อ
มากที่สุด (ซึ่งไม่มีใครทราบว่าเขาฆ่าเหยื่อไปกี่คนกันแน่) ตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1977 เขาได้ฆ่าข่มขืน
และทรมานจิลล์ บารคอมบ์ สาวนิวยอร์คที่ย้ายมาแคลิฟอร์เนีน หากแต่เธอกลับโดนร็อดนีย์ข่มขืนและใช้หินขนาดใหญ่
ทุบเธอ และบีบคอเธอตายโดยสายเข็มขัดและขากางเกงของเธอตาย ก่อนที่จะนำร่างกายของเธอไปซ่อนที่เชิงเขา
ใกล้ฮอลลีวูด ก่อนที่ศพของเธอถูกพบในสภาพจำหน้าไม่ได้

 
   
ร็อดนีย์กับเหยื่อของเขา



ในเดือนธันวาคม 1977 ร็อดนีย์ข่มขืน ทรมาน และฆ่าจอร์เจีย วิซเทดพยาบาล อายุ 27 ปีในลอส แอนเจลีส โดยการ
ใช้ค้อนและยังล่วงละเมิดทางเพศจอร์เจีย ก่อนที่จะใช้ค้อนทุบหัวเธอและฆ่าเธอตายด้วยถุงน่องไนล่อน ก่อนที่ร่างของเธอ
จะถูกพบ 16 ธันวาคม 1977


หลังจากนั้นร็อดนีย์จะฆ่าใครก็ไม่มีใครทราบแล้ว แต่ที่แน่ๆ เดือนกันยายน 1978 ร็อดนีย์ได้เป็นผู้แข่งขันที่ชนะเกมเดท หาคู่
ในลักษณะชายหนุ่มผู้ทรงเสน่ห์ผมยาว ที่มีลีลาการตอบเป็นเลิศโดดเด่นกว่าผู้แข่งขันทั้งสองของเขา บอกตัวเองว่าเป็นช่างภาพ
ที่ประสบผลสำเร็จในชีวิต  เรียกว่าบ้าท้าทายมาก และบ้ายิ่งกว่าก็คือเขาตอบคำถามของดาราที่ถามมากำกวนเหมือนตนเอง
แอบเป็นโรคจิตบ้ากาม ชัดๆ ปกติฆาตกรส่วนใหญ่จะไม่ทำตัวให้มีจุดเด่น คนในสังคมไม่สนใจ แต่ร็อดนีย์กับทำตรงข้าม
แถมหลังจากออกโทรทัศน์แล้วเขายังออกปฏิบัติการฆ่าเหยื่อแบบไม่กลัวกฎหมายอีกต่างหาก

ในปี 1979 ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่ร็อดนีย์ฆ่าเหยื่อมากที่สุด ไม่รู้เป็นเพราะผลที่เขาออกรายการโทรทัศน์หรือเปล่าที่ทำให้รู้จักกัน
ทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้เขาล่อเหยื่อได้ง่ายขึ้น ในวันเดือนมิถุนายน 1979 ร็อดนีย์ข่มขื่น ทรมานและฆ่าชาร์ล็อต ลามพ์
เลขานุการกฎหมาย อายุ 33 ปีด้วยการรัดคอด้วยเชือกผูกรองเท้าของเธอ และทิ้งร่างของเธอในห้องซักรีดในเอลเซกันโดอพาร์แมนเม้น
ในลอสแอนเจลิส และศพของเธอถูกพบวันที่ 24 มิถุนายน 1979


ในเดือนเดียวกัน ร็อดนีย์ก็ได้ฆ่าเหยื่ออีกราย เมื่อเขาข่มขืนและฆ่าจิน พารินโตอายุ 21 ปี ในอพาร์มเม้นของเธอในเบอร์แบงก์
เขารัอคอจินไปสู่ความตายโดยใช้สายหรือไนล็อต อย่างไรก็ตามร็อดนีย์ได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อเขาทิ้งคราบเลือดในขณะ
ที่ตัวเองคลานจากหน้าต่าง ซึ่งคราบเลือดนั้นได้ทำให้ตำรวจเชื่อมโยงเขากับคดีฆาตกรรมอื่นๆ ก่อนหน้า และต่อมาตำรวจก็ตัดสินใจ
ประกาศจับเขาในข้อหาต้องสงสัยฆ่าจิน พารินโต
 


ร็อดนีย์ยังไม่รู้สึกถึงความผิดพลาดของตนเอง ยังก่อคดีฆาตกรรมซ้ำซากรายต่อไป วันที่ 20 มิถุนายน 1979 ร็อดนีย์เข้าหา
โรบิน  แซมซุง อายุ 12 ปีและเพื่อนของเธอที่ฮันติงตันบิช ออเรนจ์ และชักชวนพวกเขาไปถ่ายภาพ พอดีจังหวะนั้นเพื่อนบ้าน
เข้ามาแทรกแซงเสียก่อน ทำให้ร็อดนีย์ถอนตัวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่วายนัดโรบินให้ขี่จักรวานมาหาเขาช่วงบ่าย


ร็อดนีย์ได้ลักพาตัวและฆาตกรรมโรบินและทิ้งร่างของเธอในบริเวณเชิงเขาซานเกเบรียล ร่างของเธอถูกโผล่ออกมาเพราะพายุ
และซากโครงกระดูกถูกสัตว์แทะ ร่างกายของเธอถูกพบวันที่ 2 กรกฎาคม 1979 ซึ่งจากการพิสูจน์ฟันหน้าพบว่าเป็นของโรบิน
และคดีดังกล่าวนำไปสู่การตามจับร็อดนีย์ในเวลาต่อมา

หลังจากการฆาตกรรมโรบิน ร็อดนีย์ได้เช่าห้องเก็บของในซีแอต ที่ซึ่งตำรวจพบภาพหลายร้อยยี่สิบภาพมีทั้งเด็กสาวและเด็กหญิง
และกระเป๋าของใช้ส่วนตัวมากมายที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ อีกทั้งลักษณะที่โพสหลายภาพอยู่ในลักษณะยั่วยวน
ทางเพศชัดเจน นอกจากนี้ยังพบต่างหูในถุงซึ่งต่อมาถูกระบุโดยแม่ของโรบินว่าเป็นของลูกของเธอ นอกจากนี้ยังมีพยานหลายคน
เห็นว่าร็อดนีย์เป็นคนเดียวกับช่างภาพที่พูดคุยกับโรบินในวันที่ถูกลักพาตัวอีก แน่นอนจากหลักฐานทั้งหมดทำให้โชคของร็อดนีย์
หมดลงไป และเขาก็ถูกตำรวจจับกุมในเวลาต่อมา

ตำรวจได้เรียกร็อดนียว่า “เครื่องจักรนักฆ่า” (a killing machine) เทียบเท่ากับฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังนาม เท็ด บัดดี้
ซึ่งจำนวนเหยื่อของเขาอาจมีมากกว่าที่คิดเอาไว้ บางที่อาจมีมากถึง 150 ราย

 

   



ในขณะที่รอการพิจารณาคดีในข้อหาฆาตกรรมโรบิน การมีการเชื่อมโยงร็อดนีย์กับคดีฆาตกรรมรายอื่นๆ อีกสี่คดีในลอสแอนเจลิส
ซึ่งในชั้นศาลร็อดนีย์ยังไม่วายทำตัวโดดเด่นด้วยการทำหน้าที่ทนายด้วยตนเองที่มีชั้นเชิงไม่แพ้ทนายความคนอื่นๆ  ที่ฮือฮามากที่สุด
คือวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2010 ในระหว่างที่รอพิจารณาคำตัดสิน ร็อดนีย์พยายามแกว่งคณะลูกขุนไม่ให้เขาต้องโทษประหารชีวิต
ด้วยการเล่นเพลง “ร้านอาหารของอลิซ” (Alice's Restaurant) โดย  Arlo Guthrie โดยร้องท่อนหนึ่งว่า 

"I mean, I wanna, I wanna kill. Kill. I wanna, I wanna see, I wanna see blood and gore
and guts and veins in my teeth. Eat dead burnt bodies. I mean kill, Kill, KILL, KILL."


อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ของเขาไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ผลสุดท้ายคณะลูกขุนก็ตัดสินใจว่าร็อดนีย์มีความผิดจริง
และศาลก็ตัดสินใจลงโทษประหารชีวิต




ร็อดนีย์ถูกคุมขังมาตั้งแต่ปี 1979 ในคดีสังหารโรบิน ใน่วงเวลาดังกล่าวเขาได้เขียนหนังสือ ตีพิมพ์ 1994 ที่ยังคงยืนยันว่า
ตนเองว่าไม่ผิดและพยายามต่อสู้ในคดีในชั้นศาล ปัจจุบันเขาถูกคุมขังในแดนประหารของคุกซานเควนซินและยังสามารถ
อุทธรณ์ลดโทษประหารได้

 
อ้างอิง
http://www.trutv.com/library/crime/serial_killers/predators/rodney_alcala/11.html
http://en.wikipedia.org/wiki/Rodney_Alcala
http://crime.about.com/od/serial/a/Profile-Of-Serial-Killer-Rodney-Alcala.htm
credit :: cammy@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 พฤษภาคม 2016, 10:53:59 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่