-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานผีญี่ปุ่น Part13  (อ่าน 1358 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18211
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
ตำนานผีญี่ปุ่น Part13
« เมื่อ: 08 สิงหาคม 2014, 17:28:02 »

1 ซาโตริ หรือ ปีศาจอ่านใจ「さとり」 (Satori) 



โยว์ไคที่ว่ากันว่าอาศัยอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาของฮิดะโนะคุนิ「ひだのくに」 และมิโนะโนะคุนิ 「みののくに」
รู้จักกันว่าเป็นโยว์ไคที่สามารถอ่านใจมนุษย์ได้


ว่ากันว่า “ซาโตริ” นั้นเป็นโยว์ไคที่ถึงแม้จะมีรูปร่างแบบมนุษย์แต่ความจริงแล้วไม่มีร่างจริงหรือไม่ก็มีรูปร่าง
เป็นลิงยักษ์เดินสองขา มักจะพบเจอได้ยามเดินหรือพักอยู่ในภูเขามันจะอ่านสิ่งที่เราคิดทั้งหมด และพูดออกมา
ก่อนเราจะเอ่ยปาก ว่ากันว่า...ถ้าในหัวไม่คิดอะไรเลยซาโตริก็จะเบื่อแล้วหายตัวไปเอง ไม่ก็กลัวคนที่ไม่คิดอะไร
หรืออาจจะทรมานจนตายก็ได้ ว่ากันว่าซาโตริมาปรากฏตัวต่อหน้าคนที่อยู่ในกระท่อมบนเขาพอเผลอก็จะจับไปกิน
และถ้ามีวัตถุไปชนซาโตริเข้า มันจะกลัวว่าเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นแล้วหนีไป 

ขณะเดียวกันก็มีเรื่องเล่าว่า ซาโตริจะไม่ทำอันตรายมนุษย์ คนที่ทำงานบนเขาก็จะไม่ต่อต้านซาโตริ
และอยู่ร่วมกันได้  มีภาพของซาโตริปรากฏอยู่ใน “ภาพร้อยอสูรจากอดีตถึงปัจจุบัน”ของ “โทริยามะ เซกิเอ็น”
[ไม่ใช่ขบวนร้อยอสูรของนูระนะจ้า คึคึคึ]แต่ก็เป็นการเอาแบบมาจากยามาโกะในหนังสือ
“วะคังซันไซซุเอะ(รวมภาพชายญี่ปุ่นอายุสามปี ?)” และในคำอธิบายก็กล่าวไว้ว่าเป็น
“ยามาโกะในภูเขาลึกของฮิดะโนะคุนิและมิโนะโนะคุนิ”ซึ่งเซกิเอ็นได้ตั้งชื่อให้ว่า “ซาโตริ”
เนื่องมาจากความสามารถอ่านใจคน (ซาโตรุ)ได้ ปีศาจที่ชื่อโอโมอิ 「おもい」 ที่อาศัยอยู่ในป่า
ของภูเขาโอวาดะยามะเชิงภูเขาไปฟูจิเองก็มีความสามารถอ่านใจมนุษย์ได้เช่นกันจึงคาดว่าน่าจะเป็น
ตัวเดียวกับ “ซาโตริ” นี้

เคยมีซาโตริมาปรากฏตัวต่อหน้าช่างทำตะกร้าที่กำลังซ่อมตะกร้าอยู่หมายอ่านใจของเขาเพื่อปั่นหัวเล่น แต่ช่างทำ
ตะกร้าที่หวาดกลัวได้ทำห่วงสานตะกร้าหลุดมือไปกระแทกหน้าของซาโตริเข้าทำให้มันตกใจและรีบร้อนหนีไปเนื่องจาก
“มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวทำได้กระทั่งสิ่งที่ตนเองไม่ได้คิดไว้” [เอิ่ม...เจ้าซาโตริมันคิดอย่างนี้ซินะ = =” ]
นอกจากนี้ ซาโตริยังมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับคาฉะอีกด้วย




2 คาฉะ「かしゃ」 (Kasha) 



คาฉะเป็นปีศาจชนิดหนึ่งของญี่ปุ่นว่ากันว่าจะมาชิงเอาศพของผู้ที่ทำบาปทำกรรมเอาไว้มากในขณะที่ยังมีชีวิต
คาฉะนั้นไม่มีถิ่นพบเห็นที่แน่นอนจึงอาจสันนิษฐานได้ว่ามีการปรากฏตัวไปทั่วประเทศ เมื่อมีคนบาปตาย คาฉะ
จะปรากฏตัวขึ้นจากนรกพร้อมกับเมฆดำมืดและพายุฝนเพื่อชิงเอาศพของผู้นั้นไปจากงานศพหรือสุสาน


บางครั้งก็กล่าวว่าจะมีมือยื่นออกมาจากในเมฆมาคว้าเอาไป ศพที่ถูกชิงไปจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆและนำไปทิ้งไว้ในภูเขา
มักจะกล่าวกันว่าตัวจริงของคาฉะนั้นเป็นปีศาจแมว หรือกลายร่างมาจากแมวที่แก่ตัวลง การปรากฏตัวของคาฉะ
เป็นหลักฐานแสดงว่าผู้ตายเป็นคนบาปจึงเป็นที่หวาดกลัวและอับอายของผู้คนทั่วไป  บริเวณวัดที่ว่ากันว่าคาฉะ
อาศัยอยู่จะมีการแยกจัดงานศพเป็น2 ครั้ง งานศพครั้งแรกจะเอาหินใส่ไว้ในโลงศพเพื่อป้องกันคาฉะมาชิงเอาศพไป

ในช่วงกลางของสมัยเอโดะมีเรื่องเล่าของคาฉะเล่าว่าในสมัยเคียวโฮ ที่เมืองทัตสึโนะในอิโบะกุน ฮาริมะโนะคุนิ
(ปัจจุบันคือจังหวัดเฮียวโง) ในระหว่างที่ยายของลูกสาวลูกจ้างร้านโชยุชื่อ"ร้านฮายาชิดะ" มาพักค้างแรมด้วยนั้น
ได้เกิดล้มป่วย และเมื่อเสียชีวิตลงคาฉะก็ได้ปรากฏตัวขึ้นทั้งที่ไม่มีใครในร้านมองเห็นเลยแม้แต่คนเดียวแต่ตัวลูกสาว
กลับมองเห็นคาฉะ อยู่นอกบ้าน ว่าเป็นยักษ์นรกหน้าตาน่าขยะแขยงลากรถที่มีไฟลุกท่วมมาแล้วเอาคุณยาย
ใส่รถจะพาตัวไป เจ้าหล่อนก็พยายามจะไปเอากลับมาจึงออกไปข้างนอก แต่ก็ถูกลูกจ้างคนอื่นดึงตัวกลับมา
ซึ่งเธอก็โดนไฟไหม้ที่แขนเสื้อและมีแผลไฟไหม้ด้วย  นอกจากคนตายแล้วบางครั้งคาฉะยังเล่นงานคนเป็นอีกด้วย

วันหนึ่งในมุซาชิโนะคุนิ (ปัจจุบันคือไซตามะ)มีชายชื่ออาบุรายะ ยาสุเบะร้องออกมาว่า "มีคาฉะมา" แล้วก็ล้มลงไป
หลังจากนั้น 10วันเขาก็ตายเนื่องจากร่างกายท่อนล่างเน่าเปื่อย  นอกจากนั้น คาฉะยังแปลงร่างเป็นคนได้
เช่นที่บ้านของเจ้าพนักงานชื่อชิบาตะมีคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์อยู่คนหนึ่งอยู่มาคืนหนึ่งเขาก็มาขอลาออก เมื่อชิบาตะ
ถามถึงเหตุผล เขาก็บอกว่าตนเองไม่ใช่มนุษย์และต้องไปชิงศพมนุษย์ พอวันรุ่งขึ้นชิบาตะก็ได้ยินข่าวว่าที่หมู่บ้าน
ใกล้ๆมีคาฉะปรากฏตัวขึ้น

ในญี่ปุ่นโบราณเชื่อกันว่าแมวมีคุณลักษณะของปีศาจอยู่ในตัวจึงมีตำนานเล่ากันว่า
"ห้ามแมวเข้าใกล้คนตาย ถ้าแมวกระโดดข้ามโลงศพ ศพในโลงจะฟื้นขึ้นมา"

นอกจากนั้นในญี่ปุ่นยุคกลางยังมีเรื่องเล่าว่านายนิรยมบาลจะลากรถที่มีไฟลุกท่วมมาชิงเอาศพหรือคนบาป
ที่ยังมีชีวิตอยู่ไป ตำนานของคาฉะนั้นก็เกิดมาจากตำนานความเกี่ยวข้องระหว่างแมวกับคนตายและตำนาน
ของรถเพลิงที่มาชิงตัวคนบาปนี้เอง  นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่าแมวที่เลี้ยงไว้นานๆและแมวแก่จะกลาย
เป็นคาฉะเมื่อมีงานศพก็จะมาชิงเอาศพไปควักตับกิน



3. ต้นคาเมลเลียสีเลือด



โดยทั่วไปแล้ว...เราจะพบเจอกับดอกของต้นคาเมลเลียเป็นสีขาว สีชมพูแต่ตำนานอาถรรพ์บทนี้ กล่าวถึง
ดอกคาเมลเลียสีเลือด!!! โดยต้นคาเมลเลียเองเป็นที่นิยมปลูกไว้เป็นต้นไม้ประดับตามโรงเรียนส่วนมากในญี่ปุ่น
เมื่อมีตำนานต้นคาเมลเลียสีเลือดขึ้นมาก็ชวนสยองมิใช่น้อยแต่เดิมนั้นต้นคาเมลเลียจะออกดอกเป็นสีขาวหรือ
ชมพูอย่างที่บอกอาจจะมีบ้างที่เป็นสีแดง แต่สีเลือดนั้น...เป็นความหมายของความเศร้าอันสลด


ตำนานอาถรรพ์นั้นเล่าถึง...ในสมัยญี่ปุ่นโบราณที่ยังคงมีจารีตศักดินาเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งหนีสงครามทางกานเมือง
ถูกฝ่ายศัตรูจับได้เจ้าหญิงตกเป็นเฉลยสงครามถูกจับมัดกับต้นคาเมลเลีย และทำการทรมานต่างๆ นานาเพื่อจะให้
เจ้าหญิงเปิดเผยความลับของราชสำนักเจ้าหญิงมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์จึงมิปริปากบอกความลับอันใดเลย
จนเจ้าหญิงสิ้นพระชนม์จากการถูกทรมานร่างของเจ้าหญิงถูกฝังไว้ใต้ต้นคาเมลเลียต้นนั้นต้นคาเมลเลียสูบเลือด
ของเจ้าหญิงแทนน้ำวิญญาณแค้นของเจ้าหญิงผู้น่าสงสารจึงทำให้ดอกคาเมเลียเป็น “สีเลือด”

เรื่องเล่านี้กล่าวเป็นตำนานเล่าขานอันน่าเศร้า แต่ก็มิอาจจะมีใครทราบว่าต้นคาเมลเลียต้นใดเป็นต้นที่ฝังศพของ
เจ้าหญิงผู้น่าสงสารเด็กๆจึงรอคอยและเชื่อว่าต้นคาเมลเลียในโรงเรียนนั้นเป็นต้นที่สูบเลือดของเจ้าหญิงจึงเป็น
ต้นที่มีอายุมากกว่า 100ปีนี้จึงเชื่อกันใหญ่ว่า ต้นคาเมลเลียจะออกดอกกลายเป็นดอกสีเลือดทุกวันที่ 15 มิถุนา
ของทุกปี เพื่อเป็นการลำลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมบทหนึ่งในอดีต

แต่ตำนานอาถรรพ์เรื่องนี้ยังมิอาจเชื่อได้เพราะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวถึงเจ้าหญิงพระองค์นี้และแถมยังว่า
เป็นเรื่องเล่าที่สร้างขึ้นมาเพื่อแก้ไขความสงสัยถึงการเกิดดอกคาเมลเลียสีเลือดก็ได้เพราะดอกคาเมลเลียสีเลือด
ก็คือดอกคาเมลเลียสีดอกนั้นเองตำนานต้นไม้ที่ดูดเลือดคนกินเป็นน้ำเลี้ยงก็มีอยู่หลายตำนานอย่างที่เคยกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องราวของเจ้าจุโบะกะ  ปีศาจต้นไม้ดูดเลือดคนนั่นเอง...




4. รูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโร่ เดินตอนกลางคืน



ต้องขอบอกก่อนว่า เรื่องเล่าอาถรรพ์ในโรงเรียนเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาถึง รูปปั้นของนิโนมิยะ คินจิโร่
ซึ่งรูปปั้นนี้จะมีอยู่ทุกโรงเรียน ทำไมเป็นเช่นนั้น ตามคำบอกเล่าหรือประวัติศาสตร์กล่าวว่า นิโนมิยะ คินจิโร่นั้น
เป็นบุคคลสำคัญทางด้านการศึกษาของญี่ปุ่น คือ เป็นบุคคลตัวอย่างที่สำคัญเลยทีเดียว


มีเรื่องเล่ากันมาว่า นิโนมิยะ คินจิโร่นั้น เป็นบุตรชาวนา เกิดที่ อาชิการามิกามิกุน จังหวัดซากามิ เมื่อปี ค.ศ.1787 
นิโนมิยะเป็นเกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจน เขาจึงต้องทำงานหนักทุกวัน แต่เขาเป็นคนรักในการเรียนมาก นิโนมิยะ
จึงมักพบหนังสือติดตัวเสมอ เวลาเดินเข้าป่าไปแบกฟืนนั้นก็มักจะอ่านหนังสือไปด้วยถึงตนเองจะแบกฟืนไว้บนหลัง
ก็ตามไม่เคยที่จะละทิ้งการศึกษา ด้วยความขยันที่เล่าขานกันมาเป็นตำนานของนิโนมิยะ คินจิโร่ เด็กผู้ใฝ่เรียน
ด้วยเหตุนี้เองนิโนมิยะ คินจิโร่จึงถูกยกย่องให้เป็นบุคคลเป็นแบบอย่างที่เห็นความสำคัญของการศึกษา คงไม่ผิด
ที่ทุกโรงเรียนในญี่ปุ่นจะมีรูปปั้นของเขาอยู่ด้วย เพื่อเป็นแบบอย่างให้นักเรียนเอาอย่างนิโนมิยะ คินจิโร่
ที่ไม่ยอมทิ้งการเรียน



แต่เรื่องเล่ากันที่สยองของนิโนมิยะ คินจิโร่ก็มีอยู่ว่า ค่ำคืนเวลาดึกๆของโรงเรียนที่สงบเงียบขนวังเวง นักเรียนทุกคน
ต่างก็เชื่อตรงกันว่า รูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโร่จะหายไป ซึ่งเคยมีเรื่องเล่าว่า มีครูเวรท่านหนึ่งที่มีหน้าที่ตรวจตราที่โรงเรียน
ตอนกลางคืน เรื่องมันคงจะนานมาแล้วแน่เลย เพราะหากเป็นสมัยนี้คงไม่มีครูเวรแล้วล่ะ ซึ่งครูเวรคนนั้นกำลังเดินตรวจ
ไปตามอาคารต่างๆ ก็ต้องตกใจที่พบว่า รูปปั้นนิโนนิยะ คินจิโร่หายไป เหลือแต่แท่นฐานเท่านั้น!

ตอนแรกครูเวรคิดว่ามีคนมาขโมยรูปปั้นไป คิดจะแจ้งตำรวจหรือไม่ก็ครูใหญ่ แต่คิดไปคิดมาอีกที รูปปั้นก็หนักอยู่
หากมีคนมาขโมยจริง เราต้องรู้สึกหรือได้ยินเสียงความผิดปกติอะไรบ้าง ซึ่งว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาด
พอครูเวรลงไปที่ดูใกล้ๆกลับปรากฏว่ารูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโร่กลับไม่ได้หายไปไหน

กลุ่มนักเรียนกลุ่มหนึ่งแอบเข้ามาในโรงเรียนตอนกลางคืน เพื่อมาลองของเรื่องอาถรรพ์ก็ต้องพบกับรูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโร่
ที่เดินผ่านกลุ่มเด็กนักเรียนไปต่อหน้าต่อตา ! หนีกลับบ้านกันแทบไม่ทัน ต่อมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้รักษาความปลอดภัย (ยาม)
ผู้มีน่าที่ตรวจตราโรงเรียนก็พบว่า เห็นรูปปั้นนิโนมิยะเดินได้ไปมาในโรงเรียนซึ่งสร้างความสยองและกลัวเป็นอันมาก 

ความจริงเรื่องอาถรรพ์เกี่ยวกับรูปปั้นที่ว่าพอตกกลางคืนแล้วจะเกิดว่ารูปปั้นมีชีวิตและมาเดินหรือทำอะไรตอนกลางคืน
ก็มีอยู่มาก อย่างบ้านเราก็ใช่ย่อย มีเรื่องเล่าตามโรงเรียนต่างๆมากมายที่รูปปนุสาวรีย์อนุสรณ์ต่างๆก็ขยับได้และหายไป
ในตอนกลางคืน หรืออะไรแบบนี้ อย่างที่โรงเรียนเก่าก็เลยมีเรื่องเล่าของรูปเคารพหรือรูปปั้นของผู้ก่อตั้งโรงเรียนว่า
พอตกกลางคืนก็จะเดินไปมาในโรงเรียนจำได้ว่า ครูเวร หรือภารโภรจะเห็นเป็นประจำเลยทีเดียว น่ากลัวอยู่เหมือนกัน - -"
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 สิงหาคม 2014, 11:19:00 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่