-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 8 ตำนานพื้นเมืองที่บอกว่าทรานซิลเวเนียมีมากกว่าแค่แดรกคูล่า  (อ่าน 659 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18211
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

8 ตำนานพื้นเมืองที่บอกว่าทรานซิลเวเนียมีมากกว่าแค่แดรกคูล่า




ถ้าพูดถึงทรานซิลเวเนียแล้ว ส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงแดรกคูล่ากันเนอะ เพราะที่นี่คือฉากตามท้องเรื่องของ Bram Stoker’s Dracula
ทำให้คนทั่วไปรู้จักชื่อทรานซิลเวเนียและประเทศโรมาเนีย แต่ชาวบ้านที่นี่บอกว่าจริงๆ แล้วที่ทรานซิลเวเนียมีตำนานน่ากลัวกว่าแดรกคูล่า
มากมายหลายเรื่องเลย

ตำนานนักเป่าขลุ่ยกับการลักพาตัวเด็ก



หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับตำนานนักเป่าขลุ่ยที่สามารถสะกดใจคนได้ เพราะฮอลลีวู้ดสร้างหนังที่มีตัวละครนี้มาแล้วหลายครั้ง
เนื้อเรื่องโดยย่อคือ ที่เมืองเฮมลินมีปัญหาหนูรบกวนชาวเมืองจนเกิดความเสียหายมากมาย จนวันหนึ่งมีนักเป่าขลุ่ยมารับจ้างไล่หนู
ซึ่งบทเพลงที่เขาเป่ามีพลังบางอย่างสะกดจิตพวกหนูให้ออกไปจากเมืองได้ ซึ่งหนูก็ออกไปเกือบหมด เหลือเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น
แต่เมื่อนักเป่าขลุ่ยไปขอรับค่าจ้าง ชาวเมืองกลับไม่ยอมจ่าย นักเป่าขลุ่ยโมโหจึงเปลี่ยนทำนองที่ใช้เล่น คราวนี้กลับเป็นการสะกดจิตเด็กๆ
ทั้งเมืองให้ออกเดินทางตามเขาไป แต่จะไปที่ไหนนั้นก็มีการเล่าที่หลากหลายค่ะ บ้างก็ว่าพาไปกระโดดน้ำตาย
บ้างก็ว่าพาไปกระโดดหน้าผา บางฉบับก็จบลงดื้อๆ ให้ผู้ฟังเดาต่อเอง

แต่มีเวอร์ชั่นหนึ่งที่บังเอิญตรงกับตำนานการตั้งถิ่นฐานของชาวทรานซิลเวเนียพอดี นั่นคือชาวทรานซิลเวเนียหลายตระกูลในปัจจุบัน
สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษที่อพยพมาจากเมืองเฮมลินในประเทศเยอรมนีพอดี แถมยังย้ายมาในช่วงเดียวกับที่เริ่มมีตำนานนี้ด้วย
พวกเขาเชื่อกันว่าเรื่องเล่านี้ต้องอิงมาจากประวัติศาสตร์ต้นตระกูล






ตำนานแห่งปราสาทฮันยาด


 
ปราสาทฮันยาดขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ในปราสาทที่หลอนที่สุดในยุโรป เพราะแม้ย่านนี้จะผ่านสงครามมาหลายครั้งจนปราสาทหลายหลังพังไป
แต่ที่นี่กลับแทบไม่มีแม้แต่รอยขีดช่วน และไม่ค่อยมีกองทัพไหนกล้าเข้าใกล้ด้วยซ้ำ ตำนานที่เกี่ยวข้องกับที่นี่มีมากมาย ทั้งตำนานที่ว่า
วลาดจอมเสียบ (ที่เชื่อกันว่าเป็นแดรกคูล่า) เคยถูกจองจำในคุกใต้ดินที่นี่ถึง 7 ปี จนพวกรายการล่าท้าผีจากหลายประเทศต่างไปเฝ้ารอ
ที่จะพบแดรกคูล่าที่นี่

ส่วนอีกตำนานหนึ่งที่คนทรานซิลเวเนียรู้จักกันดีคือเรื่องของนักโทษ 3 คน ตามตำนานเล่าว่าในสมัยที่เอียนคูเป็นเจ้าของปราสาทนี้
เขาได้สัญญากับนักโทษชาวตุรกี 3 คนว่าจะปล่อยพวกเขาเป็นอิสระหากพวกเขาสามารถขุดพื้นดินลงไปจนเจอน้ำได้ นักโทษทั้งสาม
ก็เพียรขุดเป็นเวลาถึง 28 ปีกว่าจะเจอน้ำใต้ชั้นหินได้ ทว่าตอนนั้นเอียนคูเสียชีวิตไปแล้ว และภรรยาของเขาก็ไม่สนใจทำตามสัญญา
ของสามี แต่กลับสั่งให้ตัดคอนักโทษทั้งสามแทน ด้วยความแค้นพวกเขาถึงเขียนชื่อของตนพร้อมข้อความว่า

"พวกแกมีน้ำแต่พวกแกไม่มีหัวใจ" ไว้ข้างบ่อน้ำ ทุกวันนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถเห็นข้อความนี้ได้อยู่จริง






ตำนานเด็กชายผู้ร่วงหล่น


 
โบสถ์แบล็คเชิร์ช (Black Church) เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในประเทศ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14
แต่เดิมมีชื่อว่าโบสถ์เซนต์แมรี่ จนกระทั่งถูกไฟไหม้ในปี 1689 จนโบสถ์กลายเป็นสีดำ ทำให้เปลี่ยนชื่อมาเป็นแบล็คเชิร์ช
แต่เรื่องที่เป็นปริศนาที่สุดของโบสถ์นี้ก็คือรูปปั้นเด็กผู้ชายที่อยู่บนยอดเสาด้านนอกของโบสถ์ รูปปั้นนี้มีลักษณะเป็น
เด็กผู้ชายที่กำลังเกาะยอดเสาอยู่ แต่ก็เสียวว่าจะต้องตกลงมาแน่

ตำนานเกี่ยวกับเด็กชายคนนี้มีมากมาย แต่เวอร์ชั่นที่ดังสุดๆ มีอยู่ 2 เวอร์ชั่น อันแรกคือเด็กชายคนนี้ตกลงมาจากยอดโบสถ์
หลังช่างก่อสร้างสั่งให้ขึ้นไปเช็คว่ากำแพงตรงหรือยัง ด้วยความเสียใจนายช่างจึงสร้างรูปปั้นนี้เพื่อระลึกถึงเด็กคนนั้น

ส่วนอีกเวอร์ชั่นที่ดราม่ากว่าคือเด็กคนนี้เป็นผู้ช่วยช่างที่มีฝีมือดีมากจนแม้แต่ครูฝึกเขายังหมั่นไส้ในความสามารถเลย
ครูฝึกจึงหลอกผลักเด็กคนนี้ให้ตกลงมาตาย แม้จะไม่มีใครรู้เรื่องแต่ว่ากันว่าครูทนอยู่กับความผิดไม่ไหว
จนวันนึงก็ออกมาบอกคนอื่นเอง ช่างก่อสร้างคนอื่นๆ จึงสร้างรูปปั้นนี้ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเด็กเก่งคนนี้






ตำนานสะพานแห่งการโกหก




สะพานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองซิบิวและขึ้นชื่อว่าเป็นสะพานที่สวยมาก แถมวิวที่มองจากสะพานก็สวยสุดๆ ในเมืองด้วย
ช่างภาพคนไหนถ้าได้มาเมืองนี้ต้องถ่ายรูปบริเวณสะพานนี้กลับไปด้วยทุกคน แต่สะพานนี้ก็มีตำนานที่น่าสนใจเช่นกัน
ชาวพื้นเมืองเชื่อกันว่าสะพานนี้สามารถจับโกหกได้ หากใครพูดเรื่องโกหกตอนยืนอยู่บนสะพานนี้

สะพานจะส่งเสียงลั่นออกมา

หรืออาจถึงขั้นมีหินร่วง ความรุนแรงจะเพิ่มตามระดับความร้ายแรงของการโกหกค่ะ ถ้าโกหกรุนแรงสุดๆ
สะพานก็พังลงไปเลยได้เช่นกัน

ส่วนที่มาของความเชื่อนี้มีเล่าไว้หลายฉบับ ฉบับมาตรฐานสุดก็คือสะพานนี้เคยใช้เป็นจุดโยนพ่อค้าที่โกงลูกค้า
จับได้เมื่อไหร่ก็จับโยนลงน้ำเลย (ดีเนอะ) ส่วนอีกเวอร์ชั่นที่ดราม่าขึ้นคือตำนานของคู่รัก ว่ากันว่าถ้าผู้หญิงคนไหนโกหก
เรื่องความบริสุทธิ์ของตนเอง เมื่อถูกจับได้หลังแต่งงานก็จะถูกโยนลงน้ำจากสะพานนี้

 
นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นเรียกน้ำตาอีกฉบับหนึ่งนั่นคือสะพานนี้เป็นที่ที่เหล่าทหารหนุ่มทั้งหลายมาสาบานความรักของตน
ต่อหญิงสาวผู้เป็นที่รักว่าจะกลับมา แต่เมื่อไปรบแล้วบ้างก็ตายจากไป บ้างก็ไปมีคนใหม่ ทำให้หญิงสาวที่ยังรออยู่ตายไป
ด้วยความผิดหวังที่ทหารหนุ่มผิดสัญญา จึงทำให้สะพานนี้มีพลังในการจับโกหก






ตำนานผีที่เกลียดทหารรัสเซีย



มีคฤหาสน์เก่าๆ พังๆ แห่งหนึ่งในเมือง ผู้คนทั่วไปต่างหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณนี้ แม้แต่ลูกหลานของตระกูลที่เคยเป็น
เจ้าของคฤหาสน์นี้ยังไม่กล้าเข้ามาอยู่แม้ต่างฝ่ายต่างต้องการโฉนดที่ดินผืนนี้ไปเป็นของตนก็ตาม นั่นเพราะคฤหาสน์เทเลกิ
แห่งนี้เป็นจุดกำเนิดตำนานหลอนที่เพิ่งเริ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง

ตำนานนี้เริ่มขึ้นจากข่าวลือของชาวบ้านที่ว่ามีผีอาศัยอยู่ในคฤหาสน์นี้ กองทัพแดงของรัสเซียที่บุกเข้ามาในเมือง
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ยินเรื่องนี้เข้าก็อยากลองท้าทายดู พวกเขาบุกเข้าไปพักในคฤหาสน์นี้และเจอห้องเก็บไวน์ในชั้นใต้ดิน
ทหารทุกคนดื่มไวน์จนเมามายและชักปืนขึ้นมากราดยิงใส่ถังไวน์จนไวน์ท่วมห้องทำให้ตายแทบทั้งหมด (เป็นการตายที่อนาถมาก)
แต่ชาวบ้านในยุคนั้นเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของผีที่เคยเห็นกันบ่อยๆ แน่นอน ผีคงโกรธที่ทหารรัสเซียเข้ามาวุ่นวายและทำลาย
ทรัพย์สินในบ้าน ปัจจุบันนี้ยังมีข่าวว่ามีคนเห็นผีในคฤหาสน์นี้อยู่เนืองๆ แต่ปกติแล้ววิญญาณที่เห็นในบ้านนี้ไม่เคยทำร้ายใคร
มีก็แต่ทหารรัสเซียกลุ่มนั้นนั่นแหละ





ตำนานทะเลสาบแห่งมารามูเรส



ในเมืองมารามูเลสมีทะเลสาบอยู่หลายแห่ง คนเฒ่าคนแก่ในเมืองเชื่อว่าน้ำในทะเลสาบเหล่านี้ มีชีวิตและต้องการชีวิตคน
ซึ่งแต่ละทะเลสาบก็มีตำนานของตัวเองแตกต่างกันไป

ทะเลสาบหนึ่งมีตำนานว่าเกิดจากน้ำท่วมฉับพลันที่ท่วมโบสถ์และบ้านหลายหลังจนมิดโดยไม่ทันตั้งตัว และชาวบ้าน
ที่รอดจากน้ำท่วมครั้งนั้นยังคงได้ยินเสียงระฆังของโบสถ์ที่จมน้ำทุกวันอีสเตอร์
 
อีกทะเลสาบหนึ่งว่ากันว่าเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของหญิงสาว โดยเชื่อว่าถ้าสาวแรกรุ่นลงอาบน้ำที่นี่แล้วจะได้
แต่งงานภายใน 1 ปี แต่ในที่สุดหญิงสาวคนหนึ่งก็โดนดึงลงใต้น้ำหายไปทั้งที่ผูกเชือกไว้กับฝั่งอย่างแน่นหนา ทำให้ต้องยกเลิก
พิธีกรรมนี้ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายทะเลสาบที่เล่าว่ามีคนเห็นชิ้นเนื้อและเลือดลอยอยู่บนผิวน้ำบ่อยๆ





ตำนานรักแสนเศร้า



ทุกชุมชนต้องมีเรื่องเล่าของความรักที่ไม่สมหวัง รักต้องห้าม หรือรักต่างชนชั้นเป็นของตัวเองทั้งนั้น ที่ทรานซิลเวเนียก็มีเช่นกัน
เป็นเรื่องของผู้หญิงที่สวยที่สุดในหมู่บ้านยุคนั้น มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาจีบเธอ แต่พ่อของเธอคิดว่าจะยกลูกสาวให้กับคนที่
รวยเท่ากันเท่านั้น ทว่าคนที่หญิงสาวหลงรักกลับเป็นคนรับใช้ที่ไม่มีอะไรเลย วันหนึ่งคนใช้ผู้นั้นก็ลาออกไปเพื่อสร้างฐานะให้ตัวเอง
ในที่อื่นและหวังว่าจะกลับมาขอคุณหนูแต่งงานหลังจากที่รวยแล้ว

แต่ไม่นานหลังจากนั้นพ่อก็บังคับให้ลูกสาวแต่งงานกับคนที่พ่อเลือกให้ หญิงสาวเสียใจมากจนเสียชีวิตบนแท่นทำพิธีในโบสถ์
และช่อดอกไม้ของเธอก็กลายเป็นไม้กางเขนหิน ชาวเมืองเชื่อว่าไม้กางเขนหินที่เห็นในปัจจุบันของโบสถ์นี้คือไม้กางเขน
อันที่ว่านั่นแหละ เรื่องนี้เป็นตำนานรักชื่อดังของเมืองที่ถูกนำมาทำเป็นบทละครและกลอนมากมาย






ตำนาน 9 วันที่หนาวเหน็บ

ช่วงวันที่ 1 - 9 มีนาคมของทุกปีที่โรมาเนียจะมีสภาพอากาศที่เลวร้ายเป็นพิเศษ โดยมักเกิดพายุหิมะและอากาศหนาวผิดปกติ
ในช่วงนี้ทั้งที่กำลังจะเข้าฤดูใบไม้ผลิอยู่แล้ว มีธรรมเนียมที่ว่าผู้หญิงในโรมาเนียต้องเลือกวันที่จาก 1-9 มีนาคมไว้ล่วงหน้า
ถ้าวันที่ที่เลือกนั้นมาถึงและมีอากาศดีทั้งวัน แปลว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีอนาคตที่ดี มีบั้นปลายที่มีความสุข แต่ถ้าวันที่เลือกไว้
กลายเป็นวันที่อากาศแย่ แปลว่าช่วงบั้นปลายชีวิตเธอจะต้องเจอกับความขมขื่น

ส่วนต้นกำเนิดความเชื่อนี้มาจากตำนานของ บาบา โดเชีย



บาบา โดเชีย อาศัยอยู่กับลูกชายชื่อ ดราโกบีต เธอหวงลูกชายของเธอมาก แต่อยู่ๆ ลูกชายของเธอก็แอบไปแต่งงานกับสาวคนรัก
โดยไม่บอกเธอ เธอโกรธมากและรังแกลูกสะใภ้สารพัด วันหนึ่งเธอสั่งให้ลูกสะใภ้เอาขนแกะดำไปซักที่แม่น้ำและห้ามกลับมา
จนกว่าขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาว แม้ลูกสะใภ้จะซักจนมือโดนน้ำเย็นกัดเป็นแผลแล้วขนก็ยังไม่เปลี่ยนสี เธอร้องไห้เสียใจว่าคง
ไม่ได้กลับไปเจอหน้าดราโกบีตอีกแล้ว ทันในนั้นพระเจ้าก็มองลงมาเห็นและสงสารเธอ จึงปลอมตัวมาเป็นคนธรรมดาและมอบ
ดอกไม้สีแดงให้เธอดอกหนึ่ง เมื่อลูกสะใภ้ซักขนแกะกับดอกไม้นี้มันก็กลายเป็นขนสีขาว เธอจึงรีบกลับบ้านไปอย่างมีความสุข

เมื่อบาบาได้ฟังเรื่องของลูกสะใภ้ก็คิดว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงแล้วเพราะผู้ชายคนนั้นมีดอกไม้ เธอจึงออกจากบ้านไปขึ้นเขา
โดยใส่เสื้อโค้ท 9 ชั้น อากาศบนภูเขาค่อยๆ อุ่นขึ้นในแต่ละวันเธอจึงถอดเสื้อโค้ททิ้งทีละตัว แต่เมื่อครบทั้ง 9 ตัวแล้ว
อากาศก็กลับมาเย็นจัดในทันที และบาบาก็หนาวตายอยู่บนภูเขา วิญญาณของเธอโกรธแค้นมากจึงออกมาหลอกหลอน
ผู้คนในช่วงวันที่ 1-9 มีนาคมโดยทำให้อากาศแปรปรวนนั่นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ตุลาคม 2016, 15:34:17 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่