-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Peter Kurten ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ  (อ่าน 645 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Peter Kurten ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ
« เมื่อ: 30 กันยายน 2016, 14:56:54 »

Peter Kurten ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ

“ฉันต้องการเลือด เช่นเดียวกับคนที่ต้องการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”
ปีเตอร์ เคอร์เทน
 
แม้ว่าเรื่องราวของปีเตอร์ เคอร์เทนจะไม่ได้โด่งดังอะไรมากนัก แต่ในแง่ของความน่าสะพรึงกลัวแล้วเขาได้เป็นฆาตกรต่อเนื่อง
ที่สร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คนในเมืองดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมันใน ช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤศจิกายนปี 1929
เมื่อเหยื่อ 9 คน (อาจมากกว่า 60 คน และพยายามฆ่า 7 และข่มขืนนับไม่ถ้วน) ได้ถูกฆาตกรผู้นี้ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ถูกเชือดคอ
เลือดทะลักจนตาย บางครั้งถูกทำร้ายทางเพศ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เด็ก พร้อมส่งจดหมายอวดความสามารถของตน
อย่างภาคภูมิใจ


พูดง่ายๆ ฆาตกรรายนี้นรกส่งมาเกิดโดยเฉพาะ เป็นคนโหดเหี้ยมวิปริตแท้จริง ดั่งที่คำพูดตอนหนึ่งที่เขาพูดในชั้นศาลว่า

“ผมไม่ได้เลือดฆ่าคนเฉพาะคนที่ผมรักหรือเกลียดที่พบ
ขณะที่ผมเกิดความรู้สึกอยากฆ่า พูดง่ายๆ คือฆ่าทุกอย่างที่ผมพบ
ไม่ว่าจะเป็น เป็ด ไก่ ผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กก็ตาม”

 
 
ปีเตอร์ เคอร์เทน(Peter Kurten)


 
ปีเตอร์ เคอร์เทน เกิดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 1883 ที่ เมืองโคล์นมุลไฮม์ ประเทศเยอรมัน ในครอบครัวที่ยากจน
แต่มีพี่น้องถึง 13 คน แต่ที่อยู่อาศัยแออัด เช่นเดียวกับฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นๆ ที่ชีวิตวัยเด็กฆาตกรส่วนใหญ่
มักเป็นเด็กที่อยู่ในครอบครัวมีปัญหา พ่อแท้ๆ ของเคอร์เทนเป็นติดเหล้าและมักมากในกาม เวลาที่เกิดอารมณ์
จะบังคับให้ภรรยาเปลื้องผ้าและมีเพศสัมพันธ์ต่อหน้าเด็ก  อีกทั้งยังข่มขืนลูกสาวของตนเองจนถูกจับเข้าคุก 
โดยทิ้งเคอร์เทนที่ตอนนั้นจิตใจบิดเบี้ยวอยู่เบื้องหลัง


หลังจากที่พ่อถูกจับ เคอร์เทนก็ได้รับอิทธิพลจากเพื่อนบ้านที่ทำงานฝึกสุนัข เขาเริ่มเรียนรู้ฝึกสัตว์ นอกจากนี้
ยังมีนิสัยชอบทรมานสัตว์โดยเฉพาะสุนัขของเพื่อนบ้าน

เมื่ออายุ 9 ขวบ ปีเตอร์ได้ก่อคดีฆาตกรรมครั้งแรกเมื่อเขาผลักเพื่อนคู่หูของเขา ตกจากแพ ระหว่างร่องแม่น้ำไรน์
เด็กชายอีกคนโดดลงน้ำเพื่อช่วย เคอร์เทนจึงกดหัวเด็กคนนั้นลงไปใต้แพ จนสุดท้ายเด็กทั้งสองคนต่างก็จมน้ำตาย
แต่เคอร์เทนบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น ซึ่งผลปรากฏว่าพวกผู้ใหญ่เชื่อเขา กว่าที่จะรู้ว่าคดีนี้เป็นการจงใจฆ่า
ก็ต่อเมื่อเคอร์เทนสารภาพหลังจากถูกจับกุมเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ไปแล้ว

พออายุ 11 ปี เคอร์เทนและครอบครัวได้ย้ายมายังดุสซอดอร์ฟ และเมื่ออายุได้ 13 ปีกฌเริ่มชื่นชอบในการทรมานสัตว์
และมีความสัมพันธ์วิปริตกับสัตว์เช่น พวกสุนัข แกะ หมู แพะ ห่านตัวเมีย และหงส์  สิ่งที่ชอบทำกับสัตว์พวกนี้คือ
การฆ่าและตัดหัว พร้อมกับจ้วงแทงมีดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสัตว์นั้นขาดใจตายไป และสิ่งที่ได้จากการตัดหัวก็คือเลือด
ที่พุ่งทะลักไหลลงมา ซึ่งพฤติกรรมในช่วงนี้ยิ่งเป็นตัวเพิ่มพูนความเหี้ยมโหดถึงชีวิตในภายหลังของเขา

 
 
ดุสซอดอร์ฟปลายศตวรรษ 19


 
เมื่ออายุ 14 ปี เคอร์เทนหนีออกจากบ้าน เขาเดินไปตามถนนตามหมู่บ้ายหลายที มีชีวิตอยู่ด้วยการปล้นชาวบ้าน
เพื่อเงินเล่นน้อย และยังข่มขืนผู้หญิง หนึ่งปีต่อมาเขากลับบ้านและทำงานเป็นฝึกงานเป็นลูกมือช่างตีเหล็ก
แต่เขาก็หนีบ้านอีก จากนั้นก็ได้โสเภณีซึ่งได้เรียกรู้เรื่องเซ็กต์พิสดารและการใช้ความรุนแรง จากนั้นเขาก็ถูกจับ
ในข้อหาขโมย ต้องอยู่ในคุกจนถึงปี 1899


ในช่วงนี้เองเคอร์เทนได้สารภาพว่าเขาล่อลวงหญิงสาวคนหนึ่งเข้าไปในป่า โดยเสนอมีเซ็กซ์แลกกับเงิน เธอตอบตกลง
และเมื่อทั้งคู่กำลังจะถึงจุดสุดยอด เขาก็รัดคอเธอเพื่อหวังกระตุ้นจุดสุดยอดขึ้น จนเธอหมดสติและเสียชีวิต

ตั้งแต่ปี 1900 เขาถูกจับกุมหลายครั้งในข้อหาลักขโมย และพยายามฆ่า อีกทั้งยังต้องแยกขังเดียวเพราะจะทำร้ายคนอื่นเข้า
ในปี 1904 เขาได้เข้าร่วมกองทัพแต่ก็ไปไม่รอด หลังจากนั้นก็ก่อคดีวางเพลิงโรงนาที่เต็มไปด้วยสัตว์เลี้ยง กล่าวกันว่า
เขาจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการยืนดูไฟไหม้จากระยะไกล ได้ยินเสียสุกรและม้าร้องท่ามกลางเปลวไฟอย่างสิ้นหวัง
เขาชื่นชอบเสียงกรีดร้องของสัตว์และมนุษย์ที่เจ็บปวดสิ้นหวัง สิ่งเหล่านี้ได้หลอมรวมทำให้กลายเป็นคนชอบฟังเสียง
เหยื่อตายในเวลาต่อมา

ในปี 1905 เขาถูกตัดสินโทษจำคุก 7 ปีในข้อหาปล้นทรัพย์ ระหว่างที่อยู่ในคุก เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในคุกนี้
ไม่ว่าการสะเดาะกลอน การย่องเบา และเรียนรู้การทารุณเพื่อนนักโทษคนอื่น แต่นั้นมันทำให้เขามักจะจินตนาการ
ถึงอาชญากรรมต่างๆที่เขาจะสามารถก่อที่ค่อยๆฟักฟูมความโหดเหี้ยมในใจเขาให้เติบโตขึ้นมา

ในเดือนพฤษภาคม 1913 เคอร์เทนได้แอบเข้าไปในบาร์ที่บ้านเกิดของเขา พอดีเจ้าของไม่อยู่บ้าน ทิ้งแต่ลูกสาวคริสตริย ไคลน์
อายุ 13 ปีนอนหลับอยู่บนเตียง เคอร์เทนได้เห็นหนูน้อยกำลังหลับอยู่ก็ได้เอามีดปาดที่ลำคอ จากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกถึงความสุข
ที่เห็นเหยื่อกำลังทุกข์ทรมาน เขาเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างคอและดื่มเลือดที่ไหลอยู่และกัดมันอย่างรุนแรง จากนั้นก็มือสอดใส่เข้า
ช่องคลอดของเด็กและเลียของเหลวของเธอ จากนั้นก็ใช้เลือดเขียนชื่อย่อของเขาไว้ที่ผ้าเช็ดหน้าก่อนที่จะหลบหนีไป
หลังศพเด็กถูกค้นพบเลือดเต็มเตียง พ่อของเด็กถูกจับ เพราะมีตัวอักษรย่อของพ่อเด็กก็ใช้ชื่อว่า P.K. เช่นกัน
ทำให้คดีนี้จึงไม่ถูกโยงมาถึงตัวเคอร์เทน

 
นับวันเคอร์เทนบ้ามากขึ้น วันหนึ่งเขาใช้ขวานและมีดโจมตีคนที่เดินผ่านบนนถนนของเมือง ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายประมาณ 20 คน
และเขายังชื่นชอบเลือดไหลออกจากร่างกายของเหยื่อเคราะห์ร้าย จากนั้นเขาก็พยายามจะบีบคอหญิงสองคน จนถูกจับ
และถูกจำคุก 8 ปี ซึ่งขณะอยู่ในคุก สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็เกิดขึ้นพอดี ทำให้เขารอดพ้นจากการเกณฑ์ทหารไป


เคอร์เทนได้รับการปล่อยตัวในปี 1921 และย้ายไปเอเท็นเบิร์ก ที่นั้นเขาได้พบผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตโสเภณีที่พึ่งออกจากคุก
ซึ่งเขาชอบเธอมาก จนขอเธอแต่งงาน แต่ตอนแรกเธอปฏิเสธ เขาเลยขู่ว่าจะฆ่าเธอ เธอก็เลยยอมแต่งงานด้วยในปี 1923
สองปีหลังจากนั้น เคอร์เทนใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างปกติ จะมีก็เพียงคดีทำร้ายร่างกายสาวใช้ (ไม่มีการข่มขืน) ซึ่งยังนับว่าเล็กน้อยมาก
เมื่อเทียบกับอาชญากรรมที่เขาก่อทั้งหมด

ปี 1925 เคอร์เทนกลับมายังดุสเซอดอร์ฟอันกลายมาเป็นเวทีในชีวิตอาชญากรรมของเขาอีกครั้ง กล่าวกันว่าตอนที่เขามาถึง
ตอนเย็นนั้นเป็นวันที่พระอาทิตย์ตกสีแดงเหมือนเลือด มันเหมือนวันเวลาปรากฏตัวของแวมไพร์ ตอนกลางคืนเขาได้กลายเป็น
คนบ้าคลั่ง ทำร้ายและข่มขืนผู้หญิงบนถนน วางเพลิงโรงนา ฟาร์ม บ้านเรือน พยายามบีบคอผู้หญิง 5 รายจนได้รับบาดเจ็บ
และหมดสติ

และในปี 1929 "ผีดูดเลือดแห่งดุสเซอดอร์ฟ"ก็เปิดฉากขึ้น วันที่ 3 กุมภาพันธ์ หญิงสาวอ้วนผู้หนึ่งถูกเขาไล่แทงด้วยกรรไกร
จนบาดเจ็บ 24 แผล และทิ้งหวังให้เธอตายในท้องถนน แต่โชคดีเหยื่อรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์เธอให้การคนที่มาทำร้ายเธอว่า
“มันเหมือนแวมไพร์ไม่ไม่ผิด” และนั้นคดีแรกของฆาตกรที่ชื่อแวมไพร์แห่งดุสเซอดอร์ฟ

 
 
ความหวาดกลัวต่อผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ



13 กุมภาพันธ์ รูดอลฟ์ เชียร์ ช่างวัยกลางคน อายุ 45 ปี ถูกแทง 20 แผลที่ศีรษะและคอ จนเสียชีวิตและเคอร์เทนก็ได้ดื่มเลือด
ที่ไหลรินจากเขาด้วย


วันที่ 9 มีนาคม
ราเซอ โอลิก้า ถูกพบในอาคารร้างแห่งหนึ่ง สภาพศพเธอถูกข่มขืน โดนแทงถึงสิบสามครั้ง จนเลือดทะลัก
บนร่างกายแสดงถึงการเผาไหม้ด้วยราดน้ำมัน ศีรษะของเธอมีบาดแผลลึก จากการเปรียบเทียบสภาพศพทั้งสามแสดงให้เห็นว่า
เป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน

ในเดือนเมษายนตำรวจจับกุมชายคนหนึ่งที่ทำร้ายผู้หญิงในพื้นที่ แต่เมื่อตรวจสอบพบว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
ที่เกิดขึ้น ส่วนเคอร์เทนเองก็ได้เปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยหารหยุดก่อคดีฆาตกรรมจนถึงเดือนสิงหาคม ซึ่งเดือนสิงหาคมเขาฆ่าผู้หญิง
หลายคดี

ไล่ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมแทงและฆ่าพี่น้องสองคน คนหนึ่งอายุ 5 ขวบ และ 14 ปีอย่างโหดเหี้ยม
ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม แทงผู้หญิงคนหนึ่งตาย

เป็นที่น่าสังเกตว่าเคอร์เทนฆ่าเพื่อที่จะสนองอารมณ์ทางเพศของตัวเองก็จริง แต่เหยื่อของเขากลับมีวงกว้าง ไม่จำกัดเพศและอายุ
เห็นได้ว่าความซาดิสต์ของเคอร์เทนได้มาถึงจุดที่ไม่มีการแบ่งแยกเหยื่อแล้ว ซึ่งเพราะความหลากหลายของผู้ตกเป็นเหยื่อ
และ วิธีการฆ่านั้นทำให้ตำรวจสืบคดียาก ซึ่งมีจำนวนผู้ต้องสงสัยมากถึง 900,000 รายชื่อที่เชื่อว่าเป็นผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ

วันที่ 29 สิงหาคม มาเรีย ฮานส์ อายุ 20 ปีถูกแทงเสียชีวิต ศพของเธอถูกฝังริมฝั่งแม่น้ำไรน์ ต่อมาเคอร์เทนตั้งใจขุดขึ้นมา
กะว่าจะตรึงกับลำต้นของต้นไม้เพื่อประจาน แต่ศพหนักเกินไป เขาจึงฝังกลับลงไปเหมือนเดิม เล่าว่าเขาจูบริมฝีปากของคนตาย
ทั้งที่อยู่นาสภาพเลอะโคลนและเลือดแห้งด้วย

ในวันเดียวกัน เคอร์เทนก่อคดีหลายราย  3 ราย เริ่มจากหลุยส์ เลนเซ่น อายุ 13 ปี และเกลทรูเด้ ฮาไมเออร์ ถูกแทงเสียชีวิต
จากนั้นเคอร์เทนบุกเข้าทำร้าย เกลทรูเด้ ชูลเต้ เธอถูกแทงหลายแผล หากรอดชีวิตมาได้หวุดหวิด ซึ่งเธอได้ให้การเกี่ยวกับ
คนร้ายที่โจมตีเธอได้อย่างละเอียด

อย่างไรก็ตาม เคอร์เทนยังไม่หยุดการก่อคดี ในเดือนกันยายนเขาพยายามบีบคอฆ่าผู้หญิงสามคน แต่ทั้งหมดรอดชีวิตมาได้หวุดหวิด
แต่เหยื่อรายต่อมาไม่โชคดีอย่างนั้น วันที่ 29 กันยายน เอียด้า รอยเตอร์ อายุ 31 ปี ถูกทุบด้วยค้อนจนเสียชีวิต และเคอร์เทน
ได้ดื่มเลือดจากแผลดังกล่าว

วันที่ 12 ตุลาคม เอริซาเบท โดริเอล ถูกทุบด้วยค้อนจนเสียชีวิต แน่นอนเคอร์เทนยังไม่หยุดในการฆ่าเหยื่อ

วันที่ 7 พฤศจิกายน เด็กหญิงเกลทรูเด้ อัลเบลแมน อายุ 5 ปีได้หายตัวไป สองวันต่อมาร่างของเธอถูกพบ หลังจากที่
เคอร์เทนส่งจดหมายแจ้งที่ซ่อนศพแก่หนังสือพิมพ์ เธอถูกรัดคอและแทงกว่าสามสิบหกแผล พร้อมทั้งดื่มเลือด และ
ข่มขืนตามสูตร ในจดหมายยังมีการอธิบายสถานที่อย่างละเอียดละออและแนบกระทั่งแผนที่มาให้ จดหมายลงท้ายชื่อว่า

"อัจฉริยะ"

อย่างไรก็ตาม การก่อกรรมทำเข็นของเคอร์เทนก็มาถึงคราวสิ้นสุดลง  ในเดือน พฤษภาคม 1930  เขาได้ทักเด็กสาว
คนหนึ่งชื่อมาเรีย  โดยเสนอความช่วยเหลือจะหาที่พักให้ และเชิญเธอไปพักดื่มน้ำชา ที่ห้องพักของเขาซึ่งอยู่ใกล้ๆ
แมรี่ก็ตอบตกลงเพราะเห็นว่าเป็นชายที่น่าไว้ใจ

แต่ขณะที่พาเธอไปส่งโรงแรม เคอร์เทนก็ข่มขืนแมรี่ในป่าระหว่างทางนั่นเอง เขาตั้งใจจะใช้เชือกรัดคอเธอให้ตาย
ด้วยแต่ก็เกิดเปลี่ยนใจ และถามแมรี่ว่าเธอจำทางไปห้องพักของเขาได้หรือไม่ แมรี่ตอบว่าจำไม่ได้ เขาจึงพาเธอ
ไปส่งที่ป้ายรถไฟและหายตัวไป

ต่อมามาเรียได้พาตำรวจมาที่บ้านพักของเคอร์เทน แต่เขาหนีได้ทัน และหลายวันให้หลัง เคอร์เทนกลับมาบ้าน
(และบอกกับภรรยาว่าเขานี่แหละคือ"ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ" และบอกให้ภรรยาไปแจ้งความจับเขาเพื่อ
ที่เธอจะได้รับเงินค่าหัวของเขาเอง และสามารถใช้ชีวิตในภายหลังได้อย่างไม่อัตคัด และวันที่ 24 พฤษภาคม
เขาก็ถูกจับกุมตัวในที่สุด




ปีเตอร์ เคอร์เทนสารภาพความผิดถึง 79 คดี และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม 9 ราย แบะพยายามฆ่า 7 ราย การพิจารณาคดี
เริ่มขึ้นวันที่ 13 เมษายน 1931 และสิ้นสุดใน 8 วัน คณะลูกขุนใช้เวลาเพียงแค่เก้าสิบนาทีว่ามีความผิดจริง
และถูกตัดสินโทษประหารชีวิตด้วยกิโยติน


8 กรกฎาคม 1931 ปีเตอร์ คูร์เท่นถูกประหารชีวิตด้วยกิโยติน ซึ่งเขาได้กล่าวไว้ว่า
"ผมจะได้ยินเสียงเลือดของตนเองทะลักออกมาไหม ดีแล้ว
จะได้จบสิ้นความสุขทั้งหลายแหล่เสียที"


เรื่องของปีเตอร์ เคอร์เทนอาจจะไม่เป็นที่รู้จักกันดีเท่าใดนัก แต่ในนักจิตวิทยาแล้ว นักวิจัยจัดให้คดีที่เมืองดุสเซลดอร์ฟนี้
เป็นกรณีศึกษาของศตวรรษที่ 20 คู่กับคดีของแจ็คเดอะริปเปอร์เลยทีเดียว และเคอร์เทนนับว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องรายแรกๆ
ที่ถูกทำวิจัยคดีในแง่จิตวิทยา จนเกิดหนังสือ The Sadist ในปี  1945 หนังสือเล่มนี้ได้มีความสำคัญในการปรับปรุง
ทฤษฎีหลัก ๆ กับการศึกษาอาชญาวิทยา


นอกจากนี้เรื่องราวของเคอร์เทนยังถูกนำไปสร้างหนังเรื่อง M ของผู้กำกับ Fritz Lang  เจ้าพ่อหนังเยอรมัน
ซึ่งเป็นสุดยอดหนังหลอนเขย่าขวัญที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนังเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของ Fritz Lang
และเป็น 100 หนังเยี่ยมตลอดกาลของนิตยสาร Cahiers du cinema

 
อ้างอิง
http://escritoconsangre1.blogspot.com/2009/06/peter-kurten-vampiro-de-dusseldorf.html

credit :: cammy@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 กันยายน 2016, 16:19:39 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่