-->

ผู้เขียน หัวข้อ: HinterKaifeck คดีสังหารหมู่ประหลาดที่ฮินเตอร์เคเฟก  (อ่าน 555 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18154
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

HinterKaifeck คดีสังหารหมู่ประหลาดที่ฮินเตอร์เคเฟก

หลายครั้งที่แสงสปอตไลน์มักสาดส่องไปที่แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องลึกลับที่หลายคนรู้จัก
มากที่สุดในโลก ทั้งๆ ที่ยังมีคดีฆาตกรรมลึกลับที่หลายคนรู้จัก หลบอยู่มุมมืด หลายคดีล้วนมีความ
แปลกประหลาดน่ากลัว ไม่แพ้คดีแจ๊คนักตัดเลยแม้แต่น้อย


หนึ่งในคดีฆาตกรรมสุดลึกลับที่จะกล่าวถึงบทความนี้เกิดขึ้นในแคว้นบาวาเรีย ของประเทศเยอรมัน
ซึ่งเต็มไปด้วยทิวทัศน์ภูเขา และธรรมชาติที่แสนงดงามมาช้านาน หากแต่ เมื่อปี 1922 เมื่อพื้นที่
ห่างไกลที่เงียบสงบ ที่ชาวบ้านแถมนั้นรู้จักในชื่อฮินเตอร์เคเฟก ได้กลายเป็นเวทีสังหารหมู่สามชิก
ครอบครัว 6 ชีวิตที่ สุดโหดเหี้ยม และลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศเยอรมัน
 
 
ฮินเตอร์เคเฟก

ฮินเตอร์เคเฟก (HinterKaifeck) เป็นฟาร์มเล็กๆ ซึ่งเป็นชื่อที่คนท้องถิ่นใช้  ที่ตั้งอยู่ในป่า ระหว่าง
เมืองบาวาเรีย อินกอลสตาดท์ และ ชโรเบนเฮาเซน (ประมาณ 70 กิโลเมตรทางเหนือของ มิวนิค )
หรือ ตั้งอยู่หลังป่าห่างจากตัวเมืองเคเฟก ประเทศเยอรมนี ราว 1 กิโลเมตร 




ฟาร์มแห่งนี้เป็นของครอบครัวกรูเบอร์ประกอบไปด้วยอันเดรส กรูเบอร์ วัย 63 ปี, คาซิลเลีย ภรรยาวัย 72 ปี
วิกตอเรีย เกเบรียล ลูกสาววัย 35 ปี และลูกของวิกตอเรีย 2 คนคือ คาซิลเลีย วัย 7 ขวบ และโยเซฟ วัย 2 ขวบ

สาเหตุที่ครอบครัวกรูเบอร์ห่างไกลจากตัวเมือง อันเนื่องจากอันเดรสเป็นคนที่ชอบสันโดษ ไม่ค่อยชอบสุงสิง
กับเพื่อนบ้านมากนัก แต่อย่างไรก็ตามครอบครัวนี้ก็เป็นที่รู้จักกันดีสำหรับคนในท้องถิ่น อันเนื่องจากข่าวลือ
ที่เสียหายที่ออกมา เป็นต้นว่าอันเดรสเป็นคนชอบทำร้ายภรรยาเป็นประจำ อีกทั้งมีข่าวลือหนาหูว่าโยเซฟ
หลานชายคนเล็กแท้ที่จริงแล้ว เป็นลูกของอันเดรสโดยเขาข่มขืนวิกตอเรีย ซึ่งเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง
จนตั้งครรภ์ เป็นเหตุทำให้เขาหลงลูกสาว และหวงลูกสาวเกินหน้าเกินตา ควบคุมความประพฤติวิกตอเรีย
อย่างเข้มงวด

แม้ข่าวลือของอันเดรสจะมีแต่เรื่องเสียหาย แต่สำหรับวิกตอเรียนั้นมีแต่ด้านบวก เพราะเธอเป็นสาวสวย
และร้องเพลงอย่างไพเราะ โดยเฉพาะเธอมักทำหน้าที่เป็นนักร้องประสานเสียงที่โบสถ์เป็นประจำ


และแล้วเรื่องราวแปลกประหลาดในฟาร์มของกรูเบอร์ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อ 1922 เมื่อแม่บ้านที่ทำงานให้กับ
ครอบครัวกรูเบอร์ จู่ ๆ ก็เก็บข้าวเก็บของลาออกจากงานอย่างกะทันหัน เมื่อถามสาเหตุแม่บ้านก็อ้างว่าเธอ
ได้ยินเสียงประหลาด และเสียงอื่นๆ บริเวณรอบบ้าน บางครั้งก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินอยู่ในห้องใต้หลังคา
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน


แม่บ้านเชื่อว่าบ้านของกรูเบอร์นั้นมีผีสิง ด้วยความกลัวผมของเธอกลายเป็นสีขาวซีดเผือก และร่างกายผอมแห้ง
เธอก็ไม่สามารถทนอยู่กับสถานที่แห่งนี้ต่อไป จึงกล่าวคำอำลาและออกจากสถานที่แห่งนี้ทันที ส่วนอันเดรส
คิดว่าแม่บ้านเป็นโรคประสาท หลอนเรื่องราวไปเองมากกว่า

อย่างไรก็ตาม หกเดือนต่อมา ก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดมากมาย ช่วงกลางเดือนมีนาคม 1922 อันเดรสได้เดิน
สำรวจความเสียหายไร่นาหลังจากเกิดพายุหิมะ และได้พบรอยเท้าแปลกบนหิมะที่ชายป่า โดยรอยเท้าเห็นได้ชัด
ว่ากำลังเดินตรงไปยังบ้านของเขา อันเดรสเห็นว่าเป็นผู้บุกรุก จึงรีบกลับไปที่บ้าน หากแต่เมื่อค้นหาอย่างละเอียด
ทั่วบริเวณก็ไม่พบผู้บุกรุกซ่อนตัวอยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นในบ้าน ในโรงนา และโรงเก็บเครื่องมือ
ก็ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดๆ


 
ในคืนวันเดียวกันนั้นเอง อันเดรสถูกปลุกให้ตื่นเมื่อได้ยินแปลกที่ไม่สามารถอธิบายไม่ได้ดังมาจากห้องใต้หลังคา
ซึ่งเป็นเสียงเดียวที่แม่บ้านได้อ้างได้ยินและเชื่อว่าเป็นผี  เขารีบไปตรวจสอบก็พบว่าไม่มีใครหลบซ่อนที่นั้นเลย
เมื่อสำรวจทั่วบ้านก็ไม่พบรอยเท้าออกจากบ้าน หรือรอยเท้าบุกรุกเข้ามา อันเดรสก็กลับเข้าไปนอนอีกครั้ง

เมื่อถึงเช้าวันถัดไป เขาก็พบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่ที่ระเบียงบ้านทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น
และเมื่อสอบถามครอบครัวก็ไม่มีใครยอมรับเป็นเจ้าของ

หลังจากนั้นไม่นาน วันที่ 30 มีนาคม 1922 ชุดกุญแจบ้านได้หายไปจากที่เก็บของมันอย่างลึกลับแม้ค้นหา
ทุกซอกทุกมุมก็ไม่มี อันเดรสยังพบว่ารูกุญแจของประตูโรงเก็บเครื่องมือมีรอยขีดข่วนคล้ายกับมีคนใครบางคน
พยายามงัดแงะ

วันที่ 31 พฤษภาคม ท่ามกลางความไม่ชอบมาพากล แม่บ้านใหม่ก็ได้เข้ามาทำงาน เธอชื่อ มาเรีย บอมการ์ตเนอร์
(Maria Baumgartner) เธอมารับงานแทนแม่บ้านคนก่อนที่ลาออกไป มันเป็นวันแรกของเธอ 


และมันก็จะเป็นวันสุดท้ายของเธอด้วยเช่นกัน

วันที่ 4 เมษายน คนในเมืองเริ่มเกิดความกังวล เมื่อไม่มีใครเห็นคนในครอบครัวกรูเบอร์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบ
คบหาสมาคมกับใคร แต่พวกเขาก็ไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ แต่ครั้งนี้พวกเขาโผล่หน้ามา  อีกทั้งวิกตอเรียมีหน้าที่เป็น
นักร้องต้นเสียงเพลงสวดก็หายไปเฉยๆ  และคาซิลเลีย ลูกสาวเธอก็ขาดเรียนโดยไม่ทราบสาเหตุในช่วง 2 วันก่อน

และนั่นเอง ทำชาวเมืองตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปยังไร่ฮินเตอร์เคเฟก เพื่อตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวกรูเบอร์
เมื่อมาถึงฟาร์ม พวกเขาก็บรรยากาศในฟาร์มเวลานั้นราวกับป่าช้าไม่มีผิด พวกเขาพยายามร้องเรียกสมาชิกครอบครัว
กรูเบอร์ แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย และเมื่อตรวจสอบบริเวณอย่างคร่าวๆ ก็ไม่มีวี่แววของสมาชิกครอบครัวกรูเบอร์แม้แต่น้อย

พวกเขาตัดสินใจที่จะตรวจสอบภายในโรงนา และเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับภาพสยดสยอง  ร่างของ อันเดรส,
คาซิลเลีย ภรรยาของอันเดรส, วิกตอเรียลูกสาวของอันเดรส และคาซิลเลีย หลานสาว ถูกนำมากองซ้อนทับกัน
โดยมีฟางแห้งคลุมร่างอยู่ภายในโรงนา

ด้วยความตกใจ ชาวบ้านก็ค้นหาสมาชิกที่เหลือก็พบว่าพวกเขาอยู่ในบ้าน ร่างหนูน้อยโยเซฟหลานสาวคนสุดท้อง
ถูกฆ่าตายนอนเสียชีวิตอยู่ในเปล และร่างของมาเรียสาวใช้คนใหม่ถูกฆ่าตายในเตียงห้องนอนของเธอ ทั้งสอง
มีเลือดท่วมที่ตอนนี้แห้งกรัง สมาชิกครอบครัวกรูเบอร์ทั้ง 5 และรวมถึงแม่บ้านที่ ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
และเลือดเย็น

 


ชาวเมืองเรียกตำรวจทันที และภายในไม่กี่ชั่วโมงผู้เชี่ยวชาญจากมิวนิคและตำรวจก็มาถึงที่เกิดเหตุ จากการ
ชันสูตรเบื้องต้นพบว่าเหยื่อทั้งหมดถูกฆ่าด้วยการตีที่ศีรษะด้วยพลั่วเพียงครั้งเดียว แม้ศพของวิคตอเรียจะมี
ร่องรอยการถูกบีบรัด แต่นั้นไม่ใช่สาเหตุการเสียชีวิต ทำให้สันนิษฐานว่าฆาตกรสังหารหมู่น่าจะมีความคุ้นเคย
กับการใช้งานพลั่ว เนื่องจากทุกบาดแผลมีความแม่นยำ และมั่นใจว่าจะสามารถทำให้เหยื่อตายในครั้งเดียว

ตามร่างกายไม่พบบาดแผลใด ๆ ทุกคนเสียชีวิตทันที ยกเว้นคาซิลเลีย (หลาน) พบร่องรอยว่าเธอยังคงมีชีวิต
อีกหลายชั่วโมงหลังจากถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งปอยผมของเธอยังถูกกระชากผมจนหลุดจากศีรษะ
หลายกระจุกโดยไม่ทราบสาเหตุ

เหยื่อทุกคนถูกฆ่าในขณะสวมใส่ชุดนอน ยกเว้นวิกตอเรียกับคาซิลเลีย (หลาน) ที่สวมชุดธรรมดา รวมไปถึง
ความจริงที่ว่าโยเซฟและมาเรียถูกสังหารขณะหลับ เห็นได้ชัดว่าการฆาตกรรมเกิดขึ้นในตอนยามวิกาลของตอนเย็น
ใกล้เวลานอนของสมาชิกครอบครัว โดยคนร้ายฆ่าวิกตอเรียและคาซิลเลีย (หลาน) ที่ยังสวมชุดธรรมดาก่อน   
จากนั้นก็ลวงอันเดรส ภรรยา วิคตอเรียลูกสาวมาสังหารทีละคน ในยุ่งฉางด้วยพลั่ว จากนั้นคนร้ายเข้ามาในบ้าน
และลงมือสังหารโยเซฟและมาเรียบนเตียง

ที่น่าประหลาด คือ ทำไมคนร้ายจึงนำร่างคนร้ายถึงต้องคลุมศพ ไม่ว่าจะเป็นการนำศพ มาวางทับซ้อนกัน
แล้วคลุมด้วยฟาง ร่างโยเซฟถูกคลุมด้วยกระโปรงของวิกตอเรีย และร่างของมาเรียถูกคลุมด้วยผ้าปูเตียง


เชื่อว่าการสังหารล้างครัวที่โหดร้ายนี้น่าจะเกิดขึ้นในคืนวันศุกร์วันที่ 31 พฤษภาคม 1922 เมื่อสอบถามเพื่อนบ้าน
ก็พบเรื่องที่แปลกประหลาด เมื่อพยานยืนยันว่าพวกเขาเห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากปล่องบนหลังคาบ้านอันเดรส
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งนั่นหมายความว่ามีคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรม

นอกจากนี้ตำรวจยังพบหลักฐานมากมายที่แสดงถึงร่องรอยของคนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุฆาตกรรม
ไม่ว่าจะเป็น บนโต๊ะอาหารยังมีอาหารที่เพิ่งกินเสร็จใหม่ ๆ  บนเตียงนอนของอันเดรสมีร่องรอยว่ามีคนนอน
อีกทั้งฝูงวัวและสัตว์อื่น ๆ ในฟาร์มได้รับการดูแลให้อาหาร เช่นเดียวกับสุนัขที่ถูกล่ามไว้ในโรงนา แม้ว่ามัน
แสดงอาการหวาดกลัวแต่ก็มีสุขภาพแข็งแรง ไม่แสดงอาการว่าอดอยากทั้ง ๆ ที่เจ้าของเสียชีวิตไปหลายวันแล้ว


ตำรวจ งง กับความจริงข้อนี้ แน่นอนคนที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเกิดเหตุฆาตกรรม ก็คงจะเป็นฆาตกรที่พึ่งสังหาร
ล้างครอบครัวอันเดรสมาหมาดๆ แต่แทนที่ฆาตกรจะหนีจากที่เกิดเหตุ มันยังคงใจเย็น อาศัยอยู่ในบ้านหลายวัน
อย่างสบาย อีกทั้งยังให้อาหารสัตว์เลี้ยงด้วย

แน่นอนไม่มีใครสารมารถอธิบายพฤติกรรมเหล่านี้ได้ นอกจากตัวฆาตกรเอง
 


ยิ่งสืบก็ยิ่งลึกลับ เมื่อตำรวจไม่พบแรงจูงใจการสังหารโหดเลยแม้แต่น้อย ตอนแรกพวกเขาสันนิษฐานว่า
เป็นการฆาตกรรมเพื่อหวังชิงทรัพย์ธรรมดา เพราะครอบครัวอันเดรสรวยมากจึงไม่แปลกที่จะมีใครสักคน
กล้าที่จะบุกรุกและฆ่าพวกเขาเพื่อหวังสมบัติมีค่า


อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบก็พบว่าเงินสดก้อนใหญ่และเครื่องประดับมีค่าภายในบ้านไม่ได้ถูกแตะต้อง
หรือหายไปอย่างไร แม้จะมีการสอบสวนภายหลังพบว่าวิกตอเรียเพิ่งถอนเงินก้อนใหญ่ปิดบัญชีธนาคารก่อนเกิดเหตุ
เพียงไม่กี่สัปดาห์ แม้เธอจะบอกว่าจะเอาไปบริจาค แต่เงินก็น่าจะเหลืออยู่จำนวนมาก ไม่มีใครรู้ว่าเงินจำนวนนั้น
เอาไปทำอะไร และมันเชื่อมโยงกับการสังหารหมู่ครั้งนี้หรือไม่

เมื่อประเด็นฆ่าชิงทรัพย์ตัดไป ประเด็นใหม่ที่ตำรวจสนใจตือประเด็นความแค้นส่วนตัว ซึ่งจากการสืบพบผู้ต้องสงสัย
ชื่อ ลอเรนซ์ ชลิทเทนเบเออร์  (Lorenz Schlittenbauer) ชายที่เคยเป็นแฟนเก่าของวิกตอเรียที่คบหา
อยู่อยู่พักหนึ่ง แต่อันเดรสกีดกันไม่ให้ทั้งคู่คบกัน และตอนหลังวิกตอเรียก็คลอดโยเซฟ และเธอบอกกับชาวบ้านว่า
โยเซฟเป็นลูกของลอเรนซ์ แต่ชาวบ้านชื่อว่าโจเซฟเป็นลูกของอันเดรสกับลูกสาวของตนมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้
ไม่แปลกที่จะสร้างความโกรธแค้นให้กับลอเรนซ์เป็นอย่างมาก


ตำรวจยังพบอีกว่า วิกตอเรียกำลังฟ้องร้องเรียกค่าเลี้ยงดูบุตรจากลอเรนซ์ ขณะที่ลอเรนซ์ไม่เชื่อว่าโยเซฟเป็นลูกของเขา 
อีกทั้งประเด็นต่างๆ ก็มุ่งไปที่ลอเรนซ์เป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ เขาเป็นในคนกลุ่มแรกที่มาค้นที่เกิดเหตุ สุนัขที่ล่าม
อยู่ในโรงนาเห่าใส่ตลอดเวลาเมื่อเห็นลอเรนซ์ พยานบางคนก็ให้การว่าเขาแสดงท่าทีเรียบเฉยผิดปกติเมื่อเห็น
กองเลือดในโรงนา และเป็นคนโกยกองฟางออกจากร่างผู้เคราะห์ร้ายโดยไม่แสดงอาการรังเกียจใดๆ เมื่อเขาถูกถามว่า
ทำไมถึงต้องยุ่งย่ามกับศพในขณะที่ตำรวจกำลังจะมา เขาก็ตอบว่าต้องการหาร่างลูกชายของเขา

นอกจากท่าทีเรียบเฉยของลอเรนซ์แล้ว เขายังแสดงความคุ้นเคยในฟาร์มราวกับเคยอาศัยอยู่ที่นั้นมาพักหนึ่ง และนั่น
ทำให้ลอเรนซ์ถูกสอบปากคำโดยตำรวจ แต่ในที่สุดตำรวจจำเป็นต้องปล่อยตัวเขาเพราะไม่มีหลักฐานรูปธรรมเพียงพอ
ที่จะเชื่อมโยงเขากับคดีอาชญากรรม


ปริศนาในคดีนี้มีอยู่มากมาย และหากรวมเรื่องรอยเท้าและเสียงในห้องหลังคาว่าเป็นเรื่องจริงด้วย และถ้าฆาตกร
เป็นมนุษย์มีเลือดมีเนื้อ แสดงว่าฆาตกรได้หลบซ่อนในบ้านของอันเดรสมานานหลายเดือน ก่อนเกิดคดีฆาตกรรม
เหตุใดฆาตกรถึงทำเช่นนี้ และหลังการสังหารหมู่ ฆาตกรยังคงอยู่ในบ้านเกือบหนึ่งสัปดาห์และยังมีการให้อาหารวัว
และสุนัขด้วย เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น

แม้ว่าจะมีการสอบสวนชาวบ้านกว่า 100 ปาก การสืบสวนไม่คืบหน้า ตำรวจหมดหวังจึงได้นำร่างของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
ทั้ง 6 คนก็ถูกฝังในสุสาน แต่กระนั้นก็ยังมีการตัดศีรษะ  6 คนไปเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม และต่อมากะโหลกศีรษะ
สูญหายไปเมื่อคราวเยอรมนีถูกโจมตีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้คดีนี้หายไปจากความทรงจำของเยอรมัน
ไปพักใหญ่

 


คดีนี้ถูกลืมเลือนไปยาวนาน จนถึงปี 1922 และปี 1996 ตำรวจมิวนิวพยายามรื้อฟื้นคดีนี้อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า
ต่อมาในปี 2007 กรมตำรวจคาดหวังว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่น่าจะช่วยคลี่คลายคดีได้ แต่หลักฐานหลายอย่างสูญหาย
ไปกับกาลเวลา  ไม่เหลือพยานให้สอบปากคำ รวมไปถึงผู้ต้องสงสัยเสียชีวิตหมดแล้ว ทำให้คดีนี้จึงถูกเก็บเข้าแฟ้มอีกครั้ง

เหลือเพียงแต่นักสืบสมัครเล่นที่พยายามหาข้อสันนิษฐานอธิบายการคดีฆาตกรรมครอบครัวกรูเบอร์เท่านั้น


มีผู้ตั้งทฤษฎีว่า ฆาตกรอาจเป็นอดีตสามีของวิกตอเรีย คาร์ล เกเบรียล (Karl Gabriel) แม้ว่าเขาจะ เสียชีวิตในสนามรบ
ที่ฝรั่งเศสเมื่อปี 1914 แต่ไม่พบศพ ทำให้สันนิษฐานความไปได้ว่าเขาอาจจะกลับมาหาภรรยาของเขา แล้วได้ยินข่าว
วิกตอเรียมีความสัมพันธ์กับบิดาของเธอจึงเกิดความแค้นตามมาสังหารทิ้งทั้งครอบครัวก็เป็นไปได้

ส่วนคนอื่นๆ ก็ชี้ว่าฆาตกรอาจเป็นผี จากคำอ้างของแม่บ้านที่ได้ยินเสียงแปลกที่บ้านกรูเบอร์ หนังสือพิมพ์ลึกลับ
และรอยเท้าลึกลับบนหิมะ ทำให้เชื่อว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่เหนือธรรมชาติพยาบาลที่มีแรงพยาบาลครอบครัวกรูเบอร์อยู่

ทุกวันนี้ แม้ว่าฟาร์มและบ้านกรูเบอร์ถูกรื้อทิ้งไปแล้วเมื่อปี 1923 เพราะชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัวการคงอยู่ของสถานที่
น่ากลัวแห่งนี้  เหลือเพียงแต่พื้นที่ที่ว่างเปล่าเท่านั้น แต่คดีสังหารหมู่ยกครัวกรูเบอร์ที่ฮินเตอร์เคเฟกได้กลายเป็นตำนาน
ที่อยู่ในใจของเยอรมันไปแล้ว

 




อ้างอิง
http://mysteriousuniverse.org/2014/09/the-mysterious-unsolved-murders-of-hinterkaifeck-farm/
http://ehomeeasy.com/carefully-read-all-online-forms-you-fill/index.php?option=com_homencash&view=columndetail&itemId=181
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 สิงหาคม 2017, 16:14:22 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

nawin

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 98
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: HinterKaifeck คดีสังหารหมู่ประหลาดที่ฮินเตอร์เคเฟก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2017, 03:55:30 »

nawin

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 98
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: HinterKaifeck คดีสังหารหมู่ประหลาดที่ฮินเตอร์เคเฟก
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2017, 03:59:20 »

น้ำขิง

  • เด็กหัดเสียว
  • **
  • กระทู้: 462
  • Country: 00
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: HinterKaifeck คดีสังหารหมู่ประหลาดที่ฮินเตอร์เคเฟก
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2017, 22:10:40 »

น่ากลัวจังค่ะ