-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 6 วิธีหาเงินแบบหน้าด้านในประวัติศาสตร์  (อ่าน 502 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18235
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

สิ่งที่จะอ่านต่อไปนี้ ขอเตือนว่าอย่าทำเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะมันไม่เหมาะกับคนที่อ่อนแอหรอก
หรือเป็นวิธีที่หาเงินที่มนุษย์ทั่วไปเขาไม่ทำกัน แม้คุณจะติดหนี้เขาล้านหนึ่ง คุณก็ไม่สามารถ
ทำวิธี 6 วิธีต่อไปนี้ได้หรอก



 
อันดับ 6. เบลล์ กันเนส (Belle  Gunnes)
ฆ่าเอาประกัน



เบลล์ กันเนส (เกิด ค.ศ. 1859 ตาย ค.ศ. 1931??) ฆาตกรสาวที่มีวิธีหาเงินแบบหน้าด้านๆ
ที่ปัจจุบันมักทำกัน นั้นคือ “ฆ่าเอาประกัน” ที่มันช่างง่ายและได้เงินดีเสียด้วยสิ


เบลล์ กันเนส อพยพจากประเทศนอร์เวย์มาสหรัฐอเมริกาใน1881 และแต่งงานกับสามีจากนั้นก็ซื้อบ้าน
แต่อยู่ไม่ถึงหนึ่งปีบ้านก็ไฟไหม้ โชคดีมันได้รับประกันภัย และเธอใช้เงินนั้นมาซื้อบ้านอีก ในปี 1898
บ้านก็โดนไฟไหม้อีกและได้เงินประกันอีก จากนั้นใน ปี 1900 บ้านเธอก็ไหม้อีก แถมคราวนี้สามีของเธอ
ในกองเพลิงด้วย แน่นอนเบลล์ก็ได้เงินประกันอื้อเลย


จากนั้น เบลล์ ก็ใช้เงินที่จะซื้อฟาร์มใน La Porte, Indiana และต่อมาไม่นาน ในปี 1902 สามีคนที่สอง
ก็ตายด้วยอุบัติเหตุเครื่องบดไส้กรอกหล่นใส่หัว (มันหล่นได้ไงวุ้ย) แม้จะน่าสงสัยแต่บริษัทประกันยินดีจ่าย
ให้เธอเป็นเงิน $3,000 จากนั้นเบลล์ก็ประกาศหาสามีในหนังสือพิมพ์ สองปีต่อมามีชายหลายคนที่เป็นสามี
หายไปในฟาร์มเธอไปหลายราย และเธอก็ได้เงินประกันจากการสามีหายซะด้วยสิ


 
ในตอนท้าย 28 เมษายน 1908 ผู้คนเกิดความสงสัยม่ายสาวคนนี้ เลยบุกเข้าฟาร์มเพื่อค้นบ้าน ตำรวจที่ค้น
พบร่างสี่ร่างในห้องใต้ดิน ผู้ใหญ่หนึ่ง และเด็กสาม ที่คาดว่าเป็นลูกของเธอ จากนั้นก็ค้นพบร่างอีก 12 ร่าง
ที่ระบุไม่ได้เป็นใครเพราะถูกตัดหัว ส่วนตัวเบลล์นั้นเธอชิงฆ่าตัวตายก่อนโดยการเผาตนเองพร้อมบ้าน
แต่ผลชันสูตรศพของเธอนั้นหลายฝ่ายไม่เชื่อว่าศพนี้เป็นของเธอ เพราะศพนั้นเตี้ยกว่าส่วนสูงของเบลล์
ถึงหกฟุต ต่างกันกว่าสองนิ้ว??

เธอทำเงินมากเท่าไหร่?
คะเนได้ว่าสาวคนนี้ทำเงินไป $ 30,000  จากสามีต่างๆผู้ซึ่งได้รับดูดในโดยโฆษณาหนังสือพิมพ์
บ้านถูกไฟไหม้(ซึ่งไหม้ประจำ)เป็นครั้งละ $ 250,000

 



อันดับ 5. แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burke William) 
ดักฆ่าคนกลางทางแล้วเอาศพไปขายให้นักศึกษาแพทย์


 
แฮร์กับเบอร์ค (Hare & Burke William) คนสองคนทำอะไรก็ได้เพื่อเงิน...ในช่วงศตวรรษ 19 อังกฤษ
อยู่ในช่วงพัฒนาด้านการผ่าตัดเพื่อรักษา ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องศึกษาร่างกายให้ถี่ถ้วน โดยใช้ร่างของคนตาย
มาชำแหละเพื่อทำการวิจัย แต่การโดนจำกัดเรื่องกฎหมายเนื่องจากเขาอนุญาตให้ใช้ผู้ตายในคดีอาชญากรรมเท่านั้น
ดังนั้นทำให้หลายคนจึงแอบใช้วิธีขุดศพที่ตายใหม่ๆ จากหลุม แล้วนำมาขายให้แพทย์ ซึ่งได้เงินเสียด้วยสิ
(ประมาณ 7 ปอนด์ ต่อน้ำหนัก)


แต่สำหรับแฮร์กับเบอร์คเขามีวิธีหาเงินง่ายกว่าขุดศพมาขายอีก ก็ฆ่าเหยื่อแล้วสวมรอยเป็นศพที่แอบขุดไง
ตอนแรกทำกับคนที่บ้านเช่าของพวกเขา พอนานๆ วันก็หันมาดักฆ่าเหยื่อตามท้องถนนยามค่ำคืนในปี 1827 
เอาคนที่เร่ร่อน ไม่หัวนอนปลายเท้า คนอ่อนแอ ไร้พิษสง คนแก่นี้แหละง่ายดี จากนั้นก็มาสวมรอยว่าเป็นศพ
ที่ขุดจากสุสาน หลอกขายให้แพทย์ที่รับซื้อ เสร็จแล้วก็ได้ตังค์เข้ากระเป๋าแบบสบายอุรา

แฮร์กับเบอร์ค ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ กว่า18 เดือน มีเหยื่อที่ตายด้วยฝีมือของพวกเขา 16 คน (บางเว็บ 30 คน)
และผลสุดท้ายก็หยุดลงเมื่อแฮร์ทรยศหักหลังเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกตำรวจเพื่อแลกกลับการอภัยโทษเขา
ส่งผลให้เบอร์คถูกลงโทษประหารชีวิตเพียงคนเดียว แถมเชือกที่ใช้แขวนคอเขานั้นมันสั้นเกินไป เขาตาย
อย่างช้าๆ อย่างทรมาณ จากนั้นร่างกายไร้วิญญาณของเขา ถูกส่งให้นักเรียนแพทย์เพื่อใช้ชำแหละศึกษา
สอดคล้องกับกฎอังกฤษในลงโทษอย่างเหน็บแนม

เขาทำเงินมากเท่าไหร่?
ในเวลาต่อมาได้มีการค้นพบสมุดบันทึกประจำวันเกี่ยวกับโจรกรรม และรายการศพที่ลูกค้าต้องการไว้
จากการตรวจสอบพบว่า ศพที่แพงที่สุดขายให้นักศึกษาแพทย์คือ "ศพ" วันที่ 1กรกฎาคม ขายได้เงิน
10 ปอนด์ โดยไม่รวมคนที่เขาฆ่าทั้งหมด 30 คนนะเนี้ย



                                                                                                                                                           
อันดับ 4. ผลประโยชน์ของพนักงานดับเพลิง


 
มาร์คัส ลิซินิอัส แครซซัส (Marcus  Licinius  Crassus)115?-53 ก่อนคริสตกาล ในสมัยโรมัน
มีนักการเมืองคนหนึ่งชื่อ มาร์คัส ลิซินิอัส แครซซัสได้มีไอเดียบรรเจิดที่จะสร้างหน่วยดับเพลิงแรกรุ่นแรก
ของโลกขึ้น โดยใช้กองทหารผสมของเขา


เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อ แครซซัสได้สังเกตว่าสิ่งก่อสร้างในกรุงโรมเมืองหลวงของอิตาลีส่วนใหญ่ทำจากวัสดุ
ที่ติดไฟง่ายและอาคารก็สูงเกินไป และเมื่อไฟติดเมื่อใดละก็นับลองไฟลามทั่วกรุงโรมแน่ๆ ดังนั้นจึง แครซซัส
จึงซื้อทาสมา 500 คน และรวมกับทหารเป็นหน่วยดับเพลิง


แต่พอถึงเวลาไฟไหม้กรุงโรมจริง แครซซัส กลับไม่ยอมให้ทหารมาดับไฟ  ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องมีเงินค่าดับไฟ
มาจ่ายก่อน (ต่อรองในขณะที่ไฟไหม้ทั่วกรุงโรม)
"ดับในอาคารที่กำลังไหม้ไฟต้องจ่าย 30 Talents  (ค่าเงินของโรมัน)
"ดับไฟที่ดาดฟ้าต้องจ่าย 72 Talents!"
"20 Talents ถ้าไฟมันไหม้ติดเพื่อนบ้าน(โดนจ่ายแน่นอนเพราะบ้านของโรมันอยู่ติดกัน)"
"ถ้าจะให้วิ่งต้องเงินเพิ่ม10 Talents "


แน่นอนประชาชนจำเป็นเองจ่ายเงินตามที่พวกแครซซัสเสนอ และพวกเขายังหาเงินหน้าด้านแบบนี้หลายปี
จนกระทั้งพวกลูกหนี้ทนไม่ไหวเลยไปเจรจากับ  แครซซัสหัวหน้านักดำเพลิงดู จนสุดท้ายก็ตกลงกันไม่ได้
พวกลูกหนี้เลยจัดการ แครซซัสด้วยวิธีสุดลึกล้ำด้วยการมัด และทรมาน แล้วจับกรอกปากด้วยทองคำหลอม
ละลายซึ่งทำให้เขาตายอย่างทรมาน

เขาทำเงินมากเท่าไหร่?
แครซซัสสะสมเงินที่ได้จากการต่อรองเรื่องดับไฟเท่ากับรายได้ประจำปีของคลังโรมัน เป็นจำนวนเงิน
กว่า 7,100 หรือ 200 ล้านดอลลาร์ปัจจุบัน 

 




อันดับ 3. ทำให้ตนเองพิการแล้วเอาเงินประกันผู้คนใน เเวนอล ฟลอริดา



ผมว่ามันโครตลงทุนเลยนะเนี้ย ที่ townsfolk ของ เเวนนอล มีคดีที่แสนปวดหัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก
เมื่อประชาชนพร้อมใจกันที่จะเสียแขนขาตัวเองเพื่อได้รับเงินประกันภัยตามที่ตกลงกันไว้กว่า โดยมีคดีเกิดขึ้น
ในเมืองนี้กว่า 50 รายในเเวนอล (ประชากร 780 ของพื้นที่)   


L.W Burdeshaw ตัวแทนบริษัทประกันภัยบอกว่า ในช่วง ค.ศ. 1982  มีลูกค้าหลายรายยอมเสียแขนขา
เพื่อเอาเงินประกัน บางคนยอมเอาเลื่อยเลื่อยแขนซ้ายของเขาโดยอ้างว่าได้รับอุบัติเหตุขณะทำงาน บางคน
สูญเสียมือสองข้างโดนอ้างว่ายิงเหยี่ยวพลาด(น่าเชื่อเนอะ) และบางคนใช้วิธีการตัดแขนตัดขาของเขาได้อย่าง
หลากหลายไม่ว่าจะเป็น ปืนยาว หรือ เครื่องแทร็กเตอร์ ถือได้ว่าเป็นความพยายามจริงๆ มากกว่าหน้าด้านนะเนี้ย

เขาทำมากเท่าไหร่?
ในเมืองนี้ไม่มีใครเลยที่ถูกว่ากระทำผิดฐานโกงเงินประกัน ซึ่ง 38 บริษัทยินยอมจ่ายเงินให้คนเหล่านี้
โดยไม่สงสัยว่ามันช่างเป็นอุบัติเหตุตลกแต่อย่างใด ในเมื่อเอ็งกล้าทำก็กล้าจ่ายละฟ่ะ แต่ถึงแม้จะมีการ
ฟ้องร้องก็ยากจะให้ลูกขุนเชื่อว่าพวกเขายอมเสี่ยงยอมกล้าที่จะตัดแขนขาเพื่อเอาเงินประกัน

 




อันดับ 2 เอซ. เอซ โฮล์ม (H.H Holmes)
เมื่อหมอบวกกับวิปริตก็กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างเหลือเชื่อ



H.H Holmes เป็นหมอที่จบจากมหาวิทยาลัยของมิชิแกน ใน1884 เขาเป็นผู้ชายน่ารัก, หล่อ, เป็นมิตร
และน่าหลงไหล เขาเคลื่อนย้ายสู่เมืองชิคาโก ทำงานในเภสัชศาสตร์ ถ้าคุณเป็นผู้ชายนิสัยดี คงพอใจกับชีวิต
ที่ดูราบรื่นเพียงแค่นี้ แต่กับ หมอโฮล์มแค่นี้ยังไม่พอหรอก


ปี 1888 หมอโฮล์มทำการฆาตกรรมเจ้านายของเขา และฮุบร้านของเจ้านายเพื่อเป็นใบเบิกทางการหาเงิน
เขากว้านซื้อพื้นที่รอบๆ นั้นเพื่อทำโรงแรมขนาดใหญ่ โรงแรมที่คุณเข้าไปแล้วไม่สามารถกลับออกไปได้ตลอดกาล
หมอโฮล์มจะต้อนรับแขกของเขาอย่างคุ้มค่าด้วยความตาย ฆ่าโดยการทำให้หายใจไม่ออกอย่างช้าๆ ในโรงแรม
ที่แสนสนุกมีทั้ง หอลับ, ประตูลับ, การลื่นไหลกำแพง, ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ซ่อนเร้น ห้องทรมาน
ในห้องใต้ดินหมอโฮล์มยังมีเครื่องยืดร่างมนุษย์ที่แสนสนุก


แต่ผู้คนจำนวนมากมายต้องเสียชีวิตลง เพื่อที่หมอจะเอากระดูกเหยื่อไปขาย และข้าวของเครื่องใช้เป็นของตนเอง



หลังจาก 1893 โรงแรมก็ขาดแคลนแขก หมอโฮล์มและผู้ช่วยเขาร่วมมือกัน ต้มตุ๋น และทำการฆ่าผู้ช่วยเขา
ด้วยการเผาอำพรางเพื่อเรียกร้องเงินประกัน และฆ่าเด็กสามคนซึ่งเป็นลูกของผู้ช่วยตาย ก่อนที่จะโดนจับและ
ได้รับโทษประหาร

ทำเขาทำมากเท่าไหร่?
มันยากเหลือเกินที่จะเดาว่าหมอโฮล์มได้เงินกี่บาทในการการฆ่าคน เพราะเหยื่อเขามีมากเหลือเกินที่เสียชีวิต
ในโรงแรมเขา และน่ากลัวเหลือเกินที่หมอโฮล์มเลือกที่จะเก็บความลับผลประโยชน์ทั้งหมดจนกระทั้งเรื่องทั้งหมด
จบลงพร้อมกับการตายของเขา แต่ในกรณีคดีฆ่าผู้ช่วยเขาหมอโฮล์มสารภาพว่าเขาได้เงินจากการประกัน $10,000




 
1. คูหามรณะ ด็อกเตอร์มาร์เซล ปดิต (Dr  Marcel  Petiot)



ใครว่าสงครามมีแต่สูญเสีย แต่สำหรับคนบางคนแล้วมันมีแต่ได้กับได้ มกราคม1942 เมื่อ นาซีครอบครองฝรั่งเศส
ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มันเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยด็อกเตอร์มาร์เซล ปดิต Marcel  Petiot 
หมอซึ่งย้ายสู่ชื่อเมืองหลวงของฝรั่งเศส หมดที่ตั้งใจ๊ตั้งใจมาเพื่อรักษาและพยาบาลจิตใจชาวฝรั่งเศสโดยเฉพาะ
(จริงๆ นะ)

ขอบคุณประสบการณ์หมอมาร์เซล เขาทำตามที่เขาตั้งใจจริงๆ แหละ นั้นคือเขาขายยาเสพย์ติด และทำแท้งเถื่อน....
ซึ่งในสงครามโลก2 ลูกค้าเยอะมากๆ แต่หมอมาร์เซลไม่หยุดแค่นั้นหรอก เพราะเขาเห็นโอกาสของเขาที่จะทำเงิน
พิเศษจำนวนมหาศาล

เรื่องของเรื่องคือชาวยิวต้องการหนีตายจากพวกนาซี แต่จะหนีไปไหนได้ละนาซีเต็มประเทศไปหมด นั้นเองที่ทำให้
หมอมาร์เซลมาเสนอว่าเขาสามารถช่วยชาวยิวลี้ภัยหลบหนีจากประเทศได้ แต่ต้องมีค่าธรรมเนียมหน่อยนะสัก
25,000  เหรียญเงินตราของฝรั่งเศสต่อหนึ่งบุคคล


ลูกค้าชาวยิวจำเป็นต้องจ่ายเพราะชีวิตสำคัญกว่าเงิน แล้วหมอมาร์เซลก็บอกว่าให้พวกเขาเอาทรัพย์สินข้าวของ
เครื่องใช้ทั้งหมดมาที่บ้านหลังใหญ่เขานะ เดี๋ยวเขาจะพาหนีไปต่างประเทศ

คุณอาจจะต้องการเพื่อหยุดการอ่านตอนนี้ ถ้าคุณเชื่อว่าเมื่อลูกค้าที่มาถึงบ้านของหมอมาร์เซล คงหนีไปประเทศ
อาร์เจนตินาเรียบร้อย
(หมอมาร์เซลอ้างว่าเป็นจุดหมายปลายทาง) แต่ก่อนหนีคนไข้ของเขาต้องปลูกฝีฉีดยาก่อน
และ.............6 มีนาคม 1944 (นาซีโดนไล่ออกจากฝรั่งเศส) ตำรวจบุกบ้านของหมอมาร์เซล และพบกับ
กองปูนขาวที่ยังไม่ผสมน้ำมากมาย โดยในนั้นมีส่วนของร่างมนุษย์ ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และศพต่างๆไม่สามารถประกอบ
ร่างคนๆได้ ตำรวจยังค้นพบห้องใต้ดินขนาดใหญ่ที่มากมายพอสำหรับเก็บซ่อนศพ มีเตาสำหรับทำลายศพไร้หัว,
และอวัยวะของศพมากมาย



เขาทำเงินมากเท่าไหร่?
หมอมาร์เซลโกยเงินโดยไม่นับเฉพาะค่าธรรมเนียมใหญ่โตของเขา  แค่ของมีค่าที่ติดตัวจากผู้ลี้ภัยชาวยิว
ก็ประมาณค่าไม่ได้แล้ว แต่ถ้าให้ตีเป็นเงินละก็ประมาณ 200 ล้านชื่อเหรียญเงินตราของฝรั่งเศส


ตอนที่หมอมาร์เซลทำการฆาตกรรมนาซีก็รู้เห็นนะแล้วแจ้งโดยตรงจากอาณาจักรไรต์ที่สามของฮิตเลอร์ด้วย
แต่ฮิตเลอร์ชอบใจเพราะหมอช่วยฆ่าชาวยิวให้แถมยังให้โชคแก่เขาอีก โดยให้เหรียญตรากล้าหาญให้หมอ
อีกด้วยนะจะบอกให้
(ถ้าเอาเหรียญนาซีนี้ ไปประมูลขายคนบ้าสะสมในปัจจุบันละก็ รับรองมูลค่ามหาศาล)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23 กันยายน 2017, 11:10:07 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่