-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนาน 5 ผีพื้นบ้านสยองขวัญ  (อ่าน 247 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
ตำนาน 5 ผีพื้นบ้านสยองขวัญ
« เมื่อ: 07 ธันวาคม 2018, 11:04:39 »

ตำนาน 5 ผีพื้นบ้านสยองขวัญ
Cr. พี่น้ำผึ้ง @ Dek-d / variety.thaiza.com /spokedark.tv

แบล็ก แอนนิส (Black Annis)



ถ้าพูดถึงตำนานผีพื้นบ้านของเกาะอังกฤษ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “แบล็ก แอนนิส (Black Annis)” เป็นแน่แท้
ปีศาจตนนี้เป็นปีศาจที่มีลักษณะเป็นหญิงชรา ใบหน้าเหี่ยวย่น ใบหน้าซีดเซียด ดวงตากลมโต ขุ่นมัวแต่กลับดุร้าย
ทั้งเขี้ยวและเล็บเป็นเหล็ก มันอาศัยอยู่ในถ้ำเขตหุบเขาดีน เมืองเลสเตอร์เชอร์ ประเทศอังกฤษ ว่ากันว่านี่คือ
ร่างอวตารของแบล็ค แอกเนส เคานท์เตสแห่งดันบาร์


คนโบราณของอังกฤษเล่าขานเรื่องความดุร้ายของผี แบล็ก แอนนิส นี้ให้กับลูกหลานฟังว่า....



"เมื่อใดก็ตามที่ผีร้ายตนนี้เลือกเหยื่อได้แล้ว มันจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนหน้าอกของเด็กเคราะห์ร้ายรายนั้น
ต่อไปก็ก้มหน้าลงดูดเอาลมหายใจของเด็กผู้นั้นออกไปจากร่าง และเมื่อหมดลมหายใจ
(เพราะผี แบล็ก แอนนิส มันดูดไปหมดแล้ว) นังผีร้ายจะถลกหนังแล้วก็กินเนื้อเด็กรายนั้นเสียเลย" ...


ในตำนานยังกล่าวไว้อีกว่า หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว แบล็ก แอนนิสจะนั่งบนกองกระดูกเหยื่อหน้าถ้ำของมัน
และเมื่อมีคนผ่านไปเห็น มันจะรีบหายตัวไปเหลือไหวแต่เศษกระดูกนั่นเอง พีคจริงอะไรจริง

 


ลา โยโรนา (La Llorona)



ลาโยโรนา (La Llorona) หรือ "นางร่ำไห้" เป็นผีในตำนานพื้นบ้านของลาตินอเมริกา

เรื่องของลา เลลโรนา (La Llorona) ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่มีเค้าโครงมาจากความเป็นจริงบางส่วนของเม็กซิโกนั้น
เป็นเรื่องที่สร้างความสยองใจให้แก่ผู้คนในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก


ความสยองนั้นมาจากการที่ใครบางคนได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาในช่วงกลางดึก โดยที่เสียงนั้น
เป็นเสียงที่ลอยลมมากระทบกับโสตประสาทของคนที่นอนไม่หลับหรือกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ และเสียงที่ว่านั้น
ก็กรีดลึกบาดใจของผู้ฟังจนรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เสมอ

คำว่า ลา เลลโรลนา เป็นคำที่ถ่ายทอดมาจากภาษาสเปนซึ่งมีความหมายว่าผู้หญิงผู้หญิงซึ่งกำลังร่ำไห้คร่ำครวญ
โดยมีที่มาที่ไปจากดินแดนเม็กซิโกเป็นหลักทั้งนั้น เมื่อมีคนเม็กซิกันอพยพมาตั้งหลักแหล่งในอเมริกา จึงนำเอา
ความเชื่อและเรื่องราวเกี่ยวกับผีผู้หญิงตนนี้ติดตามมาด้วย

เรื่องนี้มีที่มาจากเรื่องของสตรีคนหนึ่งซึ่งมีลูกน้อยอยู่ด้วย ต่อมาเธอต้องการจะแต่งงานอยู่กินกับชายคนหนึ่ง
ซึ่งเธอคิดว่ามันเป็นความรักครั้งใหม่ ชายคนนั้นบอกว่าเขาเองก็รักเธอมากแต่เขาไม่ชอบเด็กๆ และนั่นก็มากพอ
ที่จะทำให้เธอหาทางกำจัดลูกๆของเธอออกไปเพื่อที่จะแต่งงานอยู่กินกับเขา


ท้ายที่สุด เธอตัดสินใจสังหารลูกๆของเธอ แต่ก็ยังรู้สึกผิดที่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้น ต่อมาเธอเฝ้าวนเวียนคิดถึง
แต่เรื่องนี้จนทำให้เกิดความกดดันอย่างหนัก จนท้ายที่สุดจึงได้ฆ่าตัวตายไปเพื่อหนีปัญหา



กระนั้นก็ตาม การฆ่าตัวตายนั้นไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ทำให้เธอพ้นเวรพ้นกรรม เพราะปรากฏวิญญาณของเธอยังไม่พบ
ความสงบเสียที หากแต่ต้องออกมาเดินไปตามสถานที่ต่างๆพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาไปตามพื้นที่
เหล่านั้น

บางทีก็ดูเหมือนว่าเธอกำลังมองหาลูกของเธอที่ตายจากไปและบางตำนานหรือเรื่องเล่าก็บอกว่าเธอจะมาปรากฏร่าง
ให้เห็นเพื่อเตือนใจใครๆว่าเมื่อเห็นเธอแล้วจะได้ไม่หลงทำตัวผิดพลาดแบบเธออีก กลับได้ก็กลับใจเสียอะไรทำนองนั้น


บางตำนานก็กล่าวว่าเธอลงมือสังหารลูกๆ ที่แสนน่ารักและไม่รู้เดียงสาของเธอด้วยการกดหัวพวกเขาในลำน้ำชลประทาน
ของย่านตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา แล้วปล่อยให้ร่างของลูกๆที่ปราศจากลมหายใจของเธอดำดิ่งลงไปในสายน้ำนั้น


ต่อมาเมื่อได้คิด เธอก็ออกเดินทางไปตามแหล่งน้ำนั้นเพื่อที่จะมองหาศพลูกๆของเธอ หรือบางทีก็อาจจะเป็นเด็กๆคนอื่น
ก็ได้ทั้งสิ้น หรือบางทีเรื่องเล่านี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของคำเตือนให้ผู้ปกครองคอยดูแลลูกหลานไม่ให้ไปเล่นน้ำ
ในลำธารต่างๆเพราะอาจจะจมน้ำตายก็ได้

เมื่อมองกลับไปยังประเทศเม็กซิโก เรื่องนี้จะสอดคล้องกับตำนานซึ่งเล่ากันว่าเกิดขึ้นในปีค.ศ.1550 คราวนั้น
มีเจ้าหญิงพื้นเมืององค์หนึ่งตกหลุมรักอย่างแน่นแฟ้นกับหนุ่มผู้สูงศักดิ์จนยากจะถ่ายถอนได้



หนุ่มรายนั้นให้สัญญาว่าจะแต่งงานอยู่กินกับเธอ แต่แล้วเขาก็ทรยศกบฏรักต่อเธอโดยหันไปแต่งงานกับสาวคนอื่น
เรื่องนี้ทำให้เจ้าหญิงช้ำใจเป็นอย่างมากจนถึงกับต้องหาทางระบายความแค้นของเธอ และท้ายที่สุดเมื่อถูกท้าทาย
จากเจ้าชายผู้ทรยศรัก เธอก็ระบายความแค้นด้วยการสังหารลูกของเธอโดยใช้มีดของชายหนุ่มผู้นั้น

ต่อมา...เมื่อได้สติแล้ว เธอก็เสียอกเสียใจเป็นอันมาก และเรื่องนี้ทำให้เธอออกเดินไปตามถนนหนทางต่างๆ
พร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเสียใจที่ได้ทำอะไรผิดพลาดอย่างรุนแรงจนถึงขั้นสังหารลูกๆของเธอเอง

ต่อมาเธอจึงฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอตัวเองเพื่อเป็นการชดใช้บาปกรรมที่เธอก่อไว้กับลูกๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดจบ
ของเรื่องเพราะเธอยังคงกลายสภาพไปเป็นวิญญาณที่คอยตระเวนไปตามที่ต่างๆเพื่อเสาะหาลูกๆของตนเอง
อย่างไม่มีวันจบสิ้น

เรื่องน่าเศร้าทำนองนี้ก่อให้เกิดทั้งความสลดหดหู่ใจและความหวาดผวาพร้อมๆกัน เมื่อบังเอิญได้ยินเสียงร้องไห้
คร่ำครวญของผู้หญิงตอนดึกๆ บางทีเสียงนั้นอาจจะเป็นเสียงของลา เลลโรนาก็ได้


 

เดร็คคาวัค (Drekavac)



ใครที่คิดว่าประเทศไทยมีการใช้กุมารทองแค่ที่เดียวในโลก! คุณคิดผิดแล้ว เพราะตำนานของชาวสลาฟเอง
ก็มีกุมารทองเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้มุ้งมิ้งเหมือนของพี่ไทยหรอกนะ ของชาวสลาฟเนี่ยจะชอบกระโดดขี่หลัง
คนพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องชวนปวดหัว ไม่ได้ให้คุณใดๆ เลย เราเรียกกุมารสัญชาติสลาฟว่า “เดร็คคาวัค”


เดร็คคาวัคคือจิตวิญญาณของเด็กทารกที่ไม่ได้เข้ารับการรับบัพติศมาทางศาสนาคริสต์ (บัพติศมาคือพิธีที่เด็กตัวเล็กๆ
ในบ้านเข้ารับการเป็นชาวคริสต์) มีคนพูดถึงลักษณะของมันไว้หลากหลาย บ้างก็ว่าเป็นสิ่งชีวิตที่ผอมแห้งจน
เห็นกระดูก มีนิ้วมือยาวและหัวที่ใหญ่โต ดูแล้วไม่สมส่วน บ้างก็ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตหน้าขน มีกรงเล็บที่ยาวเฟื้อย
นอกจากนี้ยังมีคนบอกว่าจริงๆ แล้วเดร็คคาวัคเป็นซากศพของเด็กทารก ส่วนคนยุคใหม่กล่าวว่าเดร็คคาวัค
มีลักษณะคล้ายสุนัขหรือไม่ก็นก ก็ว่ากันไปตามแต่จะจินตนาการ

 

กวางสาว (Deer Woman)



ถ้าตำนานกรีกมีเซนทอร์ ชนเผ่าอินเดียแดงก็มี "กวางสาว (Deer Woman)" เช่นกัน ลักษณะของกวางสาวคล้ายๆ
กับเซนทอร์เลยหละ ส่วนหัวและลำตัวเป็นหญิงสาวแสนสวย ทว่าขากลับเป็นกวาง


ตามตำนานเล่าว่ากวางสาวชื่นชอบการเต้นรำ ในบางครั้งก็มักจะแอบไปเต้นรำพื้นเมืองและล่อลวงหนุ่มๆ ให้ไปซั่มกับเธอ
ถ้าใครเผลอตามไปด้วยเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น โดยหนุ่มๆ ที่เธอเลือกมักจะเป็นคนที่ยังไม่แต่งงาน หรือไม่ก็สามีที่ชอบนอกใจภรรยา




ผีโคมไฟดอกโบตั๋น (Botan Doro)



หากพูดถึงตำนานรักอมตะระหว่างคนเป็นกับคนตายในบ้านเรา เชื่อว่าหลายคนก็คงจะนึกถึงแม่นากพระโขนง
ก่อนเป็นอันดับแรก แต่ใช่ว่าตำนานรักอมตะระหว่างคนตายกับคนเป็น จะมีเฉพาะในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว
เท่านั้น เพราะในญี่ปุ่นก็ได้เคยมีตำนานเรื่องราวที่ใกล้เคียงกันเกิดขึ้นมาแล้ว มิหนำซ้ำตำนานรักสุดสยองนี้
ยังได้ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวเป็นอันดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย


โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวระหว่าง Shinnojo และ Otsuyu สองคู่รักที่มีความแตกต่างทางด้านชนชั้น
และฐานะ โดย Shinnojo เป็นชายหนุ่มชนชั้นซามูไรผู้มีฐานะปานกลาง ส่วน Otsuyu เป็นหญิงสาวจากตระกูล
ที่ร่ำรวย ระยะหลังความรักความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน เมื่อทั้งคู่ไม่ค่อยได้พบกัน และดูเหมือน
Otsuyu จะพยายามตีตัวออกห่างจากฝ่ายชายอีกด้วย เพราะความสัมพันธ์ทางความรักที่แย่ลง Shinnojo
ถึงกับล้มป่วยอย่างหนักและมันเกือบจะทำให้เขาตรอมใจตายซะด้วยซ้ำ

วันเวลาผ่านไปอาการเจ็บป่วยทางกายและใจของเขาเริ่มดีขึ้น เขาจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตาม Otsuyu
ด้วยตนเอง ทว่าตลอดการเดินทางเพื่อตามหาคนรัก เขากลับได้รับข่าวคราวที่ไม่ค่อยสู้ดีเกี่ยวกับ Otsuyu มากนัก
เมื่อทุกคนต่างระบุว่า “Otsuyu ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว” แม้จะทำใจยอมรับลำบากแต่ Shinnojo ก็ยังไม่ถึงขั้น
ตัดใจซะทีเดียว เนื่องจากตัวเขาเองก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่า Otsuyu ได้เสียชีวิตไปแล้ว และต่อให้คนรักเสียชีวิตไปแล้ว
เขาก็ยินดีที่จะได้พบกับคนรักอีกครั้ง แม้ว่าเธอจะมาในรูปแบบของวิญญาณก็ตาม

เมื่อเป็นเช่นนั้น Shinnojo จึงได้อธิษฐานขอให้ตนเองได้พบกับ Otsuyu อีกครั้งในงานเทศกาลโคมไฟ
เทศกาลที่ว่ากันว่าหากคนตายสามารถเดินทางกลับมายังโลกมนุษย์ได้อีกครั้ง แม้การอธิษฐานในค่ำคืนนั้น
Shinnojo จะไม่คิดอะไรมากและคาดว่าสิ่งที่ตนเองขอไปคงจะไม่เกิดขึ้นจริงแน่ๆ แต่น่าเหลือเชื่อที่กลางดึก
ในคืนนั้น หญิงสาวที่ Shinnojo เฝ้ารอที่จะได้พบมานานแสนนานก็ได้ปรากฏตัวให้เห็นจริงๆ Otsuyu ยังคง
สวยงามเหมือนอย่างวันที่ทั้งคู่ได้เจอกันครั้งสุดท้าย ไม่เพียงแค่ Shinnojo เท่านั้นที่ดีใจ แต่ Otsuyu ก็ดีใจ
จนน้ำตาไหลอาบแก้ม เนื่องจากเธอเองก็ไม่ได้เจอกับชายหนุ่มที่ตนเองรักมานานแสนนานเช่นกัน



แน่นอนว่าในเวลานั้น Shinnojo ไม่ได้คิดถึงการอธิษฐาน หรือสิ่งที่ใครๆบอกว่า ‘Otsuyu เสียชีวิตไปแล้ว’
เลยซักนิด นอกจากความผิดปกติที่เขาเห็นเธอถือ ‘โคมไฟดอกโบตั๋น’ ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด แต่ด้วยความดีใจ
หลังจากที่พลัดพรากกันมานาน Shinnojo จึงไม่ได้สนใจหรือใส่ใจในเรื่องราวดังกล่าว และชวนให้ Otsuyu
เข้าบ้านตามปกติ และทั้งคู่ก็ได้ร่วมหลับนอนเคียงข้างกันในคืนนั้น หลังจากนั้นทุกคืน Otsuyu ก็จะเดินทาง
มาพร้อมกับโคมไฟดอกโบตั๋นในทุกๆ ค่ำคืน และเธอก็มักจะหายตัวไปก่อนที่ Shinnojo จะตื่นในทุกๆ เช้า
 
ทว่าวันหนึ่ง Shinnojo ลืมไปว่าทุกคืนในช่วงเวลานี้ของทุกวันเป็นเวลาที่ตนเองนัดดื่มเหล้ากับคนรับใช้
ซึ่งเธอจะแวะเวียนมาที่นี่เป็นประจำทุกค่ำคืนตั้งแต่ Shinnojo ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งเมื่อคนรับใช้
เดินทางมาถึงที่บ้านและไม่ได้พบกับ Shinnojo เธอจึงเดินสำรวจทั่วบ้าน เนื่องจากมันผิดปกติเกินไปที่เจ้านาย
ของตนเองจะไม่มาดื่มเหล้าด้วยในคืนนี้ และแล้วเธอก็ได้สังเกตเห็นโคมไฟดอกโบตั๋นวางอยู่บริเวณทางเข้าบ้าน
ครู่แรกเธอเข้าใจว่าเจ้านายของตนเองอาจพาสาวๆ เข้ามาร่วมหลับนอน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเธอจึงได้
แอบมองเข้าไปที่ห้องนอนของ Shinnojo แต่แล้วสิ่งที่เธอเห็นกลับทำให้เธอตกใจจนถึงขีดสุด


เพราะสิ่งที่เธอเห็นนั้นคือภาพที่ Shinnojo กำลังมีเพศสัมพันธ์กับโครงกระดูก!!!



เธอพยายามเก็บความตกใจนั้นเอาไว้ พร้อมกับแอบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านจนกระทั่งรุ่งเช้า และเมื่อ Shinnojo
ตื่นขึ้นมาเธอก็ได้บอกความจริงกับสิ่งที่เธอเห็นทั้งหมด แน่นอนว่า Shinnojo ไม่เชื่อพร้อมกับต่อว่าสาวใช้คนนี้
ว่ากำลังสร้างเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เมื่อเป็นเช่นนั้นสาวใช้จึงพิสูจน์ความจริงด้วยการพา Shinnojo ไปยังสุสาน
เพื่อชี้ให้ดูหลุมฝังศพของ Otsuyu ซึ่งเธอระบุว่า

“เมื่อคืนเธอแอบสะกดรอยตามระหว่างที่ Otsuyu ออกจากบ้านจนกระทั่งเธอหายไปที่หลุมศพนี้”

ทั้งนี้คนรับใช้ยังเสนอวิธีพิสูจน์ความจริงว่า Otsuyu ได้เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ ด้วยการนำผ้ายันต์มาติดที่ประตูเข้าบ้าน
พร้อมทั้งกำชับไม่ให้ Shinnojo เปิดประตูหรือขานรับขณะที่เธอเรียกเป็นอันขาด การกระทำดั่งกล่าวทำให้วิญญาณ
ของ Otsuyu รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเธอพยายามเรียกหาคนรักของตนเอง



[color=red]คืนแล้วคืนเล่าแต่ Shinnojo ก็ยังใจแข็งไม่ยอมเปิดประตูให้ซักวัน และแล้ววันที่ Shinnojo ไม่คาดคิดก็มาถึง
เมื่อวิญญาณของ Otsuyu แปลงกายเป็นคนรับใช้ พร้อมกับใช้อิทธิฤทธิ์บางอย่างหลอก Shinnojo ว่าเป็น
ช่วงกลางวัน ด้วยความที่ไม่ทราบและไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคนรับใช้นั้นคือดวงวิญญาณของ Otsuyu เขาจึงได้
ชวนเธอเข้าบ้าน ทันทีที่ Otsuyu ก้าวขาเข้าบ้านแสงสว่างของดวงอาทิตย์ก็เลือนหายไป และใบหน้าของสาวใช้
ก็กลายสภาพเป็นใบหน้าของ Otsuyu จนกระทั่งรุ่งเช้าคนรับใช้ได้เดินทางมาที่บ้านและก็ได้พบกับภาพที่
ชวนตื่นตะลึงเมื่อ Shinnojo เสียชีวิตอยู่ในสภาพตาเหลือกนอนกอดโครงกระดูกของ Otsuyu อย่างน่าสยดสยอง[/color]



นับเป็นอีกหนึ่งตำนานรักสุดสยองที่เรื่องราวไม่ได้จบลงอย่างสวยงาม เพราะท้ายที่สุดแล้วคนตายและคนเป็น
ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ ไม่ว่าทั้งคู่จะรักกันมากขนาดไหนก็ตาม และสิ่งเดียวที่จะทำให้ทั้งคู่สามารถรักกัน
ต่อได้ก็คงจะหนีไม่พ้นการเดินทางไปยังโลกแห่งความตายด้วยกันนั่นเอง



ขอบคุณข้อมูลจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Drekavac
https://en.wikipedia.org/wiki/Botan_Dōrō
http://thedemoniacal.blogspot.com/2010/04/deer-woman.html
http://www.literacynet.org/lp/hperspectives/llorona.html
http://www.mythical-creatures-and-beasts.com/black-annis.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04 มกราคม 2019, 12:36:09 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่