ตามหัวข้อครับ เอาไปอ่านเอง
CGS คาดวอร์แรนต์เข้าเทรด ม.ค.-ก.พ. 53 หวัง นลท. ตอบรับเยี่ยม
นายบี เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป
จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยว่า ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท
ครั้งที่ 1 หรือ CGS-W1 จำนวน 460 ล้านหุ้น คาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประมาณ ต้นเดือนม.ค. หรือ ก.พ. 2553 ขณะเดียวกัน
บริษัทฯ คาดว่าวอร์แรนต์ดังกล่าวน่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เพราะราคาใช้
สิทธิอยู่ที่ 1.5 บาท และมี P/E อยู่ที่ 6 เท่า ซึ่งถือว่ามีความน่าดึงดูด
'หลังจากบริษัทฯ ได้ลดทุนจาก 2,300 ล้านบาท เหลือ 1,800 ล้านบาท
และเพิ่มทุน 460 ล้านหุ้น โดยใช้สิทธิ 4 ต่อ 1 และออกวอร์แรนต์อีก 460 ล้านหุ้น ซึ่ง
นักลงทุนที่ซื้อในวันที่ 11 ธ.ค. 2553 ก็จะได้สิทธิได้วอร์แรนต์ฟรีด้วย ซึ่งถือว่าจุดนี้น่า
จะเป็นจุดที่ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้น CGS ด้วย' นายบี กล่าว
รายงาน โดย อาภรณ์ สุภาพ
เรียบเรียง โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น
commentnews@efinancethai.com ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 18/11/09 เวลา 17:37:02
CGS ตั้งเป้าขึ้นแท่นอันดับ 1 มาร์เก็ตแชร์ปี 53 ที่ 10% จากสิ้นปีนี้คาดอยู่ที่
6%-เพิ่มบัญชีลูกค้าใหม่ 1 แสนบัญชี
นายบี เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป
จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยว่า ปี 2553 ตั้งเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ที่ 10%
พร้อมอยู่ในอันดับ 1 จากปีนี้ที่คาดว่ามาร์เก็ตแชร์เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 6% ขณะเดียวกัน
บริษัทฯ ยังตั้งเป้าเพิ่มบัญชีลูกค้าใหม่อีก 100,000 บัญชี จากปัจจุบันที่มีบัญชีอยู่ที่
50,000 บัญชี
ส่วนสาเหตุที่มาร์เก็ตแชร์ในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น เนื่อง
จากบริษัทฯ จะมีสัดส่วนลูกค้าสถาบันหลังจากเตรียมเข้าไปซื้อโบรกเกอร์ในฮ่องกง
ซึ่งคาดว่าจะมีลูกค้าใหม่ที่เป็นสถาบันเพิ่มเข้ามาอีก 100 ราย ขณะเดียวกันบริษัทฯ
ยังมีธุรกรรมต่างๆ ที่ครอบคลุมการให้บริการลูกค้าอีกด้วย ในขณะเดียวกันปีหน้าสัด
ส่วนลูกค้ารายย่อยจะอยู่ที่ 85% ลดลงจากปีนี้ที่ 97% และลูกค้าสถาบันจะเพิ่มขึ้น
เป็น 15% จากเดิม 3%
'ในปีหน้าคาดว่ารายได้จะโต 2 เท่า ของรายได้ในปีนี้ เพราะบริษัทฯ ได้
ปรับโครงสร้างและนโยบายในการดำเนินงานหลายๆ อย่าง รวมทั้งมีรายได้จาก IPO
เข้ามาเสริมด้วย โดยในปีหน้าคาดว่ารายได้จาก IPO จะอยู่ที่ 200 ล้านบาท จากปีนี้ที่
คาดว่าจะอยู่ที่ 80 ล้านบาท หลังจากปัจจุบันมีดีล IPO ในมือ 7-8 ตัว ส่วนที่ผ่านมาใน
ไตรมาส 3 ปี 2552 รายได้อยู่ที่ 381 ล้านบาท โตถึง 4 เท่าจาก Q3 ปี 2551 มีรายได้
81 ล้านบาท' นายบี กล่าว
รายงาน โดย อาภรณ์ สุภาพ
เรียบเรียง โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น
commentnews@efinancethai.com ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 18/11/09 เวลา 17:32:07
CGS เผยการเจรจาซื้อโบรกฯ ฮ่องกง จะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ พร้อมเริ่มทำธุรกรรม
ต้นปี 53
นายบี เตชะอุบล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป
จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เจรจาซื้อโบรกเกอร์จากประ
เทศฮ่องและประเทศสิงคโปร์ ซึ่งหลังจากได้ศึกษาข้อมูลและโอกาสทางธุรกิจ รวม
ทั้งการขยายฐานลูกค้า ปรากฎว่าโบรกเกอร์จากฮ่องกงเอื้อประโยชน์ต่อบริษัท
มากกว่า ดังนั้นจึงตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์ดังกล่าว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอทำ
สัญญา ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุป และสามารถเดินหน้าทำธุรกรรมได้ประมาณต้นปี
2553
รายงาน โดย อาภรณ์ สุภาพ
เรียบเรียง โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อนุมัติ โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น
commentnews@efinancethai.com ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 18/11/09 เวลา 17:32:56
บิ๊กCGS แจงโค้ง3พลิกโกยกำไร เหตุรายได้รวมพุ่ง
นายบี เตชะอุบล กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลัก
ทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)(CGS) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานตามงบการ
เงินที่แสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน
2552 ซึ่งได้ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแล้ว โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ
จำนวน 112.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิจำนวน
52.51 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 314.12 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. รายได้รวมสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 จำนวน 347.92
ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อ
ขายล่วงหน้าจำนวน 279.26 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจำนวน 8.77
ล้านบาท กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจำนวน 25.07
ล้านบาท รายได้จากดอกเบี้ยรับและเงินปันผลและดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลัก
ทรัพย์จำนวน 11.93 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจำนวน
12.17 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ จำนวน 10.72 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 266.97ล้านบาท
หรือร้อยละ 329.81 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้
รวมจำนวน80.95 ล้านบาท เป็นผลมาจาก
1.1 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 268.39 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 193.16 ล้านบาทหรือร้อยละ 256.77 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปี
ก่อนที่ 75.23 ล้านบาทเนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น
1.2 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 10.87 ล้าน
บาทจากการเป็นสมาชิกตลาดอนุพันธ์และเริ่มดำเนินธุรกิจเมื่อวันที่ 22 กันยายน
2551
1.3 ค่าธรรมเนียมและบริการ 8.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.70 ล้านบาท เมื่อ
เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 0.07 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทเริ่มมีรายได้
จากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินจากทีม
งานวาณิชธนกิจในไตรมาส4 ปี 2551
1.4 กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 25.09 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ
167.90 เมื่อเปรียบเทียบกับ งวดเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนจากการซื้อขายหลัก
ทรัพย์ 36.95 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 15.70 ล้าน
บาท ขาดทุนจากการปรับมูลค่าหลักทรัพย์ลดลง 12.45 ล้านบาท และขาดทุนจากการ
โอนเปลี่ยนประเภทเงินลงทุนในหลักทรัพย์ลดลง 33.89 ล้านบาท
1.5 รายได้ดอกเบี้ยรับและเงินปันผล และดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลัก
ทรัพย์ 11.93 ล้านบาท ลดลง 28.38 ล้านบาท หรือร้อยละ 70.41 เมื่อเปรียบเทียบ
กับ งวดเดียวกันของปีก่อนที่ 40.31 ล้านบาท เป็นผลมาจาก
1.5.1 ดอกเบี้ยรับจากเงินให้กู้ยืมแก่สถาบันการเงินลดลง 15.01 ล้านบาท จาก
ภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ลดลง และจากการจ่ายเงินเพื่อคืนทุนบางส่วนให้แก่ผู้
ถือหุ้น
1.5.2 เงินปันผลรับลดลง 6.99 ล้านบาท
1.5.3 ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 5.49 ล้านบาท เนื่อง
จากบริษัทมีการปรับลดวงเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ทำให้ยอดเงินให้กู้ยืมเฉลี่ย
ลดลง
1.6 ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 12.83 ล้านบาท
1.7 โอนกลับค่าเผื่อการด้อยค่าเงินลงทุนลดลง 2 ล้านบาท เนื่องจากบริษัท
ได้รับชำระหนี้ตั๋วแลกเงินจาก บจก.อู่เชิดชัยอุตสาหกรรม ครบถ้วนแล้วในไตรมาส 2
ปี 2552
2. ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2552 จำนวน 235.49
ล้านบาท เพิ่มขึ้น102.03 ล้านบาท หรือร้อยละ 76.45 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียว
กันของปีก่อนที่ จำนวน 133.46 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก
2.1 ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย 20.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.14 ล้านบาท
หรือร้อยละ 233.75เมื่อเปรียบเทียบกับ งวดเดียวกันของปีก่อนที่ 6.05 ล้านบาท
เนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มขึ้นจากค่า
ธรรมเนียมของธุรกิจตราสารอนุพันธ์ที่ บริษัทเริ่มดำเนินธุรกิจเมื่อเดือนกันยายน 2551
2.2 หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 0.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.28 ล้านบาท หรือร้อย
ละ 112.67 เมื่อเปรียบเทียบกับ งวดเดียวกันของปีก่อนที่เป็นหนี้สูญและหนี้สงสัยจะ
สูญ (โอนกลับ) 4.69 ล้านบาท เนื่องจากในงวดเดียวกันของปีก่อนบริษัทได้รับ ชำระ
หนี้จากลูกหนี้ที่ได้ตั้งสำรองหนี้สูญไว้แล้ว
2.3 ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน 150.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.74 ล้านบาท
หรือร้อยละ 116.54 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 69.28 ล้านบาท
เนื่องจาก
2.3.1 เงินเดือนและผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 24.56 ล้านบาทเนื่องจากผู้
บริหารและพนักงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจมากขึ้นในครึ่งปีหลังของปี
2551 ได้แก่ สายงานตราสารทุน สายงานวาณิชธนกิจ สายตราสารอนุพันธ์
และสายสถาบัน ฯลฯ นอกจากนี้ในครึ่งปีหลังของปี 2552 บริษัทได้ขยาย
สำนักงานสาขาเพิ่มขึ้นอีก 10 กว่าสาขาจึงมีการรับผู้บริหารและพนักงานเพิ่มขึ้น
2.3.2 ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดและส่วนแบ่งกำไรจากการบริหาร
สาขา/ทีมค้าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 54.87 ล้านบาทเนื่องจากปริมาณการซื้อขายหลัก
ทรัพย์และปริมาณการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น
3. ความคืบหน้าในการติดตามหนี้ในตั๋วแลกเงิน
- ลูกหนี้ราย บริษัท บายพาสสแควร์ จำกัด และบริษัท วี มัลติ เจมส์
อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดหนี้คงเหลือ ณ 30 กันยายน 2552 จำนวน 99.50 ล้านบาท
และ 39.50 ล้านบาท ตามลำดับโดยบริษัทได้ยื่นฟ้องคดีแพ่งกับลูกหนี้และผู้ค้ำ
ประกันทุกรายแล้ว โดยศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ลูกหนี้ทั้ง 2 รายและผู้ค้ำประกัน
ทุกรายร่วมกันชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการ
พิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์
4. ความคืบหน้าในการติดตามหนี้ในลูกหนี้อื่น
4.1 ลูกหนี้ดำเนินคดีของบริษัทอยู่ในขบวนการพิจารณาของศาลและบาง
รายอยู่ในระหว่างยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หนี้คงเหลือ ณ
30 กันยายน 2552 จำนวน 165.73 ล้านบาท ลดลง 13.27 ล้านบาท จากหนี้คงเหลือ
ณ 31 ธันวาคม 2551 จำนวน 179 ล้านบาท บริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญครบ
ถ้วนเต็มจำนวนแล้ว
4.2 ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระกับบริษัท และลูกหนี้พ้นกำหนดชำระ
อยู่ในระหว่างการผ่อนชำระ และติดตามหนี้ของบริษัท หนี้คงเหลือ ณ 30 กันยายน
2552 จำนวน 274.79 ล้านบาทลดลง 8.99 ล้านบาท จากหนี้คงเหลือ ณ 31 ธันวาคม
2551จำนวน 283.78 ล้านบาทเนื่องจากได้มีการฟ้องร้องดำเนินคดีลูกหนี้บางราย
และลูกหนี้ที่คงค้างอยู่ระหว่างการติดตามหนี้โดยบริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ
ครบถ้วนเต็มจำนวนแล้ว
เรียบเรียง โดย ประสิทธิ์ กรโชคอนันต์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น
commentnews@efinancethai.com ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 17/11/09 เวลา 8:56:48