-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ดร.โจเซฟ แม็งเกเล่ (Josef Mengele) เทพเจ้าแห่งความตายของเอาต์วิตซ์ Part1  (อ่าน 1744 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18213
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

ดร.โจเซฟ แม็งเกเล่ (Josef Mengele) เทพเจ้าแห่งความตายของเอาต์วิตซ์



เสียงรถไฟขนส่งแล่นกึกก้องบนรางแล่นเข้าสู่ค่ายเอาต์วิตซ์ ซึ่งตั้งอยู่พรมแดนของโปแลนด์ที่หนาวจับใจ เพื่อจะส่งสิ่งของ
ที่อยู่ในขบวนรถไฟนี้ มันคือมนุษย์ มนุษย์เป็นๆที่ถูกบรรจุอยู่ภายในตู้ที่อัดแน่นราวกับฝูงปศุสัตว์ที่ส่งเสียงร้องครวญครางและอื้ออึง
เนื่องจากคนพวกนี้ถูกจับยัดอยู่ในตู้รถไฟนานถึง 4 วัน  โดยปราศจากอาหาร น้ำ ส้วม หรือแม้แต่อากาศบริสุทธิ์
ฝูงคนทั้งหมดคือชาวยิว พวกเขาเป็นนักโทษ


นักโทษชาวยิวเหล่านี้เป็นเหยื่อชุดสุดท้ายในการรณรงค์ของเหล่านาซี เพื่อชำระล้างชาวยิวในฮังการี จุดหมายสุดท้ายของชาวยิวเหล่านี้คือ
เฮาต์วิตช์ สถายที่เปรียบเสมือนฝันร้ายอย่างที่สุดของชาวยิว โรงงานแห่งความตายของพวกนาซี สถานที่นี้ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโปแลนด์

เมื่อรถไฟมาถึง ทหารเฉพาะกิจของหน่วยนาซีที่เรียกว่า "หน่วยเอสเอ" ตะโกณใส่ฝูงคนที่อยู่ตู้ขบวนรถไฟว่า "ออกมา ออกมา!"
พวกเขาตระโกณใส่ชาวยิวผู้หวาดหวั่นและอยู่ในสภาพทุลักทุเล ท่ามกลางห่ากระบองที่หวดใส่ชาวยิวอย่างไม่ยอมหยุด เสียงเห่าขู่กรรโชก
สวนสยองของสุนัขพันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดดังไปทั่วค่ายนรกแห่งนี้ไม่ขาดสาย และในขณะเดียวกันนั้นกลิ่นเหม็นหนึ่งที่ชวนสยองลอย
เข้ามาเตะจมูกนักโทษชาวยิวกลุ่มนี้อย่างแรง


มันคือกลิ่นของซากศพที่เผาไฟ!



กลิ่นเนื้อมนุษย์และผมนี้มาจากเตาเผาภายในค่าย 5 เตา ที่ทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมงในการเผาซากศพที่กองเป็นภูเขาลงกา
เมื่อมาถึง ทุกคนในครอบครัวจะถูกแยกออกจากกันทันที พวกผู้ชายจะถูกตั้งแถวเป็นแนวยาวขึ้นแถวหนึ่ง ส่วนผู้หญิงจะตั้งแถวขึ้นมาอีกแถว
โดยพวกเขาไม่รู้เลยว่านี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เห็นคนที่ตนรักมีชีวิตอยู่


ทหารเอสเอเดินสวนสนามผ่านชาวยิวผู้เคราะห์ร้าย เพื่อเข้าสู่ประตู พวกเขาเดินผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอสเอสผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งอยู่ท่ามกลางความตาย
ความบ้าคลั่ง ความเจ็บปวดทุรนทุราย แต่เขาไม่รู้สึกเลยว่าไม่ได้ยืนอยู่ที่นั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาของเจ้าหน้าที่เอสเอสระดับสูงคนนั้นปรากฏ
รอยยิ้มที่ดูเมตตาปรานี ชุดยูนิฟอร์มดูเนี๊ยบแทบไม่มีข้อบกพร่อง เพราะตัดมาจากช่างฝีมือดึ สะอาดสะอ้าน และได้รับการรีดอย่างเรียบร้อย
เขาผิวปากเป็นเพลงโอเปร่าของว้ากเนอร์ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเขาราวกับว่าชื้นชอบความตายที่อยู่ตรงหน้า สายตาของเขาแสดงให้เห็นว่า
เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งมีเขาเป็นผู้กำกับคนเดียว เขาถือแส้ด้านหนึ่ง มันมีไว้สำหรับฟาดนักโทษบางคน
ที่เดินผ่านไป เขาเป็นคนกำหนดและสั่งให้นักโทษเดินไปทางซ้ายทางขวา ราวกับเห็นพวกเขาเป็นวัวเป็นควาย โดยที่นักโทษคนไหนรู้จักเขา

เขาคือใคร? เขามีหน้าที่อะไร? และต่อไปนี้อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา?


เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่หน้าดีมีเสน่ห์คนนี้ มีหน้าที่ที่เขาชื่นชอบในเอาต์วิตซ์นั้นคือการคัดเลือกผู้มาใหม่ว่าเหมาะกับงานชนิดใด โดยแบ่งแยกไป
ทางเข้าซ้ายขวา คนที่ไปซ้ายถูกส่งเข้าห้องรมก๊าซทันทีซึ่งประมาณ 10 หรือ 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้มาใหม่ทั้งหมด ส่วนคนที่ไปทางขวานั้น
ประมาณ 70 หรือ 90 เปอร์เซ็นต์นั้น จะรอด แต่ก็ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพราะพวกเขาจะเป็นเหยื่อการทดลองสุดวิปริตแบบสุดสยอง
จากเจ้าหน้าที่หนุ่มรูปหล่อผู้ซึ่งทำหน้าที่กำหนดความตายเองโดยไม่มีการพิพากษาของศาลใดๆ ทั้งสิ้น เขาคือผู้กำหนดชะตากรรมของนักโทษ
ทั้งค่ายทั้งหมด และเขาได้รับสมญานามในค่ายนรกแห่งนี้ว่า "เทพบุตรแห่งความตาย" เขามีนามว่า "ดร.โจเซฟ แม็งเกเล่"
หนุ่มหล่อที่เห็นชีวิตมนุษย์เป็นผักปลา
               

ครอบครัวบ้าอำนาจ


               
โจเซฟ แม็งเกเล่ เกิดที่เมืองกุนสเบิร์ก แคว้นบาวาเรีย เป็นพี่ชายคนโตจากพี่น้อง 3 คนในครอบครัวคาร์ลและวอลเบอร์กา คาร์ลผู้เป็นพ่อเป็น
นักอุตสาหกรรมท้องถิ่นเป็นเจ้าของโรงงานและฟาร์มที่มีเครื่องไม้เครื่องมือครบถ้วน และใหญ่ที่สุดในเมือง การเงินไม่สับสน แต่ครอบครัวนี้
เสียอย่างเดียวคือ มีวอลเบอร์กาผู้เป็นแม่ที่แม้แต่คนที่โรงงานก็ยังกลัว เธอเป็นผู้หญิงตัวโตที่ใจร้อนมาก เธอมักจะตะโกณและพูดจาหยาบคาย
ถ้าพบเห็นคนงานที่ขี้เกียจอยู่เสมอ


วอลเบอร์กานั้นเป็นแม่ที่บ้าอำนาจมาก เธอชอบปกครองคนในบ้านด้วยกฎเกณฑ์เดียวกับกฎของคนงาน  ลูกชายทั้งสามคนและคาร์ล เจอาร์.
ต้องให้ความเคารพยำเกรงต่อเธอเช่นเดียวกับคนงาน นอกจากนั้นเธอยังเป็นคนเย็นชาต่อผู้เป็นสามี และเรียกร้องความยำเกรงจากเขาเสมอ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง คาร์กกลับมาบ้านพร้อมรถคันใหม่ซึ่งซื้อมาเพื่อฉลองความสำเร็จของโรงงาน แต่แทนที่ครอบครัวจะดีใจ เขากับได้รับเสียงด่า
ที่หยาบคายจากภรรยา เนื่องจากไม่พอใจที่สามีไม่ปรึกษาเธอก่อนตัดสินใจซื้อรถ แน่นอน ความทรงจำจากการกระทำของแม่ที่มีต่อครอบครัว
ได้ทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ในพฤติกรรมของโจเซฟน้อย เขามักเล่าถึงครอบครัวของเขาแก่เพื่อนสนิทว่า

"พ่อเป็นคนเย็นชา ดูห่างไกล และถูกหน้าที่การงานเข้าครอบงำ ส่วนแม่นั้นเป็นผู้ทำใจให้ "รัก" ได้ยาก เพราะเธอเป็นเป้าหลอมให้ผมเป็นผู้มีระเบียบวินัย
และต้องการความเครพยำเกรงอย่างสูงด้วยหัวใจเย็นชา นี้จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อร่างสร้างให้โจเซฟสามารถทำหน้าที่รับบทสังหารโหดชาวยิวในฐานะ
นายแพทย์ทหารเอสเอสที่ค่ายนรกแห่งนี้ได้ในเวลาต่อมา


โจเซฟมีชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งว่า "เบปโป" เขาเป็นเด็กฉลาดอย่างร้ายกาจ มีความทะเยอทะยานสูง เป็นคนเจ้าระเบียบสูง เป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนร่วมชั้น
และคนในเมืองกุนสเบิร์กในฐานะแบบอย่างของเด็กที่มีพฤติกรรมดี ไม่เชื่อเลยว่าเด็กคนนี้จะกลายเป็นฆาตกรโหดในอนาคต!

เมื่อ "เบปโป" ย่างเข้าสู่วัยรุ่น เขาได้รับการขัดเกลาในการเข้าสังคม จนกลายเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม มีความมั่นใจสูง มีเสน่ห์ เป็นนักพูดที่มีศิลปะ
จนเป็นที่หมายปองของสาวๆ ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ในช่วงนั้นความทะเยอทะยานของโจเซฟได้ไปขัดแย้งกับความมุ่งมั้นของพ่ออย่างรุนแรง
พ่อของเขาต้องการให้ลูกชายคนโตทำงานในโรงงานต่อไป ในขณะที่โจเซฟฝันไปไกลกว่าที่จะทำงานในบ้านเกิด เขาฝันที่จะทำงานด้านวิทยาศาสตร์
และมานุษยวิทยา ถึงขั้นพนันกับเพื่อนว่า สักวันหนึ่งชื่อของเขาจะปรากฏในเอ็นไซโครปีเดีย

ในปี 1930 โจเซฟจบมัธยมศึกษาตอนปลาย จากนั้นก็มุ่งหน้าสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้ว่าคะแนนเขาไม่ดีมากนัก แต่ก็เพียงพอให้เขาสอบเข้า
มหาวิทยาลัยมิวนิกได้ช่วงเวลาที่โจเซฟเข้าเรียนที่มิวนิกนี้เอง เป็นช่วงที่กระแสชาตินิยมสังคมนิยมกำลังมาแรง ภายใต้การนำของนักการเมือง
นามว่าอดอร์ฟ ฮิตเลอร์

               
นาซีหนุ่มหล่อ



โจเซฟ แม็งกาเล่ ละทิ้งกุนสเบิร์กไปยังมิวนิกในเดือนตุลาคม 1930 เพื่อเริ่มการศึกษาที่มหาวิทยาลัย เขาลงทะเบียนเรียนในวิชาปรัชญาและการแพทย์
ช่วงเวลานั้นพรรคนาซีกลายเป็นพรรคใหญ่ลำดับที่สองในรัฐสภาเยอรมัน อดอร์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ใช้เวทีมิวนิกเป็นเวทีแรกในการยึดครองประเทศเยอรมัน
ความจริงแล้วแม็งกาเล่นั้นไม่สนใจการเมืองมาก่อนเลย จนกระทั้งๆ เห็นชาวเยอรมันนับแสนนับล้านให้ความสนใจการเมืองมากข้น เขาเริ่มมีอารมณ์ร่วม
อยู่ในกระแสเชี่ยวกรากของพรรคนาซีอย่างถอยตัวไม่ขึ้น

ไม่ต้องรอให้เสียเวลา เขาตรงเข้าสมัครกับองค์การชาตินิยม หมวกเหล็ก ในปี 1931  โจเซฟเริ่มต้นด้วยการสวมชุดที่ดีไซน์ขึ้นมาพร้อมกับเดินพาเหรด
ในเหตุการณ์ต่างๆ ในเยอรมนี เมื่อความสนใจในการเมืองของโจเซฟเริ่มเบ่งบาน เขายิ่งให้ความสนใจในวิชาแพทย์ศาสตร์ เพราะในพรรคนาซีกำลังให้
ความสนใจกับคนลักษณะด้วยที่เกิดมาร่างกายไม่สมประกอบหรือพิกลพิการว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร โจเซฟเริ่มศึกษาถึงกระแสความนิยมในช่วงนี้
โดยเห็นว่ามันอยากจะทำให้เขามีชีวิตรุ่งโรจน์ในภายภาคหน้า ในขณะที่โจเซฟสนใจศึกษาลักษณะด้อยทางพันธุ์กรรม เขาเริ่มมีความคิดที่น่ากลัว
ว่าคนที่มีลักษณะแบบนั้นไม่ควรมีชีวิตอยู่ มันรกโลกชัดๆ สักวันเขาต้องกำจัดคนพวกนี้ทั้งหมดไปจากประเทศเยอรมันให้ได้

น่ากลัวยิ่งนัก เพราะความคิดของเขาดันไปตรงกับความคิดของฮิตเลอร์อย่างจัง!

ปี 1933 ดร.เออร์เนสต์ รูบิน อาจารย์ของโจเซฟ ได้ออกกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันทางพันธุกรรมให้กับรัฐสภาซึ่งเป็นปีเดียว
ที่พรรคนาซียึดครองรัฐบาลเยอรมนีได้สำเร็จ

ปี 1937 ห้าปีหลังจากจบการศึกษาในมหาวิทยาลัย โจเซฟสมัครเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยวิจัยในสถาบันไรต์ที่ 3 ในเรื่องพันธุ์กรรม
ชีววิทยา และเชื้อชาติบริสุทธิ์ นับว่านี้คือจุดเปลี่ยนในหน้าที่การงานและประวัติศาสตร์อันอำมหิตได้เริ่มขึ้น สถาบันไรต์เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยแฟรก์เฟิร์ต
โจเซฟมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยของศาสตราจารย์ออตมาร์ ไฟเทอร์วอน เวอร์ชูเออร์ ซึ่งเป็นสนับสนุนในทางสาธารณชนแก่ฮิตเลอร์ ในฐานะ
"นักรัฐบุรุษคนแรกที่ตระหนักถึงเรื่องพันธุกรรม ชีววิทยา และความสะอาดทางชาติพันธุ์"

ในเดือนพฤษภาคม 1938 โจเซฟอายุได้ 28 ปี เข้าสมัครเป็นทหารหน่วยเอสเอ ซึ่งเป็นหน่วยทหารชั้นสูงที่ปกครองประเทศ โจเซฟเริ่มไต่เต้า
จากตำแหน่งต่ำๆ มาสู่ตำแหน่งสูงๆ ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยผลงานที่โดดเด่นในพรรคนาซี

ในปี 1941 โจเซฟออกไปรบที่แนวหน้าของยูเครน จนได้รับกากบาทไอออนครอสระดับที่สองจากการรบ และจากนั้นในปี 1942 เขาก็ได้รับ
ไอออนครอสระดับที่หนึ่ง ในฐานะที่ช่วยเหลือทหารสองนาย ออกจากรถถังที่ถูกไฟไหม้ หลายๆ คนในกองทัพนาซีมักชื่นชมเขาว่า

"โจเซฟเป็นทหารที่ค่อนข้างกระตือรืนร้น แม้จะได้รับบาดเจ็บแต่เขาก็ยังสู้รบต่อไป เขาสามารถอุทิศชีวิตให้กับนาซี
และไม่เพียงแต่อุทิศชีวิต แต่ยังถึงขั้นถวายหัวทีเดียว"


               
ค่ายนรกเอาต์วิตซ์
               


โรงงานแห่งความตายเอาต์วิตซ์นั้นเป็นอาณาจักรแห่งความตายที่สยดสยองของด้านมืดของมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นในอาคารหรือที่พักอาศัย
ที่นักโทษจะต้องเผชิญกับสภาพที่ไม่มีสุขอนามัย เชื้อโรคเช่นไข้เลือดสาดใหญ่ โรงท้องร่วงอย่างรุนแรงจากพาหนะคือ เหา พยาธิ และแมลงวัน
ที่นั้นคือสถานีที่ ดร.โจเซฟ เข้ามาประจำการ


ค่ายเอาชวิตซ์เป็นค่ายที่สร้างขึ้นตามแนวนโยบายของอดอล์ฟ ไอค์เมินส์ คนสนิทของฮิตเลอร์ มีหน้าที่ดูแลการอพยพชาวยิวประจำศูนย์ใหญ่เยอรมนี
แนวคิดของเขาคือจะทำอย่างไรที่จะฆ่าชาวยิวได้จำนวนมากๆ ในระยะเวลาสั้นๆ และทำให้ทหารนาซีไม่เสียสุขภาพจิด ไม่เหนื่อยมากนักในการสังหารหมู่
ผลก็คือการจัดตั้งค่ายมรณะตามที่ต่างๆ โดยการใช้ห้องรมก๊าซที่สามารถสังหารคนได้จำนวนมากๆ ในครั้งเดียว อีกทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายอีก
เอาต์วิตซ์ก็เป็นหนึ่งในค่ายนรกแห่งนั้น

ค่ายนี้มี นายรูดอลฟ์ โฮสส์ เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว เขาดำรงตำแหน่งนี้ช่วงเดือน สิงหาคม 1941  ถึงเดือนธันวาคม 1943
ในช่วงที่โฮสส์ ควบคุมค่ายอยู่นั้น มีนักโทษผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกนำมาสังหารในค่ายนรกแห่งนี้เป็นจำนวนมากถึง 2500000 คน ทำลายสถิตการสังหารหมู่
มากที่สุดเมื่อเทียบกับค่ายอื่นๆ ทั้งหมดเหยื่อที่โดนฆ่า มีทั้ง เด็ก คนแก่ ผู้หญิง ผู้ชาย โดยมาจากการขนส่งบนรถไฟมาจากประเทศต่างๆ
เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ฮังการี เบลเยี่ยม กรีก โปแลนด์ ฯลฯ นักโทษจากทุกประเทศต่างพบจุดจบที่ไม่แตกต่างกันมากนัก
เมื่อถูกนำตัวเข้าค่ายนรกแห่งนี้

               

การรมก๊าซ



ครั้งแรกค่ายเอาต์วิคซ์มีอัตราการสังหารหมู่ชาวยิวในอัตราที่ไม่แตกต่างจากค่ายอื่นๆ มากนัก เนื่องจากใช้ก๊าซ "มอนน็อกไซด์ แก๊ส" มาใช้
ซึ่งมีปริมาณในการสังหารเหยื่อออกประมาณ 200 ศพ ต่อหนึ่งครั้ง

ต่อมา รูดอล์ฟ โฮสส์ ได้นำ "ซี คลอน บี" เป็นกรดของเหลวมาลองใช้ในห้องรมก๊าซปรากฏว่ามันใช้งานได้ดี สามารถฆ่าคนได้รวดเดียว
ถึง 2000 คนในเวลาพริบตา เวลานั้น....มลพิษที่ค่ายเอาต์วิคซ์ปล่อยออกมาในชั้นบรรยากาศและบริเวณโดยรอบๆ นั้นอบอวลไปด้วยกลิ่น
ที่คลื่นเหียนจากการเผาศพอย่างต่อเนื่องในค่าย ทำให้ใครต่อใครที่ไม่คุ้นเคยกับกลิ่นนี้ต่างพากันอาเจียนและเวียนหัวกันถ้วนหน้า
               
หน้าที่ของดร.   


               
ภาระหน้าที่ของดร.โจเซฟในค่ายนรกแห่งนี้คือ การวิจัยเรื่องยีนของมนุษย์ โดยมีเป้าหมายคือการปลดล็อกความลับในวิศวกรรมของยีน และสรรหา
วิธีในการเคลื่อนย้ายพันธุกรรมยีนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อที่จะสร้างเชื้อพันธุ์อันบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับเยอรมนีต่อไป ที่เอาต์วิคซ์ ดร.โจเซฟ แม็งกาเล่
วางตัวเองได้โดดเด่นมาก เมื่อเทียบกับนายแพทย์หน่วยเอสเอสคนอื่น เพราะมีเขาคนเดียวที่เคยออกรบในแนวหน้าและได้รับเหรียญรางวัลมาแล้ว
เขาชอบตกแต่งเครื่องแบบของเขาด้วยเหรียญที่คนอื่นไม่มี และไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องเหรียญเหล่านี้ด้วย ไม่เพียงแต่เหรียญและประสบการณ์
ออกรบเท่านั้นที่ ด้วยการที่เขามีบุคลิกที่เคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง และทุ่มเทกับหน้าที่การงานมากกว่าคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทหารเอสเอสคนอื่นๆ
ยำเกรงเขาเป็นอย่างมาก


โจเซฟ แม็งกาเล่นั้นมีลักษณะเหมือนซูเปอร์สตาร์ในค่ายนรกแห่งนี้ เขามีบุคลิกที่คาดเดาไม่ได้ เป็นบุคคลที่น่าเกรงขามสำหรับนักโทษหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
เพราะงานหลักในแต่ละวันของเขาคือการเลือกสรรว่า ใครควรเข้าไปในห้องรมก๊าช หรือใครที่มีชีวิตทำงานอยู่ต่อ หรือผู้คุมและเจ้าหน้าที่หน่วยก็ไม่เว้น

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ระหว่างนั้นมีการเรียงแถวนักโทษออกเป็นสองแถวใหญ่ๆ โดยมีโจเซฟเป็นผู้เลือกสรร ยืนอยู่ตรงกลาง ในขณะนั้นมีเจ้าหน้าที่คาโป
เป็นคนคุมเรือนจำเกิดความสงสารชาวยิวในแถวขวาคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ความตาย เขาดึงชาวยิวผู้นั้นจากแถวขวามาสู่แถวซ้าย เมื่อโจเซฟ
มาเห็นเข้าก็ไม่รอช้า ไม่ถามถึง กระชากปืนออกมาจากเอวพร้อมเดินเข้าไปยิงใส่หัวคาโปคนนั้นทันที เพราะการทำหน้าที่ของเขา ไม่ต้องการเห็น
ความช่วยเหลือใดๆ หรือได้เห็นการสังเคราะห์ใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนี้โจเซฟได้นำนิสัยของแม่เขามาใช้ในค่ายนรกแห่งนี้แล้ว!



ในปี 1981 เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมของเยอรมนีตะวันตก ได้ค้นพบเรื่องราวความผิดของโจเซฟถึง 78 กระทง
ซึ่งล้วนแต่เป็นการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงทั้งสิ้น อาทิเช่น
- การเลือกสรรว่าใครจะอยู่ ใครจะตาย
- ใช้นักโทษทำงานหนักจนตาย
- ยิงนักโทษตายเพราะเดินช้า
- สังหารคนที่กำลังหายจากโรคโดยรมก๊าซพิษไซยาไนด์
- ฉีดสารพิษเข้าไปในร่างกายนักโทษด้วยตนเองหรือให้นักโทษทำ
- ปล่อยให้คนอดตาย ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีวีรเวรที่น่าสรรเสริญอีก อาทิเช่น

มีอยู่ครั้งหนึ่งในตอนที่โจเซฟกำลังเข้ามาทำงานใหม่ๆ เกิดโรคไข้สาดใหญ่ขึ้นในค่ายอย่างกะทันหัน เขารีบสั่งฆ่าชาวยิปซีทั้งค่ายให้หมดโดยทันที
ด้วยการนำเข้าห้องก๊าซ ยกเว้นชาวยิปซีเชื้อสายเยอรมันเท่านั้น โดยในสายตาของเขาแล้วยิปซีคือกลุ่มคนที่ไม่มีคุณค่าแก่การมีชีวิตอยู่
เพราะมีชาติพันธุ์ที่ด้อยสำหรับมนุษย์ชาติ



ในอีกครั้งหนึ่งในค่ายเอาต์วิตช์ ห้องรมก๊าซเต็มเพราะมีชาวยิวนับพันยัดกันตายในข้างใน แต่ยังมีชาวยิวอีกจำนวนหนึ่งรอคอยอยู่ข้างนอก โจเซฟสั่งให้
ขุดหลุมข้างๆ อาคาร แล้วใส่ก๊าซโซลีนเข้าไป แล้วจุดไฟเผาชาวยิวที่หลงเหลือนี้พร้อมๆ กับการรมก๊าซ นี้คือผลงาน หน้าที่ที่โจเซฟสั่งให้เจ้าหน้าที่
หรือนักโทษทำ แต่ความผิดเหล่านี้เทียบไม่ได้เลยกับผลงานของเขา ต้นคิด ต้นตำรับ ที่ทำให้ทั่วโลกตะหนักและรู้จักความโหดร้ายของ
ดร.โจเซฟ แม็งกาเล่ได้เป็นอย่างดี


นั้นคือ "การทดลองในมนุษย์"

(ติดตามตอนต่อไป+ +)

credit :: Cammy@dek-d
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22 มีนาคม 2014, 11:24:45 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่