-->

ผู้เขียน หัวข้อ: แปดเซียนหรือโป๊ยเซียนโจวซือ กับของวิเศษ  (อ่าน 1046 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

แปดเซียนหรือโป๊ยเซียนโจวซือ (八仙)



ตำนานเกี่ยวกับโป๊ยเซียนนั้นมีอยู่หลายตำนาน แต่ละยุคแต่ละสมัยก็แตกต่างกันออกไป มากบ้างน้อยบ้าง บันทึกเก่าแก่เกี่ยวกับ
โป๊ยเซียนว่ากันว่า มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก หรือ ซีฮั่น มีปรากฏอยู่ในบทบันทึก “หวายหนานจื่อ” (潍南子) ของ
หลิวอัน (刘安) และเรียกเซียนทั้งแปดว่า “ปากง”(八公) ซึ่งเป็นเทพเซียนที่มุ่งแสวงหายาอายุวัฒนะ และได้บำเพ็ญเพียร
จนกระทั้งสำเร็จกลายเป็นเซียน


บันทึก “ซวี่เซียนจ้วน” (续仙传) ของเสิ่นเฟิ่น (沈汾) สมัยหนานถัง รวมทั้งบทบันทึก “หนานถังซู” (南唐书)ของลู่อิ๋ว (陆游)
ต่างก็มีข้อความเล่าเรื่องโป๊ยเซียน ในสมัย 5 ราชวงศ์ หรือ อู่ไต้ มีปรากฏภาพวาดของนักพรตจิตรกรผู้เขียนภาพชื่อ
“แปดเซียนแห่งภูเขาลู่ซาน” (蜀中八仙)



ซึ่งบุคคลในภาพแม้เรียกว่าแปดเซียน (โป๊ยเซียน) แต่ทว่า กลับมีชื่อเสียงเรียงนามไม่เหมือนกับโป๊ยเซียนในปัจจุบันที่คนส่วนใหญ่
รู้จักกันดี ชื่อของโป๊ยเซียนในสมัยห้าราชวงศ์นั้นได้แก่
หยงเฉิงกง (容成公) , หลีเอ่อ (李耳), ต่งจ้งซู (董仲舒) , จางเต้าหลิง (张道陵) , เอี๋ยนจวินผิง (严君平), หลี่ปาไป่ (李八百)
, ฟั่นฉางเซิง (范长生) และ จูเซียนเซิง (朱先生)


จวบจนกระทั้งถึงสมัยราชวงศ์หมิง อู๋หยวนไท้ (吴元泰) ได้ประพันธ์บันทึกตำนานเรียกว่า “แปดเซียนออกท่องทะเลตะวันออก”
(八仙出处东游记)
เรียกกันย่อ ๆ ว่า “ท่องตะวันออก” (东游记) ทำให้นับตั้งแต่นั้นมา ชื่อของเซียนทั้งแปด (โป๊ยเซียน)
ถึงได้บทสรุปที่ตรงกันกับคำเรียกในทุกวันนี้และยังได้สืบทอดต่อ ๆ กันมากว่า 500 ปี โดยได้ยึดเอาแบบฉบับชื่อเรียกของโป๊ยเซียน
ตามแบบของอู๋หยวนไท้เป็นบรรทัดฐานสืบเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

คำว่า "โป๊ยเซียน" ในภาษาจีนกลางมีความหมายถึง "เซียนแปดองค์" ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีนเป็นเทพเจ้าที่ชาวจีน
นับถือมาช้านาน นับเป็นหนึ่งในบรรดาเซียน นับร้อยๆองค์ของจีน แต่เทพทั้งแปดนี้นับว่าเป็นที่รู้จักดีและได้นับการนับถือ
อย่างกว้างขวางมาก โดยตามศาลเจ้าของหมู่บ้านชาวจีนมักจะมีแท่นบูชาที่ปูด้วยผ้า มีภาพวาดเซียนทั้งแปดรวมเป็นกลุ่ม
บ้างก็เป็นภาพเซียนนั่งเรือไปยังงานเลี้ยงของพระนางซีอ๋อง (งานเลี้ยงของทวยเทพและเซียนต่างๆ) บางครั้งก็วาดรวมกับ
ภาพ 18 อรหันต์ในทางพุทธศาสนาด้วย




สมาชิกทั้ง 8 ในกลุ่มของโป๊ยเซียนนั้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ปัจจุบันนี้โป๊ยเซียนมีด้วยกันดังนี้ เซียนแต่ละองค์
ในบรรดา 8 องค์นี้ มีประวัติที่มาและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แตกต่างกันไป ในปัจจุบันทั้งชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน
ยังนิยมนับถือบูชาโป๊ยเซียนอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพค้าขาย...


ซึ่งเทพทั้ง 8 องค์นี้ประกอบไปด้วย...

เซียนองค์ที่ 1 หลีทิก๊วย (李鐵拐)
เซียนแห่งยา และการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ



หลีทิก๊วย เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 200 เดิมชื่อ หลีเหียน เมื่อเป็นหนุ่มเป็นชายรูปงาม กำพร้าบิดามารดา มีความสนใจ
ในการท่องบทคัมภีร์และมีใจฝักใฝ่ในธรรมะ ไม่เสพเนื้อสัตว์ เป็นคนรักสันโดษ ต่อมาได้ละเคหสถานพำนักรักษาศีล
ตามโรงเจ เมื่อมีผู้มาขอทรัพย์สินและบ้านที่เคยอยู่อาศัยก็สละให้หมด และออกบำเพ็ญตบะตามถ้ำ

ต่อมาได้เดินทางไปยังเขาฮั่วซัวฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลีเล่ากุล อาจารย์ใหญ่ พร้อมกับศึกษาธรรมบำเพ็ญภาวนาจนสำเร็จ
มีผู้นับถือและสมัครเป็นศิษย์มากมาย มีศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่งชื่อ เอี้ยวจื้อ อยู่มาวันหนึ่งหลีเหียนได้ถอดวิญญาณออกจากร่าง
ไปหาอาจารย์ โดยบอกให้เอี้ยวจื้อดูแลร่างไว้ให้ดีครบ 7 วัน จะกลับมา พอวันที่ 6 มารดาของเอี้ยวจื้อเจ็บหนัก และเอี้ยวจื้อ
คิดว่าอาจารย์ได้ตายแล้ว จึงเผาร่างอาจารย์และรีบเดินทางไปหามารดา แต่มารดาได้ตายเสียก่อน

ส่วนหลีเหียนหลังจากถอดวิญญาณไปแล้วอาจารย์หลีเล่ากุลได้พาไปศึกษาวิชาเซียน 36 สำนัก เมื่อกลับมาไม่พบร่างของตน
พบแต่กองขี้เถ้า วิญญาณหลีเหียนจึงเที่ยวล่องลอยหาร่างใหม่อาศัย เมื่อไปพบศพขอทานขาพิการสกปรกมีไม้เท้า
และถุงข้าวสารอยู่ข้างๆ จึงเข้าไปอาศัยร่างและได้เสกไม้เท้าเป็นไม้เท้าเหล็ก เสกถุงข้าวสารเป็นน้ำเต้า ส่วนข้าวสารก็เสก
เป็นยารักษาโรค และได้เรียกตนเองว่า หลีทิก๊วย

จากนั้นก็รีบไปชุบชีวิตมารดาของเอี้ยวจื้อให้ฟื้นขึ้น แล้วหลีทิก๊วยก็กลับไปอยู่สำนักหลีเล่ากุลเป็นเซียนองค์ที่หนึ่ง

ผู้ใดปรารถนาจะให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ให้จุดธูปบูชาและอธิษฐานถึง เซียนหลีทิก๊วย

น้ำเต้า (葫芦)  เป็นน้ำเต้าวิเศษที่สามารถดลบันดาลสุขให้แก่มนุษย์ ภายในจะมีค้างคาวห้าตัวโบยบินออกมาจากน้ำเต้า
อันหมายถึง ความสุขห้าประการของมนุษย์(อู่ฝู 五福)



เซียนองค์ที่ 2 ฮั่นเจ็งหลี (鐘离權)
เซียนแห่งโชคลาภ การบริการ การปกครอง



ฮั่นเจ็งหลี เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 340 ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นบุตรของเจ้าเมืองหุนตัง เดิมมีชื่อว่า เจ็งหลีกั๊ก ต่อมาได้เป็น
แม่ทัพของกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น ได้ยกทัพไปรบกับ ปุดยู้ แม่ทัพโทวฮวน และได้ฆ่าฟันข้าศึกล้มตายเป็นจำนวนมาก

หลีทิก๊วยเซียนองค์ที่หนึ่งเล็งด้วยญาณรู้ว่า เจ็งหลีกั๊กเดิมเป็นเซียนรักษาหอสมุดบนสวรรค์ แต่ได้ทำความผิดฐานทำหนังสือ
ประวัติโหงวแป๊ะเซียน (เซียนห้าร้อยองค์) หาย จึงถูกลงโทษให้มาเกิดบนโลกมนุษย์ หลีทิก๊วยจึงคิดช่วยเจ็งหลีกั๊กให้ได้
กลับเป็นเซียน จึงแนะอุบายให้ปุดยู้ใช้ทหารหญิงปลอมตัวไปส่งเสบียงให้ทหารของเจ็งหลีกั๊ก ทหารหญิงพวกนี้ได้มอมสุรา
ทหารเจ็งหลีกั๊กจนเมามาย แล้วยกทัพเข้าตีทัพเจ็งหลีกั๊กจนแตกทัพ แต่เจ็งหลีกั๊กหนีรอดไปได้ และได้พบกับอาจารย์
"ตังหัวจินหยิน"

อาจารย์ตังหัวจินหยินได้สอนธรรมะรวมทั้งสอนวิธีใช้ไฟธาตุในร่างกายหลอมสิ่งของต่างๆ ให้กลายเป็นทองและให้กั้นหยั่นวิเศษ
แก่เจ็งหลีกั๊ก ต่อมาเจ็งหลีกั๊กได้ลาอาจารย์เดินทางกลับบ้าน อาจารย์ตังหัวจินหยินได้บอกกับเจ็งหลีกั๊กว่าวันหนึ่งจะกลับไป
เป็นศิษย์ เมื่อได้พบกับพี่ชายชื่อ เจ็งหลีกั้ง

เจ็งหลีกั๊ก จึงชวนพี่ชายออกบำเพ็ญตบะ ได้ช่วยชาวบ้านฆ่าเสือและหลอมก้อนกรวดให้เป็นทองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน
ต่อมาวันหนึ่งหลีทิก๊วยได้มารับเจ็งหลีกั๊กไปเป็นเซียนองค์ที่สองของสำนักหลีเล่ากุน และให้ชื่อว่า ฮั่นเจ็งหลี เซียนฮั่นเจ็งหลี
ได้นำมนต์ใช้ไฟธาตุในตัวและกั้นหยั่นวิเศษมอบให้กับอาจารย์ ฮวยเหล็งจินหยิน เพื่อฝากคืนให้แก่อาจารย์ตังหัวจินหยิน

ผู้ใดปรารถนาจะให้ตนมีความกล้าหาญ เข้มแข็ง เอาชนะศัตรูได้ พึงจุดธูปเทียนบูชาและอธิษฐานถึง เซียนฮั่นเจ็งหลี

พัดใบกล้วย(芭蕉扇)  สามารถโบกพัดคนตายให้กลับฟื้นคืนชีพได้ ดังั้นจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “พัดฟื้นคืนวิญญาณ”
หรือ “พัดหวนคืนชีพ” (还魂扇)





เซียนองค์ที่ 3 ลื่อทงปิน (呂洞賓)
เซียนแห่งการรักษาโรค



ลื่อทงปิน เกิดเมื่อ พ.ศ. 1341 ในราชวงศ์ถัง เป็นบุตรของเจ้าเมืองไฮจิ่ว ในอดีตชาติเป็นอาจารย์ ตังหัวจินหยิน
ที่กลับชาติมาเกิด วันหนึ่งได้ออกเที่ยวป่าและได้พบกับอาจารย์ ฮวยเหล็งจินหยิน

อาจารย์ฮวยเหล็งจินหยิน ทราบว่าลื่อทงปินคืออาจารย์ตังหัวจินหยิน ที่กลับชาติมาเกิด จึงได้สอนการบำเพ็ญธรรม
และวิชาใช้ไฟธาตุหลอมสิ่งของต่างๆ ให้กลายเป็นทอง พร้อมทั้งได้มอบกั้นหยั่นวิเศษที่ ฮั่นเจ็งหลี ฝากไว้ให้

ต่อมาลื่อทงปินได้ออกช่วยเหลือประชาชนฆ่ามังกรยักษ์ด้วยกั้นหยั่นวิเศษ และได้ปลอมตัวเป็นคนหาบน้ำมันขาย
ผู้ใดที่ซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถมก็จะอุปถัมภ์ ปรากฏว่ามีหญิงชรามาขอซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถมอีกทั้งยังเอื้อเฟื้อให้
อาหารแก่ลื่อทงปิน ลื่อทงปินจึงเอาข้าวสุกโปรยลงในบ่อน้ำและเสกให้เป็นสุราอย่างดีให้หญิงชราและลูกชาย
ขายจนร่ำรวย

วันหนึ่งลื่อทงปินไปกินอาหารร้านนางซินสี และไม่ได้จ่ายเงินอยู่ 4 วัน นางซินสีก็ไม่ทวงถาม ลื่อทงปินจึงเอา
เปลือกส้มมาเสก เป็นนกกระเรียนติดไว้กับผนังร้าน เพื่อให้นางซินสีเรียกนกกระเรียนมาเต้นรำให้ผู้กินอาหารดู
ทำให้มีผู้มากินอาหารมากมายจนนางซินสีร่ำรวย

ต่อมาลื่อทงปินไปสอบเป็นขุนนางได้ชั้นจิ้นลือ อยู่มาวันหนึ่งได้พบกับฮั่นเจ็งหลีเซียนองค์ที่สอง ฮั่นเจ็งหลีจึง
ชวนไปบำเพ็ญตบะที่ภูเขาเฮาะฮง ลื่อทงปินรับคำแล้วลาออกจากขุนนาง แล้วเดินทางแวะไปหาหญิงชราและ
ลูกชายที่เคยเสกน้ำในบ่อให้เป็นสุรา ลูกชายหญิงชราพูดจายโสไม่ให้ความเคารพ ลื่อทงปินจึงเรียกเอา
เมล็ดข้าวขึ้นมา ทำให้สุราในบ่อกลายจึงเป็นน้ำตามเดิม

จากนั้นได้แวะไปหานางซินสี นางซินสีได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ลื่อทงปินได้ขอนกกระเรียนจากผนังร้านคืน
และบอกนางซินสีว่า ถ้าอยากร่ำรวยก็ให้จุดธูปบูชาถึงตน จากนั้นก็ขี่นกกระเรียนไปเป็นเซียนองค์ที่สาม

ถ้าผู้ใดปรารถนาให้ค้าขายมีกำไรร่ำรวยเป็นเศรษฐี พึงจุดธูปและอธิษฐานถึง เซียนลื่อทงปิน

กระบี่วิเศษ (宝剑)  มีอิทธิฤทธิ์ในการพิชิตมารร้ายและกำราบปราบปีศาจและสิ่งอัปมงคล
 


เซียนองค์ที่ 4 เตียกั๊วเล้า (張果老)
เซียนแห่งความมั่นคง อายุยืน สุขภาพดี



เตียกั๊วเล้า เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 1170–1226 ในสมัยพระนางบูเช็กเทียน และพระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ กำเนิดเดิม
เป็นค้างคาวเผือก ได้อาบแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ และจำศีลภาวนาหลายพันปีจึงกลายเป็นมนุษย์ มีลาเผือกเป็นพาหนะ
แต่จะขี่ลาหันหน้าไปข้างหลัง

แม้เตียกั๊วเล้าจะมีอายุมากกว่าร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังดูหนุ่มแน่นเมื่อพระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ จึงทรงให้นางข้าหลวงไปเชิญ
เตียกั๊วเล้าเข้าวัง แต่เตียกั๊วเล้าแกล้งทำเป็นลมชักสลบไป มีหนอนขึ้นตาม จมูก ปาก และหู ทำให้ทุกคนเชื่อว่าตายไปแล้ว
แต่ต่อมาศพก็ได้หายไป จนกระทั่งในสมัยของพระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ ได้ทรงให้ข้าหลวงไปเชิญเตียกั๊วเล้าเข้าเฝ้า เตียกั๊วเล้า
ก็แกล้งทำเป็นตายอีก พวกข้าหลวงได้พร่ำอ้อนวอนจนเตียกั๊วเล้าใจอ่อน จึงฟื้นขึ้นและยอมเข้าวัง

พระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ต่อมาเตียกั๊วเล้าเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในราชวัง จึงทูลพระเจ้าเม่งจงขอกลับไป
อยู่ตามป่าเขา พระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตและทรงพระราชทานสิ่งของและจัดรถลากให้ โดยมีคนลากคนหนึ่งและ
คนเข็นหลังรถอีกคนหนึ่ง เมื่อเดินทางถึงเมืองเฮ่งจิว เตียกั๊วเล้าก็ให้คนทั้งสองกลับไปแต่ หลีแซ ไม่ยอมกลับ และมีความ
เลื่อมใสในตัวของเตียกั๊วเล้า จึงขอเป็นศิษย์ติดตามรับใช้ ถือศีลกินเจ เรียนมนต์คาถาและศึกษาธรรมจากเตียกั๊วเล้า

วันหนึ่งหลีแซได้มากราบทูลพระเจ้าเม่งจงว่าเตียกั๊วเล้าเป็นไข้ป่าตายเสียแล้ว จึงรับสั่งให้จัดโลงศพทองคำพร้อมกับทำ
ฮวงซุ้ยบรรจุศพอย่างดี แต่พอเปิดโลงศพออกไม่พบศพ มีแต่กระดาษเขียนทูลลาว่าต้องไปเป็นเซียนองค์ที่สี่

ผู้ที่ปรารถนาให้ตนมีเสน่ห์และเป็นที่นิยมรักใคร่ของคนทั้งหลายให้จุดธูปบูชา และให้อธิษฐานถึงเซียนเตียกั๊วเล้า

กลองปลา (鱼鼓) เป็นกระบอกเครื่องดนตรีวิเศษที่มีคุณสมบัติในการส่งเสียงสะท้อนก้องกังวาลไปไกลแสนไกล




เซียนองค์ที่ 5 น่าไช่ฮั้ว (藍采和)
เซียนแห่งมวลบุปผาชาติ ความอุดมสมบูรณ์



ตามตำนานเล่าว่า น่าไช่ฮั้ว เป็นวณิพกเที่ยวร้องเพลงขอทานไปตามหมู่บ้าน มีเครื่องแต่งกายคร่ำคร่าอยู่ 2 ชุด ชุดหนึ่งหนา
ใช้ใส่ในฤดูร้อน ส่วนอีกชุดหนึ่งบางใช้ใส่ในฤดูหนาว ซึ่งผิดกับคนธรรมดาทั่วๆ ไป และมีกรับอันหนึ่งยาวสามฟุตใช้ขยับให้
จังหวะขณะร้องเพลง

อยู่มาวันหนึ่งน่าไช่ฮั้วได้ตีกรับร้องเพลงไปตามหมู่บ้าน จนเผลอหลงเข้าไปในป่าหาทางกลับไม่ถูก พอพลบค่ำน่าไช่ฮั้วได้หา
ที่นอนบริเวณเชิงเขา ครั้นถึงเวลายามเศษก็แว่วเสียงดุริยางค์มาจากท้องฟ้า น่าไช่ฮั้วจึงแหงนขึ้นดู ก็เห็นเซียนหลายองค์นั่งอยู่
ในกลุ่มก้อนเมฆ มีเซียนองค์หนึ่งได้ร้องบอกให้น่าไช่ฮั้วอย่ามัวเที่ยวขอทานอยู่เลย ให้ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล ท่องมนต์
บำเพ็ญเพียรญาณตบะให้มั่นคง อีกสามวันแห่งสวรรค์หรือสามปีในโลกมนุษย์จะมารับไปเป็นเซียน และมอบคัมภีร์ให้

น่าไซ่ฮั้วได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมภาวนามนต์ตามคัมภีร์จนจบ มีคนมาฝากตัวเป็นศิษย์มากมาย ในคืนวันเดือนเพ็ญคืนหนึ่ง
ขณะที่น่าไซ่ฮั้วนั่งสนทนากับศิษย์จำนวนร้อยแปดคนในถ้ำก็แว่วเสียงดุริยางค์สังคีตล่องลอยมาจากท้องฟ้า น่าไช่ฮั้วก็ทราบ
โดยทันทีว่า หลีทิก๊วย มารับตนไปเป็นเซียนแล้ว น่าไช่ฮั้วจึงบอกศิษย์ทุกคนจงตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม
แล้วน่าไช่ฮั้วก็เสกกรับของตนให้เป็นนกกระเรียน แล้วให้นกกระเรียนสลัดขนไว้ร้อยแปดอันเสกเป็นกำไรมือพร้อมกับให้
ศิษย์เก็บไว้คนละอัน กำไรมือจะช่วยป้องกันอันตรายเว้นแต่ผู้ไม่สุจริตเท่านั้น หลังจากนั้นน่าไซ่ฮั้วก็ขึ้นขี่นกกระเรียนตาม
หลีทิก๊วยไปเป็นเซียนองค์ที่ห้า

ผู้ใดปรารถนาให้ตนได้เป็น ศิลปินที่มีผู้คนนิยม พึงจุดธูปบูชาและอธิษฐานถึง เซียนน่าไช่ฮั้ว

กระเช้าดอกไม้ (花篮)  มีความหมายถึง ความเป็นสิริมงคลแทนความสุขสดชื่นและสดใสร่าเริง
ภายในกระเช้าจะมีดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่งตลอดเวลาโดยไม่มีวันเหี่ยวเฉา




เซียนองค์ที่ 6 ฮ่อเซียนโกว (何仙姑)
เซียนแห่งความดีงาม ความซื่อสัตย์



ฮ่อเซียนโกว เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 1233 ในราชวงศ์ถัง เป็นบุตรีของ ฮ่อซู เดิมมีชื่อว่า ฮ่อสี อยู่ที่เมืองกวางตุ้ง
เป็นคนมีรูปร่างอ้วน ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่เป็นคนใจบุญ มีความประพฤติเรียบร้อย และจิตใจฝักใฝ่ในพระธรรม

คืนวันหนึ่งมีเทวดามาเข้าฝันให้นางหาแป้งฮุ่นบ๊อมารับประทานแล้วนางจะมีรูปร่างงดงาม ไม่เจ็บป่วย ไม่แก่ เมื่อตื่นขึ้น
จึงให้คนไปหาแป้งฮุ่นบ๊อมารับประทาน จนกระทั่งร่างกายของนางมีความสวยงามดุจเทพธิดา

วันหนึ่งในขณะที่นางฮ่อสีเดินเล่นมาจนถึงชายหาดริมแม่น้ำหุ้นห้อเกย นางก็ได้พบ หลีทิก๊วย และ น่าไช่ฮั้ว นั่งสนทนาธรรม
กันอยู่ที่ศาลา นางจึงเข้าไปกราบขอร่วมฟังการสนทนาธรรมด้วย เนื่องจากนางมีใจฝักใฝ่ในพระธรรมอยู่แล้วจึงได้มอบตัว
เป็นศิษย์ หลีทิก๊วยได้มอบคัมภีร์วิชาเซียนให้กับนางได้ใช้เป็นแนวทางในการฝึกปฏิบัติบำเพ็ญตบะ

หลังจากที่นางได้เรียนวิชาเซียนจบแล้วจึงบอกบิดามารดาว่าต่อไปจะต้องไปเป็นเซียน ต่อมาในคืนวันเพ็ญเดือนหก
ขณะที่นางนั่งสวดมนต์อยู่ ก็แว่วเสียงดุริยางค์สังคีตล่องลอยมาจากอากาศ นางก็ทราบได้ทันทีว่าหลีทิก๊วยมารับไปเป็นเซียน
นางจึงรีบปลุกบิดามารดาให้ลุกขึ้น แล้วจุดธูปบูชาเซียน จากนั้นนางก็ร่ำลาบิดามารดา และบอกว่าหลีทิก๊วยมารับไปเป็นเซียน
เมื่อหลีทิก๊วยขี่เมฆล่องลอยมาถึงก็บอกให้นางฮ่อสีเสกคัมภีร์ให้เป็นนกกระเรียน ขึ้นขี่นกกระเรียนตามหลีทิก๊วยไป เมื่อถึงเขาฮั่วซัว
หลีเล่ากุน อาจารย์ใหญ่ก็ออกมาต้อนรับ และจัดให้เป็นเซียนองค์ที่หก

ผู้ใดปรารถนาให้ตนมีอายุยืนนาน มีรูปร่างสวยงาม มีสติปัญญาดี พึงจุดธูปเทียนบูชา และอธิษฐานถึง เซียนฮ่อเซียนโกว

ดอกบัว (荷花) เป็นดอกบัวที่ใหญ่โตและงดงามกว่าดอกบัวโดยทัวไป มีความหมายถึงการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ให้ช่วยคุ้มครองมนุษย์ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง




เซียนองค์ที่7 ฮั่นเซียงจื่อ (韓湘子)
เซียนพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และการดนตรี



ฮั่นเซียงจือ เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 1503 ในสมัย พระเจ้าเต็กจงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ถัง เป็นหลานของ ฮั่นหยู ซึ่งรับราชการ
เป็นปลัดกระทรวงวัง ฮั่นเซียงจือมีความสนใจผู้วิเศษ จึงได้ออกสืบเสาะค้นหาจนกระทั่งได้พบเซียน ลื่อทงปิน เซียนองค์ที่ 3
จึงได้ศึกษาวิชาเซียนและบำเพ็ญตบะอยู่สามปี

หลังจากนั้นฮั่นเซียงจือก็ลาอาจารย์เดินทางกลับบ้าน ในระหว่างทางได้พบต้นท้อออกลูกสุกแดงจึงปีนขึ้นไปเก็บ แต่เหยียบกิ่งท้อหัก
พลาดตกลงมาสลบไปครั้นพอฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นเซียน (ง่ายเกิ๊น)

ต่อมาในเมืองหลวงเกิดฝนแล้ง พระเจ้าเต็กจงฮ่องเต้จึงให้ฮั่นหยูซึ่งเป็นอาของฮั่นเซียงจือทำพิธีของฝน ถ้าฝนไม่ตกภายในเจ็ดวัน
ก็จะถอดถอนออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าฝนตกในช่วงระยะเวลาดังกล่าวก็จะเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเสนาบดี ฮั่นหยูได้ทำพิธีอยู่หกวัน
ฝนก็ไม่ตก ฮั่นเซียงจือจึงปลอมตัวเป็นโยคีมาช่วย โดยฮั่นหยูให้สัญญาว่าถ้าทำให้ฝนตกได้จะยกทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมด ฮั่นเซียงจือ
จึงได้นั่งบริกรรมสวดมนต์ขอฝนจนกระทั่งฝนตกใหญ่สามวันสามคืน

แต่ฮั่นหยูกลับไม่ยอมยกทรัพย์สินให้ฮั่นเซียงจือตามที่สัญญาเอาไว้ ฮั่นเซียงจือจึงคืนร่างจากโยคีไปเป็นเซียนและบอกกับฮั่นหยูว่า
ตนไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆ เพียงแต่จะลองใจดูเท่านั้น ต่อมาฮั่นหยูประสบชะตากรรมถูกถอดยศและริบทรัพย์สิน สักหน้าแล้วถูก
เนรเทศให้ไปอยู่ชายแดน ฮั่นหยูไปที่แห่งใดก็ไม่มีใครต้อนรับ มีแต่ความลำบากหิวโหย ฮั่นเซียงจือจึงบอกให้ฮั่นหยูไปบำเพ็ญพรตถือศีล
ส่วนฮั่นเซียงจือได้ไปเขาฮั่วซัวสำนักหลีเล่ากุนเป็นเซียนองค์ที่เจ็ด

ผู้ใดปรารถนาให้ตนเป็นนักประพันธ์และนักกวีที่มีชื่อเสียง พึงจุดธูปบูชาอธิษฐานถึง เซียนฮั่นเซียงจือ

ขลุ่ย (笛) เสียงอันไพเราะของขลุ่ยวิเศษ ไม่เพียงแต่บรรเลงด้วยท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะหู
แต่ยังสามารถสะกดวิญญาณของผู้ฟังให้ชะงักได้ทันที




เซียนองค์ที่8 เช่าก๊กกู๋ (曹國舅)
เทพผู้บันดาลยศถาบรรดาศักดิ์


เช่าก๊กกู๋เกิดในสมัยราชวงศ์ซ้อง เป็นน้องชายของ พระนางเช่าสีฮองไทเฮา เช่าก๊กกู๋เป็นคนที่มีความประพฤติดีงาม ส่วนน้องชายของ
เช่าก๊กกู๋ชื่อ เช่ายี่ เป็นคนเกเร เที่ยวลักขโมยและข่มเหงชาวบ้าน เพราะถือตัวว่าเป็นน้องชายของฮองไทเฮา เช่าก๊กกู๋พยายามสั่งสอน
ว่ากล่าวก็ไม่เชื่อฟัง เช่าก๊กกู๋จึงคิดจะหลีกหนีไปเสีย ประกอบกับมีใจฝักใฝ่พระธรรมอยู่แล้ว จึงได้ทูลลาฮองไทเฮาออกท่องเที่ยว
ตามป่าเขาและบำเพ็ญตบะอยู่ตามถ้ำ

ฝ่ายอาจารย์ หลีเล่ากุน เล็งญาณรู้ว่าเช่าก๊กกู๋บำเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำหลายปีแล้ว ควรเชิญมาเป็นเซียนเพื่อให้ครบแปดองค์ จึงให้ ฮั่นเจ็งหลี
และ ลื่อท่งปิน ไปรับเช่าก๊กกู๋ พร้อมกับเชิญ หลีทิก๊วย เตียกั๊วเล้า น่าไช่ฮั้ว ฮ่อเซียนโกว และ ฮั่นเซียงจือ ให้มาประชุมพร้อมกันเพื่อคอย
ต้อนรับ เช่าก๊กกู๋

ในขณะที่หลีเล่ากุนกับเซียนทั้งปวงกำลังประชุมกันอยู่ที่เขาฮั่วซัวนั้น ฮั่นเจ็งหลีกับลื่อทงปินได้พาเช่าก๊กกู๋มาถึงเซียนทั้งปวงจึงพากัน
ออกมาต้อนรับ หลีเล่ากุนได้กล่าวว่า ถึงแม้เช่าก๊กกู๋จะเป็นเชื้อพระวงศ์พรั่งพร้อมด้วยวาสนาและทรัพย์สมบัติยังสู้สละความสุขสบาย
มาถือสันโดษบำเพ็ญตบะจึงสมควรได้เป็นเซียนองค์ที่แปด

ผู้ใดปรารถนามิให้ภูตผี พาลมากล้ำกลายรบกวน พึงจุดธูปบูชา และให้อธิษฐานถึง เซียนเช่าก๊กกู๋


แผ่นป้ายคู่อินหยาง (阴阳板) เป็นแผ่นป้ายวิเศษยามเข้าเฝ้าฮ่องเต้ มีพลังอำนาจแห่งธรรมชาติในการทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มิถุนายน 2018, 14:14:22 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

letgo

  • ว๊องแมน
  • *
  • กระทู้: 5
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: แปดเซียนหรือโป๊ยเซียนโจวซือ กับของวิเศษ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2018, 00:48:23 »