-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Norse Mythology: Episode 6 – ธอร์: เจ้าแห่งสายฟ้า  (อ่าน 790 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18236
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Norse Mythology: Episode 6 – ธอร์: เจ้าแห่งสายฟ้า
« เมื่อ: 31 มกราคม 2014, 13:13:00 »

Norse Mythology: Episode 6 – ธอร์: เจ้าแห่งสายฟ้า



ธอร์ (Thor) เป็นลูกของโอดินและจอร์ด-นางยักษ์แห่งแผ่นดินซึ่งมีฐานะเป็นครึ่งเทพ แต่แม้ว่าแม่ของเขาจะเป็นยักษ์ แต่ธอร์กลับเกลียดยักษ์เข้าไส้
ตลอดชีวิตเช่นเดียวกับโอดิน คงจะพิศมัยเฉพาะยักษ์สาวๆ เช่นเดียวกับพ่ออีกเหมือนกัน (เป็นลูกพ่อจริงๆ)  ธอร์เป็นผู้มีพละกำลังมหาศาล
กินจุ-กินดุมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งยังขี้โมโห ขี้หงุดหงิดจนเป็นที่เลื่องลือ ชื่อของธอร์คือที่มาของวันพฤหัส (Thursday) ในภาษาฝรั่ง
ซึ่งลักษณะของเทพก็ไม่ตรงกับลักษณะของวันเอาเลย


ความแข็งแรงของธอร์สร้างปัญหาให้กับชาวแอสการ์ด (และตัวเขาเองด้วย) ขนาดอายุไม่เท่าไรเขาก็แบกเอาม้วนหนังหมีขนาดใหญ่ 10 ม้วน
เดินเล่นสบายใจเฉิบ ทำเอาเทพที่มาร่วมชุมนุมฉลองให้ต่างอ้าปากค้างไปตามๆ กัน ธอร์เลยต้องถูกส่งไปให้วิงเนียร์ (Vingnir) และโลร่า (Hlora)
สามี-ภรรยาผู้รักษาสายฟ้าเอาไปเลี้ยงนอกสวรรค์ ช่วยเลี้ยงดูจนกว่าจะเติบโตพอควบคุมอารมณ์ได้ค่อยส่งกลับมาแอสการ์ดใหม่ ด้วยเหตุนี้
เขาเลยกลายเป็นเทพแห่งสายฟ้าไปโดยปริยาย

เมื่อเติบโตขึ้นเทพองค์นี้ก็สูงใหญ่ แข็งแรงใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราสีแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้าแลบ เสียงของเขากึกก้องน่ากลัว
ราวกับเสียงฟ้าฟาด ไม่ค่อยมีใครทนเขาได้นอกจากโลกิจอมโกง อาจเป็นเพราะธอร์เป็นเลิศในทางพลัง ส่วนอีกฝ่ายเป็นเลิศในทางปัญญา
สมดุลที่พอฟัดพอเหวี่ยง โลกิจึงกลายเป็นเพื่อนผจญภัย (อย่างกระท่อนกระแท่น) ของธอร์ในหลายครั้ง




ธอร์เป็นเทพหนึ่งใน 12 เทพสำคัญของสภาแกลดไฮล์ม (Gladsheim, Glaðsheimr) เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้บรรดาเทพอุ่นใจว่าอย่างน้อย
เมื่อธอร์อยู่จะไม่มียักษ์มากวนใจ เขามีพระราชวังของตัวเองชื่อบิลสเกอร์เนียร์ (Bilskirnir) อยู่บริเวณธรุดไฮล์ม (Thrudheim, Þrúðheimr)
รอบนอกของแอสการ์ด ด้วยเหตุที่เขามีหน้าที่เป็นเทพของคนยากและทาส พระราชวังนี้เลยเต็มไปด้วยวิญญาณทหารและชาวไร่ชาวนา
ซึ่งเป็นพวกที่ตามมารับใช้วิญญาณของนายที่เป็นนักรบที่ขึ้นมาอยู่บนวัลฮัลลา

แต่แม้จะมีความสำคัญมากมายขนาดนี้ ธอร์กลับเป็นเทพองค์เดียวที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้สะพานสายรุ้ง เพราะต่างกลัวกันว่าฝีเท้าของเขาซึ่งก็คือสายฟ้า
จะทำลายสะพานพังลง ดังนั้นเวลาธอร์จะมาแกลดสไฮล์มแต่ละที เขาจะต้องใช้ทางอ้อม ข้ามมาทางแม่น้ำออมต์และแม่น้ำคอมต์กับสายธารเกอลัง




ธอร์มีอาวุธวิเศษอยู่สามอย่าง ที่สำคัญคือค้อนมจอลเนียร์ (Mjolnir, Mjǫllnir, Mjöllnir, Mjölner) ผลงานของคนแคระซินดรี (Sindri; Old Norse: sindr)
ถึงแม้ด้ามมันจะสั้นไปสักหน่อยแต่มันกลับเหมาะให้เทพเหวี่ยงใส่ศัตรูมากกว่าทุบ จากนั้นมันจะหมุนกลับมาหาเจ้าของเอง อย่างที่สองคือเข็มขัดรัดเอวเพิ่มพลัง
อย่างที่สามคือถุงมือวิเศษใช้คู่กับค้อน ทั้งสามอย่างนี้เป็นอาวุธคู่มือที่ช่วยธอร์ผจญภัยหลายครั้ง นอกจากนี้ธอร์ยังมีราชรถเทียมแพะชื่อ ทังนิออสกับทังริสต์
ไว้ใช้ในบางโอกาสที่ไม่ต้องการเดินทางด้วยเท้า ภาพเขียนของยุโรปหลายภาพจึงมีรูปธอร์ปรากฏอยู่บนรถเทียมแพะที่ว่านี้




ธอร์มีเมียสองคน คนแรกเป็นยักษ์ชื่อลานซาซ่า (Larnsaxa) มีลูกชายกับยักษีตนนี้สอง คือ แมกนี (Magni; ความแข็งแกร่ง) โมดี (Modi, Móði; ความกล้าหาญ)
เป็นเทพครึ่งยักษ์สองคนที่รอดจากช่วงแร็กนาร็อค เมียคนที่สองเป็นเทพด้วยกันชื่อ ซิฟ (Sif) คนนี้ผมสวยมาก ทั้งยาวและสมบูรณ์เหมือนรวงข้าวกำลังสุก
กับเทพีองค์นี้ธอร์มีลูกด้วยสองคน เป็นชายชื่อ ลอร์ไรด์ (Lorride) และเป็นหญิงชื่อ ธรุด (Thrud, Þrúðr, Thrúd) ธรุดมีร่างกายใหญ่โตเหมือนยักษ์
แต่งามเหมือนเทพธิดา ความงามของเจ้าหล่อนเล่นเอาบรรดาผู้ชายทุกเหล่าไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เทพหรือคนแคระต่างก็เพ้อหานางด้วยกันทั้งนั้น แต่ปรากฏว่า
คนที่ธรุดยอมคบหาด้วยกลับเป็นคนแคระชื่ออัลวิส (Alvis, Alvíss) หน้าตาไม่หล่อเหลา ร่างกายก็เล็กแคระ แต่ปัญญามากจนเอาชนะใจสาวได้
ติดอยู่นิดเดียวเท่านั้นละครับ ก็ตรงที่เทพธอร์เป็นพ่อประเภทหวงลูกสาวมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่มาติดพันเขาไม่ชอบทั้งนั้น ความหวงลูกของธอร์ถึงขนาด
ทำร้ายฝ่ายที่จะมาพรากลูกไปจากอกเขาได้ง่ายๆ



อย่างที่บอกละครับว่าธรุดและอัลวิสเริ่มพึงใจกัน ความรักระหว่างสองคนนี้เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อยๆ โดยที่ธอร์ไม่รู้ ก็เนื่องจากเหตุเดียวละครับ อัลวิสเป็นคนแคระไง
คนแคระเวลาจะออกเดินทางไปไหนมาไหนทีต้องรอตอนกลางคืน ฉะนั้นเวลาที่อัลวิสมาหาธรุดก็เป็นเวลากลางคืนที่ธอร์หลับไปนานแล้ว
ถึงอย่างนั้นธอร์ก็ระแคะระคาย เขาไม่ชอบว่าที่ลูกเขยตัวเตี้ยหรือคนไหนๆ ทั้งนั้น อุปสรรคอย่างเดียวที่ทำให้เขาจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็คือเวลาที่ไม่ตรงกันนั่นละครับ
ธอร์หลับอัลวิสมา อัลวิสกลับธอร์ตื่น เป็นอย่างนี้เรื่อยมา มันเป็นช่วงเวลาที่นานพอจะทำให้หนุ่มสาวสานสัมพันธ์จนกลายเป็นความรักที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ
ถึงขั้นที่คนแคระเอ่ยปากขอธรุดแต่งงานและสาวเจ้าก็ยินดีอย่างสุดๆ


แต่แล้วคืนนั้นเอง ธอร์กลับปรากฏตัวขึ้นกลางดึก เขาเพิ่งกลับมาจากแกลดสไฮล์ม-สภาเทพ เจอเข้ากับคู่รักกำลังพร่ำคำสัญญาต่อกันอย่างจังโดยที่หนุ่มสาวทั้งสอง
ก็ไม่ทันระวังตัว ภาพทั้งสองอยู่ด้วยกันทำให้ความโกรธของธอร์แล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ธอร์พยายามสะกดอารมณ์ ครู่หนึ่งเขาเรียกมนุษย์ตัวเตี้ยเข้าไปคุยกันสองคนในห้อง
จากนั้นตั้งปัญหาทดสอบประลองปัญญาคำถามแล้วคำถามเล่าเพื่อจะหยั่งว่าเจ้าแคระนี่จะเลี้ยงดูลูกสาวเขาได้หรือไม่ แต่ปรากฏว่าอัลวิสตอบคำถามได้หมด
ไม่มีติดขัดจนธอร์ไม่รู้จะถามอะไร ช่วงเวลาที่เงียบงันทำให้คนแคระเหมาเอาเองว่าเมื่อสิ้นคำถาม การทดสอบก็ถือว่าผ่าน อัลวิสรีบออกไปหาธรุดด้านนอก …



แต่เจ้าคนแคระคาดผิด เขาประเมินเทพเจ้าต่ำไป อัลวิสมัวแต่ตอบคำถาม มุ่งหวังจะได้ลูกสาวของเทพเพียงอย่างเดียวจนทำให้ลืมเวลา ลืมไปว่า
เขาคือคนแคระ เมื่ออัลวิสเอื้อมมือไปสัมผัสมือธรุด แสงอาทิตย์แรกของวันก็สาดลงมาพอดี ร่างของอัลวิสกลายเป็นหินในฉับพลัน ความรัก-ความฝัน
ของหนุ่มสาวละลายกลายเป็นอากาศธาตุ เป็นบทเรียนของผู้มุ่งหมายลูกสาวเทพตั้งแต่นั้นมา



การเดินทางครั้งสำคัญสู่โจตันไฮล์ม




ธอร์เดินทางผจญภัยอยู่หลายครั้ง แต่ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งไม่พ้นการเดินทางสู่โจตันไฮล์ม เพราะการเดินทางครั้งนี้ธอร์ต้องประลองทั้งความอดทน
ประลองด้วยปัญญาความสามารถ ที่สำคัญเป็นครั้งที่เขาได้คนสนิทคู่ใจคนสำคัญมาไว้ใช้ด้วยซิ เรื่องเริ่มขึ้นในวันหนึ่งกลางฤดูร้อน
ธอร์นั่งเพ่งมองไปยังโจตันไฮล์ม-อาณาเขตของยักษ์ จู่ๆ เทพก็มีความรู้สึกว่าพวกยักษ์กำลังจะยกกำลังมาตีแอสการ์ดในไม่ช้านี้ ธอร์รู้สึกหงุดหงิด
คิดว่ามันน่าจะเป็นหน้าที่ของเขามากกว่าที่บุกไปถึงอุตการ์ด (Utgard, Útgarðar) เมืองใหญ่ของโจตันไฮล์ม แล้วจัดการล้างวงศ์ยักษ์
ซึ่งก็มีอยู่ไม่เท่าไหร่เสียให้สิ้น ดีกว่ามานั่งรอจุดจบอย่างที่เป็นอยู่ทุกวัน


ข่าวธอร์จะไปอุตการ์ดกระจายไปทั่วหมู่เทพ ข่าวนี้ทำให้โลกิเสนอตัวจะเดินทางไปด้วย เทพจอมลวงอ้างว่า การไปอุตการ์ดโดยมีธอร์ผู้ทรงพลัง
ไปเพียงผู้เดียวดูจะเสี่ยงเกินไป อย่างน้อยน่าจะมีคนปัญญาไวอย่างเขาเดินทางไปด้วย ธอร์ตกลงรับ ถึงเขาจะรู้จักนิสัยของเทพองค์นี้ว่ามักสร้างปัญหา
ให้แก่คนรอบข้างมากเพียงใด แต่หลายครั้งเหมือนกันที่ความไวปัญญาของโลกิใช้ได้ผล ทั้งสองจึงออกเดินทางไปสู่ดินแดนยักษ์บนราชรถเทียมแพะ
ที่ผมพูดถึงเมื่อกี้นั่นแหละ



ธอร์และโลกิลงมาจากแอสการ์ด ผ่านลงมายังแดนมนุษย์ ระยะทางที่ไกลจัดทำให้ตกเย็นเสียก่อนที่ทั้งสองจะไปถึงชายแดนมิดการ์ด เทพธอร์
เห็นบ้านหลังหนึ่งกลางป่าก็คิดว่าน่าจะหยุดพักค้างคืนที่นี่กันเสียหน่อย ทั้งๆ ที่โลกิไม่ชอบ โลกิเห็นว่าบ้านหลังนั้นทรุดโทรมจวนจะพังมิพังแหล่
เจ้าของคงเป็นคนยากจน ไม่มีทางหาอะไรดีๆ ให้เทพอย่างพวกเขากินได้ ส่วนธอร์ … เนื่องด้วยเขาเป็นเทพแห่งคนยาก เรื่องความจนไม่ใช่เรื่อง
น่ารังเกียจสำหรับเขาอยู่แล้ว เขาจึงว่าคนในบ้านกินอะไรเขาก็กินอย่างนั้นได้

ไม่พูดพล่ามทำเพลง ธอร์หยุดรถ ผูกแพะไว้ด้านนอกแล้วก้าวเข้าไปหาเจ้าของบ้าน เทพโลกิทำอะไรไม่ได้ต้องตามลงมา ความหงุดหงิดเริ่มเดือดพ่นฟอง
ในสมองของเขาแล้วซิตอนนี้ ชาวนากับครอบครัวค่อนข้างตกใจที่จู่ๆ เทพเจ้าสององค์ก็โผล่เข้ามาในบ้าน แต่ทุกคนต่างก็กุลีกุจอต้อนรับ
ยอมสละเอาของที่ดีที่สุดมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเตียงยัดฟางภายในของตนหรือที่พักอุ่นๆ หน้าเตาผิง แต่พอมาถึงเรื่องอาหาร ชาวนากับครอบครัว
มีแต่ผักที่ปลูกไว้ ไม่มีเนื้ออะไรสักอย่างเป็นอาหารแก่เทพ


เพื่อรักษาคำพูด ธอร์เดินออกไปข้างนอก จับแพะทังนิออสและทังกรีสเชือดแล้วเอาร่างเข้ามาในกระท่อม สั่งให้ชาวนาเอาไปทำอาหาร
เทพบอกชาวนาให้กินให้เต็มที่ ขออย่างเดียวอย่าทุบกระดูกไม่ว่าชิ้นไหนทั้งสิ้น เพราะเขาจะเอากระดูกใส่กลับไปใต้หนังหลังกินอิ่มแล้ว
และจะเสกให้มันคืนชีพอีกครั้งพรุ่งนี้เช้า ชาวนาก็ทำตามครับ เขากับครอบครัวรับเอาแพะไปจัดการถลกหนังอย่างระมัดระวังแล้วย่างแพะมาขึ้นโต๊ะให้เทพ
แบ่งส่วนของตัวเองเข้าไปกินกันในครัวตามประสา



ข้างฝ่ายโลกิครับ ได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์ตลอด ความหมั่นไส้ไม่เลือกที่ซึ่งก่อตัวมาแล้วตั้งแต่เมื่อครู่ ทำให้เขามองเห็นทาง เขาอยากแกล้งชาวนานัก
ที่ดันมาปลูกกระท่อมขวางทางให้ธอร์ต้องหยุดพัก ก็เลยค่อยๆ ดอดเข้าไปในครัว ได้ทีตีสนิทกับลูกชาวนาคนหนึ่งที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
ยุให้ลูกคนนั้นทุบกระดูกแพะกินไขข้างในซึ่งรสชาติดีกว่า เด็กชายเชื่อคำยุ เขาทุบกระดูกขาข้างหนึ่งดูดกินอย่างเปรมปรี จากนั้นก็เอากระดูก
ยัดใส่ไว้ใต้หนังตามคำสั่งของธอร์


รุ่งขึ้นเมื่อธอร์เตรียมตัวเดินทางเรียบร้อย เขาก็ออกไปเสกแพะให้กลับมีชีวิต ปรากฏว่าเมื่อแพะกลับสู่ร่างเดิม ตัวหนึ่งกลับเดินลากขาเสียแล้ว
เทพรู้ทันทีว่าคำสั่งของเขาถูกละเมิด ความฉุนเฉียวพลุ่งขึ้นมาจนระเบิดต่อว่าต่อขานชาวนาอย่างแรงแล้วยึดลูกสองคนของชาวนามาเป็นคนรับใช้
ลูกชายชื่อ ธิอัลฟี (Thaialfi) (คนที่กินไขกระดูกและกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับโลกิตั้งแต่นั้น) และลูกสาวชื่อ รอสก์วา (Roskva, Röskva)
สองคนนี้กลายเป็นคนรับใช้ ผู้ช่วยเหลือและผู้แนะนำที่เลื่องชื่อของธอร์ไปตลอด ชาวนาผู้เป็นพ่อแม่หรือครับ ทำอะไรไม่ได้หรอกก็ลูกของเขาผิดจริงนี่นา


การเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้งโดยสมาชิกสี่คน ทั้งหมดเดินทางจนถึงชายแดนมิดการ์ดถึงมหาสมุทรที่กั้นระหว่างแดนมนุษย์กับโจตันไฮล์ม ทั้งสี่คน
พยายามหาทางข้าม ขณะเดินเลียบชายฝั่งมาได้พักหนึ่ง ก็พบเรือถูกทิ้ง ธอร์สั่งให้ผู้ร่วมทางลงเรือเขาเป็นคนพาย ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าด้วยกำลัง
มหาศาลของเทพ เขาก็พาคณะผจญภัยมาขึ้นฝั่งดินแดนของยักษ์ในไม่ช้า



พอขึ้นบกได้ ทั้งสี่ก็เดินเท้ากันต่อ ผ่านต้นไม้ใหญ่ยักษ์และต้นเล็กแคระ ผ่านหุบห้วยและสายธารรูปร่างแปลกๆ ที่กลางป่า จู่ๆ คณะเดินทางก็เจอเข้ากับ
ห้องโถงหน้าตาของมันคล้ายสิ่งก่อสร้างไม่มีประตูไม่มีหน้าต่าง ผนังก็เรียบๆ โค้งๆ แบบที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน ทางเข้ารึก็เปิดโล่งด้านเดียว
ทั้งสี่เลยตกลงใจเข้าไปเดินสำรวจ ปรากฏว่าโถงที่พบนี้ใหญ่ว่าวัลฮัลลาและบิลสเกอร์เนียร์ของธอร์รวมกัน แต่ด้วยความเหนื่อยและอ่อนเพลีย
ทั้งหมดจึงตัดสินใจตั้งค่ายพักกันที่นี่ พวกเขาหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว

ทว่ากลางดึกคืนนั้น คณะเดินทางต่างต้องตกใจตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกัมปนาท เสียงที่ว่าดังราวท้องฟ้าถูกฉีกเป็นริ้ว แรงสะเทือนของเสียงทำให้แผ่นดินไหว
ตอนแรกต่างคนต่างรีบฉวยข้าวของติดตัวจะหนีออกไปข้างนอก แต่เสียงดังกล่าวยังคงดังอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีอะไรมากกว่านั้น ธอร์จึงตัดสินใจ
ให้ย้ายไปอยู่ห้องที่เล็กกว่าที่เขาเพิ่งพบ อย่างน้อยถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกเขายังหาทางป้องกันตัวได้ดีกว่า



เสียงดังคับฟ้าที่ว่าดังต่อเนื่องมาตลอดจนถึงเช้า คณะเดินทางออกไปข้างนอกห้องโถงจึงได้พบที่มาของเสียง มันเป็นเสียงกรนของยักษ์ตนหนึ่ง
ที่นอนอยู่แถวนั้น ธอร์ปลุกยักษ์ เขาพยายามอยู่หลายครั้งจนร่ำๆ จะใช้ค้อนมจอลเนียร์ทุบเข้าให้สักที แต่ยักษ์ก็ตื่นขึ้นมาเสียก่อน เจ้ายักษ์ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
ทว่าพอแค่มันยืนขึ้นเท่านั้น ธอร์ก็ประหลาดใจเป็นล้นพ้นกับขนาดที่ไม่เหมือนยักษ์ทั่วไป มันสูงเยี่ยมเทียมขุนเขาทำให้เทพร่างใหญ่เช่นธอร์กลายเป็น
มดได้ในบัดดล ก่อนที่ธอร์จะทันเอ่ยถามอะไร มันก็หันมาเห็นเทพและคณะเดินทางเข้าเสียก่อน ยักษ์ทำท่าทางเป็นมิตรบอกว่าจำทั้งธอร์และโลกิได้
แถมยังบอกอีกด้วยว่า มันชื่อสกรายเมียร์ (Skrymir) อาสาจะพาทั้งหมดไปอุตการ์ด จากนั้นมันก้มลงเก็บถุงมือ คณะเดินทางเพิ่งพบความจริงว่าที่ๆ
พวกเขานอนเมื่อคืนก็คือบริเวณที่อยู่ตรงนิ้วหัวแม่มือของถุงมือยักษ์นี่เอง





สกรายเมียร์พาคณะเดินทางแบกมาบนบ่า ครั้นเดินทางมาได้พักใหญ่จนบ่ายยักษ์ก็บอกทั้งสี่ว่าจะของีบพักสักครู่ มันโยนถุงใส่ของให้เทพบอกให้หาของกิน
จากในนั้นได้ แล้วสกรายเมียร์ก็ลงนอนแบบไม่สนใจอะไรอีกต่อไป คณะเดินทางต่างคนต่างแยกย้าย โลกิกับเด็กทั้งสองออกไปหากิ่งไม้มาก่อกองไฟ
ปล่อยให้ธอร์พยายามแกะปมที่ปากถุงใส่ของของยักษ์ เวลาผ่านไปนานมากขนาดที่ว่ากองไฟของโลกิก่อขึ้นแล้ว แต่ธอร์ก็ยังแกะปากถุงของสกรายเมียร์ไม่สำเร็จ
ไม่ว่าจะดึง-กระชากหรือสับก็ไม่เป็นผล โลกิหันมาพยายามต่อ แต่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน


ทั้งสองรู้สึกโกรธ คิดว่าเจ้ายักษ์ตัวนี้เล่นตลกเอาแล้ว ธอร์ไต่ขึ้นไปบนหัวยักษ์ เอาค้อนมจอลเนียร์ทุบ ฤทธิ์ของค้อนวิเศษแค่ทำให้สกรายเมียร์ส่งเสียงละเมอ
เหมือนใบไม้หล่นใส่ เล่นเอาธอร์ประหลาดใจซ้ำคณะเดินทางได้แต่มองหน้ากัน แต่เมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ก็ตกลงจะพักบ้าง กลางดึกคืนนั้น เหตุการณ์
คล้ายที่ผ่านมาคืนก่อนก็เกิดซ้ำอีก สกรายเมียร์กรน … เสียงกรนของยักษ์สร้างแรงสะเทือนชนิดที่ทั้งสี่นอนไม่ได้ ธอร์ไต่ขึ้นไปบนหัวยักษ์พร้อมมจอลเนียร์
เป็นครั้งที่ 2 เอาค้อนทุบกะลงตรงกลางหน้าผาก สกรายเมียร์ปรือตาเห็นธอร์ยืนบนหัวก็ถามว่า ลูกโอ๊คหล่นใส่หัวเขาหรือไร เทพแห่งสายฟ้าไม่ตอบ
แต่กระโดดลงจากหัวยักษ์ด้วยความงุนงง หงุดหงิด ค้อนมจอลเนียร์ทำให้เขาผิดหวังอีกแล้ว



เสียงกรนที่เงียบไปนานของสกรายเมียร์กลับมาอีกครั้งตอนรุ่งสาง คราวนี้หนักหนาเสียจนไม่มีใครนอนลง ธอร์ต้องลุกขึ้นอีกครั้ง หยิบค้อนมจอลเนียร์
มาเหวี่ยงรอบหัวขว้างใส่ยักษ์ หมายเอาตรงขมับ ค้อนปลิวตามแรงของธอร์ฟาดเข้าเป้าแล้ววิ่งวนกลับมาหาเจ้าของ ประสิทธิภาพอันศักดิ์สิทธิ์คงเหมือนเดิม
แต่ … มันก็ยังทำอะไรยักษ์ไม่ได้ สกรายเมียร์แค่ตื่นขึ้นมาขยี้ตา ถามว่า เมื่อกี้มีนกบินผ่านมาหรือ มันรู้สึกเหมือนนกอึใส่

ตอนนี้สกรายเมียร์ตื่นจริงๆ เขาเก็บข้าวของส่วนตัวเตรียมแยกย้ายกับนักเดินทางทั้งสี่ ก่อนไปเขาชี้ทางให้เพื่อนใหม่ไปอุตการ์ดพร้อมทั้งเตือนว่าให้ระวังคำพูด
เพราะพวกยักษ์มีความอดทนน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนตัวเล็กๆ เช่นคณะเดินทางทั้งสี่ ว่าแล้วก็โบกมือลาธอร์ โลกิกับลูกชาวนา ทั้งสองแยกมาตามทาง
ที่สกรายเมียร์ชี้ให้ ไม่ช้านักทั้งสี่ก็เดินทางมาถึงประตูอุตการ์ด บานประตูเมืองใหญ่โตมโหฬารจนเทพและมนุษย์จะเปิดมันออกได้อย่างไร เห็นแต่ช่อง
พอจะเบียดตัวแทรกเข้าไปได้เท่านั้น คณะเดินทางไม่มีทางอื่น พวกเขาจำเป็นต้องค่อยๆ ลอดตามกันไป และที่หลังประตูนั่นเอง สิ่งที่ธอร์ปรารถนา
จะได้พบก็รออยู่ครบ



ที่นั่นคือห้องโถงมหายักษ์ของอุตการ์ดโลกิ (Utgard-Loki) ราชายักษ์พ่อมดขมังเวทย์ ในห้องเต็มไปด้วยสมาชิกยักษ์อื่นๆ รายรอบ ต่างคนต่างกุมอาวุธ
ขนาดยักษ์รอท่าผู้มาเยือน อุตการ์ดโลกิรู้สึกขบขันที่ได้เห็นคนตัวเล็กๆ ในห้องโถงของพระองค์ จอมยักษ์เอื้อนเอ่ยออกมาว่า ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาต
ให้เข้ามาในพระราชวังนอกจากจะพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่งเกินกว่ายักษ์ซึ่งเป็นสมาชิกของที่นี่ คณะเดินทางมองหน้ากัน
ธอร์ไม่รู้สึกหวาดหวั่น จึงรับคำท้าของยักษ์





โลกิเป็นคนแรกที่อาสา จอมโกงอ้างว่าเขากินเร็วกว่าใครๆ ในห้องโถงนั้น อุตการ์ดโลกิหัวเราะ ราชายักษ์ผายมือไปยังยักษ์โลกิ (ชื่อเดียวกันนะครับ)
คู่ปรับที่มีความสามารถเท่าเทียมกัน ทั้งสองถูกจัดให้นั่งที่หัวโต๊ะยาว อาหารกองพะเนินถูกนำลำเลียงมาวางตรงหน้ายักษ์โลกิและเทพโลกิราวกับภูเขา
ทั้งสองตั้งหน้ากิน กิน กินและกิน …ปรากฏว่าเมื่อหมดเวลาที่กำหนด ตรงหน้าเทพโลกิมีกองกระดูกเหลือมากมาย ขณะที่ยักษ์โลกิกวาดเรียบ
ไม่ว่าเนื้อหรือกระดูกกระทั่งจานใส่ ยกนี้ยักษ์โลกิเลยเป็นฝ่ายชนะ

การแข่งครั้งต่อมาฝ่ายเทพเป็นหน้าที่ธิอัลฟี ซึ่งอ้างว่าวิ่งเร็วที่สุด อุตการ์ดโลกิหันไปเลือกคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมในหมู่ยักษ์ แล้วเรียกฮิวกิ (Hugi) ออกมา
กำหนดให้วิ่งแข่งกันสามรอบ มันเป็นการแข่งที่ต้องทำกันนอกปราสาท รอบแรกธิอัลฟี วิ่งออกตัวล้ำหน้าฮิวกิเพียงนิดหน่อยความเร็วของเขาพอๆ กับลม
แต่เพียงเสี้ยววินาทีฮิวกิก็วิ่งล้ำหน้า ความเร็วของยักษ์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งไปรอรับธิอัลฟีที่เส้นชัย รอบสองสถานการณ์ของผู้ช่วยธอร์ไม่ดีกว่ารอบแรก
พอถึงรอบสามสภาพการณ์แย่หนักเข้าไปอีก ฮิวกิไปถึงเส้นชัยขณะที่ธิอัลฟีมาได้ครึ่งทาง การแข่งวิ่งปรากฏว่ายักษ์ชนะขาดไปอีก



ราชายักษ์หันหน้ามาหาธอร์ ถามหาสิ่งที่เทพต้องการแข่ง ธอร์ซึ่งหัวเสียกับการพ่ายแพ้ของฝ่ายตนพอควร ท้าทายให้ใครก็ได้มาแข่งดื่มเหล้ากับตน
อุตการ์ดโลกินำถ้วยเขาสัตว์ออกมา บอกว่าพวกยักษ์ใช้ถ้วยนี้ดื่มและดื่มรวดเดียวหมดกันทุกคน จะมียักษ์ที่อ่อนแอหน่อยอาจดวดสักสองครั้ง
แต่ไม่มีใครยกถ้วยเป็นครั้งที่สามเลย



ธอร์รับถ้วยเขาสัตว์ยกขึ้นดื่ม เขาแน่ใจเหลือเกินว่าตัวเองนี่ละที่จะเป็นผู้พิชิตชัยชนะจากยักษ์บ้าง เทพยกถ้วยค้างดื่มรวดเดียวจนคิดว่าหมดก็ลดถ้วยลง
“ให้ตายเถอะ!”…ธอร์สบถในใจ น้ำในถ้วยที่คิดว่าหมดแล้วปรากฏว่าลดระดับต่ำกว่าปากนิดเดียว ธอร์ยกขึ้นดื่มอีกครั้ง คิดว่าคราวนี้น่าจะหมด
แต่พอลดถ้วยน้ำในนั้นต่ำกว่าเดิมนิดเดียว ไม่มีท่าว่าจะหมดเกลี้ยงอย่างที่คาด ธอร์ยกขึ้นดื่มอีกครั้ง คราวนี้นานกว่าเคยเพื่อให้ดื่มได้จำนวนมากที่สุด
แต่พอวางถ้วย น้ำในนั้นก็ยังไม่หมดสมดังหวัง ราชาอุตการ์ดโลกิหัวเราะอย่างสมใจ เอ่ยถามธอร์ที่กำลังตะลึงกับผลงานไม่เข้าเป้าของตัวเอง
“ท่านยังต้องการแข่งอะไรอีกไหม?” ธอร์ซึ่งเต็มไปด้วยความผยอง ไม่ยอมแพ้ ทำท่าเหมือนพาล เขาตอบว่าอะไรก็ได้ที่ยักษ์เสนอ
“ถ้างั้นมาอุ้มแมวของข้าดู” อุตการ์ดโลกิว่า เจ้าแมวประหลาดของยักษ์โดดขึ้นมาจากใต้บัลลังก์ยืนตรงหน้าธอร์ราวกับรู้ง
าน



ธอร์ตรงเข้าไปหาแมวอย่างมั่นใจ ตอนแรกออกแรงแค่เบาๆ แมวหลับตาแกว่งหางสบายอารมณ์ไม่มีท่าว่าจะขยับ เขาเกร็งกล้ามเนื้อออกแรงมากขึ้น
คว้าบั้นเอวแมวแล้วยกเต็มที่ ปรากฏว่าแมวประหลาดยังเฉย อุ้งเล็บของมันจิกเหนียวแน่นติดกับพื้นชนิดไม่มีทางถอน มันปรายตามองธอร์อย่างเริ่มรำคาญ
เทพเปลี่ยนวิธีใหม่ ก้มลงเอาไหล่ดันท้องแมวกะจะแบก แต่แม้ว่าเขาจะเกร็งข้อลำจะตึงเขม็งปานใด ก็ทำได้แค่ยกเท้าแมวข้างหนึ่งให้พ้นพื้นได้เท่านั้น
ธอร์ทั้งเหนื่อยทั้งโมโห ร้องท้าให้อุตการ์ดโลกินำคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมมาปล้ำแข่งกับเขาดีกว่า จอมยักษ์หัวเราะเยาะ
“ท่านอยากแพ้อีกหรือ” เขาว่า “แต่เอาเถอะ … ถ้าอยากจะปล้ำนักก็มาลองกับแม่ข้าก่อน”



ยังไม่ทันที่ธอร์จะว่าอะไร เอลลี่ (Elli) นางยักษ์ชราก็จู่โจมใส่ธอร์ชนิดไม่ทันตั้งตัว แรกๆ เขายั้งมือ ไปๆ มาๆ ธอร์กลับต้องทุ่มสุดแรงเกิด
ก็ยังไม่มีทีท่าจะชนะยักษ์ตนนี้ได้ เก่งที่สุดก็เพียงยกขานางยักษ์ชราขึ้นจากพื้นได้ข้างเดียว ปล้ำกันไปปล้ำกันมาเพียงครู่เดียวยักษ์เอลลี่จบเกมแข่งขัน
ด้วยการทิ้งน้ำหนักไปข้างหนึ่งพาให้ธอร์คู่ปล้ำล้มทั้งยืน ซึ่งก็เป็นสัญญาณหมายถึงความพ่ายแพ้ของคณะเทพอย่างเด็ดขาด อุตการ์ดโลกิสั่งหยุดการแข่งขัน
“วันนี้เราใช้เวลามากไปแล้ว” เขาสั่งบริวารนำอาหารเข้ามาเลี้ยงคณะเดินทางทั้งสี่ แล้วพาไปนอนในห้องพักที่มีเตียงนุ่ม ความเหนื่อยอ่อน
จากการเดินทางรวมทั้งการออกแรงแข่งขัน ทำให้ต่างคนต่างหลับเป็นตาย

เช้าวันต่อมาอุตการ์ดโลกิส่งคนมาปลุกคณะเดินทางให้ลุกขึ้นมากินอาหารแต่เช้า หลังจากนั้นก็พามาส่งนอกกำแพง
“เทพแห่งสายฟ้า ท่านจะไม่มีทางได้ย่างเหยียบเข้ามาที่นี่อีกแล้ว”
อุตการ์ดโลกิบอกคณะเดินทางด้วยสีหน้าจริงใจ ทุกคนในคณะต่างรู้สึกอับอายที่แพ้ยักษ์ไปเสียทุกเรื่อง



“แต่ก่อนท่านจะจากไป เราจะบอกความจริงกับท่าน” จอมยักษ์ว่า “อันที่จริงคู่ต่อสู้ที่ท่านได้พบไม่ใช่ยักษ์อย่างพวกข้าเลยแม้แต่คนเดียว
เขาหยุดครู่หนึ่งแลดูสีหน้าของผู้มาเยือน

“ข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าท่านมาถึงจึงแปลงตัวไปรับ ข้าเองนี่ละคือสกรายเมียร์ ภาพลวงของธรรมชาติ ซึ่งท่านธอร์ทุบกะโหลกยักษ์สกรายเมียร์สามครั้ง
ไม่ได้โดนยักษ์เลยแต่ไพล่ไปโดนพื้นดินที่ท่านมองไม่เห็น แรงทุบของท่านไม่ใช่ว่าไม่แรง แต่ละครั้งทำให้เกิดหุบลึกขึ้นในภูมิประเทศถึงสามแห่ง
และแต่ละแห่งก็ลึกลงไปเรื่อยๆ ตามแรงของท่าน”
พ่อมดยักษ์เหลือบตาดูคณะเทพ ใบหน้าของธอร์เริ่มมีเลือดฉีดด้วยความฉุนเฉียว
แต่เขายังต้องฟังคำพูดของอุตการ์ดโลกิต่อไป

“เรื่องการแข่งขันที่เทพโลกิกินไม่ชนะก็เพราะยักษ์โลกิที่แข่งกับท่านคือ ไฟป่าซึ่งกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางอยู่ ธิอัลฟีวิ่งแข่งกับยักษ์ฮิวกิไม่ชนะ
เพราะยักษ์ฮิวกิที่ท่านเห็นไม่ใช่ยักษ์ แต่คือ “ความคิด” จะมีใครหรืออะไรบ้างเล่าจะเร็วกว่าความคิดไปได้”
อุตการ์ดโลกิปรายตามายังเทพ

“ส่วนท่าน ธอร์ ครั้งแรกท่านแข่งดื่มโดยไม่รู้หรอกว่าถ้วยใบนั้นโยงใยกับน้ำในมหาสมุทร ซึ่งไม่มีใครหรืออะไรทำให้มันลดได้ ครั้งต่อมาแมวที่ท่านแบกไม่ขึ้น
ก็คือพญางูจอร์มุนกานด์ซึ่งขดตัวล้อมรอบมิดการ์ดอยู่ใต้สมุทร และสุดท้ายยักษ์ชราเอลลี่ก็คือความชราซึ่งไม่มีใครชนะได้เลย”


ธอร์ตระหนักความจริง เขาไม่ได้แข่งกับยักษ์ แต่โดนยักษ์ซ้อนกลให้แข่งกับธรรมชาติสิ่งที่ไม่มีใครเอาชนะได้ ธอร์ยกค้อนมจอลเนียร์ขึ้นกวัดแกว่ง
กะขว้างไปฟาดอุตการ์ดโลกิให้แบน แต่พ่อมดยักษ์หายวับไปพร้อมกับเมืองอุตการ์ด เมืองลวงตาที่เขาเสกขึ้นต้อนรับคณะเทพ ทิ้งแต่เสียงหัวเราะก้องภูผา
อันเปล่าเปลี่ยวภูมิประเทศที่แท้จริงของโจตันไฮล์ม



ทั้งสี่เดินทางกลับ ข้ามทะเลไปเอาราชรถของธอร์ที่ฝากไว้บ้านชาวนา แล้วกลับธรุดไฮล์มด้วยความกระหยิ่มใจ ธอร์คิดว่าการผจญภัยต่อสู้กับอุบายของยักษ์
ถึงแม้จะน่าอับอายหน่อยๆ แต่มันก็เกิดขึ้นเพราะยักษ์กลัวเทพและกลัวพลังของตน คงเป็นเรื่องยากที่พวกมันจะเข้าโจมตีแอสการ์ดอย่างที่ใครๆ พากันกลัว

(อันนี้ธอร์แน่ใจไปหน่อยครับ เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่เดินทางเคียงข้างกับเขาในครั้งนี้นั่นแหละจะเป็นคนพายักษ์เข้าโจมตีสวรรค์ในภายภาคหน้า)


ค้อนหาย



หลังจากที่ธอร์ได้อาวุธคู่มือมจอลเนียร์ เขาก็กลายเป็นเทพที่มีพลังมากที่สุดในแอสการ์ด ค้อนกับเทพกลายเป็นหนึ่งเดียวกันราวกับเป็นอวัยวะแขนขา
ก็มีวันหนึ่งจนได้ละครับที่จู่ๆ ธอร์ก็ตื่นมาพบว่ามจอลเนียร์หายไป ธอร์แทบจะรื้อวังเป็นชิ้นๆ ทีเดียวครับ เขาพยายามหามจอลเนียร์จนเหนื่อยอ่อนก็แน่ใจว่า
คราวนี้คงต้องมีใครขโมยไปแน่ๆ


ธอร์เรียกโลกิมาปรึกษา (อย่างผมว่าแหละ หลายครั้งที่โลกิแก้ปัญหาให้เทพ) โลกิว่างานนี้น่าจะเป็นฝีมือยักษ์ เพราะเมื่อธอร์ไร้มจอลเนียร์ก็เหมือนกับ
เทพแห่งสายฟ้าไร้พลังโดยสิ้นเชิง เขาอาสาไปสืบข่าวหัวขโมย อยากรู้เหลือเกินว่าเป็นใคร โลกิไปขอยืมเสื้อคลุมขนนกวิเศษของเฟรยาซึ่งทำให้ผู้สวมใส่บินได้เหมือนนก
โลกิเดินทางไปดินแดนยักษ์ เขาบังเอิญได้พบยักษ์ธริม (Thrym, Þrymr) เจ้าตัวต้นเรื่องเข้าพอดี โลกิหลอกล่อไปมาก็ได้ความว่าธริมนี่ละครับเป็นคนขโมยค้อน
พามันไปฝังไว้ใต้ดินลึกถึง 8 ฟาธอม มันบอกว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้มันคืนค้อนได้คือต้องให้เทพีเฟรยา-เทพีแสนสวยของแอสการ์ดมาแต่งงานกับมัน
โลกิกลับสวรรค์พร้อมคำขอของยักษ์ ธอร์เรียกประชุมเทพให้ช่วยกันออกความคิด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครนึกออกว่าจะทำยังไง ที่ประชุมหันไปถาม
เทพีเฟรยาว่าจะยอมแต่งงานกับยักษ์เพื่อให้ได้อาวุธวิเศษกลับคืนมายังสวรรค์หรือไม่




แหม … อันนี้แทบไม่ต้องบอกเลยว่าเธอจะว่ายังไง เจ้าแม่เฟรยาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟนะซิ อุปนิสัยของเทวีองค์นี้ไม่ได้เสงี่ยมหงิมเหมือนเทพีองค์อื่นๆ
นางน่ะเป็นหัวหน้านางวัลคิรี นางฟ้าดำของโอดินด้วยซ้ำเพราะฉะนั้นไม่ต้องถามเลยว่าในภาคของความแข็งแกร่งทัดเทียมผู้ชายนางจะดุเดือดสักเพียงไหน
ความโกรธที่รู้สึกว่าจะต้องถูกนำตัวไปแลกอาวุธเล่นเอานางหน้าเขียว เส้นเลือดที่คอบวมเป่งดันสร้อยคอไบรซิงกาเมนหัก สร้อยคออันเป็นตัวแทน
ของดวงดาวบนท้องฟ้าหลุดจากคอของเฟรยาลงมานอนนิ่งกับพื้น

โลกิชี้ที่สร้อย เขาคิดอะไรออกในทันที เมื่อเฟรยาไม่ไปโจตันไฮล์ม คนอื่นก็น่าจะไปได้โดยอาศัยเครื่องแต่งตัวของเจ้าแม่ บรรดาเทพเห็นด้วย
และชี้ไปที่ธอร์ เทพแห่งสายฟ้าอึกอักแต่ในที่สุดก็ตกลงธอร์แปลงตัวเป็นเฟรยาออกเดินทางไปสู่ดินแดนยักษ์ มีโลกิตามติดในฐานะผู้รับใช้เจ้าสาว
เขาแต่งตัวมีผ้าคลุมหน้ามิดชิดซ่อนความรู้สึกที่อาจเผยต่อหน้ายักษ์จนอาจผิดสังเกต




เฟรยาปลอมไปถึงโจตันไฮล์มท่ามกลางความดีใจของธริมอย่างระงับไม่มิด เขาจัดงานเลี้ยงตอนรับว่าที่เจ้าสาวใหญ่โต นำอาหารจำนวนมากมากอง
ตรงหน้าเทพีปลอมเหมือนจะโอ่ว่าโจตันไฮล์มอุดมสมบูรณ์พอๆ กับแอสการ์ด ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะหาเลี้ยงเธอไม่ได้ ฝ่ายเทพีปลอมเมื่อเห็นอาหาร
น่าอร่อยตรงหน้าก็ลืมตัว ความเหนื่อยจากการเดินทางทำให้เทพจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ห้องเลี้ยงคุยสรวลเสเฮฮากันอย่างเพลิดเพลิน
เมื่อธริมหันมาเห็นว่าที่เจ้าสาวรับประทานก็ตกใจไม่น้อย ผู้หญิงอาไรตะกละชะมัด ล่อวัวเข้าไปทั้งตัว ปลาแซลมอนขนาดใหญ่อีก 8 เครื่องเทศ
และเหล้าอีกตั้ง 3 ถัง โลกิซึ่งอยู่เคียงข้างเทพีปลอมต้องแก้ตัวว่า เทพีก่นแต่โศกเศร้าที่จะต้องจากสวรรค์ เธอไม่ได้กินอะไรมาตลอด 8 วันที่ผ่านมา
ธริมก็ค่อยคลายใจ

งานเลี้ยงผ่านมาถึงตอนท้าย เมื่อธริมจะต้องจูบเจ้าสาวแล้วขอแต่งงาน ยักษ์เปิดผ้าคลุมหน้า ประกายตากล้าแข็งของธอร์ซึ่งก็คือประกายของสายฟ้า
จ้องเขม็งมายังดวงตาของธริมเล่นเอายักษ์ตกใจหงายหลัง โลกิแก้ว่า เนื่องจากเฟรยาไม่ได้นอนมาถึงแปดคืน ดวงตาของหล่อนจึงมีประกายกล้าเช่นนี้
ธริมเชื่ออีกเขาเลยผ่านพิธีจูบไปถึงตอนขอแต่งงาน




(ตามประเพณีชาวเหนือซึ่งถือว่าธอร์เป็นเทพแห่งการครองเรือนด้วย เมื่อธอร์มีค้อนเป็นอาวุธ ค้อนก็เลยกลายเป็นสิ่งที่จะต้องนำมาอ้างในการขอแต่งงานระหว่างชายหญิง)
นำค้อนมจอลเนียร์ออกมาวางบนตักเจ้าสาวเท่านั้นเองครับ เฟรยาปลอมก็คืนร่างเป็นธอร์คว้าค้อนทุบหัวธริมกับผองเพื่อนในห้องเลี้ยงตายเกลี้ยง
เขาได้อาวุธคู่มือกลับแอสการ์ดและได้ปราบยักษ์หมดไปอีกหนึ่งหมู่

————————————————-
ที่มา: ต้นข้าว. http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=226138&chapter=6
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กุมภาพันธ์ 2014, 13:03:57 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

Daran

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 109
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-1
    • ดูรายละเอียด
Re: Norse Mythology: Episode 6 – ธอร์: เจ้าแห่งสายฟ้า
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2014, 14:11:07 »