cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: etatae333 ที่ 28 กันยายน 2018, 10:19:44

หัวข้อ: 6 แผนเปลี่ยนโลก ของบุคคลอันตรายในประวัติศาสตร์
เริ่มหัวข้อโดย: etatae333 ที่ 28 กันยายน 2018, 10:19:44
6 แผนเปลี่ยนโลก สุดโหดของบุคคลอันตรายในประวัติศาสตร์
cr. Cammy-เต่านรก

ในประวัติศาสตร์มีหลายบุคคลที่คิดการใหญ่ คิดจะเปลี่ยนโลกด้วยวิธีชั่วร้ายมากมาย อย่าง เช่น รัสปูติน ฮิตเลอร์
สตาลิน ฯลฯ แต่บุคคลที่เรารู้จักนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์เท่านั้น ยังมีบุคคลดังและไม่ดัง
อีกมากที่มีความคิดจะเปลี่ยนโลกด้วยวิธีชั่วร้ายอีกมากมาย บางคนก็มีความคิดจะเปลี่ยนโลกเพื่ออำนาจของตนเอง
บางคนก็อยากได้ผลประโยชน์ส่วนตน หรือบางคนยอมชั่วเพื่อชาติของตนเอง

และนี้คือ 6 อันดับบุคคลอันตรายที่คิดจะเปลี่ยนโลกด้วยหลากวิธี บ้างก็สุดโหด บ้างก็แยบยลสุดๆ

6. Skorzeny Otto (12 มิถุนายน 1908-5 กรกฎาคม 1975)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110064-5882.jpeg)

ออตโต สคอร์เซนี่ เป็นพันเอกในกองทัพหน่วยคอมมานโด SS ของนาซี และมีบทบาทสำคัญในสงครามโลกครั้งที่ 2
เก่งเรื่องการบแบบกองโจรและมีลักษณะเด่นคือแผลเป็นที่แก้มซ้าย ออตโตในกรุงเวียนนา เป็นชนชั้นกลาง
ครอบครัวมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการรับราชการทหาร  ตัวเขาเองนั้นเป็นนักฟันดาบของโรงเรียนที่เวียนนา
นิสัยบ้าพลังครั้งหนึ่งเขาเคยดวลระหว่างเพื่อนๆถึง 15 คนเรียงตัว จนได้เป็นสัญลักษณ์ประจำตัว
[/color]

ต่อมาในปี 1931 เขาก็ได้เข้าร่วมกองทัพนาซีแล้วเข้ารับราชการในหน่วย SS องครักษ์พิทักษ์ฮิตเลอร์ และเขาก็สร้าง
ผลงานมากมาย จนได้เป็นหัวหน้าหน่วยคอมมานโดชุดปฏิบัติงานพิเศษ ที่ฮิตเล่อร์ได้ตั้งขึ้น ในเดือน กรกฏาคม 1943
โดยภารกิจแรกที่สุดหินคือ การชิงเอาตัวมุสโสลินีออกจากคุก ที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นที่โรงแรม แกรน ซัสโซ
บนเทือกเขาอะเพนไนนส์ แต่ภารกิจสุดหินดังกล่าวออตโตก็สามารถผ่านไปอย่างง่ายดาย ด้วยแผนที่ร้ายกาจ และเรียบง่าย
คือใช้เครื่องร่อนและหน่วยอากาศโยธินบินเข้าไปปฏิบัติการ แบบชนิดรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ทำให้เขาสามารถนำตัว
มุสโสลินี ขึ้นเครื่องบินเล็กบินออกมาหน้าตาเฉย..

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110094-9731.jpeg)

ซึ่งผลงานดังกล่าวทำให้ชื่อของ ออตโต สคอร์เซนี่ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก..และได้เลื่อนยศขึ้นเป็นพันตรี

ในเดือนตุลาคม 1944 ฮิตเล่อร์ส่งเขาไปฮังการี เพราะข่าวมีมาว่า ท่านประธานาธิบดีมิคลอส ฮอร์ธี กำลังจะเอาใจออกห่าง
นาซีโดยการจะยอมเป็นมิตรกับรัสเซีย นั่นก็หมายความว่าทหารเยอรมันจำนวนหลายแสนในดินแดนบอลข่านต้องกลายเป็น
นักโทษสงครามไปทันทีและเยอรมันจะแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ออตโตจึงถูกส่งไปแก้ใขสถานการณ์
และเขาได้ใช้วิธีเข้าไปลักพาตัว นิโคลาส ลูกชายของประธานาธิบดี(รหัสปฏิบัติการคือ ปฏิบัติการ Panzerfaust)
และข้อเสนอนั่นก็คือ ให้เขาลาออกจากตำแหน่งไม่งั้นลูกชายนายตาย

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110064-5875.jpeg)

และแล้ว ทุกอย่างสำเร็จลงอย่างง่ายดาย จนฮิตเลอร์สามารถตั้งรัฐบาลที่โปรแลนด์และนาซีขึ้นมาครองเมือง

สองเดือนต่อมา ออตโตได้นำกองทัพรถถังเข้าตะลุยกับทหารอเมริกันในการรบที่บุลจ์ (Battle of the Bulge) ทำการ
ก่อวินาศกรรม สงครามกองโจร นอกจากนี้ยังมีการปล่อยข่าวลื่อถึงแผนปฏิบัติการ Greif ว่าเยอรมันจะส่งออตโต สคอร์เซนี่
เข้าไปในปารีส เพื่อที่จะสังหารนายพล.อ.ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตร ในสงครามโลก
ครั้งที่สอง ถึงแม้ว่าจะเป็นข่าวลือ แต่ก็เล่นเอาท่านนายพลคนดัง ไม่ยอมออกมาจากศูนย์บัญชาการเป็นเวลาหลายอาทิตย์เชียว

แต่ในที่สุด ออตโต ก็ต้องยอมจำนนแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เขากลายเป็นนักโทษสงครามอยู่สองปี และ ได้สามารถแหกคุก
หนีได้ ในวันที่ 27 กรกฏาคม 1948 เขาได้หลบหนีไปอยู่ที่สเปน โดยได้รับความช่วยเหลือจาก นายพลฟรังโก  แถมยังได้
งานทำในฐานะวิศวกร ในปี 1952 เขาก็ได้รับการนิรโทษกรรมจากรัฐบาลเยอรมันในทุกๆข้อหา และเป็นอิสระที่จะเดินทาง
ไปไหนๆก็ได้ และสุดท้าย ในปี 1975 ออตโต ได้เสียชีวิตในคฤหาสน์ในกรุงมาดริดตามอายุขัย อย่างสงบ




5. Benito Mussolini (29 กรกฎาคม 1883-28 เมษายน 1945)
   
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110155-2721.jpeg)

เบนีโต มุสโสลีนี เรียกชื่อโดยทั่วไปว่า "อิลดูเช" (Il Duce) แปลว่า "ท่านผู้นำ" เป็นจอมเผด็จการและนายกรัฐมนตรี
ของประเทศอิตาลี (1925 – 1943) เขาเกิดในครอบครัวที่ยากจนเป็นบุตรชายช่างตีเหล็ก ชาวอิตาลี  ก่อนที่เขา
จะสู้ชีวิตจนก้าวสู่การเป็นนักสังคมนิยมยุวชนที่หลักแหลมและมีอันตราย แต่ต่อมาต้องลาออกจากพรรคสังคมนิยมอิตาลี
เข้าร่วมการก่อตั้งพรรคสันนิบาตการต่อสู้แห่งอิตาลี (หรือพรรคฟาสซิสต์เพื่อเตรียมเป็นกองกำลังปฏิวัติ จากนั้นก็ได้เป็น
นายกรัฐมนตรีในปี 1922 แล้วสถาปนาตนเองเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบและรุกรานประเทศเพื่อนบ้านคือเอธิโอเปีย
[/color]

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110155-2978.jpeg)

หลังจากนั้นไม่รู้เป็นเพราะอะไรมุสโสลินีมีที่จะตั้งจักรวรรดิโรมันขึ้นมาอีกครั้ง โดยเขาจะเป็นซีซาร์ พอดีเวลานั้นเป็น
ช่วงปี ค.ศ. 1940 ฮิตเลอร์ทำท่าว่าจะชนะยุโรปได้ มุสโสลินีได้มีแผนสุดร้ายกาจ ด้วยการก็รีบเข้าร่วมกับฮิตเลอร์ทันที
เขาพยายามเลียนแบบฮิตเลอร์กว่าทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวแบบเนี๊ยบ ท่าทางสุนทรพจน์ การโฆษณาชวนเชื่อ
ล้วนได้แนวคิดจากฮิตเลอร์ทั้งสิ้น

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110155-2961.jpeg)

แต่โชคไม่เข้ามุสโสลินีเลย เพราะชาวอิตาลีไม่มีใครอยากรบร่วมกับเขา ซ้ำยังต่อต้านเขาอีก จนเขาหลุดจากอำนาจ
แต่พอเยอรมันบุกอิตาลี ฮิตเลอร์ก็แต่งตั้งให้ใหม่ ปลายสงครามโลกมุสโสลินี ถูกจับโดยกองกำลังปาร์ติซานของพรรค
คอมมิวนิสต์อิตาลี และถูกประหารชีวิตด้วยข้อหาทรยศต่อชาติ ร่างของมุสโสลินี ภรรยาน้อย และผู้นิยมลัทธิฟาสซิสต์
คนอื่นๆ อีกประมาณ 15 คน ได้ถูกนำไปยังเมืองมิลาโน เพื่อแขวนประจานต่อสาธารณชน นี้คงเป็นจุดจบที่ดีของคนที่
คิดว่าตนเองเป็นซีซาร์(ข้อมูลจากวิกีพีเดีย)


 

4. Francisco Pizarro  (26 กรกฎคม 1529 – 26 มิถุนายน 1541)
 
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110198-2094.jpeg)

http://www.baanjomyut.com/library/discovery_history/24.html
ฟรังซิสโก ปิซาโร เป็นขุนนางชาวสเปน นักเดินเรือชาวสเปนผู้พิชิตอาณาจักรอินคา เขาเกิดในสเปน เป็นลูกนอกกฎหมาย
ของนายทหารราบยศพันเอกคนหนึ่ง และมีชีวิตในวัยเยาว์ค่อนข้างแร้นแค้นโดยอยู่ในความดูแลของตายาย และไม่ได้รับ
การศึกษา เขาทำงานเป็นคนเลี้ยงหมูอยู่ 15 ปีจนถึงปี 1502 จึงได้เดินทางไปอยู่กับญาติข้างบิดาที่หมู่เกาะเวสต์อินดีส
ซึ่งเป็นประเทศเฮติในปัจจุบัน จากนั้นก็เดินทางไปหลายประเทศในอเมริกาใต้ ละที่นั้นเองเขาได้ยินอาณาจักรที่แสนยิ่งใหญ่
แห่งหนึ่ง อาณาจักรที่สมบูรณ์ไปด้วยทองคำอาณาจักรหนึ่ง ทางฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคของทวีปอเมริกาใต้


(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110198-1591.jpeg)

เมื่อฟรังซัสโกได้ยินก็เกิดความโลภ อยากได้ทองคำ เขาได้เฝ้ากษัตริย์สเปนเพื่อขอแรงสนับสนุนขอกำลังทหารพิชิตอินคา
เพื่อความมั่งคั่งของตนเอง และเขาก็กลับมาในทวีปอเมริกาใต้อีกครั้งพร้อมกำลังทหารและอาวุธครบมือ เขาได้แล่นเรือ
เลียบฝั่งตะวันตกของปานามาลงไปทางใต้ เพื่อค้นหาอาณาจักรอินคาอันมั่งคั่งแห่งนี้ และเขาต้องเสียเวลาถึง 3 ปี
จนได้พบอาณาจักรของพวกอินคาซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นดินแดนของประเทศเปรู

ตอนแรกฟรังซัสโกพบอทาฮวลปา ผู้นำของอินคาผู้ครอบครองดินแดนตอนเหนือ ตอนแรกเขาบอกผู้นำคนนี้ให้นับถือ
คริสต์ศาสนา แน่นอนว่าผู้นำดังกล่าวได้ปฏิเสธ ทำให้เขามีเหตุผลพอที่จะเปิดสงคราม แม้ว่าทหารของเขาจะแค่
ทหารราบ 240 คน กับม้า 37 ตัวเท่านั้น ปิซาโรก็สามารถโจมตีพวกอินคาจำนวน 20 ล้านคนจนได้ชัยชนะ เนื่องจาก
อาวุธของอินคาเป็นแบบโบราณไม่สามารถสู้ปืนใหญ่ และเกราะอันแข็งแกร่งของทหารสเปนได้

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110198-175.jpeg)

แต่นั้นยังไม่จบเมื่อเขาใช้วิธีที่ร้ายกาจสุดแสบที่สุดในประวัติศาสตร์คือการใช้อุบายจับกุมผู้นำอทาฮวลปา(Atahualpa)
จากนั้นก็บอกให้ชาวอินคานำค่าไถ่มาแลกกับนายคนตน คือการนำทองคำและเงินเต็มห้องขังให้สูงท่วมหัว แต่เมื่อเขา
ได้รับทองและเงินจำนวนมหาศาลแล้ว (คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ 100,000,000,000 ดอลลาร์) ปีซาโรต์ไม่ปล่อย
หัวหน้าชาวอินคาให้เป็นอิสระ กลับฆ่าเขาเสีย และสถาปนาน้องชายของอทาฮวลปาขึ้นมาเป็นหุ่นเชิด

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110198-1952.jpeg)

หลังจากนั้นฟรังซัสโก ก็ได้โจมตีปล้นสดมภ์พวกอินคาและยึดครองดินแดนเป็นของตน เมื่อได้ดินแดนมาเป็นของตน
ปิซาโรก็ค้นพบทองคำอีกเป็นจำนวนมาก เขานำกลับสเปน และก่อนจะกลับเขาได้ทำลายอารยธรรมอินคาเกือบทั้งหมด
ซึ่งอารธรรมของอินคาเหล่านี้ แต่ละอย่างมีคุณค่าต่อโลกมาก ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ การแพทย์ นักปราชญ์ แต่ฟรังซัสโก
ทำลายหมดส่งผลทำให้อารยธรรมของชนเผ่าอินคาให้หมดสิ้นไปจากโลกอย่างน่าสลดใจที่สุด




 
3. Sir Basil Zaharoff (6 ตุลาคม 1849-27 พฤศจิกายน 1936)
   
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110261-2942.jpeg)

เซอร์เบซิล ซาฮาร์ออฟ หรือ  เซอร์ผักกะเพรา (Basil แปลตรงตัวว่าผักกะเพรา ฮ่าเปล่า)เป็นพ่อค้าอาวุธสงคราม
และพ่อมดการเงินชาวตรุกี(เชื้อสายกรีก) เขามักชอบโกหกเรื่องต้นกำเนิดของเขา แต่จากประวัติชีวิตแล้วเขาเป็น
ลูกชายคนเดียวและลูกคนโของลูกสี่คน เกิดในเมืองมักลา ตรุกี ต่อมาก็ลี้ภัยสงครามไปรัสเซียแล้วกลับมายังตรุกี
จากนั้นเขาก็เป็นนักผจญเพลิง ก่อนที่ก้าวมาเป็นตัวแทนขายและผลิตอาวุธของนักประดิษฐ์ธอสเท็น นอร์เดนเฟลท์
ชาวสวีเดน


(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110261-2977.jpeg)

และนั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นความคิดที่ร้ายกาจของเบซิล เขาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นนักธุรกิจที่มีกลยุทธ์ที่มีความเล่ห์เหลี่ยม
และแกมโกงมากมาย เขาจะขายอาวุธให้กับฝ่ายสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน โดยไม่เน้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และบางครั้ง
ก็ขายอาวุธปลอมให้ลูกค้าในหลายประเทศ ไม่ว่าอังกฤษ เยอรมัน รัสเซีย ตรุกี สเปน ญี่ปุ่น สหรัฐ

แม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะเหม็นเน่า แต่กระนั้นหลายคนก็นิยมซื้ออาวุธจากเขา เพราะว่าอาวุธและยานพาหนะของเขานั้น
มีประสิทธิภาพทำลายล้างสูง ไม่ว่าจะเป็นปืนแม็กซิม (ปืนกลอัตโนมัติยุคแรก) และเรือดำน้ำ ซึ่งนั้นทำให้เขากลายเป็น
คนมีอำนาจและอิทธิพลในยุโรป พร้อมกับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในสงครามทั่วยุโรป(สร้างเรื่องให้คนทะเลาะกัน) โดยเฉพาะ
ตรุกีและกรีก เพื่อที่จะขายอาวุธมากขึ้น


ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ชื่อของเขาโด่งดังไปทั่วผืนแผ่นดินเพราะหลายประเทศต่างสั่งซื้อสินค้าจากเขา แม้หลายคน
เรียกเขาว่า“พ่อค้าแห่งความตาย”  แต่กระนั้นเบซิลหลงใหลการบินมากกว่าอาวุธและเขายังมอบเงินบริจาคและ
ความช่วยเหลือแก่นักบุกเบิกในประเทศอังกฤษและรัสเซีย



 
2.Queen Cleopatra (มกราคม 69 ปีก่อนคริสตกาล -  30 พฤศจิกายน 30 ปีก่อนคริสตกาล)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110476-8533.jpeg)
   
คลีโอพัตรา ราชินีแห่งอียิปต์โบราณ ฟาโรห์คนสุดท้ายของราชวงศ์ ปโตเลมีแห่งมาเซโดเนีย แม้เธอจะไม่หน้าด้าน หรือ
ชั่วร้าย กว่าบุคคลในรายการนี้ก็ตาม แต่กระนั้นพระนางก็มีวิธีร้ายกาจที่ใช้ในการรักษาอำนาจและช่วยเหลือประเทศของเธอ
ด้วยวิธี “โป๊เปลือย”


แน่นอน เรื่องราวของคลีโอพัตรานั้นมีมากมายหลายแหล่ง บางแห่งก็แต่งเติมเสริมแต่งแตกต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ พระนาง
ทรงมีความเฉลียวฉลาดมาก เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อพระนางถูกบังคับให้แต่งงานกับฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 น้องชายของพระนางเอง
แต่โชคร้าย ที่พี่น้องคู่นี้เกลียดกัน ถึงขนาดอยากฆ่ากันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ผู้เป็นน้องชายจึงจ้องจะหาทางกำจัดพี่สาว
ส่วนพระนางคลีโอพัตราก็อยากจะกำจัดน้องชายเสียให้สิ้นเรื่อง แต่ในเวลานั้นพระนางยังไม่ทรงแน่ใจในอำนาจที่มีอยู่ในมือ
จึงต้องเป็นฝ่ายล่าถอยออกจากเมืองอเล็กซานเดรีย เพื่อไปตั้งหลักพระนางเริ่มมองหาพันธมิตรเพื่อช่วยเหลือในการกำจัด
ฟาโรห์ออกจากบัลลังก์ให้ได้

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110476-8601.jpeg)

ซึ่งเป็นช่วงประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่โรงเริ่มรุกรานดินแดนแถบเมดิเตอร์เรเนียน โดยมี จูเลียส ซีซาร์เป็นแม่ทัพยกมา
ทางอียิปต์ พระนางเห็นเป็นจังหวะเหมาะถึงจึงลอบเข้าเมืองเพื่อไปหาซีซาร์ โดยในตำนานคลีโอพัตราได้แอบไปหาซีซาร์
โดยซ่อนร่าง อยู่ในม้วนพรมแล้วให้ทาสแบกเข้าไปในวังที่ซีซาร์พัก เมื่อคลี่พรมออกก็ปรากฏเรือนร่างเปลือยเปล่าของ
พระนางออกมาร่ายรำจนซีซาร์ลุ่มหลง ซึ่งตำนานอาจไม่เป็นจริงก็ได้ บางทีอาจเป็นการเจรจาเสียมากกว่า แม้ไม่รู้ว่า
เรื่องไหนเป็นเรื่องจริง ที่แน่ๆ ซีซาร์ได้ตกลงเป็นพันธมิตรกับคลีโอพัตรา(และเป็นชู้ด้วย) และยกกองกำลังทหารบุกอียิปต์
และฟาโรห์ปโตเลมีที่ 13 ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำลายหอสมุดอเล็กซานเดรียจนไหม้ ทำให้ความทรงจำของมนุษยชาติ
สูญหายไปด้วย

แต่เรื่องยังไม่จบ เมื่อคลีโอพัตรา ได้ตำแหน่งที่เป็นของพระนางเดิมกลับคืนมา พระนางก็ได้ตั้งครรภ์ลูกกับซีซาร์ และเ
ธอหมายปั้นให้ลูกของเธอสืบทอดอำนาจยิ่งใหญ่ต่อซีซาร์ หากแต่ซีซาร์ดันถูกฆ่าตายเสียก่อนกลางสภาพ การตายของเขา
ทำให้หลานชายชื่ออ็อคตาเวียขึ้นกรุงโรม

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110476-8751.jpeg)

ต่อมาคลีโอพัตราก็ได้เป็นชู้กับมาร์ค แอนโทนี หนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการชุดที่สองของโรม ซึ่งมาร์ค แอนโทนีได้หลง
เสน่ห์พระนาง ทำให้ความทะเยอทะยานของพระนางเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อมาร์ค แอนโทนี บอกอ็อคตาเวียว่า ไม่ใช่ทายาทตัวจริง
ของซีซาร์ที่มีสิทธิครองกรุงโรมที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ แต่เป็นทายาทของคลีโอพัตราต่างหาก

และนั้นทำให้โรมไม่พอใจจึงส่งกองทัพบุกอียิปต์และผลปรากฏว่ากองทัพของคลีโอพัตราและมาร์คพ่ายแพ้
มาร์ค แอนโทนี จึงฆ่าตัวตายในอ้อมแขนของพระนางคลีโอพัตรา ส่วนพระนางก็ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายตามคู่รักไป 
(บ้างก็ว่าใช้งูพิษฆ่าตัวตาย บ้างก็ว่าถูกลอบปลงพระชนม์) อียิปต์จึงตกเป็นของโรมันตั้งแต่นั้นมา



 

1.The East India Company

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110660-9681.png)
   
คุณมีความจำอะไรในเรื่องบริษัทอินเดียตะวันออกในห้องเรียนประวัติศาสตร์หรือเปล่า สิ่งที่เราพอที่จะรู้คือบริษัทดังกล่าว
เป็นศัตรูกับ กัปตันแจ๊ค ในภาพยนตร์เรื่องไหนสักแห่ง โดยบางการโจรสลัดที่หน้าเหมือนปลาหมึกมากวาดล้างโจรสลัด
เพื่อยึดครองโลก


ซึ่งความจริงแล้วบริษัทที่ว่านี้น่ากลัวกว่าในภาพยนตร์เสียอีกเพราะพวกเขาแอบปกครองโลกนานถึง 200 ปี

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110788-653.jpeg)

โดยเริ่มแรกอินเดียตะวันออกเป็นบริษัทร่วมทุนสัญชาติอังกฤษ ภายใต้พระบรมราชูปถัมภ์ของกษัตริย์อังกฤษ ซึ่งเดิม
ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อแสวงหาการค้ากับอินเดียตะวันออก ซึ่งตอนเริ่มต้นนั้นเป็นเพียงกิจการขนาดเล็ก จนกระทั้งในปี 1601
ในที่สุดมันก็มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงการการค้าโลกของไมโครซอฟท์ เพราะมีการดำเนินการค้าส่วนใหญ่กับอนุทวีปอินเดีย
และจีน

ต่อมาในปี 1990 พวกเขาก็มีความคิดร้ายกาจสกปรกโสโครก(พวกเขาว่าอย่างงั้น) และความคิดของพวกเขาได้เปลี่ยนโลก
ไปสิ้นเชิง พวกเขาเริ่มมีอิทธิพลด้านการเมือง ยึดอินเดียเป็นอาณานิคม ล้มอำนาจราชวงศ์โมกุลของอินเดียลงไป (เหลือแต่
รัฐเล็กๆ บางแห่งในอินเดียใต้ที่ยังเป็นเอกราชต่อมาได้)

แต่นี้แค่นี้จิ๊บๆ เมื่อเทียบกับจีน เมื่อจีนในสมัยราชวงศ์ชิงปิดประเทศ ทำการค้าขายในพื้นที่กำหนดเท่านั้น ทำให้อังกฤษ
ต้องการซื้อแลกเปลี่ยนสินค้าจากจีนเสียหายไปด้วย พวกเขาจึงคิดหาวิธีที่ทำให้จีนเปิดประเทศให้ได้

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110660-9336.jpeg)

คำตอบของพวกเขาคือขาย “ฝิ่น” โดยสมัยนั้นมีการค้นพบวิธีเสพฝิ่นแนวใหม่จากสมัยก่อนกินกลืนส่วนผสม มาแบบใหม่
คือจุดไฟให้เป็นควันและดม บริษัทอินเดียตะวันออก จึงลงมือส่งเสริมให้ปลูกฝิ่นในอินเดียเพื่อผลิตเป็นสินค้าอย่างขนานใหญ่
แล้วลักลอบส่งไปขายในจีน ผ่านทางมาเก๊า กว่าสามทศวรรษที่ผ่านมาบริษัทอินเดียตะวันออกขายฝิ่นภายใต้ร่มเงาของอินเดีย
ส่งผลทำให้ชาวจีนเกือบทั้งประเทศติดฝิ่น ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน

ท้ายสุดนำมาสู่สงครามฝิ่น ค.ศ. 1841-42 ซึ่งลงเอยด้วยการที่ชาติมหาอำนาจในโลกตะวันตก 14 ราย(รวมญี่ปุ่น) พากัน
รุมกินโต๊ะจีน จนจีนพ่ายแพ้ นำไปสู่หายนะในหลายด้านของจีน ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียฮ่องกงให้แก่อังกฤษ หรือสิทธิสัญญา
ที่ไม่เป็นธรรมต่างๆ  ทำให้จีนกลายเป็นชาติ “คนป่วยของเอเชีย” (ขี้โรคเอเชีย) ยาวนานจนหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง

และเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกจารึกว่าเป็นการเอาชนะจีนด้วยวิธีสกปรกโสโครกที่สุดในประวัติศาสตร์

 
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1538110660-913.jpeg)