5. 2012อะไรที่ทำให้ปีนี้พิเศษกว่าปี่อื่นๆ? เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่โอลิมปิคจัดที่ลอนดอนหรือเปล่า? ก็ไม่ใช่
อารยธรรมมายาโบราณจากอเมริกากลาง มีปฏิทินพิเศษที่ถูกต้องแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
และปฏิทินนี้ทำนายว่าจุดจบของวัฏจักรชีวิตมนุษย์ขาติคือ คือ วันที่ 21 ธันวาคม 2012
ซึ่งเป็นวันสุริยะสถิตย์ของฤดูหนาว (winter solstice) วันนี้ดวงอาทิตย์จะอยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด
(ปีหนึ่งมีสองวัน อีกวันหนึ่ง คือวันที่ 21 มิถุนายน เป็นวันสุริยะสถิตย์ของฤดูร้อน)ชาวมายันยังเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์และดาราวิทยา (astrology – โหราศาสตร์)
(พวกเขาได้ทำนายการเกิดคราสที่เกิดขึ้นภายหลังนับร้อยๆ ปี ได้อย่างแม่นยำมาก)
ดังนั้นเองผู้คนต่างเชื่อกันว่าคำทำนายของชาวมายันเกี่ยวกับจุดจบของโลกน่าจะถูกต้องเช่นกัน มีสื่งอื่นๆ ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ อยากรู้อยากเห็น คือว่ามีปรากฎการณ์ทางดวงดาวที่สำคัญๆ
ที่จะเกิดในปี 2012. นอกเหนือไปจากคราสและอุกาบาตที่เกิดขึ้นตามปกติแล้ว
ระบบสุริยะจักรวาลทั้งหมดจะเคลื่อนผ่านศูนบ์กลางของดาราจักร บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นหนึ่งครั้งในทุกๆ 26,000 ปี
และมีโอกาสเสี่ยงที่มีการสับขั้วของดาวเคราะห์ของเรา.
ฟังดูเหลือเชื่อใช่ไหม แต่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าปรากฎการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
นอกจากนั้น ปฏิทินอินเดีย กลียุค (Kali Yuga) จบลงในราวเวลาเดียวกันนี้
บังเอิญตรงกัน? 4. ชีวิตบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ (Life on exoplanets)ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ มีทั้งหมด 277 ดวง ตามที่บันทึกไว้ถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่า
มีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงใดดวงหนึ่งใน 277 ดวงนั้น หรือแม้แตในเอกภพ กระนั้นเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องลี้ลับ เรื่องนี้แตกต่างจาก จานบิน หรือ ยูเอฟโอ เพราะ ยูเอฟโอคือวัตถุบินลึกลับ
หมายถึงมีการพบบางลิ่งที่ไม่สามารถระบุได้บินอยู่เหนือโลกมนุษย์ ดาวเคราะห์นอกที่ดูเหมือนว่าน่าจะมีสิ่งสนับสนุน
การเกิดของสิ่งมีชีวิตได้แก่ Gliese 581 d และ HD 189733 b, ดาวดวงหลังนี้มีไอน้ำและสารอืนทรีย์
ยังมีคำถามอื่นอีกเช่นว่ามีดวงจันทร์โคจรรอบดาวเหล่านี้หรือไม่ บางคนเชื่อว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตแม้ในระบบสุริยะของเรา
ที่เรายังไม่รู้ ดวงจันทร์บางดวง อย่างเช่นไครตันของเนปจูน หรือ ยูโปของดาวเสาร์อาจเป็นไปได้ว่ามี
หรือเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่ และยังมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีน้ำไหลบนดาวอังคาร กระนั้นยังไม่มีผู้ใดทราบ3. เส้นนาซคา (Nazca Lines)ที่เจาะเป็นร่องลึกเข้าไปในผิวโลกบนทุ่งราบนาซคาในเปรู คือสัญญลักษญ์มหึมาวาดเป็นเส้นตรงไม่ขาดตอน
บางเส้นมีควายยาวหลายร้อยเมตร. เส้นเหล่านี้ดูเหมือนว่าลากขึ้นมาโดยมือยักษ์เมื่อสองพันปีล่วงมาแล้ว
และที่แปลกประหลาดก็คือ สามารถมองเห๋นเส้นเหล่านี้ได้จากบนอากาศเท่านั้น แล้วชาวนาซคานโบราณวาดมันขึ้นมาทำไม? นักค้นคว้ากล่าวว่าชาวนาซคานโบราณต้องสร้างบอลลูนลมร้อน
หรือว่าวขึ้นมาเพื่อมองดูผลงานของตน อันที่จริงมีการทดลองและพิสูจน์ได้ว่าชาวนาซคานสามารถสร้างบอลลูน
ที่ใช้งานได้ ตัวสัญญลักษณ์เหล่านี้คือรูปสัตว์และต้นไม้ กระนั้นบางอันเป็นแถบยาวๆ บนพื้นดินโดยไม่มีความหมายอะไรเลย
นักเขียนนาม อีริค ฟอน ดานิเคน (Erich Von Daniken) เชื่อว่าเส้นเหล่านี้คือทางสำหรับลงจอดสำหรับยานอวกาศ
ของมนุษย์ต่างดาว และมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นอาจเป็นผู้ทำมันขึ้นมาเอง เส้นนาซคานี้อาจทำขึ้นมาสำหรับไว้ติดต่อ
กับมนุษย์ต่างดาวพวกนั้นก็ได้
มาเรีย รีข (Maria Reiche), นักดาราศาสตร์, กล่าวว่าเส้นเหล่านี้อาจใช้เป็นปฏิทิน หรือใช้เพื่อติดตามเส้นทางของดวงดาว
และดาวเคราะห์ มีรูปวาดเป็นรูปลิงที่มีหางม้วนที่ดูคล้ายเส้นโคจรของระบบสุริยะของเรา นอกจากนั้นยังมีทฤษฎีที่ครุมเคลือ
กล่าวว่ามีคนยักษ์เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แน่นอนเหล่านี้คือสิ่งลิ้ลับที่ยังคำตอบไม่ได้2. โครงสร้างหินขนาดยักษ์ (Megalithic structures)โครงสร้างหินขนาดยักษ์ ที่จัดว่าเป็นสิ่งเร้นลับนี้ อาจเป็นอนุสาวรีย์ หรือเป็นแค่ก้อนหินที่กระจัดกระจายเป็นรูปแบบใดแบบหนึ่ง
สิ่งที่เร้นลับจริงๆ เกี่ยวกับสมัยโบราณคือ คนเหล่านั้นสร้างสิ่งใหญ่โตมหึมาเหล่านี้ขึ้นมาได้อย่างไร? ผู้คนสมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีที่จำเป็นในการสร้างมันขึ้นมาได้ กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์ (Stonehenge) คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัด
ตัวอย่างที่ใหญ่กว่านั้นคือปิรามิดยักษ์ที่กิซา, หรือปิรามิดในตัวของมันเอง บางครั้ง วัตถุประสงค์ในการสร้างก็ไม่ชัดเจน (สโตนเฮนจ์)
ในขณะที่บางที, โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างนั้นลึกลับและเหมือนว่าดูเหนือธรรมชาติ (ปีระมิด) สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ใช้หินขนาดยักษ์
โดยเฉพาะในกรณีของ สโตนเฮนจ์ และ กองหินคาร์แมค แต่ก็มีโครงสร้างหินยักษ์บางแห่งก็ไม่ลึกลับ (เช่น Great Zimbabwe)
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่คนยุคโบราณจะสร้างมันขึ้นโดยพวกเขาเองเอาละหลายคนอาจจะคิดว่ามนุษย์ต่างดาวช่วยคนสมัยโบราณนั้นสร้างมันขึ้นมา แม้แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์ยังพูดอะไรแปลกกว่านี้
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าอาจจะมีอารยธรรมโบราณที่สาบสูญไปแล้วที่ก้าวหน้าสูงมาก และถ่ายทอดความรู้ในการสร้างสิ่งเหล่านี้
ให้กับอารยธรรมรุ่นหลัง แต่ก็ไม่มีหลักฐานสำคัญอันใดที่จะสนับสนุนเรื่องนี้เช่นกัน
ตัวอย่างโครงสร้างหินยักษ์อื่นๆ ได้แก่: หินรูปศรีษะที่เกาะอีสเตอร์ (Easter Island Heads), ปิรามิดดวงอาทิตย์ ในเมโสอเมริกา,
ปิรามิดอื่นๆ ในอเมริกากลางและใต้, รูปปั้นขนาดใหญ่มหึมาแห่งโรด (Colossus of Rhodes).1. กำเนิดของเอกภพ (Creation of the Universe)เอกภพไพศาลและไม่ล่วงรู้ เอกภพมีสิ่งเร้นลับมากมาย. และบางทีสิ่งที่เร้นลับที่สุดของเอกภพเอง
คือเอกภพเกิดขึ้นได้อย่างไร และใครเป็นผู้สร้าง นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่ามีการระเบิดขนาดมหาศาลเกิดขึ้นเมื่อหลายพันล้านปีมาแล้ว เรียว่า บิกแบงก์ (The Big Bang)
ทฤษฎีนี้ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป, และนักวิทยาศาสตร์กำลังมองหาร่องรอยของพลังงานที่เหลือจากการระเบิดมหึมา
ที่ให้กำเนิดดวงดาวแสนล้านดาง กระนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ที่สมบูรณ์ แต่การกำเนิดของเอกภพเป็นบางสิ่งที่ใหญ่เกินไปที่จะเกิดขึ้นมาง่ายๆ แบบนี้
ศาสนิกชนต่างกล่าวว่า พระเจ้า/พระอัลล่าห์/พระวิษณุ สร้างเอกภพขึ้นมา แต่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าไม่ใช่ มันมีบิกแบงก์
แล้วก็มีพลังงานจากการการะบิดเคลื่อนที่ผ่านเอกภพ และนักวิทยาศาสตร์พยายามหาจุดระเบิดอยู่ (epicentre)
ฉนั้น การโต้เถียงดำเนินต่อไป. ศาสนา vs. วิทยาศาสตร์ อาจเป็นการขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ได้ แต่ศาสนาคืออะไร? มีศาสนามากมายหลายแบบ และความแตกต่างระหว่างศาสนาคริสต์กับตำนานวิทยากรีกคืออะไร?
ไม่มีใครเชื่อในตำนานวิทยากรีกอีกต่อไป แต่วิทยาศาสตร์ล่ะคืออะไร? และคณิตศาสตร์คืออะไร? คือสิ่งที่สร้างโดยมนุษย์ ดังนั้นก่อนที่จะกล่าวมนุษย์สร้างพระเจ้าและวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง ชาวบ้านควรตระหนักว่ามนุษย์สร้าง
วิทยาศาสตร์ขึ้นมาเช่นเดียวกัน และ บางทีเอกภพอาจเป็นบางอย่างที่จิตเราสร้างมันขึ้นมาก็ได้cradit :: roypad.com