-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Yoo Young-chul ฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลี  (อ่าน 891 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18230
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

Yoo Young-chul ฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลี
credit :: cammy@dek-d.com

The Chaser (2008) เป็นหนังเกาหลีแนวสืบสวนสอบสวนกำกับโดย "นา ฮอง จิน" ผู้กำกับโนเนม ไม่ดัง
นำแสดงโดย "คิม ยุน ซอค" และ "ฮา จอง วู" (Time)แม้เป็นหนังทุนต่ำแต่กระนั้นตัวหนังก็ประสบความสำเร็จ
เป็นอย่างสูงทั้งรายได้และการวิจารณ์ (ดาราไร้แม่เหล็ก) แถมทุนสร้างต่ำ แต่เมื่อลงโรงฉายเพียง 20 วัน
กลับกวาดรายได้ไปกว่า 700 ล้านบาท


เนื้อหาของเรื่องกล่าวถึงจุงโฮ อาชีพเป็นแมงดา แต่เป็นอดีตตำรวจที่โดนไล่ออกเพราะรับสินบน มีหน้าที่จัดส่งเด็ก
ในสังกัดให้ลูกค้า จนกระทั่งคืนหนึ่ง จุงโฮได้รับโทรศัพท์เพื่อส่งเด็กไปหาเจ้าของปลายสาย ซึ่งเขาสังเกตว่าเจ้าของ
เบอร์ดังกล่าวเป็นคนเดียวกับที่เด็กเก่าๆของ จุงโฮ ที่หายไปแล้วสองคนหายไปกับแขกเจ้าของเบอร์นี้

ตอนแรกจุงโฮ คิดว่าเจ้าของเบอร์ดังกล่าวเป็นแมงดาอีกตัวที่เอาเด็กของเขาไปขายต่อ เลยวางแผนโสเภณีที่จะไปว่า
ให้ส่งSMSบอกตำแหน่งที่อยู่ แล้วเขาจะตามไปกระทืบ รีดข้อมูล แต่แล้วแผนของ จุงโฮ ไม่สำเร็จ เมื่อโสเภณีที่เขา
ไหว้วานไปไม่ส่งsmsและจากนั้นเธอก็หายตายไปอย่างไร้ร่องรอย และนั้นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้จุงโฮได้เผชิญหน้า
กับฆาตกรต่อเนื่องที่สุดเลวร้ายในเวลาต่อมา

ภาพยนตร์The Chaser (2008) เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากฆาตกรต่อเนื่องชื่อยู ยัง ชอลที่ออกอาละวาดใน
MangwonในMapo-guโซล ประเทศเกาหลี ซึ่งเรื่องราวของเขานั้นเหี้ยมโหด น่ากลัว ยิ่งกว่าภาพยนตร์มาก
ถึงขนาดนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีถึงกับนิยามฆาตกรยู ยัง ซอลว่า

“นี่เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลี”
   
   
ยู ยัง ชอล (Yoo Young-chul )



ยู ยัง ชอล เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวเกาหลีใต้ซึ่งยอมรับด้วยตัวเองว่าเป็น“มนุษย์กินคน”เขายอมรับว่าเขาทำการฆาตกรรมเหยื่อ
ไป 21 ราย โดยเหยื่อส่วนมากเป็นผู้หญิงขายบริการและชายวัยกลางคนที่มั่งคั่ง โดยมีกรุงโซลเป็นเวทีสังหารทั้ง 20 ราย
(มีรายเดียวที่ไม่ได้อยู่กรุงโซล) โดยเหยื่อถูกเผา 3 ราย อีก 11 รายถูกทำให้พิการ และบางรายเขาควักตับเหยื่อเพื่อเอาไปกิน
ในบ้านของเขา


ยู ยัง ชอล ได้กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงระหว่าง 2003 และ 2004 เขาไม่ได้
ปล้นฆ่าข่มขืนและทรมานอย่างเดียว เขาฆ่าเพื่อแก้แค้น ที่เกิดมายากจน การฆ่าของเขาเริ่มเบี่ยงไปฆ่าโสเภณีในเวลาต่อมา

ยู ยัง ชอลเกิดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 1970 ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน (และรายได้ต่ำ) ในหมู่บ้าน Waha ภายในเขตโกชางซอก
เกาหลีใต้ พ่อแม่ไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเพราะว่ายากจน ทำให้เวลาต่อมาพ่อแม่ของเขาก็ส่งเขาไปให้ยายเลี้ยง ซึ่งต่อมาเขาอ้างว่า
ยายเคยบอกเขาว่าแม่เคยมีความคิดที่จะฆ่าเขาเพื่อลดค่าเลี้ยงดู จนกระทั่งเมื่อยูอายุได้ 6 ขวบเขาไปอยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงเขา
ร่วมกับพี่น้องของเขา (พี่ชายสองคนและน้องสาวของเขา) ในกรุงโซล


พ่อของเขาพึ่งกลับจากการเป็นทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนาม (ทำภารกิจเสร็จสิ้นในปี 1975) และได้เงินทุนส่วนหนึ่งซึ่งเขา
นำทุนมาทำธุรกิจพาณิชย์แต่ไปได้ไม่สวยนัก เงินอีกส่วนนำไปลงทุนทำเป็นเจ้าของร้านหนังสือการ์ตูน ที่รายได้ค่อนข้างน้อย
ไม่พอใช้จ่ายสำหรับครอบครัวใหญ่

ย่านที่ยูอาศัยอยู่นั้นเป็นย่านยากจนไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าและน้ำประปา ทำให้ต้องกินน้ำจากสาธารณะ อีกทั้งแม่เลี้ยงของยูนั้น
เป็นคนโหดร้าย ทารุณ ยิ่งเครียดจากความยากจน ยิ่งทำให้แม่เลี้ยงต้องระบายอารมณ์กับเขาและพี่น้องของเขาด้วยการทุบตี
และงานบ้านทั้งหมดเขาต้องรับผิดชอบทั้งหมด

และด้วยเหตุนี้เองทำให้ยูต้องหนีออกจากบ้าน ไปอาศัยอยู่ที่บ้านแม่ ซึ่งบ้านแม่ของเขายูได้ถูกส่งไปโรงเรียนประถม ซึ่งเขาเป็น
เด็กธรรมดาทั่วไป ที่มีนิสัยสุขภาพเรียบร้อย มีความรับผิดชอบงานบ้าน

หากแต่ เพราะความยากจน ทำให้ยูมีปมด้อยในห้องเรียน วันหนึ่งเขาเอาข้าวที่ประกอบด้วยข้าวและถั่วเป็นอาหารกลางวันไปโรงเรียน
และเมื่อพวกเด็กในห้องเห็นอาหารกลางวันของเขาก็ล้อเลียนเย้ยยันว่าเหมือนอุจจาระ

ยูเครียดแค้นความยากจนมาโดยตลอด เขาฝันอยากที่จะอยู่ในบ้านหลังใหญ่ ร่ำรวย เขาไม่อยากอยู่กับความยากจนไปตลอดชีวิต
แต่ในขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งของเขาก็เกลียดพวกคนรวย ทางด้านพ่อของยู หลังจากที่ยูหนีออกจากบ้านมาหาแม่ แม่เลี้ยง
ก็หนีออกจากบ้านบ้าง เป็นเหตุทำให้พ่อของยูขาดที่พึ่งทางใจ จมดิ่งกับโรคพิษสุราเรื้อรัง และไม่นานก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
หลังการตายของพ่อของเขา ยูเริ่มมีความคิดที่จะหนีจากปมด้อยของความยากจน ด้วยการมุ่งมั่นตั้งใจเรียน จนเขากลายเป็น
หนึ่งในนักศึกษาที่ดีที่สุดในชั้นเรียน
   
ในปี 1984 ยูได้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยม และมีความสนใจเรื่องศิลปะ เขาชอบอ่านบทกวี แม้จะเป็นโรคตาบอดสี
(ตาบอดสีเป็นข้อบกพร้องทางพันธุกรรม ทำให้มองเห็นสีสันแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป) มีความรักในการวาดภาพ
และวาดภาพมังงะ (ในเวลาต่อมา มีการพบภาพวาดมังงะในอพาร์ตเมนต์ของเขา และมีอุปกรณ์สำหรับการวาดมังงะครบถ้วน)
อีกทั้งยังรักการร้องเพลง เคยร่วมร้องเพลงโบสถ์คริสตจักร และตั้งวงดนตรีกับเพื่อนๆ


ราวกับเป็นชีวิตใหม่ของยู แต่เขายังไม่สามารถหนีความยากจน เพราะการกินอาหารไม่ดี ทำให้ขาดสารอาหาร เป็นเหตุทำให้
สภาพร่างกายอ่อนแอ และมักหมดสติในชั่วโมงพละ ในที่สุดยูก็ได้พบว่าเขาไม่เหมาะกับการเรียน แม้พยายามจะประยุกต์ใช้ความ
เชี่ยวชาญในศิลปะเพื่อไปต่อ แต่ก็ไม่รอดและต้องลาออก

ต่อมาเขาได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเทคนิคในปี 1987 ที่นั่นเขาก็เริ่มเป็นคนชอบเล็กขโมยน้อย ในปี 1988 เขาขโมยกีตาร์และเครื่องบันทึก
ของโซนี่จากบ้านเพื่อนที่รวยกว่า เขายอมรับว่าเขาขโมยเพราะชอบดนตรี และอยากจะได้มันเพื่อจะได้เล่น แต่นั้นไม่ใช้เหตุผล
ที่เขาจะรอดตัว ด้วยความผิดดังกล่าวเขาถูกจับตัว ส่งไปยังศูนย์กักกันเยาวชน โดยที่เรียนโรงเรียนเทคนิคไม่จบ

ต่อมาในวันคริสต์มาสของปี 1991 ยูได้พบกับนางฮวงหมอนวด ทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันแล้วจบลงด้วยการแต่งงาน
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 1993 การอยู่กินระหว่างเขากับภรรยาช่วงแรกมีความสุขดี จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นเมื่อเจ้าของบ้านเช่า
มาทวงเงินแต่เขาไม่มีจ่าย เป็นเหตุทำให้เขาต้องแอบขโมยกล้องและของมีค่าอื่นๆ มูลค่า 500 ดอลลาร์จากที่ทำงานของเขา
แต่ไม่นานเขาก็ถูกจับได้โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถูกลงโทษขังคุกถึง 8 เดือน

ระหว่างที่ยูอยู่ในคุก แม่ของเขาได้มาเยี่ยมเป็นประจำ และยูได้บอกกับแม่ว่าหากเขาออกจากคุกจะเลิกเป็นโจร มาดูแลภรรยา
และลูกชายที่กำลังจะเกิดในอนาคต (ลูกของเขาเกิดเมื่อ 26 ตุลาคม 1994) เมื่อออกจากคุกยูก็ได้เข้ารับการรักษาทางจิตเวช
ในโรงพยาบาลแห่งชาติ ระหว่างนั้นเองสัญญาความวิกลจริตทางจิตใจของยูก็ได้ก่อตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเป็นโรคลมชัก
ซึมเศร้า คลุ้มคลั่ง การกระตุ้นเชิงลบจากสภาพแวดล้อมทำให้เขามีความคิดที่จะฆ่าตัวตายในปี 1994 และเริ่มเป็นคนติดสุรา

ในปี 1995 ยูได้รับการรักษาโรคทางจิตเวช แต่ในปีนั้นเขาก็ถูกจับและปรับในข้อหาขายสื่อลามกผิดกฎหมาย และอีกครั้งหนึ่ง
ในปี 1998 ยูก็ติดอยู่ในเส้นทางอาชญากรรมอีกครั้ง เมื่อเขาปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปลอมเอกสาร และโจรกรรม
คราวนี้เขาต้องติดคุก 2 ปี



             
ต่อมายูได้ออกจากคุก แต่เขาก็ยังไม่หายต่อความกระหายการก่ออาชญากร เพียงแต่คราวนี้รุนแรงขึ้นในปี 2000 เขาล่วงละเมิด
ทางเพศเด็ก (ข่มขืน) ครั้งนี้เขาจำคุก 3 ปี 6 เดือน ด้วยปัญหามากมายทำให้นางฮวงไม่อาจทนกับสามีของเธอได้ ดังนั้น
ทั้งสองจึงหย่ากัน

ก่อนหน้าที่อยู่ในคุก จิตใจของยูเวลานั้นย่ำแย่ขณะหนัก ครอบครัวก็ห่างเหิน เขาไม่ได้พบลูกชาย และนั้นเองทำให้เขาเริ่มสนใจ
หนังสือชีวิตฆาตกรต่อเนื่อง Jeong Du-Young เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อเหตุฆ่าคนรวยในหมู่บ้านเก้าราย ในเคียงซังนัมโด 
ปูซาน ระหว่างปี 1990 ถึงเมษายน 2000


บางทียูอาจซ้อนภาพของฆาตกรรายนั้นว่าเหมือนตัวเอง ทำให้เขารู้สึกขนลุกและประทับใจฆาตกรรายนั้นมาก เนื่องจากประวัติชีวิต
เหมือนเขา เกลียดคนรวยเหมือนกัน เพียงแต่เขายังไม่ได้ฆ่าใครเท่านั้น เขาได้นำเรื่องของฆาตกรต่อเนื่องหลอมรวมกับความคิด
ความรู้สึก และชีวิตที่ผ่านมา เขามองว่าสาเหตุที่เกาหลีไม่มีความความเท่าเทียมกันในสังคม ช่องว่างไม่เท่ากัน คนยากจนมีอยู่จำนวนมาก
เขาต้องเติบโตกับความทุกข์ยากเหล่านี้ เพราะคนรวยเอารัดเอาเปรียบคนจน ภายใต้ทัศนคติอันนี้เขาเห็นพวกคนรวยเหมือนปลิง
ไม่ก็สิ่งมีชีวิตสกปรกยิ่งกว่าหมา และสมควรตายเหมือนหมาข้างถนน

ความเกลียดชังของยูปะทุขึ้น หลังถูกปล่อยตัวออกจากคุก  ในเดือนกันยายน 2003 ยูได้วางแผนอาชญากรรมครั้งใหม่ของเขา 
เขาซื้ออาวุธและเริ่มทดสอบการก่ออาชญากรรมด้วยการฆ่าสุนัขจรจัด เพื่อทดสอบว่าเขาฆ่าเหยื่อสมบูรณ์แบบเพียงใด
เขาเริ่มใช้ค้อนตีศีรษะสุนัขครั้งแล้วครั้งเรา กี่ครั้งจะตาย ใช้แรงขนาดไหนว่าจะตาย เมื่อทดสอบเป็นที่น่าพอใจ
เขาก็เริ่มก่อคดีฆาตกรรมเหยื่อรายแรกของจริง
   
   

   
ในตอนเช้าของวันที่ 24 กันยายน 2003 เป็นช่วงเหล่าหนุ่มสาวไปทำงานตั้งแต่เช้า โดยทิ้งผู้สูงอายุอยู่กับบ้านคนเดียว ซึ่งเวลานี้
เหมาะสำหรับยูในการหาเหยื่อรายแรกเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงออกจากที่พักไปขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อมุ่งไปยังเขตที่ร่ำรวยที่สุดของกรุงโซล


สถานที่ยูไปนั้นคืออับกูจอง-ดงที่ปัจจุบันเป็นแหล่งช้อปปิ้งสุดไฮโซเขาเกาหลี เป้าหมายของยูคือการสำรวจไปรอบๆ เพื่อหาบ้าน
ของคนรวยที่ตนจะบุกเข้าไปฆ่าคนในบ้าน มันไม่ยากเลยที่จะหาบ้านเป้าหมาย เนื่องจากรั่วบ้านของเกาหลีส่วนใหญ่จะเป็นกำแพง
ล้อมรอบที่ไม่สูงมากนัก (เท่ากับความสูงเฉลี่ยผู้ชายหรืออาจสูงกว่าเล็กน้อย) ส่วนใหญ่เป็นรั้วของบ้านสองชั้น มีลานกว้างพอ
ที่จะทำเป็นสนามหญ้า บอนไซ กับปรับภูมิทัศน์ต่างๆ

และแล้วยูก็พบบ้านที่ถูกใจ บ้านหลังหลังนั้นเป็นของผู้สูงอายุสองคน ศาสตราจารย์ลีอายุ 72 ปี และภรรยาของเขาอายุ 68 ปี
ซึ่งเวลานั้นทั้งสองอยู่ในบ้านหลังนั้น ยูเผ้ามองบ้านหลังนั้นเป็นเวลาหลายนาที เพื่อให้แน่ใจว่ามันทางหนีทีไล่และโอกาสเหมาะๆ
แก่การบุกรุก เมื่อเห็นว่าโอกาสมาถึงเขาก็สวมถุงมือเพื่อป้องการทิ้งลอยนิ้วมือในที่เกิดเหตุ และมีดยาวประมาณหกนิ้ว
จากนั้นก็ปีนกำแพง


คนในบ้านไม่รับรู้เลยว่าตอนนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาบ้านของพวกเขา เมื่อปีนกำแพงเสร็จ ยูก็โดดลงในสวน และเปิดประตู
อย่างระมัดระวัง สำรวจบ้านแบบคร่าวๆ ก็พบว่ามีคู่สามีภรรยาอยู่ในห้องนอน ไม่มีใครอยู่ด้านบน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ด้านบน
ยูก็เข้าห้องนอนของผุ้สูงอายุ จากนั้นก็แทงคอของศาสตราจารย์ลี ด้วยมีดและทุบศีรษะของเหยื่อด้วยค้อนหนักกว่า 4กิโล
และฆ่าเหยื่อรายที่สองซึ่งเป็นภรรยาของเขาที่กำลังกรีดร้องอย่างหวาดกลัวด้วยค้อนจนกะโหลกแตกละเอียดตายสยอง

ยูยังคงใจเย็น เขาดูวีรกรรมฉากนองเลือดนี้เพื่อแน่ใจว่าผู้ตกเป็นเหยื่อของเขาตายสนิท จากนั้นก็ล็อกประตูห้องนอน เอาผ้าขนหนู
เช็ดเลือดออกจากกางเกง ก่อนออกจากที่เกิดเหตุ แล้วทำความสะอาดล้างตัวและอาวุธในห้องน้ำของสถานีรถไฟใต้ดิน และนี่คือ
การเปิดตัวของฆาตกรต่อเนื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้

แน่นอนการก่อคดีฆาตกรรมครั้งแรกของยู มันไม่เพียงพอแน่นอน ไม่นานสัญญาณฆาตกรเขาก็กลับมาอีกครั้ง วันที่ 9 ตุลาคม 2003 
คราวนี้เขาได้ไปที่ จองโน กรุงโซล  เขามองหาบ้านที่เหมาะสมกับการฆ่า จนกระทั่งเห็นบ้านหลังหนึ่งที่เหมะแก่การบุกรุก


ยูปีนกำแพงอย่างชำนาญ เข้าไปในบ้านอย่างเงียบๆ จนได้พบคุณยายคังอายุ 85 ปี เขาฆ่าเธอด้วยค้อนจนกะโหลกแตกละเอียด
จากนั้นก็ไปฆ่านางลี (แม่บ้าน) อายุ 60 ปีด้วยค้อนอีกคน ต่อมายูก็รู้ว่าบ้านหลังนี้ยังมีอีกคน เป็นลูกชายของนางลี อายุ 35 ปี
อยู่ข้างบน เขาก็บุกขึ้นไป และเมื่อเห็นลูกชายของนางลี เขาก็บังคับให้คุกเข่าและทุบหัวด้วยค้อน ความจริงยูตั้งใจจะฆ่าสามีนางยูด้วย
หากแต่เมื่อสำรวจบ้านก็ไม่พบเหยื่อ จึงได้แต่เพียงจัดสภาพเหมือนโจรขึ้นบ้านและเช็ดร่องรอย ก่อนที่จะออกจากบ้าน

เพียงเวลาไม่กี่สัปดาห์ วันที่ 16 กันยายน 2003 ยูกลับไปยังย่านอับกูจอง-ดงอีกครั้ง และเหมือนครั้งก่อนเขาก็มองหาบ้าน
ที่เหมาะแก่การบุกรุกเหมือนเดิม จนกระทั่งไปสะดุดบ้านที่ดูหรูหราน่าปลอดภัยหลังหนึ่ง ที่สวนของบ้าน ยูได้เห็นใครบางคนเดินเข้ามา
เป็นหญิงชราอายุ 60 ซึ่งเป็นภรรยาเจ้าของบ้าน และเมื่อเห็นโอกาสยูได้เข้าไปขู่เธอด้วยมีดถามว่าเป็นใครในบ้าน แต่หญิงชรา
ไม่พูดอะไร เขาจึงลากเธอเข้าห้องน้ำในบ้านและใช้ค้อนทุบหัวเธอ... ก่อนที่จะชัดการเช็ดรอยนิ้วมือ และเลือดออก
ก่อนออกจากสถานที่ฆาตกรรมเหมือนครั้งก่อน
 

   
ความเลวร้ายของยูยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2003 เวลาใกล้เที่ยงยูไปที่จองโน กรุงโซล  เขายังคงทำเหมือนครั้งก่อนๆ
เพียงแต่คราวนี้เขามีวางแผนจะปล้นด้วย และที่มันบ้าๆ มากที่สุดคือ บริเวณบ้านที่เขาหมายตามีสถานีตำรวจเล็กๆ อยู่ใกล้บริเวณนั้น

เมื่อทางสะดวก เขาก็เข้ามาในตัวบ้าน เขาพบแม่บ้านนางเบ อายุ  53 ปี เธอถามเขาว่าเป็นใคร แต่ยูตอบกลับเธอด้วนการข่มขู่ด้วยมีด
และบังคับให้เข้าไปอยู่ในห้องนอน ในห้องนอนนั้นก็มีนายคิมอายุ 87 ปีนอน และเด็กทารกอยู่ใกล้ๆด้วย จากนั้นเขาก็สั่งให้สามคนมารวมกัน
เขาฆ่านายคิมด้วยการทุบกะโหลก หลังจากนั้นเขาก็คว้าทารกจากอ้อมแขนของแม่บ้าน และฆ่าแม่บ้านด้วยค้อน

ส่วนทารกนั้นเขาไม่ฆ่า เพราะเขามุ่งมั่นการฆ่าผู้สูงอายุเพื่อระบายความโกรธแค้นของเขาเท่านั้น ส่วนคนไม่เกี่ยวข้องเขาเลือกที่จะไม่สนใจ
หลังจากออกจากผู้สูงอายุทั้งสอง ยูก็พยายามขโมยของมีค่าในบ้าน หากแต่ เขาได้รับบาดเจ็บหลังจากพยายามเปิดเซฟ ทำให้เขากลัวว่า
เลือดที่หยดลงพื้นจะเป็นหลักฐานดีเอ็นเอเชื่อมโยงมาถึงเขามาภายหลัง และนั้นเองเขาจึงเผาบ้านเพื่อทำลายหลักฐาน และนั้นเองทำให้
บ้านถูกเผาทั้งๆ ที่มีเด็กอยู่ข้างในด้วย เป็นอันว่าเด็กทารกก็ตายจากการกระทำของยูไปอีกคน

ระหว่างทางกลับออกไป ยูไม่รู้ตัวเลยว่ามีกล้องวรจรปิดจับภาพเขาไว้แต่ แต่โชคดีของเขาที่ถ่ายภาพแค่ด้านหลังของเขา ไม่ได้เห็นเต็มหน้า

 
 


ID ปลอมของตำรวจ


 
หลังจากที่ยูเน้นฆ่าผู้สูงอายุเพื่อเป็นการแก้แค้น เขาก็ตัดสินใจปลอม ID ปลอมของตำรวจ เพื่อรีดไดเงินจากแมงดาและโสเภณี
ที่ค้าประเวณีผิดกฎหมาย ซึ่งมันเป็นทำเงินให้แก่เขาได้เป็นอย่างดี จนสามารถเอาเงินไปเช่าอพาร์ทเม้นต์เดือนละ 450 ดอลลาร์
ได้อย่างสบาย


หลังจากในยูก็เริ่มหมกมุ่นในกาม ในตอนที่จับกุมเขา ตำรวจพบคอมพิวเตอร์ที่ข้างในเต็มไปด้วยภาพและภาพยนตร์ลามกอนาจาร
ใต้เดียงก็เต็มไปด้วยหนังสือโป๊และภาพที่ตัดแปะจากนิตยสาร และนั้นทำให้ยูกลายเป็นนักซื้อบริการทางเพศตัวยง

ยูได้เจอสาวนักเที่ยว (โสเภณี) คนหนึ่งชื่อเขาใช้บริการทางเพศกับเธอ ถึงขั้นถูกใจจนถึงขั้นขอแต่งงาน แต่เธอปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว   
เป็นเหตุทำให้เขาโกรธแค้นมาก และนั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นของเป้าหมายใหม่ของยู เขาเกลียดชังโสเภณี เกลียดยิ่งกว่าคนรวย
พวกเด็กสาวที่ค้าบริการทางเพศนั้นเป็นสิ่งน่ารังเกียจ พวกโสเภณีเหล่านี้มีแต่พวกเด็กนักเรียนที่อยากได้เงินซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่
หรือไม่ก็แม่บ้านที่อยากได้เงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนบุตรหรือบัตรเครดิต มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สมควรกำจัดออก


ตอนแรกเขามีความคิดอยากจะฆ่าอดีตภรรยาของเขารวมกับเหยื่อไปด้วย หากแต่ติดตรงที่หากฆ่าอดีตภรรยาก็จะไม่มีใครเลี้ยงดูลูก
และจะทำให้ลูกเป็นทุกข์ ดังนั้นเขาจึงไม่ทำ ก่อนที่เขาจะก่อคดีฆ่าพวกโสเภณีนั้น ไม่นานหลังจากที่เขาผิดหวังความรัก
ในเดือนมกราคม 2004 เขาถูกจับในข้อหาลักเล็กขโมยน้อยในห้องซาวน่า แต่ตำรวจละเลยไม่ติดใจในการตรวจสอบภูมิหลังของเขา
ความผิดจบลงแค่ตักเตือนและปล่อยตัวเท่านั้น

ยูเปลี่ยนเป้าหมายจากคนชราที่ร่ำรวยมาเป็นโสเภณี ในตอนเย็นเขาได้ไปย่านถนนที่เต็มไปด้วยผู้หญิงมากมายที่มาเสนอขายตัว
เขาสอดส่องทางเหยื่อทันใดนั้นเขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งชุดเร้าใจยืนอยู่ในตรอก เขาเลยมุ่งไปหาเธอ

ตอนแรกยูคิดจะพาเธอไปที่อื่น หากแต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นไอดีปลอมของเขาก็รู้ทันทีว่าเป็นตำรวจปลอม เธอพยายามกรีดร้อง
และนั้นทำให้ยูโกรธจัดใช้มีดแทงอย่างรวดเร็วห้าครั้งที่หน้าอกและหนีออกจากที่เกิดเหตุ โชคดีที่ยูไม่ถูกจับ การก่อคดีแบบนี้
มันอันตรายและโง่เกินไป ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีที่ปลอดภัยกว่านี้ นั้นคือการโทรให้โสเภณีมาที่ที่อพาร์ตเมนต์ โดยทำเป็นลูกค้า
มาซื้อบริการทางเพศโสเภณี ต้องการหาผู้หญิงเป็นเพื่อนเที่ยว เมื่อสาวนักเที่ยวไปที่อพาร์ตเมนต์ของเขาและตีเหยื่อหมดสติด้วยค้อน
จากนั้นลากเข้าห้องอาบน้ำและเอาค้อนทุบหัวจนเลือดอาบขมแอ่งเลือด จากนั้นทำลายศพด้วยการใช้เลื่อยตัดมันเป็นแปดส่วน
ตัดแขนหรือขาหรือส่วนสำคัญของร่างกายออกอย่างสุขุม นำไปยัดลงในกระเป๋าหรือผ้าห่ม นำทิ้งในบริเวณวัดบงวอนที่อยู่ชานเมือง
ซึ่งเป็นสถานที่รกร้างไม่มีคน  และไม่ทิ้งในจุดเดียว

เรียกได้ว่ายูบ้าเลือดของจริง เหยื่อโสเภณีจำนาน 11 รายล้วนจบชีวิตด้วยเงื้อมมือของยู ในลักษณะคล้ายๆ กัน อย่างไรก็ตาม
แม้จะบ้าเลือดยูก็ยังไม่ทิ้งหลักฐานที่จะสาวตัวไปถึงเขา เห็นได้ชัดคือการที่เขาไม่ข่มขืนหรือมีเพศสัมพันธ์กับเหยื่อที่เป็นโสเภณีเลย
แม้แต่รายเดียว เพราะเขากลัวว่าการตรวจดีเอ็นเอในศพ นอกจากนี้เขายังฝังศพในเนินเขาหลีกเลี่ยงไม่ให้คนถูกพบ 

 
ห้องพักของยูหลังถูกตำรวจจับจะเห็นว่าสภาพห้องดีมาก ซึ่งเงินทั้งหมดในการซื้อข้าวของเครื่องใช้ได้มาจากการรีดไถแมงดาและโสเภณี
 
ยูถูกตำรวจจับกุมตัวเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2004 หากแต่ไม่ใช่ข้อหาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ยูถูกตำรวจจับในข้อหาทำร้ายโสเภณี
ในห้องเช่าในย่างทางตอนใต้ของกรุงโซล ตำรวจได้มาระงับเหตุโดยหารู้ไม่ว่าพวกเขาได้จับฆาตกรต่อเนื่องอยู่ในมือพวกเขาแล้ว
แต่ยูก็ฉลาดพอที่จะหลอกตำรวจได้ด้วยการแกล้งเป็นโรคลมชัก เพื่อเรียกความเห็นอกเห็นของตำรวจ และเมื่อตำรวจเผลอ
เขาก็หลบหนีมาได้แม้ว่าเขาจะถูกใส่กุญแจมือก็ตาม

ในขณะเดียวกันแมงดาท้องถิ่นก็ได้ออกมาให้ข้อมูลกับตำรวจว่านายยูนั้นมีพฤติกรรมลับลมคมใน เชื่อว่าน่าจะเป็นส่วนเกี่ยวข้อง
กับโสเภณีที่หายตัวไปอย่างลึกลับในช่วงนี้ และนั้นเองทำให้ตำรวจร่วมมือกับแมงดาในการวางแผนวางกับดักให้ยูมาติดกับ
โดยรอให้ยูโทรศัพท์เพื่อให้แมงดาจัดหาโสเภณีส่งมาให้เขา และเมื่อตรวจสอบเบอร์โทรก็พบว่าเป็นเบอร์เดียวกันที่ติดต่อ
โสเภณีหลายคนแล้วหายตัวไป และนั้นเองทำให้แมงดาประสานงานกับตำรวจเพื่อจับกุมยู

ความจริงยูควรจะรอให้เรื่องเงียบสงบมากกว่าที่จะก่อเหตุอีก แต่เพราะความโง่เขลาและความหุนหันพลันแล่นของเขานำมา
ซึ่งจุดจบในที่สุด และในตอนเช้าของวันที่ 16 กรกฎาคม ยูก็ถูกตำรวจตะครุบที่สถานีรถไฟใต้ดิน ตำรวจยึดปลอมบัตรประจำตัว
ประชาชนและใส่กุญแจมือในข้อหาก่ออาชญากรรม

และทันทีที่จับกุมยูก็ได้สารภาพกับการฆาตกรรมอันชั่วร้ายของเขากับตำรวจทั้งหมด
 

 
คำสารภาพของยูสร้างความตกตะลึงแก่หลายฝ่าย เขาฆ่าเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม โดยมีแรงจูงใจอยู่ที่ความโกรธแค้น
ความเกลียดชัง และความบ้า ยูได้พาตำรวจและนักข่าวไปยังสถานที่ซ่อนศพของเขา สถานที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้ วัชพืช
และเศษไม้ที่ขึ้นรา และมีหนอนที่เหลือจากน้ำท่วมที่ผ่านมา เขาจี้จุดที่ซ่อนศพ แล้วมื่อขุดศพก็พบว่ามีศพอยู่จริง
สภาพศพนั้นเห็นได้ชัดว่ากะโหลกศีรษะแตกและมีการแยกชิ้นส่วนของเหยื่อ


ระหว่างนั้นยูได้พูดคำหยาบขึ้นมาว่า “ผู้หญิงไม่ควรทำตัวเป็นยัยร่านและนี่คือบทเรียนหากยัยพวกนั้นทำแบบนี้”
แสดงให้เห็นชัดว่ายูไม่มีความสำนึกผิดสิ่งที่ตนกระทำเลยแม้แต่น้อย

และที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นยูยังสารภาพอีกด้วยว่าเขากินตับของเหยื่อของเขาสี่คน โดยเขาให้เห็นผลว่า
“มันทำให้ร่างกายและจิตใจของผมรู้สึกสดชื่น”

ซึ่งตามความเชื่อของเกาหลีแล้วตับเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและความแข็งแกร่ง ไม่แปลกใจเลยที่ประชาชนชาวเกาหลีใต้
ที่ทราบข่าวฆาตกรสุดโหดรายนี้ ต่างแห่กันมาดูหน้าฆาตกรแน่นขนัด ในเวลาเพียงสิบวันที่ตำรวจเสร็จสิ้นในการสอบสวนและส่งมอบ
อัยการเพื่อว่าความในวันที่จันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2004 ซึ่งยูต้องย้ายไปที่สำนักงานอัยการ ระหว่างทางที่เขาไปนั้นเต็มไปด้วยฝูงชน
ขนาดมหึมา ผู้สื่อขาวและช่างภาพรุมล้อมรอบตัวเขา

แน่นอนว่าการพิจารณาคดีของยูนั้นได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและสังคมเกาหลีมาก ว่านายยูจะถูกตัดสินออกมาในรูปแบบใด
 

 
ท่ามกลางฝูงชนที่แห่มาดูยูล้วนสาปแช่งให้เขาไม่ตายดี เพราะยูไม่ได้สำนึกสิ่งที่ตนทำแม้แต่น้อย เขากล่าวภายหลังว่า
“บางทีอาจมีปีศาจอยู่ในตัวของผม”

ซ้ำเขายังวางแผนฆ่าคนร้อยคน อยากชนะพวกเขาเหมือนหมา ไม่แปลกเลยที่ความเกลียดยูไม่มีวันหมดไปโดยเฉพาะญาติของเหยื่อ
มีอยู่รายหนึ่งระหว่างทางที่ยูถูกคุมตัวโดยมีผ้าปิดใบหน้าอยู่นั้น ก็มีแม่ของเหยื่อ (อายุ 51 ปี) ด่าว่ายูและตำรวจว่า
“เพราะพวกแกมันไร้ความสามารถเลยปล่อยให้มันฆ่าลูกสาวฉัน หากพวกแกจับมันก่อนหน้า ลูกสาวฉันคงไม่ตาย”
พร้อมกันนั้นแม่ของเหยื่อก็วิ่งไปที่ฆาตกร แต่หนึ่งในเจ้าหน้าที่ได้แตะเข้าไปที่หน้าอกจนล้มลงบันไดซีเมนต์
จนเป็นทำให้ตำรวจต้องออกมาขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางความโกรธแค้นของประชาชน



วันที่ 29 กรกฎาคม ยูก็เกิดเรื่องอีก ด้วยการประกาศขออดอาหารประท้วง และปฏิเสธที่จะขึ้นศาลเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม
วันที่ 6 กันยายน ยูปรากฏต่อศาลครั้งแรก แต่เขาไม่ได้สารถภาพความคิดทั้งหมด ซ้ำยังพูดว่าเขาฆ่าคนเพียงสองคนเท่านั้น

พูดตามตรงเวลานั้นการพิจารณาในชั้นศาลวุ่นวายอย่างแท้จริง ทั้งยูทั้งผู้ชม ยูทำท่าจะกระโดดข้ามรั่วมุ่งหน้าไปยังผู้พิพากษา
และกรีดร้องว่าไม่อยากอยู่ชั้นศาลต่อไป ทำให้เขาต้องถูกนำไปตัวออกไปสงบสติอารมณ์ท่ามกลางความคุ้มกันอย่างหนัก
หรือบางครั้งผู้ชมการพิจารณาคดีก็กระโจมเข้ามาทำร้ายยู จนต้องใช้ยามสิบนายปล้ำต่อสู้เพื่อให้สงบลง

การวิเคราะห์ระบุว่ายูเปลี่ยนไปหลังจากอยู่ในคุก หลังผ่านประสบการณ์ชีวิตที่เหลวร้าย ภรรยาหย่าขาด บวกกับการศึกษาชีวิต
ของฆาตกรไอดอล Jeong Du-young ล้วนผลักดันให้เขาสู่เส้นทางฆาตกร ตำรวจสืบสวนได้ออกมาให้ความเห็นว่ายูนั้น
เป็นคนมีระเบียบ มีความสุขุม เห็นได้จากการเลือกบ้านเหยื่อที่คาดว่าข้าวของเป็นเศรษฐีและสามารถก่อเหตุ และหลบหนี
ได้ง่ายได้อย่างแม่นยำ


 
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2004 ศาลได้ตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอให้แก่ยู และหลังจากที่เขาได้ยินผลการตัดสิน
ก็ได้พูดประโยคหนึ่งต่อหน้าคนเกาหลีใต้และทั่วโลกว่า

“สิ่งที่ผมทำจะไม่วันเกิดขึ้น หากผมมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ผู้คนรักผมและมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ยู ยัง ชอล! ผมขอขอบคุณ
การเรียกร้องของอัยการสำหรับโทษประหาร ผมจะสำนึกไปจนวันตายเลยทีเดียว ”


วันที่ 9 มิถุนายนคำตัดสินสุดท้ายของศาลฎีกาให้โทษหารหารชีวิตแก่ยู แต่อย่างไรก็มีการเรียกร้องจากสมัชชาแห่งชาติ
ให้ยกโทษประหารชีวิต เพราะการตัดสินของยูเป็นเกิดความรู้สึกส่วนตัวและความแค้นส่วนตัว ไม่ใช่เกิดจากความยุติธรรม
อีกทั้งการประหารชีวิตไม่ได้ลดความโกรธแค้นของเหล่าครอบครัวเหยื่อ

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการสำรวจความคิดเห็นของคนเกาหลีใต้ ก็พบว่าสองในสามของประชากร สนับสนุนให้โทษประหาร
ทุกวันนี้ยูคงอยู่แดนประหารที่ยังรอชดใช้กรรมเหมือนนักโทษคนอื่นๆ 60 คน และไม่แสดงอาการสำนึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย
ซ้ำยังสารภาพว่าเหยื่อที่เขาฆ่านั้นมากกว่าร้อยคน!!


คงไม่มีใครอีกแล้วที่ทำให้สังคมเกาหลีใต้โกรธแค้นถึงเพียงนี้

 
อ้างอิง
http://www.asesinos-en-serie.com/yoo-young-chul/
http://www.trutv.com/library/crime/serial_killers/weird/yoo_young_cheol/1.html
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21 มกราคม 2017, 09:20:07 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่