-->

ผู้เขียน หัวข้อ: กอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ (Gertrude Baniszewski) ในบ้านหลังนั้น  (อ่าน 1302 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18210
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

กอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ (Gertrude Baniszewski) ในบ้านหลังนั้น



26 ตุลาคม 1965 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นคดีหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ตำรวจเมืองอินเดียน่า
ได้รับโทรศัพท์จากเด็กผู้ชายวัยรุ่นที่ไม่เอ่ยนามว่า พวกเขาจะพบศพของเด็กผู้หญิงในบ้าน
ซึ่งอยู่ที่ 3850 อีส นิวยอร์ก สตรีท


ตำรวจไปที่นั่น และได้พบกับศพของเด็กสาววัยรุ่น ซิลเวีย ไลเคนส์ เด็กสาววัย 16 ปี ส่วนผู้ก่อเหตุนั้น มีหลายคน
โดยมีนาง เกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ ม่ายลูก 7 วัย 36 เป็นหัวหน้าแก๊ง และเด็กวัยรุ่นอีกหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่
เป็นลูกๆ ของเธอเองและเด็กที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นเป็นลูกทีม


ตามประวัติบอกว่า ซิลเวีย ไลเคนส์ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดใดๆ กับนางเกอร์ทรูด เธอเพียงแต่รู้จัก
บุตรสาวคนหนึ่งของนาง และเนื่องจากพ่อแม่ของซิลเวียมีอาชีพเป็นคนงานในคณะคาร์นิวาลซึ่งต้องออกเดินสาย
ร่วมกับชาวคณะบ่อยครั้ง หนหนึ่งทั้งคู่จึงตัดสินใจพาซิลเวียกับ เจนนี่ น้องสาวของซิลเวียซึ่งขาข้างหนึ่งพิการ
ลีบเล็กด้วยโรคโปลิโอ มาฝากให้นางเกอร์ทรูดเลี้ยง โดยตกลงกันว่า นายและนางไลเคนส์จะให้เงินค่าจ้าง
นางเกอร์ทรูดสำหรับการนี้เป็นจำนวน 20 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์

อย่างไรก็ตาม นางเกอร์ทรูดก็ไม่ได้ทำตามที่พ่อแม่เด็กตกลงไว้ เธอเลี้ยงดูเด็กทั้งสาวอย่าไม่ใส่ใจ
เด็กถูกปล่อยปละละเลยทิ้งขว้าง ไม่ได้กินอาหารดีพูนสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับซิลเวียแล้ว เธอกลายเป็น
เป้าระบายความวิปริตบ้าคลั่งของนางเกอร์ทรูด และความห่ามวิปริตของแก๊งเด็กวัยรุ่นอย่างต่อเนื่อง

ซิลเวียถูกทั้งตบ ต่อย เตะ กระทืบ ถูกข้าวของสารพัดขว้างปา ถูกบุหรี่ร้อนๆ จี้ตามเนื้อตัว ถูกบังคับ
ให้ดื่มกินของเสียของตัวเอง ถูกนำสิ่งแปลกปลอมยัดใส่อวัยวะเพศ (เธอไม่ได้ถูกข่มขืน) ถูกตีตราบนหน้าอก
ถูกของมีคมสลักข้อความ “ฉันเป็นกะหรี่ และฉันโคตรภูมิใจ” บนหน้าท้อง ฯลฯ

จนกระทั้งวันที่ 26 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เข้ามาตรวจค้นบ้านของนางเกอร์ทรูด และได้พบศพซิลเวีย
อยู่ในห้องใต้ดิน ศพของเธอเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำต่อยตีนับไม่ถ้วน มีรอยไหม้จากการถูกบุหรี่จี้กว่าร้อยรอย
นอกจากนั้นผิวหนังของเธอในหลายส่วนยังถูกฉีกทึ้งเป็นแผลเหวอะหวะ
สภาพศพของเธอพูดได้ประโยชน์เดียวคือ..... “น่าเวทนา”

นางเกอร์ทรูดและแก๊งเด็กถูกจับกุมทันที และในเวลาต่อมา คดีนี้ก็ได้รับการขนานนามว่า
"the single worst crime perpetrated against an individual in Indiana's history".
“นี้คือคดีอาชญากรรมทารุณกรรมบุคคลเดียวที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐอินเดียนา”

 
.............................................................................


 
เกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ (Gertrude Baniszewski)
ชื่ออื่นๆ นามสกุลเดิม เกอร์ทรูด แวน ฟอสแซน (Gertrude van Fossan),
เกอร์ทรูด ไรท์ Gertrude Wright, นาดีน แวน ฟอสแซน (Nadine van Fossan)

เกิด 19 กันยายน 1929 เมืองอินเดียนาโพลิส, มลรัฐอินเดียนา, อเมริกา
16 มิถุนายน 1990 ตายที่ ไอโอว่า ด้วยโรคมะเร็งปอด (รวมอายุได้ 60 ปี)
คู่ครอง จอห์น แบนนิเชฟสกี้(John Baniszewski Sr.) และ  เอ็ดเวิร์ด กัธรี่ (Edward Guthrie)
ลูกทั้ง 7
พอลล่า แบนนิเชฟสกี้ (Paula Baniszewski)
สเตฟานี แบนนิเชฟสกี้ (Stephanie Baniszewski)
จอห์น แบนนิเชฟสกี้ จูเนียส (John Baniszewski Jr.)
มาเรีย แบนนิเชฟสกี้ (Marie Baniszewski)
เชอร์ลี่ย์ แบนนิเชฟสกี้ (Shirley Baniszewski)
เจมส์ แบนนิเชฟสกี้ (James Baniszewski)
เดนนีส ลี ไรท์ จูเนียส (Dennis Lee Wright Jr.)

 
เกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ มีชื่อเดิมว่า เกอร์ทรูด แวน ฟอสแซน เกิดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 1929
ในเมืองอินเดียนาโพลิส, มลรัฐอินเดียนา, ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุตรของนาย ฮิวจ์ แวน ฟอสแซน
และนางมอลลี่ แวน ฟอสแซน และนางเกอร์ทรูดคือบุตรคนที่สามจากจำนวนเด็กทั้งหกคนที่เกิดจากคนทั้งสอง


ในปี 1940 เกอร์ทรูดพบประสบการณ์อันตื่นเต้นเธอเห็นพ่อของเธอกับคนใกล้ชิดของเธอกำลังทุกข์ทรมาน
และตายด้วยโรคหัวใจ ห้าปีต่อมา เกอร์ทรูดออกจากโรงเรียนในขณะอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น เพื่อที่จะแต่งงาน
กับ จอห์น แบนนิเชฟสกี้ อายุเพียง 18 ปี ที่จะแต่งงานกับ 18 ปี และเธอมีบุตรกับเขาสี่คน

ชีวิตหลังการแต่งงานระหว่างเกอร์ทรูดและจอห์น แบนนิเชฟสกี้ แน่นอนไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากเงินรายได้ต่ำ
เพราะจอห์นอายุยังน้อยแต่ต้องหาเงินมาเลี้ยงดูบุตรถึง 4 คน แถมจอห์นยังเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายอารมณ์แปรปรวน
แต่กระนั้นนางเกอร์ทรูดก็ใช้ชีวิตร่วมกับจอห์นถึง 10 ปี ก่อนที่จะหย่าในที่สุด

ต่อมานางเกอร์ทรูดก็สมรสอย่างง่ายๆกับนาย เอ็ดเวิร์ด กัธรี่ และลูกอีก 2 คน ก่อนที่หย่าร้างอย่างถาวรในปี ค.ศ. 1963
ต่อมาเมื่อนางเกอร์ทรูด อายุ 34 ปี เธอก็มีเพศสัมพันธ์กับ เดนนีส ลี ไรท์ อายุ 23 ปี เธอกับเขามีลูกชายหนึ่งคน
ชื่อเดนนิส จูเนียร์ แต่หลังจากวันเกิดของเดนนิส  เขาก็ทิ้งเธอไป และหายสาบสูญไปเลย

ในกรกฎาคม1965 นายเลสเตอร์ และเบตตี้ ไลเคนส์ คนงานในคณะคาร์นิวาล ได้นำแนะนำบุตรสาวทั้งสอง
ซิลเวีย ไลเคนส์ (Sylvia  Marie) อายุ 16 ปี และเจนนี่ ไลเคนส์(Jenny  Faye) อายุ 15 ปี ให้นางเกอร์ทรูด
รู้จัก และทั้งสองขอให้นางเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองไว้ โดยตกลงกันว่า พวกเขายินดีจ่ายเงินค่าจ้างให้เธอ
เป็นเงินจำนวน 20 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ระหว่างที่พวกเขาทำงานข้ามรัฐอยู่


ซิลเวีย และเจนนี่ ไลเคนส์ ตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกับนางเกอร์ทรูด และหวังว่าพวกเขาจะได้รับการศึกษา
และร่วมทำกิจกรรมทางสังคมกับบุตรของนาง รวมถึงการเข้าโบสถ์วันอาทิตย์ด้วย


บ้านของเกอร์ทรูดเป็นบ้านหลังใหญ่ และเธออาศัยอยู่กับลูกๆ ทั้ง 7 คน  คนที่อายุมากที่สุดคือ
เพาล่า อายุ 17 ปี ซึ่งยังไม่ได้แต่งงานและท้องอยู่ ส่วนคนที่อายุน้อยที่สุดคือเดนนีส ลี ไรท์ จูเนียส
ซึ่งยังเป็นทารกอยู่ บ้านหลังนี้เป็นที่ซ่องสุมของเด็กคนอื่นๆ ในแถบนั้น ซึ่งเรียกนางเกอร์ทรูดว่า "เก็ตตี้"

อย่างไรก็ตาม เรื่องมันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อพ่อแม่ของ ซิลเวีย และเจนนี่ ไลเคนส์ จ่ายเงินครั้งแรกไม่ตรงเวลา
ทำให้นางเกอร์ทรูดโกรธมาก และระบายกับเด็กสาวสองคนด้วยการทุบตี และในเวลาต่อมาเด็กทั้งสอง
ก็ถูกนางเกอร์ทรูดลงโทษอีกครั้ง เมื่อเธอกล่าวหาเด็กทั้งสองเป็นคนขี้ขโมยเนื่องจากเธอเห็นลูกกวาด
ในมือของเด็กทั้งสอง(ตามความเป็นจริงแล้ว เธอซื้อมันต่างหาก)

จากนั้นซิลเวียถูกทุบตีด้วยเหตุผลเล็กๆ ที่ว่า เธอกินอาหารที่โบสถ์มากเกินไป และถูกเตะที่อวัยวะเพศ
หลังจากที่ยอมรับว่า เธอมีแฟนอยู่ในแคลิฟอร์เนีย และนี้คือจุดเริ่มต้นของการลงโทษอันซาดิสท์
ของนางนางเกอร์ทรูด

………………………………………………………
 scary scary scary



ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าทำไมนางเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ จึงจงเกลียดจงชังซิลเวียนัก และทำไมเธอจงใจ
ที่จะทรมานซินเธียอย่างวิปริตถึงเพียงนั้น จากประวัติของเธอเราคงเห็นว่า ชีวิตคู่ของนางเกอร์ทรูดนั้นไม่ราบรื่น
และขมขื่นเคียดแค้นชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของตนไม่น้อย การที่ลงมือทำร้ายซินเวียโดยอ้างว่าซิลเวียเเม็กทำตัวซิลเวีย
เป็นคนที่กล้าพูดกล้าเถียง ทำตัวเลวทรามต่ำช้าสำส่อนไม่สมกับเป็นผู้หญิงที่ดี และในฐานะคนเลี้ยงดูเธอ
จึงมีหน้าที่ต้องสั่งสอน  แต่ความจริงเป็นข้ออ้างเท่านั้น มันก็เพียงแค่การระบายความเครียดของผู้หญิงที่ล้มเหลว
ในชีวิตคู่และเอาเรื่องของตนไประบายกับคนอื่นเท่านั้น ไม่ได้มีความปรารถนาดีใดๆ แฝงปนอยู่เลยแม้แต่น้อย


สิงหาคม1965 นางเกอร์ทรูด เริ่มทรมานร่างกายของซินเธียอย่างเปิดเผย เฆี่ยนขณะที่เธอต้องเปลือยร่างนอนอยู่
บนที่นอน และให้เด็กๆ ของเธอซ้อมตบตีซินเธีย และผลักเธอลงบันได จากนั้นเธอก็ด่าซินเธียว่าเธอมันเป็น
พวกโสเภณีสกปรก และต่อจากนี้ไปเธอจะสอนให้ซินเธียรู้ว่าการโสเภณีสกปรกนั้นมันจะต้องทำอย่างไรบ้าง
จากนั้นนางเกอร์ทรุดก็ระดมพลโดยมี ริชาร์ด ฮอบบ์ส์ และ คอย ฮับแบร์ด(Coy Hubbard ) เพื่อนร่วมชั้น
ของลูกๆ และเด็กผู้ชายในท้องถิ่นที่สนิทกับนางเกอร์ทรูด มาช่วยในการช่วยเหลือในการสั่งสอน(ทรมาน)
ใช้เธอเป็นเป้าซ้อมยูโด เตะ และต่อย และนอกจากนี้ เจนนี่ ก็โดนบังคับให้ตบตีพี่สาวของเธอด้วย
 
………………………………………………….

คราวนี้เราลองนึกภาพดู....ถ้าเรานึกภาพการบรรยายไม่ออก.....สมมุติเรานึกถึงผู้หญิงคนเดียวคนหนึ่ง
กำลังโดนย่ำยีทางเพศโดยกลุ่มวัยรุ่นประมาณสัก 5-7 คน วินาทีการโดนข่มขืนเธอจะโดนอะไรบ้าง?
แน่นอนด้วยความเป็นวัยรุ่นพวกนั้นมีความคิดอะไรแผลงๆ เกี่ยวกับการทรมานในเรืองร่างของผู้หญิงอยู่เยอะ
ยิ่งสาวอายุ 16 ยิ่งน่าหลงใหลในการหาวิธีร้อยพันสารพัดในการทรมาน ไม่ว่าจะเอาบุหรี่จี้ ก้อนหินยัด
หรืออะไรอย่างๆ ที่โสโครกและวิปริตที่จะทำได้เมื่อมีเวลาเหลือเฟื่อในการจะลงมือทำ


กลับมาเรื่องของซิลเวียแม้เธอจะไม่โดนข่มขืน แต่การทรมานของนางเกอร์ทรูดต่อซิลเธียแล้ว มันเลวร้าย
โดนข่มขืนเสียอีก.................




การทรมานของซิลเวียเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น หลายคนกระหน่ำตีเธอไม่ยั้ง นางเกอร์ทรูดบังคับให้เธอสารภาพว่า
เป็นโสเภณีสกปรก  จากนั้นนางก็เอาบุหรี่จี้ไปตามลำตัวของเธอ จนผิวหนังไหม้ ซึ่งต่อมาการทรมานด้วยบุหรี่นี้
กลายเป็นการทรมานที่สมาชิกชอบใช้ที่สุดในการทรมานซินเธีย แม้บางช่วงที่นางเกอร์ทรูดจะปล่อยตัวซิลเวีย
ไปโรงเรียน แต่มันก็แค่ระยะสั้นๆ เมื่อนางเกอร์ทรูดกล่าวหาเธออีกว่าเป็นโสเภณีแล้วจับเธอมาทรมานอีกรอบ
โดยบังคับให้เธอถอดเสื้อผ้าในห้องนั่งเล่น จากนั้นก็ยัดขวด,กระป๋องเปล่าโคคา โคล่าเข้าไปในช่องคลอด
ขณะเด็กคนอื่นๆ ล้อมวงดูอย่างสนใจ

การใช้ขวดโค้กทำอนาจารนั้นส่งผลให้ซิลเวีย เกิดอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งมันทำให้นางเกอร์ทรูดโกรธ
ซิลเวียอย่างมาก เลยจับเธอขังในห้องใต้ดิน จากนั้นนางเกอร์ทรูดก็ทำความสะอาดตัวเธอด้วยน้ำร้อนจัด
เพื่อที่จะได้ "ชำระบาป"และขัดถูด้วยน้ำเกลือบริเวณที่แผลลวกไหม้

จากนั้นซิลเวียก็ถูกขังในห้องใต้ดิน ในสภาพเปลือยกายไม่นุ่งผ้า ถูกอดอาหารบ่อยครั้ง
และถูกจอห์น แบนนิเชฟสกี้ จูเนียส(อายุ 12 ปี)บังคับให้เธอกินอุจจาระของตนเองเป็นอาหาร


แม้ระยะนี้น้องสาวของซิลเวียเจนนี่จะสามารถติดต่อกับพี่สาวได้ และรู้เรื่องราวความวิปริตที่เกิดขึ้นกับพี่สาว
แต่เจนนี่ก็ไม่คิดช่วยพี่สาวโดยการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเพื่อนบ้านแต่อย่างใดเพราะเธอกลัวถูกจับได้
และถูกลงโทษเหมือนพี่สาวอีกทั้งขาของเจนนี่ข้างหนึ่งพิการลีบเล็กด้วยโรคโปลิโอตั้งแต่เล็ก ทำให้เธอ
เดินเหินไม่สะดวก เกรงว่าคนอื่นสังเกตเห็นและจับได้

21 ตุลาคมนางเกอร์ทรูด สั่งให้ จอห์น จูเนียส, คอย และสเตฟานี  นำตัวซิลเวียออกจากที่ห้องใต้ดิน
และใช้เชือกผูกถับตัวเธอติดกับเตียงนอน ตอนเช้าวันถัดไปนางเกอร์ทรูดโกรธซิลเวียจัดแพราะเธอ
ปัสสาวะรดเตียง เธอเลยยัดขวดโค้กเข้าไปที่ช่องคลอดของเธออีกครั้ง ก่อนที่จะใช้นางเกอร์ทรูด
จะสั่งให้ริชาร์ด ฮอบบ์ส์ ใช้เข็มขนาดใหญ่มาเผาไฟ เฉือนสลักหน้าท้องของซินเธียว่า

"I'm a prostitute and proud of it"
“ฉันเป็นกะหรี่ และฉันโคตรภูมิใจ”


วันถัดไป นางเกอร์ทรูดปล่อยตัวซินเธียและบังคับให้เธอเขียนจดหมายหนีออกจากบ้านและถูกแก๊งค์ผู้ชาย
ทำร้ายเธอ  หลังจากที่ซิลเวียเขียนเสร็จ นางเกอร์ทรูดก็ละสายตาจากซินเวียเพื่อสั่งงานให้จอห์นจูเนียส
ผูกตาซิลเวียและเอาเธอไปทิ้งไว้ในป่าพร้อมกับจดหมายฉบับนั้นและปล่อยให้เธอตายอย่างช้า ๆ
ซึ่งซินเวียแอบได้ยินเธอเลยวิ่งลงบันไดเพื่อหลบหนี แต่ก็ไม่ถูกจับตัวได้ในขณะที่เธอกำลังเปิดประตูหน้า 
นางเกอร์ทรูดดึงหลังมาข้างในบ้าน เธอถูกโยนไปในห้องเก็บของ และถูกขังอยู่ในนั้น ได้รับแคร็กเกอร์
เป็นอาหาร และไม่มีสิทธิใช้ห้องน้ำ




24 ตุลาคม นางเกอร์ทรูดและแก๊งของเธอลงที่ห้องใต้ดิน ทั้งหมดใช้กระบองและไม้กวาดกระหน่ำตี
นางซินเวียตามร่างกายเกือบทุกจุด จนกระทั้งไม้กระบองนั้นฟาดไปโดนหัวของซินเวียอย่างจัง ส่งผลให้
สมองของเธอกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จนเธอสลบนอนคาไปกับพื้นห้อง

ตอนเย็นวันอังคารของวันที่ 26 ตุลาคม นางเกอร์ทรูดพบว่าซินเธียมีอาการหยุดหายใจ และใกล้ตาย
นางกับพรรคพวกพยายามช่วยชีวิตซินเธียอย่างเต็มที่ แต่สายไปแล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่นานซินเธีย
ก็ลาจากโลกสาเหตุของการตายก็คือ สมองบวม สมองตกเลือด และช็อคจากอาการบาดเจ็บและขาดอาหาร
เป็นอันสิ้นสุดระยะเวลาที่เธอถูกทรมานนานถึง 57 วัน


นางเกอร์ทรูดและแก๊งตกใจกลัว แต่กระนั้นเธอก็บอกให้พวกเด็กๆ โทรไปบอกตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึงเธอและเด็กๆ
ก็กลบเกลื่อนตำรวจแบบสุดฤทธิ์สุดเดช เกอร์ทรูดบอกกับตำรวจว่า เธอเป็นคนดูแลซิลเวียเพราะว่าพ่อแม่
ของซิลเวียไม่อยู่ในเมืองนี้ และซิลเวียถูกแก๊งค์ผู้ชายทำร้าย พร้อมเอาจดหมายหนีออกจากบ้านของเธอ
มายืนยันเป็นหลักฐาน และท่ามกลางความวุ่นวายนั้นเจนนี่ก็เห็นโอกาสเธอได้กระซิบกระซิบประโยคหนึ่งแก่ตำรวจ

"เอาฉันออกมาจากที่นี่ และฉันจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับที่นี่แก่พวกคุณ”

ศพของซิลเวียถูกพบและถูกนำไปชันสูตรในเวลาต่อมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ทำการจับกุมนางเกอร์ทรูด,
พอลล่า,  สเตฟานี  และจอห์นจูเนียส,  ริชาร์ด ฮอบบ์ส์ และ คอย ฮับแบร์ด ข้อหาทรมานคนอื่น
จนถึงแก่ความตาย


คดีซิลเวีย ไลเคนส์ถูกเผยแพร่ในเวลาต่อมา ประเด็นหลักที่ผุ้คนสงสัยนอกเหนือเมนูการทรมานซินเธียแล้ว
อีกอย่างคือในเมื่อนางเกอร์ทรูดลงมือทรมานซิลเวียอย่างต่อเนื่องมานานหลายวันหลายเดือน แต่คำถามคือ
เพื่อนบ้านหายไปไหน? ทำไมไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปรกติที่เกิดขึ้นใต้จมูกของตัวเองเลยหรืออย่างไร?




ปรากฏว่ามี นั้นคือตอนที่ซิลเวียนำตัวไปทรมานในเดือนสิงหาคม1965 ฟีลิส กับ เรมอน เวอร์มิลเลี่ยน
เพื่อนบ้านข้างเคียงของครอบครัวแบนนิเชฟสกี้  สังเกตความรุนแรงมีพวกชายหนุ่มรุมกระทืบเด็กสาวซิลเวียอยู่
แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลคือ

“ไม่รู้ไม่เห็น”, “ไม่อยากสอด”, “ไม่อยากซวย”, “ไม่รู้จะช่วยอย่างไร”, “ไม่เป็นไรมั้ง” ฯลฯ

ซึ่งกรณีนี้ได้แสดงให้เห็นว่าคนเรามักจะหาเหตุผลชอบธรรมมาปลอบใจตนเสมอเวลาเห็นเพื่อนมนุษย์เดือดร้อน
หลายคนมักแก้ตัวว่านี้คือลักษณะของสังคมเมืองยุคปัจจุบัน ที่วิถีชีวิตรีบเร่งทำให้ทุกคนมัวแต่หมกมุ่นวุ่นวาย
กับเรื่องของตัวเองมาก จนไม่สนใจใครอีกแล้วในโลก แม้กระทั่งคนที่อยู่บ้านรั้วติดกับตัวเองแท้ๆ ก็ไม่สนใจ
ที่จะทักทายหรือสร้างความสนิทสนม

ไม่ว่าใครจะมีเหตุผลอย่างไรก็ตาม ผลสุดท้ายจุดจบของเรื่องนี้คือ มีมนุษย์คนหนึ่งถูกทำร้าย ถูกทรมาน
จนขาดใจตาย โดยไม่มีใครยื่นมือมาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว

 
……………………………………………….
 


เกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้, ลูกๆ ของเธอ, ริชาร์ด ฮอบบ์ส์ และ คอย ฮับแบร์ด ถูกคุมขังรอวันตัดสินโดยไม่ให้
มีประกันตัว ซึ่งระหว่างที่ทั้งแก๊งถูกจำคุกอยู่นั้น ซึ่งผลจากการสืบสวนสอบสวนและการชันสูตรศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ศพของซิลเธีย พบว่าร่างกายของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล มีรอยไหม้มากมาย, แผลถลอก, และที่ช่องคลอด
เกือบบวมปิด อย่างไรก็ตามผลการตรวจสอบเยื่อพรหมจารีของเธอนั้นไม่เสียหายแต่อย่างใดแสดงว่าเธอไม่ถูกข่มขืน
นอกจากนั้นคำอ้างเกอร์ทรูด ที่ว่าซิลเธีย คือโสเภณีและเธอกำลังตั้งครรภ์ เป็นอันตกไป

ต่อมามีการแถลงสาเหตุการตายของซินเธียอย่างเป็นทางการว่า เธอตายเพราะสมองบวม สมองตกเลือด
และช็อคจากอาการบาดเจ็บและขาดอาหาร

นางเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ ถูกดำเนินคดี วันที่ 9 พฤษภาคม 1966 ลูกขุนตัดสินว่าเกอร์ทรูดผิดด้วยข้อหา
ฆ่าคนโดยเจตนา พอลล่ามีความผิดข้อหาฆ่าคนตายโดยวางแผนไว้ก่อน และเด็กผู้ชายอีกหลายคนถูกข้อหา
ฆ่าคนโดยไม่เจตนา ส่งผลให้เกอร์ทรูดกับพอลล่าถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตโดยปราศไม่ให้มีปล่อยตัวออก
จากคุกโดยมีทัณฑ์บนไว้ อีกหนึ่งปีต่อมา นางเกอร์ทรูดปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา อ้างว่าพวกเด็กๆ เป็นคนทำ
และบอกว่าตนเองมีอาการทางจิต

ต่อมาในปี 1971 ศาลของอินเดียน่าอนุญาตให้มีการพิจารณาคดีของนางเกอร์ทรูดกับพอลล่าใหม่ นางเกอร์ทรูด
ถูกตัดสินด้วยข้อหาเดิมอีกครั้ง ส่วนของพอลล่าได้ถูกเปลี่ยนข้อหาใหม่เป็นฆ่าคนโดยไม่เจตนา และชดใช้
ความผิดในคุกอีก 2 ปี ส่วนพวกเด็กผู้ชายถูกปล่อยโดยภาคทัณฑ์เอาไว้ในปี 1968 หลังจากถูกจำคุก 2 ปี

อย่างไรก็ตามศาลก็ได้ลดโทษนางเกอร์ทรูด หลังติดคุกได้ 18 ปี เนื่องจากเธอเป็นนักโทษตัวอย่าง
ประพฤติตัวดีในคุก ทำงานอย่างขยันขันแข็งในโรงตัดเย็บ จนเธอมีชื่อเล่นในคุกว่า"แม่"
(เนื่องจากเธอเป็นนักโทษที่มีอายุมากที่สุดในคุก)




ข่าวศาลกำลังจะปล่อยตัวนางเกอร์ทรูดออกจากคุกโดยมีทัณฑ์บนไว้ ทำให้ประชาชนอินเดียนาและญาติของซิลเวีย
รวมไปถึงสมาคมต่างๆ ไม่พอใจอย่างยิ่ง พวกเขาออกข่าวโจมตีนางเกอร์ทรูด ระดมพลรวบรวมลายเซ็น 4500 ลายเซ็น
เพื่อให้ศาลตัดสินใหม่อีกครั้ง   แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ผล ศาลตัดสินใจไม่เปลี่ยนคำตัดสิน
และนี้คือคำแถลงการณ์ของนางเกอร์ทรูด

I'm not sure what role I had in it... because I was on drugs. I never really knew her...
I take full responsibility for whatever happened to Sylvia.


วันที่ 4 ธันวาคม1985 นางเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้ ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระโดยมีทัณฑ์บนไว้  หลังจากนั้น
เธอก็เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ใหม่เป็น นาดีน แวน ฟอสแซน ย้ายที่อยู่ใหม่ที่ไอโอว่า และเธอก็ตายที่นั่นด้วย
โรคมะเร็งปอดเมื่อวันที่ 16   มิถุนายน1990
 
.....................................................................
 
ในปี 2007 กว่า 4 ทศวรรษหลังเกิดเหตุ มีหนังอเมริกันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของซิลเวีย ไลเคนส์
ออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน 2 เรื่อง


หนึ่งคือ An American Crime ผลงานกำกับของ ทอมมี่ โอฮาเวอร์ (Ella Enchanted) มี เอลเลน เพจ
รับบทซิลเวีย ไลเคนส์ และ แคเธอรีน คีเนอร์ รับบทเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสกี้

<a href="http://www.youtube.com/v/TyI7w0mPBP0" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/TyI7w0mPBP0</a>

และอีกหนึ่งคือ The Girl Next Door ผลงานของ เกรกอรี่ วิลสัน

หากเปรียบเทียบหนังทั้ง 2 เรื่องในแง่ของความถูกต้องเที่ยงตรงต่อเหตุการณ์จริงแล้ว An American Crime
ตรงกว่ามาก ทั้งชื่อเสียงเรียงนาม พื้นเพปูมหลัง ความสัมพันธ์ของตัวละคร และเรื่องราวการทารุณทำร้าย
ถอดแบบมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงแทบจะทุกส่วน


ขณะที่ The Girl Next Door นั้น เป็นการดัดแปลงมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ แจ็ก เคทชัม ซึ่งออกวางจำหน่าย
ในปี 1989 อีกที และนิยายเล่มดังกล่าว แม้จะอิงอยู่กับเรื่องราวของซิลเวีย ไลเคนส์เป็นหลัก ทว่ารายละเอียดต่างๆ
ก็ถูกปรับและเปลี่ยนไปหลายอย่าง

แต่น่าเสียดาย An American Crime เป็นหนังนอกกระแส เลยไม่มาไทย ซึ่งมีเพียงเรื่องเดียวที่คนได้น่าจะได้เห็น
บ้างคงมีแต่เรื่อง The Girl Next Door หรือเรื่องแอบดูข้างบ้านในชื่อของไทยเท่านั้น

<a href="http://www.youtube.com/v/typY725pjZ4" target="_blank" class="new_win">http://www.youtube.com/v/typY725pjZ4</a>

ฉากหลังของ The Girl Next Door ขยับจากกลางยุค 60 ในเรื่องจริง กลายมาเป็นยุค 50
ซิลเวีย ไลเคนส์วัย 16 ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น เม็ก ลาฟลิน วัย 14
และนางเกอร์ทรูด แบนนิเชฟสีกี้ ม่ายลูก 7 เปลี่ยนเป็น รูธ แชนด์เลอร์ ม่ายลูก 3


ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างรูธกับเม็กนั้น จากคนรู้จัก ถูกเปลี่ยนเป็นป้ากับหลาน โดยมีเรื่องอยู่ว่าเม็กกับน้องสาว
ต้องมาอาศัยบ้านป้าเพราะว่าพ่อแม่ทั้งคู่ ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต และทั้งสองก็ไม่มีญาติ ทำให้ทั้งสอง
ต้องมาอยู่บ้านป้าแท้ๆ ของตน

หนัง The Girl Next Door ชื่อมันออกจะออกใสก๊กกิ๊ก แต่เนื้อเรื่องค่อนข้างโหดร้ายมาก โดยหนังจะ
เล่าเรื่องผ่านมุมมองของ เดวิด มอแรน เด็กชายวัย 12 ปี (เป็นตัวละครที่ไม่มีอยู่จริง) ซึ่งอาศัยอยู่บ้านติดกัน
กับครอบครัวแชนด์เลอร์ และเป็นเพื่อนเล่นกับลูกๆ ของรูธ แชนด์เลอร์มาตั้งแต่เด็ก

จากนั้นเดวิดก็หลงรักเม็ก และมีความทรงจำดีๆ ร่วมกับเธอ อย่างไรก็ตาม การรู้จักเด็กสาวผู้นี้ก็นำมา
ซึ่งฝันร้ายสุดชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อเดวิดกลายเป็นประจักษ์พยานต่อการทารุณกรรมอันโหดเหี้ยม
ที่รูธกับลูกๆ และเด็กวัยรุ่นในละแวกใกล้เคียง กระทำต่อเธอ

และการที่เขาได้แต่ทนดูโดยไม่อาจช่วยเหลือใดๆ ได้ ก็เป็นต้นเหตุของความรู้สึกผิดบาปถาโถม
ที่ไม่อาจเยียวยาและลบเลือนชั่วชีวิต…………..
o


credit :: dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 กรกฎาคม 2013, 11:33:03 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่