-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 7 แผนร้ายเปลี่ยนโลกที่เกิดขึ้นจริง!!  (อ่าน 222 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

7 แผนร้ายเปลี่ยนโลกที่เกิดขึ้นจริง!!
cr. Cammy-เต่านรก


พวกเรารักทฤษฏีสมคบคิด พวกเราชอบทฤษฏีลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนนาดี้ แล้วเชื่อมโยงไปยังแอเรีย 51
ก่อนที่จะถูกรัฐบาลออกมาบอกว่า “มันไม่จริง” ใช่นี้คือเรื่องหลายเรื่องที่เรารู้จักกันดี

แหละอันดับต่อไปนี้เป็น เรื่องของแผนร้ายที่บุคคลกลุ่มหนึ่งสมคบคิดที่วางแผนเพื่อให้มันเป็นจริงเพื่อเปลี่ยนโลกใบนี้.....
 
7. Business Plot


 
“แผงผังลับธุรกิจ” (หรือเรียกอีกอย่างว่าแผนกบฏคิดมิดีมิร้าย Plot Against FDR และ White House Putsch)
เป็นกลุ่มสมรู้ร่วมคิดทางการเมืองในปี 1930 ที่อ้างว่ามีนักธุรกิจนายทุนแบงค์มั่งคั่งประกอบด้วยเซลแบงค์, จีเอ็ม, กู๊ดเยียร์,
สแตนดาร์ดออย (บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลของโลก) มารวมตัวกันวางแผนต้องการสร้างลัทธิฟาสซิสต์ในองค์กร
ทหารผ่านศึก เพื่อใช้ในรัฐประหารเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฟรงกลิน ดี รูสเวลส์


สำหรับสาเหตุที่มีคิดแผนการเช่นนี้ก็เนื่องจากในช่วงนั้นเศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำ ทำให้มีความคิดยึดอำนาจเพื่อต้องการให้
ประเทศนำเงินดอลล่าร์ผูกติดค่าทองคำ เพราะว่าหากปล่อยไว้เงินตรามากมายที่พวกตนมีอยู่จะกลายเป็นเงินเฟ้อกลายเป็น
กระดาษที่ไร้ค่า



แผนการดังกล่าวคือการชักชวนอดีตนายพลบีตเลอร์ (Smedley Darlington Butler, retired U.S. Marine Corps
Major General) ซึ่งเป็นนายทหารที่ได้รับยกย่องว่ามีความกล้าหาญ และมีความสามารถในการรบนับไม่ถ้วน และมีพลังอำนาจ
ในการบัญชาการองค์กรทหารผ่านศึก ให้นำทหารผ่านศึกจำนวน 500,000 คนเข้าไปในพื้นที่ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน ดีซี
โดยอ้างว่า เพื่อปกป้องประธานาธิบดีจากการรัฐประหาร (พล็อตนี้เอามาใช้ในหนังเรื่อง XxX )



แผนนี้ใกล้จะประสบผลสำเร็จ หากแต่ ในปี 1930 อดีตนายพลบีตเลอร์ ที่พวกเขาคิดว่าเป็นหนึ่งในมิตรของกลุ่ม กลับไม่ใช่
แฟนของฟาสซิสต์ เขาเป็นรักชาติ และสับสนุนแฟรงกลิน เขาเลยออกมาแฉพฤติกรรมของกลุ่ม ตอนแรกผู้เกี่ยวของกลุ่มที่โดน
แฉออกมาปฏิเสธ หากแต่หลังจากสืบหาหลักฐานพบว่าเป็นจริง แต่กระนั้นผลสุดท้ายก็ไม่มีใครได้รับการดำเนินคดี นิวยอร์กไทม์
ได้ออกมาขนานนามแผนการนี้ว่า “เป็นเล่ห์เหลี่ยมขนาดยักษ์”

 




6. The July 20 Plot
 

   
เมื่อสถานการณ์สงครามโลกใกล้สิ้นสุดลง กองทัพนาซีเยอรมันใกล้พ่ายแพ้ แต่ฮิตเลอร์ผู้นำเยอรมันขณะนั้นยั้งดื้อดึงที่จะทำสงครามต่อ
พันเอกเคานท์ เคลาส์ ฟอน ชเตาเฟนแบร์ก(Claus Schenk Graf von Stauffenberg) ถูกคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมสมคบคิดสังหาร
ฮิตเลอร์ในปี 1944


ใช่นี้คือเรื่องจริงและถูกสร้างเป็นหนังหลายครั้ง แผนนี้มีชื่อว่าน “แผนลับ 20 กรกฎาคม” เป็นแผนการลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ภายใน "รังหมาป่า" (กองบัญชาการภาคสนามใกล้กับเมืองรัสเทนบูร์ก แคว้นปรัสเซียตะวันออก) เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944
แผนการดังกล่าวเป็นความพยายามของขบวนการกู้ชาติเยอรมนี เพื่อที่จะทำลายการปกครองของนาซี



ในตอนนั้นกลุ่มสมคบคิดทางทหารมีอยู่หลายกลุ่มตั้งแต่กลุ่มพลเรือน นักการเมืองและเหล่าปัญญาชน และในสมาคมลับอื่น ๆ ทั้งหมด
ต่อต้านฮิตเลอร์และอยากให้ฮิตเลอร์ตาย ซึ่งก่อนหน้าวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 นั้นมีความพยายามที่จะลอบสังหารฮิตเลอร์
หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ทำให้การลอบสังหารฮิตเลอร์เริ่มยากขึ้น ฮิตเลอร์เริ่มที่จะไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะและไม่ไว้ใจคนอื่น และใช้เวลา
ส่วนใหญ่ที่ "รังหมาป่า" โดยมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนายิ่งกว่าเดิม

แต่กระนั้นกลุ่มสมคบคิดก็ไม่ลดละพวกเขาได้ติดต่อ พันเอกเคานท์ เคลาส์ ฟอน ชเตาเฟนแบร์กซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสมคบคิดเข้าไป
ใกล้ชิตฮิตเลอร์และสังหารเขาด้วยระเบิด แผนการของสเตาฟเฟนเบิร์ก คือ การวางกระเป๋าใส่เอกสารบรรจุระเบิดไว้ในห้องประชุมของฮิตเลอร์
ก่อนจะถอนตัวออกจากการประชุม รอจนเกิดการระเบิดขึ้น และบินกลับไปยังกรุงเบอร์ลินและเข้าร่วมกับผู้ก่อการคนอื่นและทำการควบคุม
เยอรมนีทั้งหมด และคณะผู้นำนาซีทั้งหมดก็จะถูกจับกุม และสงครามโกกครั้งที่ 2 จะจบลงอย่างรวดเร็ว และคนนับล้านจะไม่ตายอีก
และกลายเป็นหน้าหนึ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้



ใช่แผนน่าจะสำเร็จโดยง่ายดาย แต่ปัญหาคือแผนการทั้งหมดนี้ต้องให้ฮิตเลอร์ตายเท่านั้น หากแต่ก่อนถึงวันที่ 20 กรกฎาคมพันเอก
ชเตาเฟนแบร์ก พยายามลอบฆ่า ฮิตเลอร์ 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งถึงวันที่  20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 ชเตาเฟนแบร์ก เดินทาง
มายังรังหมาป่าเพื่อเข้าร่วมประชุมกับฮิตเลอร์อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับกระเป๋าเอกสารซึ่งบรรจุระเบิดไว้เช่นเดิม โดยที่ผู้ที่เข้าร่วมประชุม
ทั้งหมดไม่ถูกตรวจค้นตัวเลย

ราว 12.30 น. การประชุมเริ่มขึ้น พันเอกชเตาเฟนแบร์ก วางระเบิดภายในกระเป๋าเอกสารใต้โต๊ะที่ประชุมของฮิตเลอร์และนายทหาร
อีกกว่า 20 นาย  และได้แกิดการระเบิดขึ้นและทำลายห้องประชุม พันเอกชเตาเฟนแบร์ก ที่ออกมาข้างนอกได้ยินเสียงระเบิดก็คิดว่า
ฮิตเลอร์เสียชีวิตแล้ว จึงรีบเดินทางกลับกรุงเบอร์ลินเพื่อควบคุมสถานการณ์ตามแผนที่เขาวางเอาไว้



หากแต่แผนการต้องหยุดลงเมื่อมีรายงานยินยันได้ว่าฮิตเลอร์ยังไม่ตายเขาแค่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ส่งผลทำให้พันเอกชเตาเฟนแบร์ก
และสมาชิกสมคบคิดจำนวนมากถูกประหารชีวิต ก่อนได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษในเวลาต่อมา และเรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาสร้าง
เป็นภาพยนตร์ เรื่อง Valkyrie โดยมี ทอม ครูซ รับบทเป็นพันเอกชเตาเฟนแบร์ก



 

5. Operation Ajax
 


   
ในช่วงอังกฤษปกครองอิหร่านนั้น พวกเขามีความสุขใจกับการค้าขายอิหร่าน โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันมหาศาล หากแต่ในปี 1951
อิหร่านได้ยกเลิกปกครองแบบกษัตริย์ พระเจ้ามุฮัมมัด เรซา ชาห์ ปาฮ์ลาวี (Muhammad Reza Shah Pahlavi) ที่เป็น
ผู้ปกครองเวลานั้นได้ลี้ภัยไปต่างประเทศ


อิหร่านได้มีรัฐบาลและรัฐสภาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี โมฮัมมัด มูสซาเด็ก (Mohammad Mussadeq) อิหร่านก็กลายเป็น
ประเทศที่ชาตินิยมมากพวกเขาต่อต้านอังกฤษ และใช้นโยบายแบบชาตินิยมโดยการยึดสัมปทานน้ำมันของบริษัทอังกฤษ ให้เป็น
กิจการของรัฐ ส่งผลให้อังกฤษยุติการซื้อขายน้ำมันกับอิหร่าน



และนั่นทำให้อังกฤษวางแผนที่จะโค่นล้มรัฐบาลของโมฮัมมัด มูสซาเด็กขึ้น และแล้วแผนการ “ปฏิบัติการอาแจ๊กซ์”  จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
ในช่วงเดือนเมษายน 1953 จากความร่วมมือของประธานาธิบดี ไอเซนฮาวร์ แห่งสหรัฐ และนายกรัฐมนตรี เชอร์ชิล แห่งอังกฤษ
เพื่อเป้าหมายในการโค่นล้มรัฐบาลของนาย มูสซาเด็กและสนับสนุนให้พระเจ้าชาห์กลับมามีบทบาทปกครองประเทศอีกครั้ง

แผนการนี้ซีไอเอมีบทบาทเต็มๆ พวกเขาทำการโฆษณาชวนเชื่อ และออกข่าวลื่อต่างๆ นาๆ ว่ามูสซาเด็กวางแผนที่จะเปลี่ยนระบบ
การปกครองจากนายกรัฐมนตรีสู่ระบบประธานาธิบดี ซึ่งจะทำให้เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองประเทศ แต่เมื่อประชาชนอิหร่าน
ได้ทราบแนวคิดดังกล่าว ต่างก็ไม่เห็นด้วย และได้เริ่มก่อการประท้วงอย่างรุนแรงอีกครั้ง แต่มูสซาเด็กก็ได้ตอบโต้ โดยส่งกองกำลัง
เข้าไปยึดครองพระราชวังของพระเจ้าชาห์ในเดือนสิงหาคม และได้ผลักดันให้พระเจ้าชาห์ออกจากประเทศ โดยได้ทรงลี้ภัย
สู่อิตาลีในเวลาต่อมา



ต่อมาก็มีเหตุการณ์การประท้วง 1953 ที่นำโดยกลุ่มที่นิยมระบบกษัตริย์ และกลุ่มอำนาจเก่าที่เคยเสียผลประโยชน์ต่างๆ
โดยได้รับการสนับสนุนในทางลับ จากหน่วยสืบราชการลับซีไอเอ ของสหรัฐและเอ็มไอหกของอังกฤษ ผลของการประท้วง
คือมีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน และ นาย มูสซาเด็ก จำเป็นต้องออกจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคมและถูกจับในข้อหากบฏ
ถูกตัดสินจำคุกกว่า 3 ปี และได้เสียชีวิตลงในปี 1967



เมื่อการประท้วงครั้งนั้นสิ้นสุดลง พระเจ้าชาห์ ทรงเสด็จกลับสู่ประเทศในฐานะผู้นำสูงสุดอีกครั้ง และได้ทรงปรับเปลี่ยนนโยบายให้มี
การส่งออกน้ำมันดิบไปยังอังกฤษและตะวันตกเหมือนเดิม และดำเนินนโยบายส่งน้ำมันให้อังกฤษอีกครั้ง จนกระทั่งปี 1979 เกิดเหตุ
วุ่นวายในประเทศอีกครั้ง ส่งผลทำให้พระเจ้าชาห์ลี้ลัยในต่างประเทศและเสด็จสวรรคตเมื่อ 1980 ก่อนที่อิหร่านจะกลายเป็นประเทศ
ที่ต่อต้านตะวันตกอย่างเต็มเหนี่ยว อย่างที่เราได้เห็นจนถึงปัจจุบัน




ส่วน “ปฏิบัติการอาแจ๊กซ์” กลายเป็นปฎิบัติการที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนั้น ล้วนแล้วเป็นความลับ




 
4. The Gunpowder Plot
 


“แผนดินปืน”  เป็นแผนที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 1605 ก่อนหน้านั้นเรียกว่า “กบฏดินปืน” โดยเป็นแผนการลอบสังหารพระเจ้าเจมส์ที่ 1
แห่งอังกฤษ (King James I)  ซึ่งคนวางแผนคือกาย ฟอคส์ (Guy Fawkes)และผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกจำนวน 13 คน
ซึ่งพวกเขาอยากให้พวกคาทอลิกในอังกฤษมีเสรีภาพมากขึ้นซึ่งในตอนนั้นพระเจ้าเจมส์นับถือโปรเตสแตนต์(นอกจากนี้ในช่วงพระเจ้าเจมส์
ปกครองบ้านเมืองทรงบริหารราชการตามอำเภอใจจนเกิดความระส่ำระสาย เกิดกบฏต่อต้านและมีการจำคุกผู้คนเป็นจำนวนมาก)




โดยแผนการของกาย ฟอคส์คือการวางระเบิดรัฐสภาของอังกฤษพร้อมพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ที่จะมาประชุมเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605
เพื่อเป็นการโหมโรงให้เกิดความวุ่นวายในมิดแลนด์ กาย ฟอคส์เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องดินปืนและมีประสบการณ์ทางการทหาร เขาวางแผน
เช่าห้องใต้ถุนรัฐสภาเพื่อเก็บดินปืนไว้ 36 ถัง(820 กิโลกรัม) เพื่อหวังระเบิดรัฐแห่งนี้ซึ่งถ้าแผนการณ์นี้สำเร็จอังกฤษจะเปลี่ยน
ประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน 

แต่แผนการกับรั่วไหลเสียก่อนเมื่อเจ้าหน้าที่พบจดหมายที่บอกแผนการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม กาย ฟอคส์ถูกจับและถูกทรมานเพื่อบอก
สมาชิกในกลุ่มทั้งหมด ก่อนที่จะถูกแขวนคอในวันที่ 30 มกราคม 1606



แม้ว่ากาย ฟอล์ค จะตายนานแล้วแต่ชื่อของเขายังคงอยู่ ในฐานะบุคคลที่ชาวอังกฤษรู้จักกันดี และทุกวันที่ 5 พฤศจิกายนของทุกปี
จะมีงานฉลองเกี่ยวกับเขา โดนการเผารูปสัญลักษณ์ที่ทำจากฟางหรือเศษวัสดุเป็นรูปกาย ฟอคส์เพี่อเป็นการระลึกถึงเขา ที่วางแผน
การคบคิดระเบิดรัฐสภาอังกฤษ แต่ไม่สำเร็จ และเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกนำไปดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ในเรื่อง V for Vendetta






 
3.The Tuskegee Experiment
 
 

การศึกษาซิฟิลิสทัสคีจี หรือ โครงการศึกษาสุขภาพซิฟิลิสสาธารณะเป็นแผนการศึกษาโรคฟิสิกซ์ซึ่งดำเนินการมา ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 -1972
ระยะเวลานานถึง 40 ปี ในทัสคีจี เมืองชนบทในมลรัฐอลาบามา โดยมีที่มาจากแนวคิดของรัฐบาลสหรัฐและสาธารณสุขสหรัฐ (U.S. Public
Health Service (PHS)) ที่ต้องการศึกษาการเจริญเติบโตของโรคซิฟิลิสในคน อืม ฟังดูมันธรรมดาใช่เปล่าแค่ทดลองเชื้อโรคเฉยๆ แต่ที่
น่ากลัวของโครงการนี้ก็คือโครงการไร้จริยธรรมโดยสิ้นเชิง การทดลองในมนุษย์โครงการนี้ผู้ทดลองไม่ได้รับความยินยอมและส่วนใหญ่เป็น
คนไม่รู้หนังสือ และ ผิวดำ


การทดลองนี้ได้ดำเนินการโดยฉีดยาให้แก่ผู้ทดลองแก่คนผิวดำกว่า 412คน(ชุดแรก) ในย่านอาศัยแถวนั้น จากนั้นก็ศึกษาวิจัยการดำเนิน
โรคซิฟิลิสตามธรรมชาติในคนโดยที่คนเหล่านั้น ผู้โชคร้ายเหล่านี้เข้าใจว่า ตนกำลังได้รับการรักษาจากรัฐ โดยไม่เคยมีใครบอกให้รู้ว่าเป็น
โรคอะไร และจะไม่ได้รับการแจ้งว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เลย(ถูกปฏิเสธการรักษาที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรค)
โดยบอกผู้ป่วยว่าเป็นโรคโลหิตจางและเมื่อยล้า มีการทำหัตถการหลายอย่างเพียงเพื่อการศึกษาวิจัย เช่น การเจาะหลังเพื่อนำน้ำไขสันหลัง
ไปตรวจ เป็นต้น(แต่อย่างน้อยคนป่วยที่ว่าได้ค่าตรวจสุขภาพฟรี อาหารฟรี และค่าฝังศพผู้เสียหายนั้นฟรีเพราะเป็นหนึ่งในสัญญาจากรัฐบาล)



ตอนแรกแผนการทดลองวางกำหนดการณ์ไว้ที่ไม่กี่เดือน(6 ถึง 9 เดือน) แต่การวิจัยครั้งนี้กลับดำเนินการต่อเนื่องถึง 40 ปี ส่งผลให้ผู้ถูก
ทดลองรอดชีวิตเพียงประมาณ 70 คนจากทดลอง(ไม่รวมผู้ที่ติดเชื้อจากการทดลองนี้) แล้วสิ่งที่ได้คือวงการแพทย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับซิฟิลิส
อย่างละเอียด

การทดลองนี้ได้รับการขนานนามว่า “เป็นการวิจัยทางการแพทย์ที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ” เป็นการทดลองที่ไม่มีความจำเป็น
อะไรเลย อีกทั้งโรคนี้มียารักษามานานแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และมีการกระจายภาระไม่เป็นธรรมโดยเลือก
แต่ชาวผิวดำในพื้นที่ยากจน ส่งผลให้ประธานาธิบดีแถลงขอโทษต่อผู้เข้าร่วมโครงการที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือครอบครัว และชุมชน และเสนอให้
ดูแลชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากโครงการวิจัย (ประมาณ 9,000,000 ดอลลาร์)



ในปี ค.ศ. 1997 ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เข้าทำเนียบขาวเพื่อรับฟังคำกล่าวขออภัยจากประธานาธิบดีคลินตัน  นำไปสู่การออกกฎหมายควบคุม
ดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research Act) โดยกฎหมายดังกล่าวต้องอาสาสมัครต้องมีความยินยอมรวมไปถึง
กฎหมาย “บริจาคอวัยวะ”เป็นต้น

 




2. Operation Snow White
 


แผนสโนไวท์ แผนการนี้คล้ายกับหนังสายลับหลายเรื่องเลยครับ โดยเป็นแผนการระหว่างปี 1970 ภายใต้แนวคิดของ L.รอนฮับบาร์ด
(L. Ron Hubbard)ผู้เขียนที่เป็นแรงบันดาลใจในการก่อตั้งลัทธิไซน์โทโลจี (Scientology) ในการให้สาวกบุกรุกแทรกซึม และ ขโมย
เอกสารสำคัญจาก สำนักงานใหญ่ทั่วโลก


ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานราชการ สถานทูต และสถานกงสุลต่างประเทศ รวมไปถึงองค์กรเอกชน โดยแผนนี้ดำเนินการโดยสมาชิกลัทธิ
กว่า 30 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยและใหญ่ที่สุดคืออเมริกา โดยสมาชิกเหล่านี้จะปลอมตัวเป็นคนของหน่วยงานราชการ เช่น ยาม
เลขานุการ หรืองานอื่นๆ ที่ต่อมามีการระบุว่ามีตัวแทนของลัทธิถึง 5,000 คนแทรกซึม ดักฟัง โดยมีวัตถุประสงค์คือโจรกรรมและขโมย
เอกสารสำคัญของหน่วยงานสาเหตุที่ทำก็เพราะเจ้าลัทธิมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลปกป้องผลประโยชน์ของลัทธิ



ส่งผลทำให้มีการตัดสินว่าเสมาชิกระดับสูงของลัทธิและภรรยารอนฮับบาร์ดนี้มีความผิดจริงในข้อหาลักทรัพย์ของหน่วยงานรายการ






1.Project MKULTRA
 


โครงการเอ็มเคอัลทราหรืออีกชื่อหนึ่งว่า CIA mind-control research program เป็นชื่อรหัสลับที่เป็นการทดลองลับๆ
ที่ผิดกฎหมายของหน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ "ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้
โดยโครงการนี้เป็นการทดลองในมนุษย์ที่ดำเนินการโดยสำนักงานวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐ โดยเริ่มขึ้นเมื่อทศวรรษ
ที่ 1950 โดยดำเนินถึงปลายปี 1960 โดยใช้ชาวอเมริกันและแคนาดาเป็นตัวทดลอง


จุดประสงค์ของโครงการเอ็มเคอัลทราคือเป็นการศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" โดยใช้สารเคมีและสารชีวภาพ
เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงครามแรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็น
ปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมีและชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและ
แก้ไขแก่สถานการณ์ภายภาคหน้าเอาไว้



การทดลองนี้ ไม่ใช่มีแต่ซีไอเอเท่านั้น หากแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพและหน่วยข่าวกรองของสำนักงานอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย
พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือเป็นการทดลองลับสุดยอดขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ
ยังไม่ทราบเลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่นายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมการทดลองเท่านั้น

สำหรับวิโครงการนี้การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center)
ซึ่งปัจจุบันก็คือสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนัก โทษอาสาสมัคร
คดียาเสพติดนักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาตให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับ
สารเสพติดชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด



จากหลักฐานที่เผยแพร่พบว่าโครงการนี้ใช้วิธีต่างๆ มากมายที่จะจัดการสภาพจิตใจของบุคคลและปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง
โดยการใช้ยาหลายประเภทรวมทั้งวิธีการต่างๆ มาทดลองกับคนทดลองเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมอง เช่น การใช้ยาเสพติด
สารเคมีอื่นๆ การละเมิดทางวาจาและทางเพศ โดยไม่สนจะว่าอาสาสมัครเต็มใจหรือไม่



ต่อมาก็มีทดลองโดยฉีดยาหลอนประสาท LSD((Lysergic acid diethylamide)) ให้กับลูกจ้างซีไอเอ, ทหาร, แพทย์, ข้าราชการ
, โสเภณี, ผู้ป่วยจิตเวช และบุคคลทั่วไปจำนวนหนึ่งซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจน ถึงระดับไฮโซ มีทั้งคนอเมริกัน
และคนต่างชาติ เพื่อศึกษาฤทธิ์ของยา LSD ซึ่งคนที่ทดลองบางคนก็ยินยอม บางคนไม่ได้รับเนื้อหาการทดลอง และบางคนไม่ยอมให้
ตนเองมาทดลองกับโครงการนี้ แต่กระนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากัน ปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการ
ทดลองที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว




และแล้วโครงการนี้ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนในปี 1975 สภาคองเกรสสหรัฐได้แต่งตั้งคนเพื่อสืบสวนคดีนี้ หากแต่ในปี 1973
ผู้มีอำนาจสูงสุดซีไอเอ ถูกสั่ง ให้ทำลายไฟล์ทั้งหมด ทำให้เอกสารเกี่ยวกับโครงการนี้ถูกทำลายเผาไหม้ไปด้วย ทำให้ไม่มีหลักฐานว่า
มีการทดลองนี้เกิดขึ้นจริงในซีไอเอ


ข้อมูลจาก

http://www.cracked.com/article_15974_7-insane-conspiracies-that-actually-happened.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 มีนาคม 2019, 10:46:22 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่