cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: etatae333 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2019, 14:56:18

หัวข้อ: เรื่องราวรังลับ ของเหล่าคนโฉด
เริ่มหัวข้อโดย: etatae333 ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2019, 14:56:18
เรื่องราวรังลับ ของเหล่าคนโฉด
cr. Cammy-เต่านรก


หากจะกล่าวถึงเรื่อง “ที่ซ่อน” หรือที่ “กบดาน” ของคน หรือภาษาอังกฤษก็คือ "Lairs"  ก็ต้องนึกถึงคนที่เข้าไปอยู่ ที่ส่วนมาก
มักจะเป็นผู้ร้ายหรือคนชั่ว จำพวกอาชญากร หรือฆาตกรต่อเนื่อง เวลาทำผิดอะไรเรามักจะได้ยินหนีไปกบดาน
โดยสถานที่ดังกล่าวเป็นได้มากกว่าบ้านที่หลบภัย บางคนใช้บ้านเป็นฐานทัพบัญชาการก่อการร้ายนับไม่ถ้วน หรือบางคน
เป็นสถานที่ฆาตกรรมและซุกซ่อนเหยื่อที่หามาได้ และนี้คือ เรื่องราวของที่ซ่องสุมของเหล่าคนร้ายๆ ทั่วโลก
 
8. Führerbunker
   
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090012-1538.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090012-1559.jpeg)

ช่วงวันสุดท้ายของสงคราม ระหว่างยุทธการเบอร์ลิน เยอรมนีใน ค.ศ. 1945 เมื่อฝ่ายนาซีของฮิตเลอร์ใกล้สิ้นฤทธิ์เมื่อทหาร
ฝ่ายโซเวียตปิดทางหนีจากทิศตะวันออก ส่วนอีกด้านทหารอังกฤษและสหรัฐก็ใกล้เข้ามาเบอร์ลิน ทำให้ในเดือนมกราคมฮิตเลอร์
จำเป็นต้องหลบหนีไปยังที่มั่นสุดท้ายซึ่งก็คือ “ฟูเล่อร์บังเกอร์” ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะแก่การซ่อนตัว เพราะเป็นบังเกอร์ที่อยู่ใต้ดิน
ที่เต็มไปด้วยแผงผังอาคารที่ซับซ้อน ห้องพักหลายท้อง


ที่นี้ก็คือสถานที่พักอาศัยสุดท้ายของฮิตเลอร์ ที่ใช้วางแผนและออกคำสั่งเพื่อหวังบดขยี้ฝ่ายสัมพันธมิตรและโซเวียต และเป็น
ศูนย์กลางสุดท้าย ของระบอบการปกครองของนาซี ซึ่งสุดท้ายก็พบกับความล้มเหลว

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090012-088.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090012-116.jpeg)

ในช่วงปลายเดือนเมษายนฮิตเลอร์ตระหนักว่าเวลาของเขาใกล้หมดลงแล้ว เขาจึงรีบแต่งงานกับเอวา บราวน์ และเพื่อหลีกเลี่ยง
มิให้ถูกจับกุมโดยกองทัพโซเวียต ทั้งสองทำอัตวินิบาตกรรมเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1945 โดยฮิตเลอร์ใช้ปืนพกยิงตัวตาย
ส่วนเอวากินคปซูลไซยาไนต์และร่างของทั้งสองถูกเผาโดยนายทหารคนสนิท

อย่างไรก็ดี ไม่มีใครพบศพของฮิตเลอร์เลย ทำให้เชื่อว่า ฮิตเลอร์หลบหนีไปได้ หลังสงครามบังเกอร์ดังกล่าวถูกทำลายเสียหาย
เป็นอย่างมาก แม้ว่ายังคงมีบางส่วนที่ยังเหลือรอดอยู่ แต่กระนั้นสถานที่ดังกล่าวก็ไม่ได้เปิดให้ประชาชนชนทั่วไปรับชมข้างใน
 




7. Osama bin Laden's Compound

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090057-1659.jpeg)
   
อุซามะห์ บิน ลาดิน หนึ่งในผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐต้องการตัวมากที่สุด ตัววีรกรรมที่ก่อเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่ม
ก่อการร้ายระดับโลกอัลกออิดะห์ และเป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องรับผิดชอบเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 ต่อสหรัฐอเมริกา
และเหตุวินาศกรรมที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากอีกหลายครั้ง จนเป็นเหตุทำให้สหรัฐทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย
และตามหาหาบินลาเดนแทบพลิกแผ่นดิน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าบินลาเดนอาศัยอยู่ในถ้ำแถวชายแดนอัฟกานิสถานกับปากีสสถาน


อย่างไรก็ตามในวันที่ โลกก็ได้รู้ว่าบินลาเดนนั้นอาศัยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจมูกสหรัฐฯ เลย เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่สีขาว
ที่ดูเหมือนจะเป็นบ้านธรรมดา ในเมืองอับบอตตาบัด เมืองเล็กๆ ที่มีประชาชนประมาณ 90,000 คน อยู่ห่างจากกรุงอิสลามาบัด
ของปากีสถานไปทางเหนือเพียง 40 ไมล์ (ประมาณ 90 กิโลเมตร) สถานที่ตั้งกบดานซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ของบิน ลาเดน
อยู่ห่างจากกรมทหารเพียง 100 เมตรเท่านั้น

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090057-1828.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090057-1776.jpeg)

โดยจากรายงานพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง มีกำแพงรั้วล้อมบ้านที่สูงมาก 12-18 ฟุต (ประมาณ 4-6 เมตร)
พร้อมรั้วลวดหนาม และประตูป้องกันความปลอดภัย 2 ประตู  ที่ยอดกำแพงยังติดลวดหนามไว้อีกชั้น และสิ่งปลูกสร้างภายใน
ยังมีกำแพงแบ่งกั้นส่วนต่างๆ มีระบบเผาขยะของตัวเองเพื่อป้องกันคนภายนอกเล็ดลอดเข้ามา

บินลาเดน อาศัยอยู่ในบ้านนี้กับภรรยาบางคนและลูกของเขา โดยมี “ผู้เดินสาร” คอยทำหน้าที่ติดต่อกับโลกภายนอก และไม่มี
สายโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ต จนเป็นเหตุทำให้ หน่วยข่าวกรองสหรัฐสงสัยและตามรอยจนพบบินลาเดนในบ้านหลังนี้จนได้
และในวันที่ 29 เมษายน 2009 ประธานาธิบดีบารักโอบามา ก็ได้มีคำสั่งอนุมัติแผนปฏิบัติการตามล่าบินลาเดน ด้วยการใช้
เฮลิคอปเตอร์ 4 ลำ บรรทุกเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยซีล ทีมที่ 6 บุกเข้าไปในอาคาร และได้ปะทะกับลูกน้องของบิน ลาเดน
ยิงอาวุธจากหลังคาสอยเฮลิคอปเตอร์ของสหรัฐตกกระแทกพื้นระเบิดไปลำหนึ่ง

ผลสุดท้ายการปฏิบัติการก็เสร็จสิ้นภายใน 38 นาที สามารถยึดบ้านและสังหารผู้อยู่ในอาคารรวม 5 ศพ หนึ่งในนั้นคือ บิน ลาเดน
อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของ บิน ลาดินได้สร้างความสงสัยให้กับผู้คนจำนวนมากว่าเขาจริงหรือไม่ เพราะทางการสหรัฐอเมริกา
ยังไม่เปิดเผยภาพศพ เนื่องจากทางการสหรัฐฯ เกรงว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง
 


 
6.The Manson Family Ranch

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090589-5279.jpeg)

ชาร์ลส แมนสันเป็นเจ้าลัทธิ “แมนสันและครอบครัว” และได้รวบรวมกลุ่มคนโดยให้คำสอน ว่าจะเพียงแต่เขาและครอบครัวซึ่งเป็น
เชื้อสายบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอดวันในสิ้นโลก และกลายเป็นผู้ปกครองโลกตลอดกาล เขาและสาวกจึงเริ่มหาที่ปักหลัก


จนกระทั่งในปี 1968  เกษตรกรอายุ 80 ปี คนหนึ่งอนุญาตให้แมนสันพาสาวกตั้งสำนักงานใหญ่ใหญ่ได้ โดนมันเป็นฟาร์มที่มี
พื้นที่กว่า 500 เอเคอร์ (200ไร่) ใกล้หุบเขาโทแพงก้า ในตอนใต้ของแคลิฟอร์เนีย โดยชได้ตั้งชื่อฟาร์มนี้ว่า “ไร่แมนสัน”
สมาชิกใช้ชิวิตอยู่แบบอิสระไม่เสียค่าเช่า โดยแลกเปลี่ยนงานบ้านและการมีเพศสัมพันธ์ และเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่ซ่อน
ฝังศพเหยื่อของแมนสันด้วย

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090485-7355.jpeg)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090485-745.jpeg)

โดยช่วงนี้เองที่แมนสัน เริ่มนำเอาความคิดสิ้นโลกมาเผยแพร่ นำไปสู่การฆาตกรรมภรรยากำกับหนังคนดังโรมัน โปแลนสกี้
และ ดาราสาว ชื่อ ชารอน เทท อายุ 26 ปี และเพื่อนที่มาร่วมงานดินเนอร์แบบเป็นกันสามคน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1969
สุดท้ายในวันที่ 13 เดือนธันวาคม 1969  ทั้งหมดถูกจับได้ยกลัทธิรวมทั้งชาร์ลส์ แมนสัน    

ทุกวันนี้  ชาร์ลส์  แมนสัน ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในคุก ที่แคลิฟอร์เนีย และบรรดาสาวกก็แก่เป็นคุณปู่ คุณยายไปหมดแล้ว ส่วนไร่
ของแมนสันปัจจุบันยังคงอยู่ แต่ปิดให้ประชาชนรับชม เพราะว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม
 



 
5. The Unabomber's Cabin

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090608-6162.jpeg)
   
ธีโอดอร์ คาซินสกี้ เป็นนักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกันอัจฉริยะที่ต่อต้านเทคโนโลยี และเป็นโรคหวาดกลัวเทคโนโลยี ถึงขั้นหนีครอบครัว
ไปอาศัยอยู่ในบ้านกระท่อมเล็กๆ ดูทรุดโทรมสร้างแบบหยาบๆตั้งอยู่ในป่าที่ห่างไกลจากตัวเมืองมอนตานา ลินคอล์น เขาอาศัยอยู่
อย่างเรียบง่าย ใช้เงินน้อยมากเพราะไม่มีน้ำและไฟฟ้าใช้ เขาได้เงินเล็กๆ น้อยแลกจากการทำงานเบาๆ และเงินที่ส่งมาจากครอบครัว
ของเขา


ในเวลานั้นเองหนวดเคราของธีโอดอร์ ยาวรุงรังราวกับขอทานไม่มีลักษณะบ่บอกเลยว่าเขาเคยเป็นอัจฉริยะมาก่อน และในช่วงเวลา
นั้นเอง สภาพจิตธีโอดอร์เริ่มตกต่ำ เมื่อความทันสมัยลุกล้ำใกล้เข้ามาในบ้านกระท่อมของเขา ทำให้เขากลายเป็นคนต่อต้านสังคมสุดฤทธิ์
ก่อนที่จะกลายเป็นมือวางระเบิดฉายา “ยูนาบอมเบอร์” ข่มขวัญประชาชนชาวสหรัฐด้วยการส่งระเบิดไปทางไปรษณีย์

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090608-7099.jpeg)

ตลอด 20 ปีในชีวิตของเขา ได้ใช้ระเบิดของเขาส่งทางไปรษณีย์ถึง 16 ครั้ง ผู้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นพิการนับสิบ และมันผลาญชีวิตมนุษย์
ที่มีคุณค่าต่อสังคมไป 3 คน จนถูกกล่าวขานว่าเป็นนักต่อต้านสังคม ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์

จนกระทั้งเขาถูกจับได้เมื่อปี 1996 ในขณะอยู่ในกระท่อม เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบกระท่อมก็พบว่ามันดูเหมือนรังปีศาจมากกว่า
บ้านของมนุษย์ เต็มไปด้วยหนังสือ เตา และวัตถุทำระเบิดมากมาย สุดท้ายเขาก็ถูกจำคุกตลอดชีวิต และบ้านกระท่อมหลังดังกล่าว
ถูกย้ายไปแสดงในพิพิธภัณฑ์ข่าว วอชิงตันดี.ซี. ไม่ไกลจากสำนักงานใหญ่ของเอฟบีไอ ซึ่งเอฟบีไอได้ยกย่องคดีนี้ว่าเป็นคดีสืบสวน
ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา



 
4. Josef Fritzl's Dungeon

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090641-1396.jpeg)
   
ประเทศออสเตรีย ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สวยงาม และสงบแต่กลับมีคดีอาชญากรรมร้ายแรงที่ทำให้คนทั่วโลกตกตะลึง เป็นเรื่องที่
โหดร้ายทารุณเกินกว่าใครจะคาดคิดได้ เมื่อ โจเซฟ ฟริตเซล เฒ่าอายุ 73 ปีเป็นเจ้าของบ้านชานเมืองชานเมืองในเมืองแอมสเตทเทน
ห่างจากกรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย ไปทางตะวันตก ราว 100 กิโลเมตร ภายนอกเหมือนเป็นบ้านธรรมดาสองชั้น
แต่ความจริงแล้วมันคือคุกนรก ที่ห้องใต้ดินของบ้านได้กลายเป็นที่เขาใช้ขังลูกสาวคือ "เอลิซาเบธ"


เขาขังเธอไว้ที่นั่นนานถึง 24 ปี โดยห้องใต้ดินลับดังกล่าวเป็นห้องสภาพแออัด และคับแคบมีพื้นที่รวมเพียง 60 ตารางเมตร ที่ถูก
ออกแบบเป็นพิเศษ ทางเดินแคบ ๆ นำไปสู่ใต้ดินที่มีห้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำขนาดเล็กที่มีฝักบัว ห้องอาหาร
ห้องทำงาน และห้องทั้งหมดเพดานสูงไม่ถึง 1.7 เมตร และไม่มีหน้าต่างแม้แต่บานเดียว ซึ่งสร้างด้วยซีเมนต์หนา กรุด้วยวัสดุกันเสียง
อย่างดี และมีประตูลับที่เชื่อมต่อทางเดินใต้ดิน แต่เป็นประตูเปิด-ปิดด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มีน้ำหนักถึง 500 กิโลกกรัม ทำจากคอนกรีต
มีเพียงนายฟริตเซิลที่รู้รหัสเท่านั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกสาวหนีจากห้องใต้ดิน

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090641-0888.gif)

และในห้องใต้ดินดังกล่าวเขาก็มีเพศสัมพันธ์กับอลิซาเบธจนมีลูกเธอถึง 7 คน

ซึ่งคนหนึ่งตายตั้งแต่เป็นทารก และเขาเอาศพเผาในเตาไฟ เขานำลูกอีก 3 คนของเธอขึ้นมาเลี้ยงในบ้าน (และ 3 คนอยู่ในห้องใต้ดิน
ให้อลิซาเบธเลี้ยง) โดยหลอกภรรยาว่าลูกสาวที่หนีออกจากบ้าน เอาลูกมาทิ้งไว้ให้เลี้ยง และเรื่องนี้เกิดขึ้นนานหลายปีโดยเพื่อนบ้าน
ไม่มีใครรู้ ทั้งๆ ที่บ้านของนายฟริตเซิล ก็เปิดให้คนอื่นเช่าพักด้วย!??

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090641-1382.jpeg)

แต่แล้วเรื่องแดงขึ้น เมื่อปี 2008 หลังจากเด็กคนหนึ่งใน 3 คนที่เคยอยู่แต่ในห้องใต้ดิน เกิดป่วยหนักถึงขั้นโคม่าและเขาตัดสินใจ
นำตัวส่งโรงพยาบาล ทำให้ทางโรงพยาบาลสงสัย ต่อมาโจเซฟก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมและ ถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตทารุณ
กรรมทางเพศ ข่มขืน ส่วนอลิซาเบธและลูกๆ ได้นำไปรักษาทางจิตในเวลาต่อมา
 




3. Jonestown

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090675-5131.jpeg)

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 1978 คนมากกว่า 900 คน (เป็นเด็กถึง 200 คน) ได้เสียชีวิตในชุมชนเมืองที่รู้จักกันดีนาม “โจนส์ทาวน์”
ที่ก่อตั้งโดยเจ้าลัทธิจิม โจนส์ ชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งลัทธิโบสถ์มวลชน ที่ได้ชักชวนสาวกจำนวนมาก ไปสร้างเมือง "โจนส์ทาวน์" ขึ้น
บนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ ในประเทศกายอานา ทวีปอเมริกาใต้


ในปี 1977 โจนส์ทาวน์ เป็นเมืองในระบบเผด็จการ มีการสื่อสารกับโลกภายนอกเพียงไปรษณีย์และโทรศัพท์คลื่นสั้น ระบบสาธารณูปโภค
ย่ำแย่  ยาเสพติดเสรี มีเครื่องกระจายเสียงติดตั้งลำโพงทั้งวันทั้งคืน สาวกชายหญิงถูกแยกออกไปอยู่คนละเขต เด็กถูกกันไปอยู่อีกที่หนึ่ง
มีการปกครองโดยกลุ่มคนผิวขาว คนผิวดำต้องทำงานใช้แรงงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก่อนจะถูกบังคับให้เข้าพิธีในตอนกลางคืน

ผู้ที่คิดหลบหนีจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นทรมาน ไปจนถึงถูกนำทิ้งที่บ่อลึก ซึ่งรู้จักในชื่อ “โพรงแห่งทุกข์ทรมาน” โดยจะ
โยนทิ้งในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั้นอีกเลย และด้วยความเลวร้ายในปีนี้ เกรซ สโตน อดีตคนรัก
ของ จิม ออกมาเปิดโปงเบื้องหลังของโบสถ์ต่อสื่อมวลชน ส่งผลให้อดีตสาวกจำนวนมากออกมาฟ้องศาล

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090675-5293.jpeg)

ต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 1978 สส.ไรอันจากรัฐแคลิฟอร์เนีย พร้อมกับนักข่าว อดีตสาวก และครอบครัวของสาวกจำนวน 19 คน
ได้ไปยังประเทศกายอานา เพื่อเข้าตรวจโจนส์ทาวน์ ได้พบคนแก่และคนเจ็บถูกจับนอนเรียงกันบนเตียงเก่าๆจนแน่นไปหมด ในห้อง
เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น แมลงวันบินว่อน มีหนอนคลานอยู่จนทั่ว เมื่อนักข่าวจะถ่ายรูปก็มียามมาห้ามไว้ วันที่ 18 พฤศจิกายน ไรอันเดินทาง
ออกจากโจนส์ทาวน์ ตามกำหนดการ และพาสาวกจำนวน 16 คน ซึ่งต้องการถอนตัวกลับไปด้วย แต่เมื่อทั้งหมดกำลังจะขึ้นเครื่องบิน
ได้ถูกกลุ่มสาวกติดอาวุธเข้าโจมตีสังหาร เป็นผลให้ สส.ไรอัน และผู้ติดตามรวม 5 คนเสียชีวิต

เวลา 5 โมงเย็นวันเดียวกัน เพียง 40 นาทีหลังการโจมตีสนามบิน จิม รวบรวมสาวกทั้งหมดกว่า 1100 คน เข้าร่วมในพิธีกรรม "ไวท์ไนท์"
โดยนำน้ำผลไม้ผสมไซยาไนด์ให้สาวกดื่ม เพื่อฆ่าตัวตายหมู่ เพื่อที่วิญญาณของทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียว และได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์
ที่ดาวดวงอื่น มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 900 กว่าคน เกือบ 300 ศพเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

ศพของ จิม ถูกพบบนแท่นเวที ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน มีเพียง 167 คนที่รอดชีวิตมาได้และเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ถูกจารึกว่า
เป็นการฆ่าตัวตายหมู่ครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์




 
2. Saddam Hussein's Spider Hole

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090699-5025.jpeg)
 
8 เดือนหลังจากที่ซัดดัม ฮุสเซนถูกขับออกจากอำนาจจากประธานาธิปดีอีรัก เขาได้ออกจากแบกแดดแล้วหายตัวไปโดยไม่มีใครทราบข่าว
กองทัพสหรัฐพยายามตามหาไปแทบพลิกแผ่นดิน จนกระทั้งในเดือนธันวาคม 2003 ทางกองทัพได้รายงานว่าซัดดัม หลบหนีไปอยู่ใน
เมือง อัด-ดาวาร์ ห่างจากเมืองทิกริต บ้านเกิดของซัดดัม ทางตอนใต้ราว 16 กิโลเมตร และเมื่อตรวจค้นก็พบซัดดัมในหลุมหลบภัยใต้ดิน
ในบ้านแห่งหนึ่ง


โดยหลุมดังกล่าวมีลักษณะเหมือนหลุมแมงมุม (เป็นหลุมพรางตัวสำหรับคนเดียว) มีความลึก 6 ถึง 8 ฟุต(2 ถึง 2.5 เมตร) ที่กว้างพอ
สำหรับลงไปนอนคนเดียวได้ ซึ่งอดีตผู้นำอิรัก ถูกจับกุมในสภาพกำลังมึนงงสับสน หนวดเครารุงรัง แต่ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด
และเมื่อทำการตรวจค้นหลุมก็พบปืนพก เอเค 47 สองกระบอก ของมีค่ากว่า 750,000 ดอลลาร์ และตั๋วเงิน 100 ดอลลาร์

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090699-4072.gif)
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090699-4625.jpeg)

ซัดดัมถูกนำตัวขึ้นศาล เพื่อดำเนินคดีกับเขา หลังจากปกครองประเทศแบบเผด็จการมานานหลายปี วันที่ 5 พฤศจิกายน 2006
ผู้พิพากษาศาลอิรัก สั่งลงโทษประหารชีวิตโดยการแขวนคอซัดดัม ในคดีสังหารหมู่ชาวชีอะห์ 148 คน ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมือง
ดูเญลเมื่อปี 1982 โดยเขาถูกประหารชีวิตในวันที่ 30 ธันวาคม 2006
 




1. lizabeth Bathory's Castle

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090732-1539.jpeg)
                 
หลายคนอาจจะคุ้นหู อลิซาเบธ บาโธรี่ มากกว่า หากแต่ชื่อเต็มของเธอคือ เคาส์เตส อลิซาเบธ บาโธรี่ เดอ เอ๊กเซด เป็นภรรยาของ
ขุนนางในฮังการีตระกูลบาโธรี่ เธอได้รับฉายาว่า “สาวเลือดแห่งเซติซ” อันเนื่องจากพฤติกรรมและความโหดเหี้ยมที่ปรากฏใน
ประวัติศาสตร์ ว่าเธอได้ร่วมมือกับคนรับใช้ทั้งสี่ฆ่าหญิงสาวจำนวนมากกว่า 650 คน (แต่หลายคนเชื่อว่า 80 คน) โดยเธอนำตัวเหยื่อ
มาฆ่าที่ปราสาทเซติซ (ตั้งอยู่ในประเทศสโลวาเกียซึ่งในอดีตเป็นส่วนหนึ่งราชอาณาจักรฮังการี) ซึ่งเธอเป็น (ภรรยา) เจ้าของ


ปราสาทเซติซถูกสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 13 บนยอดเขาคาร์เปเธียน เพื่อปกป้องเส้นทางการค้า ทำให้ตัวปราสาทถูกล้อนรอบด้วย
หมู่บ้านและพื้นที่การเกษตร แต่บรรยากาศโดยรวมนั้นช่างน่าหดหู่และน่าสยดสยอง เมื่ออลิซาเบธข้าไปอยู่เธอก็กังวลเกี่ยวกับความงาม
จนมีความคิดว่าหากได้อาบเลือดผู้หญิงพรหมจารีแล้ว จะทำให้รักษาความอ่อนเยาว์ของตนได้ตลอดไป 

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090747-404.jpeg)

เธอจึงหลอกลวงผู้หญิงจำนวนมากมายมายังปราสาทแห่งนี้เพื่อที่จะได้ฆ่าเพื่อเอาเลือด โดยวิธีฆ่าก็หลากหลาย ตอนแรกพวกเขา
ฆ่าเหยื่อเพื่อเอาเลือดชโลมผิวในปริมาณน้อย หากนานวันอลิซาเบธก็ใช้เลือดจำนวนเหล่านั้นอาบแทนน้ำเสียเลย โดยเก็บเลือด
ใส่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ เพื่อให้เธอเข้าไปอาบซึ่งเธอจะอาบอ่างน้ำเลือดนี้ถึงสี่ชั่วโมงในตอนเช้า แต่บางครั้งการรอให้เลือดเต็มอ่าง
มันไม่ทันใจสำหรับเธอ ดังนั้นเธอเลยใช้ วิธีปาดคอเด็กสาวให้เลือดกระฉูดออกมาใส่ตนเองเหมือนกับฝักบัวเลือด

ยิ่งถ้าหากเหยื่อ เป็นสาวสวยเธอจะเอาเลือดนี้ไปกินเสมือนเป็นเครื่องดื่มชั้นเลิศที่เธอเชื่อว่าจะช่วยเร่งปฎิกริยาให้เธอสวย และสาวขึ้น

นอกจากนี้ อลิซาเบธ ยังถนัดในการทรมานเหยื่อและชอบเลือดอยู่แล้ว ดังนั้นวิธีการรีดเลือดของเธอยิ่งโหดเหี้ยมเป็นทวีคูณ
ที่ชั้นใต้ดินของปราสาท เต็มไปด้วย  เครื่องทรมานประเภทต่างๆ ที่เธอชอบทรมานเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็น การใช้เหล็กร้อนเผาลำคอ
ใช้เครื่องทรมานบีบหน้าอก บางครั้งเธอก็ใช้มือทั้งสองของตัวเอง ล้วงเข้าไปในปากและฉีกร่างของเหยื่อออกเป็นสองซีก
เด็กสาวบางคนที่พยายามจะหนีก็ถูกตัดเท้าทิ้ง

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090759-8987.jpeg)

สุดท้ายกษัตริย์และขุนนางหลายคนเริ่มทนไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่าว เธอและคนรับใช้ทั้งสี่จึงถูกจับตัวมาลงโทษ คนรับใช้ทั้งหมด
ถูกเผาทั้งเป็น ส่วนตัวเธอถูกจำคุกที่ห้องขังของปราสาทของเธอเอง และเธอก็ขาดใจตายในอีก 4 ปีต่อมา

แม้ว่าเธอจะจากโลกนี้ไปนานแล้วก็ตาม หากแต่เรื่องราวตำนานของเคาส์เตสผู้สูงศักดิ์ ที่ชอบเลือดของหญิงสาวพรหมจารี
เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์นั้นถูกนำไปสร้างเป็นตำนานบทใหม่ในฐานะ แวมไพร์หญิง เคียงคู่กับเคานท์ แดร็กคูล่า ผีดูดเลือดอมตะ
ในนิยายของบราม สโตกเกอร์ เลยทีเดียว


(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1549090791-3698.jpeg)
 
 
อ้างอิงจาก

http://www.time.com/time/specials/packages/article/0,28804,2069355_2069356_2069362,00.html
เพิ่มเติมเนื้อหาจาก
ohx3.exteen.com