-->

ผู้เขียน หัวข้อ: โฮเวิร์ด ฟิลิปส์ เลิฟคราฟต์ เจ้าแห่งโลกมืดสุดขีดคลั่ง  (อ่าน 594 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18221
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

โฮเวิร์ด ฟิลิปส์ เลิฟคราฟต์ (H. P. Lovecraft) เจ้าแห่งโลกมืดสุดขีดคลั่ง



โฮเวิร์ด ฟิลิปส์ เลิฟคราฟต์ คือนักเขียนหนังสือแนวสยองขวัญชาวอเมริกัน งานของเขาเปรียบได้เหมือน
แม่แบของหนังสือนิยายสยองขวัญสมัยใหม่ของอเมริกา งานของเขาถูกยกย่องด้วยความคารวะจากหลายๆวงการ และปรากฏ
ในสื่อสมัยใหม่อย่างมากมาย ผู้กำกับหนังอย่าง จอห์น คาร์เพนเตอร์,แซม เรมี่,สตีเฟ่น คิง และ กิลเลอโม่ เดอ โทโร่
ก็เป็นแฟนตัวยงของ เลิฟคราฟต์ รวมไปถึงเพลงอิทธิพลของเลิฟคราฟต์


เลิฟคราฟท์เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2433 ที่เมืองพรอวิเดนซ์ รัฐโรดไอแลนด์ เป็นลูกคนเดียวของพ่อค้าอัญมณี
วินฟิลด์ สก็อต เลิฟคราฟท์ และ ซาราห์ ซูซาน ฟิลิปส์ เลิฟคราฟท์ เมื่อเลิฟคราฟท์อายุได้สามปีนั้น บิดาของเลิฟคราฟท์
ได้ป่วยทางจิตขั้นรุนแรงและต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลบัทเลอร์จนกระทั่งเสียชีวิตในปีพ.ศ. 2441



เลิฟคราฟท์ได้รับการเลี้ยงดูโดยมารดา ป้าสองคน (ลิเลียน เดโลรา ฟิลิปส์ และ แอนนี เอเมลีน ฟิลิปส์)และ วิปเปิล แวน บิวเรน ฟิลิปส์
ผู้เป็นตาของเลิฟคราฟท์ เลิฟคราฟ์นั้นนับได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์โดยสามารถท่องบทร้อยกรองได้เมื่อมีอายุสองปีและแต่งบทกวี
ได้เมื่ออายุหกปี ซึ่งตาของเลิฟคราฟท์ได้สรรหาวรรณกรรมต่างๆให้เลิฟคราฟท์อ่านในวัยเด็กและยังเล่าเรื่องสยองขวัญที่ตนแต่งเอง
ให้เลิฟคราฟท์ฟัง





เลิฟคราฟท์ในวัยเด็ก



ในขณะที่เป็นเด็กนั้นเลิฟคราฟท์มีสุขภาพไม่ดีนักจึงไม่ได้ศึกษาในโรงเรียนจนกระทั่งอายุได้แปดปีแต่ก็ออกจากโรงเรียนในปีต่อมา
ซึ่งในระหว่างนั้นเลิฟคราฟท์ได้ศึกษาเรื่องต่างๆโดยเฉพาะด้านเคมีและดาราศาสตร์ สี่ปีต่อมา เลิฟคราฟท์จึงได้เข้าเรียนอีกครั้ง
ที่โรงเรียนมัทธยมโฮปสตรีท


เมื่อตาของเลิฟคราฟท์เสียชีวิตในปี 2447 นั้น ครอบครัวของเลิฟคราฟท์ประสพปัญหาด้านการเงินจนต้องย้ายจากบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เกิด
ซึ่งทำให้สุขภาพจิตของเลิฟคราฟท์อยู่ในสภาพย่ำแย่ ในปี 2451 ก่อนที่เลิฟคราฟท์จะจบการศึกษานั้น เลิฟคราฟท์อ้างว่าตนมีปัญหา
ด้านประสาทและไม่ได้รับใบรับรองการศึกษา

ในช่วงปีพ.ศ. 2451 ถึง 2456 นั้น เลิฟคราฟท์ได้ประพันธ์งานด้านร้อยกรองเป็นหลักและใช้ชีวิตอย่างสันโดษโดยแทบไม่ได้ติดต่อใคร
นอกจากแม่ของเขาเอง จนกระทั่งเลิฟคราฟท์ได้เขียนจดหมายถึงวารสารอาโกซี(Argosy)เพื่อแสดงความเบื่อหน่ายต่อนิยายรักของนักเขียนผู้หนึ่ง
เนื้อหาของจดหมายฉบับนั้นทำให้เอ็ดเวิร์ด เอฟ. ดาส ประธานสมาคมสื่อสมัครเล่น United Amateur Press Association (UAPA)
ชักชวนเลิฟคราฟท์ให้ร่วมงานด้วยในปี 2457 ซึ่งเลิฟคราฟท์ได้เขียนบทกวีและบทวิจารณ์หลายชิ้นให้กับทางสมาคม



จนกระทั่งปี 2460 เลิฟคราฟท์จึงได้เขียนนิยาย ซึ่งรวมถึงเรื่องเด่นอย่าง The Tomb และ Dagon ซึ่งเรื่อง Dagon นี้ต่อมาเป็นเรื่องแรก
ของเลิฟคราฟท์ที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่อย่างเป็นทางการ ในวารสาร The Vagrant (พ.ศ. 2462) และ Weird Tales (พ.ศ. 2466)
ซึ่งในช่วงนี้เลิฟคราฟท์ได้เริ่มติดต่อกับเพื่อนนักประพันธ์อย่างต่อเนื่อง เช่น โรเบิร์ต บลอค (ผู้เขียนไซโค) คลาก แอชตัน สมิท และ
โรเบิร์ต อี. โฮเวิร์ด (ผู้เขียนเรื่องชุดโคแนน ยอดคนเถื่อน)

ในปีพ.ศ. 2462 มารดาของเลิฟคราฟท์ต้องเข้ารับการบำบัดในโรงพยาบาลบัทเลอร์ เนื่องจากปัญหาทางจิต แต่ทั้งคู่ก็ยังคงเขียนจดหมายติดต่อกัน
จนกระทั่งมารดาของเลิฟคราฟท์เสียชีวิตในปี 2464 เลิฟคราฟท์ได้พบกับโซเนีย กรีนในปีเดียวกันนี้ ซึ่งทั้งคู่ได้แต่งงานกันในปี พ.ศ. 2467
และย้ายไปอาศัยอยู่ที่บรูคลิน นครนิวยอร์ก แต่ไม่นานก็ประสพปัญหาด้านการเงิน จนกรีนต้องไปหางานทำในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ
ขณะที่เลิฟคราฟท์อยู่คนเดียวที่เรดฮุค การที่ไม่มีงานประจำในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาตินี้ทำให้เลิฟคราฟท์เกลียดชีวิต
ในนิวยอร์กและชาวต่างชาติ ซึ่งเลิฟคราฟท์ได้แฝงความรู้สึกนี้ไว้ในเรื่องสั้น The Horror at Red Hook ไม่กี่ปีต่อมาเลิฟคราฟท์และกรีน
ก็ได้หย่าร้างกัน แม้จะมีผู้เชื่อว่าชีวิตสมรสที่ไม่ราบรื่นนี้น่าจะเป็นเพราะเลิฟคราฟท์ไม่มีความรู้สึกทางเพศ กรีนเองกลับกล่าวถึงเลิฟคราฟท์ว่า
เป็นคู่รักที่ยอดเยี่ยม



เลิฟคราฟท์กลับไปอาศัยอยู่กับป้าที่โพรวิเดนซ์อีกครั้ง และได้สร้างสรรค์งานเขียนที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมามากมาย รวมถึงเขียนงานประพันธ์
ในนามของผู้อื่น (ghostwriting) แต่ถึงกระนั้นสถานะทางการเงินของเลิฟคราฟท์ก็ยังแย่ลงเรื่อยใน ปี 2479 เลิฟคราฟท์ได้รับการวินิจฉัยว่า
เป็นมะเร็งลำไส้เล็กและเสียชีวิตในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2480

ชื่อของเลิฟคราฟท์ได้รับการบันทึกไว้พร้อมบิดามารดาบนอนุสรณ์จารึกของตระกูลฟิลิปส์ ในปีพ.ศ. 2520 ได้มีการรวมเงินซื้อป้ายหลุมศพ
ของเลิฟคราฟท์เอง ซึ่งป้ายนี้ระบุชื่อ วันเดือนปีเกิดของเลิฟคาฟท์ และ วลี "I AM PROVIDENCE" ซึ่งมาจากจดหมายของเลิฟคราฟท์




ในเพลงของวงเมทัลลิก้า ในชื่อ The call of cthulu แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ เขาเป็นนักเขียนที่รายได้แทบจะไม่พอยาไส้
เขาเขียนงานโดยได้ค่าตอบแทนเพียง 1เพนนี ต่อ 1คำ (ประมาณ หนึ่งสลึงต่อคำ) ให้กับวารสาร Wierd tales
ซึ่งทำให้เขาเป็นที่รู้จักในแฟนกลุ่มเล็กๆ แต่ต่อมา 80ปีหลังจากที่เขาตายลงเมื่ออายุแค่เพียง 47ปี งานของเขาก็เป็นที่ยกย่อง
และยังสามารถกระตุกขวัญยามอ่านได้อยู่เสมอ !




หนึ่งในผลงานของเขาที่เป็นที่รู้จักกัน ก็คือ The call of cthulhu  ซึ่งเป็นแกนกลางของจักวาล คธูลู ที่เลิฟคราฟต์สร้างขึ้นมา
เพื่อผูกรวมหนังสือของเขา เข้ากับจักรวาลนี้อีกหลายๆเล่ม แกนหลักก็คือลัทธิประหลาด ที่บูชา สิ่งโบราณอันยิ่งใหญ่
ซึ่งมาเยือนโลกก่อนจะมีมนุษย์ และรอคอยที่จะกลับมาอีกครั้ง


เมื่อได้เวลาที่เหมาะสม .. แค่คิดภาพ กลุ่มลัทธิทำการบูชายัญโดยใช้มนุษย์
โดยเหล่าสาวก ยืนล้อมรอบเหยื่อ  แล้วเปล่งบทสวดอันจับใจความไม่ได้ว่า

"Ph'nglui mglw'nafh Cthulhu R'lyeh wgah'nagl fhtagn."
( In his house of R'lyeh,Dead Cthulhu waits dreaming)




ก็ขนลุกขนพองได้เเล้ว ! งานของเลิฟคราฟต์นั้น โดยมาก จะไม่บรรยาย ให้จนเห็นภาพของตัวอสูรกาย
จนเห็นภาพชัดเจน ทำให้การมองภาพออกไม่ทั้งหมดนั้น เพิ่มความระทึกขวัญขึ้นและบางทีก็ยังใช้ศัพท์แปลกๆ
จนไม่สามารถวาดภาพออกได้เลยด้วยซ้ำ อย่าง

"abysms of shrieking and immemorial lunacy" !!

(อันนี้ นึกภาพไม่ออกจริงๆ) ยังไงก็ตาม เลิฟคราฟต์ ก็ไม่ค่อยพอใจนักกับผลงานชิ้นนี้ของตัวเองซักเท่าไหร่
แถมทีแรก เกือบจะไม่ได้ลงพิมพ์ใน weird tales ด้วยซ้ำ แต่ได้เพื่อนนักเขียนของเลิฟคราฟต์โกหกบอกว่า
ถ้าไม่พิมพ์ จะส่งไปหนังสือเล่มอื่นนะ,the call of CthulHu จึงได้กำเนิดขึ้นมาและเป็นที่นิยมมากหลังจากนั้น



จนได้รับการชื่นชมจาก โรเบิร์ท อี โฮเวิร์ด(ผู้เขียนเรื่อง Conan The Barbarian)  ส่งจดหมายให้ บก.ของ Wierd Tales ว่า

ภาพพอร์เทรท ที่คุ้นตาของเขา

"เลิฟคราฟท์อยู่ในตำแหน่งพิเศษในโลกแห่งงานประพันธ์
เขาได้กุมโลกที่อยู่เหนือดินแดนกระจ้อยร่อยของเราไปแล้ว
สายตาของเขาไม่มีขีดจำกัดและขอบเขตของเขาก็คือจักรวาล" !!

เวลา เป็นสิ่งพิสูจน์ทุกๆอย่าง ..

หากงานชิ้นไหนก็ตาม มันมีคุณค่าอย่างเเท้จริงเเล้ว เวลา ก็ไม่สามารถพรากเอาคุณค่าของตัวมันเองได้หรอก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 พฤศจิกายน 2016, 14:02:42 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่