cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: etatae333 ที่ 23 สิงหาคม 2018, 12:24:39

หัวข้อ: เรื่องจริงของสัตว์ทำร้ายคนที่ยิ่งกว่านิยายระทึกขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: etatae333 ที่ 23 สิงหาคม 2018, 12:24:39
เรื่องจริงของสัตว์ทำร้ายคนที่ยิ่งกว่านิยายระทึกขวัญ

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093092-4118.jpeg)

คุณเคยดูภาพยนตร์จำพวกสัตว์โลกผู้ไม่น่ารักไหมครับ ที่เป็นหนังจำพวกปลาฉลาม จระเข้ที่มีขนาดยักษ์
แล้วหันมาทำร้ายมนุษย์โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หากแต่โดยปกติสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่จะไม่ทำร้ายคนเพราะมันรู้ว่า
หากมันล่าคนแล้วปัญหายุ่งยากจะตามมาหามันแน่

แต่กระนั้นมันก็มีหลายกรณีเหมือนกันที่สัตว์กินเนื้อเหล่านี้จะฆ่าคน กินคนหากอยู่ภายใต้เงือนไขที่เหมาะสม เช่น
หิวจัด ถูกรุกรานที่อยู่ หรือนึกว่ามนุษย์เป็นแมวน้ำ...? และหลักการที่ว่าเมื่อมันทำร้ายมนุษย์แล้วมันจะล่ามนุษย์
ต่อไปเรื่อยตราบใดที่มันไม่ตาย เพราะมันรู้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มันล่าง่ายที่สุด นี้คือ 10 เหตุการณ์สัตว์ทำร้ายมนุษย์
ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ที่จนกลายเป็นตำนาน
 
The lions of Njombe   

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093130-671.jpeg)

เราเริ่มรายการด้วยเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของสิงโตกินคนเป็นอันดับแรก และผมก็เคยอ่านเรื่องนี้ในนิตยสารแปลก
(แต่จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ) มันเริ่มเกิดขึ้นปี 1932 ในแทนซาเนียใกล้เมืองจ็อมเบ เกิดเหตุการณ์ฝูงสิงโตยักษ์ออกมา
ฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง


ตำนานมีอยู่ว่าสิงโตได้รับการควบคุมโดยแม่มดหมอผีในชนเผ่าท้องถิ่นชื่อมาตามูลา แมนเกรา(Matamula Mangera) 
ที่เธอมักส่งฝูงสิงโตออกมาทำร้ายคนหากใครก็ตามที่ลบหลู่เธอหรือต่อต้านเธอ ฝูงสิงโตของเธอนั้นได้คร่าชีวิตมนุษย์
ไปถึง 1,500 ศพ(บางคนบอกว่า 2,000 คน) และนี้คือเหตุการณ์สิงโตทำร้ายมนุษย์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
และหนึ่งในกรณีของสัตว์ทำร้ายมนุษย์เลวร้ายที่สุดที่เคยบันทึกไว้

แม่มดมาตามูลา มีอำนาจบาตรใหญ่มากขนาดหัวหน้าเผ่าอื่นๆ ไม่กล้ายุ่งกับเธอ จนกระทั้ง จอร์จ รัชบี้ (George Rushby
1900–1968)
นายพรานที่มีชื่อเสียงได้ตัดสินใจปราบฝูงสิงโตนั้น เขาฆ่าสิงโตไป 15 ตัว และทำให้เหตุการณ์
สิงโตทำร้ายคนยุติลงในที่สุด และเรื่องราวของจอร์จได้ถูกนำมาสร้างละครกึ่งสารคดี BBC ในชื่อ

“The Man-eating Lions of Njombe.” ออกอากาศในเดือนกรกฎาคม 2005
 


Two Toed Tom

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093165-673.jpeg)

“ทอมสองขา” เป็นจระเข้กินคนที่ค่อนข้างคลุมเครือ และยากจะทราบได้ว่าเรื่องของจระเข้ตัวนี้เป็นเรื่องจริง
หรือเป็นแค่ตำนาน โดยจระเข้ตัวนี้เป็นตำนานของอเมริกาทางตอนใต้อาศัยอยู่ในบึ่ง terrorized ในรัฐอลาบามา
ชายแดนฟอริด้า ชื่อของมันมีที่มาขาของมันมีสองเท้าเนื่องจากขาของมันหายไป(ขาด้านซ้ายทั้งสองข้าง
หรือแล้วแต่ตำนานจะอ้าง) เพราะโดนกับดักเหล็กจนขาขาด


และนั้นเป็นสาเหตุทำให้มันเจ็บแค้นมนุษย์ มันจึงเริ่มออกอาละวาดทำร้ายมนุษย์ในช่วงยุค 20 หลายคนอ้างว่า
มันมีขนาดใหญ่กว่าสี่เมตรครึ่ง บางคนอ้างว่ามันน่ากลัวมากเหมือนมันเป็นปีศาจส่งมาจากนรกเพื่อล่าพวกเขา
มันชอบกินวัวและมนุษย์ผู้หญิง (มันชอบคว้าเอากระชากเสื้อผ้าของพวกเขาแล้วกินในน้ำ)

แม้นายพรานท้องถิ่นจะมีการใช้ปืนหรือระเบิดแต่ก็ไม่สามารถฆ่ามันได้ จนกระทั้งมีนายพรานคนหนึ่งโยนถัง
ที่เต็มไปด้วยระเบิดสิบห้าถัง ลงไปสระน้ำและจุดให้มันระเบิด และแล้วทอมก็หายไป... แต่หลายคนเชื่อว่า
ทอมน่าจะยังมีชีวิตอยู่และรอคอยโอกาสที่จะแค้นตามแบบฉบับของมัน

และก็เป็นจริงๆ ทอมก็ปรากฏตัวมาอีกครั้งและได้กินลูกสาวของคนโยนถึงระเบิดและบรรดาเด็กๆของเกษตรกร
ที่อยู่ตามชายฝั่ง ก่อนที่มันจะหายไปไม่กลับมาอีกเลย มีหลายคนบอกว่าเรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นเพียงนิทานพื้นบ้าน
หากแต่ชาวบ้านในละแวกนั้นบอกว่าเป็นเรื่องจริงและเชื่อว่ามันยังคงเดินเตร่อยู่ในหนองน้ำฟอริด้าหลายปี
มีรายงานพบเห็นมันต่อเนื่องถึงจระเข้ขนาดใหญ่สองขาอยู่เป็นระยะ และที่สำคัญคือเจ้าทอมไม่เคยถูกจับได้
 



Kesagake

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093191-2238.jpeg)
   
เหตุการณ์ "หมีสีน้ำตาลบุกหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ(The Sankebetsu brown bear incident)" เป็นเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการโจมตีหมีสีน้ำตาลที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ที่โจมตีหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ เมืองโทมาม่า
ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น


เหตุการณ์เกิดขึ้นในเดือน 9 ธันวาคม ถึง 14 ธันวาคม 1915 โดยสมัยก่อนนั้นหมู่บ้านแห่งนี้พึ่งมีคนอยู่อาศัย กำลังบุกเบิก
จำนวนคนในหมู่บ้านน้อยมากและส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนป่าเขา และพื้นที่แห่งนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของหมีเพศผู้ขนาดยักษ์
ที่หลายคนเรียกมันว่า “เคะซากาเกะ” ซึ่งมันชอบขโมยข้าวโพด จนสร้างความรำคาญในแก่ชาวบ้าน มันเลยถูกยิงจนบาดเจ็บ
แล้วหนีขึ้นบนเขา เมื่อมันหนีชาวบ้านก็รู้สึกโล่งใจ เพราะหมีคงจะรู้สึกกลัวคนและอยู่ห่างจากพืชผลของเขา

หากแต่พวกเขาคิดผิด!!

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093349-3952.jpeg)

9 ธันวาคม 1915 เวลา 10.30 น. เจ้าหมียักษ์กลับมาอีกครั้ง มันเริ่มออกปฏิบัติการแก้แค้นฉบับเลือดต้องล้างด้วยเลือด
มันเลือกเหยื่อรายแรกของมันคือครอบครัวโอตะ(ota Family) ในขณะนั้นอาเบะ เมยูและฮายูมิ มิกิโอะ (Abe Mayu
and Hasumi Mikio) ภรรยาของครอบครัวและทารกที่เธอดูแลอยู่ก็ถูกเจ้าหมีตัวบุกเข้ามาในบ้านเพื่อหมายฆ่าคนทั้งสอง
ทารกถูกกัดศีรษะจนเสียชีวิต ส่วนฝ่ายหญิงพยายามต่อสู้โดยสาดฟืนเข้าใส่ แต่ท้ายที่สุดเธอก็ถูกหมีลากเข้าป่า

เมื่อชาวบ้านมาถึงที่เกิดเหตุถึงกับต้องตะลึงโดยพวกเขาบรรยายว่าเหมือนโรงฆ่าสัตว์ไม่มีผิดเพราะเลือดสาดกระจาย
ทั้งบนพื้นและผนัง ชาวบ้านรู้สึกโกรธแค้นหมีพวกเขาเลยจับกลุ่มสามสิบคนบุกเข้าป่าและพยายามยิงมันแต่มันก็หนีไปได้
หลังจากพวกเขาสำรวจบริเวณรอบๆ ก็พบชิ้นส่วนศพที่มีเพียงหัวและชิ้นส่วนของเขาที่เหลือของฝ่ายหญิงฝังอยู่ใต้หิมะ
คาดว่าหมีคงเก็บอาหารของมันไว้กินภายหลัง และหลังจากนั้นคืนถัดมา(8.00 น.)หมีก็กลับมาที่ฟาร์มโอตะอีกครั้ง
ซึ่งชาวบ้านบางส่วนได้จับกลุ่มรอเตรียมรับมืออยู่แล้ว ชาวบ้านพยายามยิงหมีแต่ว่ามันก็รอดไปอีก โชคดีเหตุการณ์ครั้งนี้
ไม่มีใครบาดเจ็บ

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093195-9496.png)

ในเวลาไม่นานนัก เจ้าหมีได้เลือกครอบครัว มิโซเค(Miyoke family) ซึ่งอยู่หมู่บ้านอื่นที่ไร้ทางป้องกัน(เพราะไม่นึกว่า
หมีจะมา) ซึ่งเจ้าหมีตัวนี้ฆ่าคนในครอบครัวนี้อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งเวลานั้นภรรยาที่ตั้งครรภ์ของครอบครัวยาโย(Yayo)
กำลังเตรียมอาหารและได้ยินเสียงข้างนอกดังก้อง และไม่ทันที่ตรวจสอบหมีก็บุกเข้าทางหน้าต่างแล้วเข้ามาในบ้าน
หม้อปรุงอาหารพลิกกลับเปลวไฟ และความหวาดกลัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอพยายามหนีออกจากบ้าน แต่เด็ก 4 คน
ในบ้านหนีไม่ทันจึงถูกฆ่าตาย หญิงที่ตั้งครรภ์หนีไม่ไหวร้องขอชีวิตลูกในครรภ์ของเธอ แน่นอนมันไร้สาระ เจ้าหมีก็ฆ่าเธอ
เช่นเดียวกันเหยื่อก่อนหน้าของมัน เมื่อพวกชาวบ้านมาถึงพวกเขาก็พบร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของเด็ก 4 คน ผู้หญิงและ
ตัวอ่อนในครรภ์กระจัดกระจายทั่วพื้นดิน

เจ้าหมีตัวนี้ใช้เวลาเพียงสองวันฆ่าคนทั้งหกคนจนทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นหวาดกลัวเป็นอันมาก

หลังจากนั้นเจ้าหมีก็ถูกไล่ล่าอย่างหนัก(ระหว่างนั้นมันก็อาละวาดฆ่าคนไปด้วย) จนในที่สุดเรื่องก็จบลงเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม
นายพรานคนหนึ่งได้ยิงหมีที่เชื่อว่าเป็นตัวต้นเหตุได้ มันมีขนาดยาวกว่าสามเมตร หนักกว่า 380 กิโล เมื่อผ่าท้องมาก็พบ
ชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ในกระเพาะอาหารของมัน และแล้วเหตุการณ์สัตว์โจมตีที่เลวร้ายที่สุดในญี่ปุ่นก็จบลง

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093195-9021.jpeg)

หากแต่ชื่อของเจ้าหมีตัวนี้ก็ปรากฏอยู่ในนิยายและละครมากมายในปัจจุบัน หมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึกลายเป็นที่ร้างคน
แต่มียังมีการจำลองแสดงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีรูปจำลองของหมีและบ้านโอตะที่หมีเคยมาอาละวาดตั้งอยู่ให้
นักท่องเที่ยวเข้าชม และการ์ตูนมังงะโบราณอย่าง “ไอ้เขี้ยวเงิน” หนึ่งในหมีที่เป็นศัตรูกับไอ้เขี้ยวเงินนั้น มีหมีตัวหนึ่ง
นำมาจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย



 


The New Jersey Shark

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093394-6444.jpeg)
   
คุณเคยดูหนังสัตว์ทำร้ายคนคลาสสิกเรื่อง “Jaws (1975)” ที่กำกับโดยสตีเว่น สปิลเบิร์ดไหมครับ ที่เกี่ยวกับ
ฉลามขนาดยักษ์ทำร้ายคน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นโดยมีเค้าโครงเรื่องจากนวนิยายเรื่อง “Jaws (1974)”
ของปีเตอร์ เบนช์ลีย์ ซึ่งก็มีข้อมูลมาจากเรื่องจริง ซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกขานว่า
“Jersey Shore shark attacks of 1916 ” หรือ “เดอะ นิวเจอร์ซีย์ ชอร์”


เป็นเหตุการณ์ฉลามขาวยักษ์ (ไม่รู้ว่ามาตัวเดียวหรือมีมากกว่าหนึ่งตัว) ทำร้ายคนอย่างต่อเนื่องหลายครั้งนอก
ชายฝั่งของมลรัฐนิวเจอร์ซีย์ในสหรัฐอเมริกา ระหว่างช่วงฤดูร้อนของ วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 12 กรกฎาคม ปี 1916 
เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตไป 4 รายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง(พูดง่ายๆ คือไม่ทราบจำนวนที่แท้จริง) เหตุการณ์
ครั้งนี้ส่งผลทำให้ชุมชนริมทะเลและรีสอร์ทรายล้อมชายหาดที่เกิดเหตุจ้องเพิ่มการป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่ว่าการ
เอาตาข่ายมากันไม่ให้คนเข้าใกล้ชายหาดเลยทีเดียว

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093394-6792.jpeg)

สมัยก่อนนั้นนักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อว่าฉลามนั้นเป็นสัตว์ทำร้ายคน แต่เหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องคิดเสียใหม่
(แม้จะเป็นกรณีที่หายากมาก) โดยทุกอย่างเริ่มขึ้นที่แนวชายฝั่งนิวเจอร์ซีย์เหยื่อรายแรกคือหนุ่มชาร์ลส์ แวนแซงท์
(Charles Vansant)ถูกฉลามทำร้ายในน้ำตื้นมากในขณะว่ายน้ำกับสุนัข คนหลายคนเห็นฉลามทำร้ายต่างพยายาม
ช่วยเหลือชายหนุ่มคนนั้น แต่ว่าฉลามกัดแน่นมากมันกัดจนขาของเขาฉีกขาดจนเขาขาดใจตายก่อนส่งถึงโรงพยาบาล

ห้าวันต่อมาก็มีเหยื่ออีกคนคือชาร์ลส์ (Charles Bruder) ถูกฉลามทำร้ายในขณะว่ายน้ำห่างจากชายฝั่ง ตอนแรก
หลายคนคิดว่าเขากำลังพายเรือแคนูสีแดง หากแต่ความจริงคือหลามยักษ์ที่เต็มไปด้วยเลือดที่มาจากขาฉีกขาดของ
เขาต่างหาก ซึ่งกว่าจะช่วยเขาก็ไม่ทันการเสียแล้วเพราะว่าเขาขาดใจตายก่อนที่จะขึ้นชายหาดเสียอีก

แม้ว่าจะมีพยานหลายคนบอกว่าฉลามโขมตีมนุษย์ แต่ว่านักวิทยาศาสตร์ก็แจ้งเตือนประชาชนว่าตัวการร้ายในเหตุการณ์
ครั้งนี้วาฬเพชฌฆาตหรือเต่าทะเล!!

จากนั้นก็มีรายงานเห็นฉลามในพื้นที่ชายหาดใกล้นิวเจอร์ซีย์มากมาย ในวันที่ 12 กรกฎาคมเด็กอายุ 11 ปีถูกทำร้าย
โดยฉลามและลากเขาไปใต้น้ำ คนที่เห็นเหตุการณ์พยายามเข้าไปช่วย ชายคนหนึ่งสแตนเลย์ ฟิชเชอร์(Stanley Fishe)
พยายามช่วยเหลือเด็กหากแต่เขาถูกทำร้ายโดยฉลามและเสียชีวิตจากบาดแผลและเหยื่อที่ห้ารายสุดท้ายคือเด็กหนุ่ม
อายุ 14 ชื่อ โจเซฟ ดันน์ (Joseph Dunn) ที่ถูกฉลามโจมตีทั้งๆ ที่เวลาพึ่งผ่านไป 30 นาที หลังจากฉลามทำร้าย
สแตนเลย์ ฟิชเชอร์ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เขาเป็นเหยื่อเพียงหนึ่งเดียวที่รอด

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093394-691.jpeg)[/url]

จนกระทั่ง 14 กรกฎาคม ชายคนหนึ่งชื่อไมเคิล (Michael Schleisser) ได้จับฉลามขาวที่ยาวกว่า 2.3 เมตร
หนัก 147 กิโล ได้ในอ่าวราริแทน ซึ่งฉลามตัวนี้พยายามทำร้ายเขาโดยการทำให้เรือจม แต่เขาก็ได้ฆ่ามันด้วยไม้พายที่หัก
เมื่อเขาเปิดกระเพาะของมันออกก็มีชิ้นส่วนศพของหญิงสาวติดมาด้วย และหลังการจับฉลามนี้ได้ ก็ไม่มีเหตุการณ์ฉลาม
โจมตีในชายฝั่งนิวเจอร์ซีย์อีกเลย


 
The Bear of Mysore

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093754-4751.jpeg)
   
หมีแห่งมัยซอร์ เป็นชื่อของหมีสลอท ในที่ดุร้ายก้าวร้าวจนผิดปกติและออกอาละวาดฆ่าคนตามเมืองต่างๆ ในมัยซอร์
ประเทศอินเดีย และมันฆ่าคนอย่างน้อย 12 คน ซึ่งโดยปกติแล้วหมีชนิดนี้เป็นสัตว์กลัวคน และไม่ทำอันตรายต่อใคร
อีกทั้งมันไม่กินเนื้อคนซึ่งชอบกินแมลงปลวก ผลไม้ และน้ำผึ้งเป็นพิเศษ


แต่หมีแห่งมัยซอร์กลับทำร้ายคน ทำให้หลายคนสันนิษฐานว่าอะไรที่ทำให้มันดุร้ายถึงขนาดนี้ บางคนเชื่อว่าหมีตัวนี้
โกรธแค้นที่มนุษย์ขโมยลูกของเธอ บางคนเชื่อว่าแฟนสาวของเขาถูกลักพาตัวไป (สรุปแล้วมันเพศไหนกันแน่เนี้ย)
และบางคนเชื่อว่าสาเหตุเนื่องจากมันเคยมีประสบการณ์ที่ตกเป็นของเล่นของมนุษย์ ที่ป่าเถื่อน

จะด้วยเหตุผลใดก็ตามมันก็ได้เป็นเครื่องจักรนักฆ่าโดยสมบูรณ์แบบ โดยมันจัดการฆ่ามนุษย์กว่าโหลโดยฉีกใบหน้า
เหยื่อด้วยกรามและฟันของมัน (และกินชิ้นส่วนศพบางส่วน) ซึ่งเหยื่อบางคนมีชีวิตรอดหากแต่ก็พิการโดยสมบูรณ์
มันออกอาวะลาดฆ่าคนทั้งกลางวันและกลางคืน

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093754-5434.jpeg)

สุดท้ายมันก็ถูกฆ่าโดย เคนเน็ธ แอนเดอร์สัน (Kenneth Anderson 1910-1970) นักล่าและนักเขียนชาวอินเดีย
ที่เขียนหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับการผจญภัยของเขาในป่าทางใต้ของอินเดีย ซึ่งเขาได้บันทึกความทรงจำนี้
ในหนังสือ Man-Eaters and Jungle Killers


 
The Beast of Gevauden
           
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093781-5214.jpeg)

“สัตว์ร้ายแห่งเชโวดอง” เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สัตว์ทำร้ายคนที่ลึกลับกว่าอันดับทั้งหมดในรายการของเรา
โดยเหตุการณ์นี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1764 -1767 ที่เมืองเชโวดอง แคว้นโอแวร์ญ ซึ่งเป็นย่านภูเขาอยู่ใน
ทางภาคกลางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส จู่ๆ มีสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ ออกอาละวาด
ไล่ฆ่าผู้คนตายไปหลายรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรีที่อ่อนแอ (เหยื่อรายแรกเป็นเด็กสาว เมื่อมิถุนายน
1764) 


ส่วนจำนวนของ”สัตว์ร้าย” ตัวนี้มีจำนวนไม่แน่ชัดแต่คาดว่ามันน่าจะมีตัวเดียว และรูปร่างมันมีลักษณะตามคำ
บอกเล่าของผู้พบเห็น ไม่ตรงกันสักราย แต่ก็พอสรุปว่า มันเหมือนหมาป่าตัวโตๆ เกือบเท่ากับวัว หัวโตมาก
จมูกยาวแหลมและยื่น ขนสีเทา หูสั้นและฟันใหญ่ กรงเล็บขนาดใหญ่แหลมคม(ใหญ่กว่าหมาป่าปกติ) และ
หางยาว ดูเผินๆ แล้วมันก็ดูเหมือนป่าหมาตัวโตๆ ที่โตมาก แต่พิเศษที่ต่างจากหมาป่าทั่วไปคือ

เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เดินได้ด้วย 2 ขาหลัง !! เหมือนมนุษย์ ไม่มีผิด 
(หลายฝ่ายเชื่อว่ามันน่าจะเป็นไฮยีน่าโบราณ)   

โดยสถานที่มันปรากฏตัวมากที่สุดคือปศุสัตว์และทุ่งเลี้ยงสัตว์ (และป่าเขาทางเดินสัญจร) จากรายงานมี 210 คน
ถูกทำร้าย 113 ตกเป็นเหยื่อเสียชีวิต และ 98 ถูกกิน ทำให้หลายคนเชิญว่าเป็นเป็นปีศาจที่มาจากนรก มีนายพราน
หลายรายที่พยายามที่จะล่ามันแต่สุดท้ายก็ล้มเหลวต้องกลับบ้านด้วยมือเปล่า

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093781-5259.jpeg)

จนกระทั่ง ปี 1767 นายพรานท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อ จีน ชาลเตล (Jean Chastel)ได้จัดการเป่ามันด้วยปืนคาบศิลา
(บางตำนานบอกว่าใช้กระสุนเงินยิงมันและเมื่อจัดการผ่าท้องมันก็พบศพเหยื่อรายสุดท้ายที่มันกินด้วย) ก่อนที่
นำซาก “สัตว์ร้าย” ไปสตั๊ฟและไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ก่อนที่จะนำซากนั้นไปฝัง 

และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “เจ้าสัตว์ร้าย” ก็ไม่มาอาละวาดให้ผู้คนในเชโวดองอีกเลย ตลอดกาล..........
 


The Ghost and the Darkness

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093828-8112.jpeg)
   
ผีร้ายและความมืด เป็นชื่อของสิงโตคู่กินคน ที่ออกอาละวาดฆ่าคนงานก่อสร้างแรงงานทางรถไฟจากเคนย่า
ไปยูกันดา ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงธันวาคม 1898 โดยหลายคนขนานนามเหตุการณ์นี้ว่า


“Tsavo maneaters”

มันเริ่มขึ้นเมื่อจักรวรรดิอังกฤษกำลังแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทวีปแอฟริกา ในเดือนมีนาคม 1898 ทางการอังกฤษ
ได้เริ่มต้นสร้างทางรถไฟข้ามแม่น้ำซาโว ในเคนย่า โครงการนี้ควบคุมโดย พ.ตท.จอห์น เฮนรี่ แพ็ตเตอร์สัน
(John Henry Patterson) ในช่วงแรกพวกคนงานต้องผจญกับสัตว์ป่าที่ทำร้ายพวกเขา เนื่องจากพวกเขา
สร้างทางรถไฟในเขตป่า

แต่กระนั้นในเหตุการณ์เหล่านี้ก็สามารถควบคุมได้อยู่หมัด จนกระทั้งเก้าเดือนต่อมามัจจุราชที่แท้จริงก็ปรากฏ
เมื่อจอห์นได้รับรายงานจากคนงานว่าพวกเขากำลังผจญหน้ากับสิงโตคู่เพศชาย พันธุ์ซาโว(เป็นสิงโตพันธุ์หนึ่ง
ที่มีขนาดใหญ่และมักร่วมมือสิงโตเพศเดียวกันตัวอื่นเพื่อล่าอาหาร จุดเด่นคือมันไม่มีแผงขนที่คอ) ที่มันมักลาก
พวกคนงาน (ส่วนมากเป็นชาวอินเดีย) จากเต้นท์ของพวกเขาในเวลากลางคืนและกลืนพวกเขาเป็นอาหาร
มาหลายราย

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093828-8253.png)

คนงานพยายามป้องกันสิงโตคู่นี้โดยการทำรั้วหนามรอบๆ ค่าย แต่ก็ไม่สามารถป้องกันมัจจุราชคู่นี้ได้เลย
เพราะว่ามันฉลาดพอในการแก้ปัญหานี้ โดยการคลานผ่านรั้วลวดหนาม หลายครั้งก็ทวีความรุนแรงและน่ากลัวขึ้น
เพราะมันเริ่มล่าทั้งกลางคืน กลางวัน จนทำให้คนงานหวาดกลัวพวกมันอย่างมากและเรียกขานพวกมันว่าผีร้าย
และความมืด พวกมันมีเขี้ยวที่ยาวเป็นพิเศษ ทำให้พวกเขาไม่เชื่อว่าพวกมันไม่ใช้สิงโตแต่เป็นปีศาจร้ายที่หลุด
มาจากนรก

ในขณะที่บางคนเชื่อว่าสิงโตนี้เป็นร่างเกิดใหม่ของกษัตริย์โบราณของท้องถิ่นที่พยายามขับไล่ผู้รุกรานอังกฤษ
(เป็นความเชื่อของแอฟริกาตะวันออกที่เชื่อว่าสิงโตเป็นร่างกลับชาติมาเกิดของกษัตริย์) คนงานหลายคนลังเล
ที่จะสร้างสะพานต่อและบางคนหนีออกจากค่ายดีกว่าจะรอเป็นเหยื่อของสิงโตปีศาจ

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093828-8512.jpeg)

เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลทำให้จอห์นต้องหยุดงานทำสะพาน และเริ่มออกล่าสิงโตคู่นี้ชนิดเอาเป็นเอาตาย เขาวาง
กับดักและพยายามเกาะรอย ดักฆ่ามันในตอนกลางคืนจากต้นไม้ แต่กระนั้นจอห์นก็ไม่สามารถฆ่าสิงโตคู่นี้ได้เสียที
จนกระทั้งเขายิงสิงโตตัวแรกได้ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1898(เขาใช้เวลานานถึง 9 เดือน) และสามสัปดาห์ต่อมา
เขาก็ฆ่าสิงโตตัวที่สองได้ โดยสิงโตทั้งสองตัวมีขนาดใหญ่ถึง 3 เมตร (วัดจากจมูกถึงปลายหาง) นอกจากนี้
จอห์นและคณะยังพบถ้ำที่เป็นที่อยู่ของมันซึ่งได้พบซากของผู้ตกเป็นเหยื่อของสิงโตจำนวนมาก มีทั้งกระดูก
เสื้อผ้าและเครื่องประดับ

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093828-873.jpeg)

หลังจากที่จอห์นจัดการสิงโตทั้งคู่ได้สำเร็จ เขาก็กลับมาทำสะพานต่อจนสำเร็จลุล่วงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1899
และจอห์นได้เขียนหนังสือที่เล่าเหตุการณ์นี้ในชื่อ “The Man-Eaters of Tsavo(1907)” โดยจำนวนผู้ตกเป็น
เหยื่อสิงโตคู่นั้นไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่หลายคนเชื่อว่าเหยื่อน่าจะสูงถึง 135-140 คนหรือมากกว่านั้น
ในปี 1924 ขนสตั๊มฟ์ของสิงโตคู่นี้ถูกขายให้พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่ชิคาโกในราคา 5,000 เหรียญสหรัฐ
ในสภาพดีมาก
 




The Panar Leopard

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093911-3412.jpeg)
   
จริงอยู่ที่เสือดาวนั้นเป็นชนิดที่มีขนาดเล็กในจำนวนสัตว์ตระกูล “แมวใหญ่” และมักไม่ทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
ที่มีขนาดใหญ่กว่ามัน หากแต่ที่จริงแล้วเสือดาวนั้นเป็นนักล่าเก่าแก่ที่สุด ที่เรารู้จักจากการพบฟอสซิลกระดูกญาติๆ
ของมันก็บ่งบอกได้ว่า เจ้าแมวลายตัวนี้เคยรับประทานบรรพบุรุษของมันมากกว่าสามล้านปีที่ผ่านมา ดังนั้นขอเพียง
แค่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมล่ะก็แมวดำจะทำร้ายมนุษย์ทันที และเมื่อมันพบว่ามันพอใจเนื้อมนุษย์
มากกว่าอาหารอื่นๆ มันจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างแท้จริง


เหมือนในกรณีเสือดาวแห่งพานาร์ซึ่งเป็นเสือดาวกินคนที่ออกล่ากินคนในช่วงศตวรรษที่ 20 ในอำเภอคามาออน
(Kamaon) ทางภาคเหนือของอินเดีย ที่ว่ากันว่ามันฆ่าและกินคนถึง 400 คน แต่สุดท้ายวลีที่ว่า

“สุดท้ายมนุษย์ก็ยังเป็นสัตว์ที่น่ากลัว” นั้นคงจะจริง

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093911-3354.jpeg)

พราะเจ้าเสือดาวนั้นได้พลาดท่า ถูกกระสุนนายพรานจนได้รับบาดเจ็บ มันหนีเข้าป่าและไม่ล่ามนุษย์อีกเลย
และในบั้นปลายชีวิตสุดท้ายของมัน ทำได้แต่เพียงหนีนักล่าที่ไล่ล่ามันเท่านั้น และผลสุดท้ายมันก็จบชีวิต
ในปี 1910 โดยนักล่าในตำนาน จิม คอร์เบ็ตต์ (Jim Corbett 1875-1955) นายพรานชาวอังกฤษ นักล่า
นักอนุรักษ์ และนักธรรมชาติวิทยา ที่มีชื่อเสียงในการฆ่าเสือและเสือดาวกินคนในประเทศอินเดีย

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093911-3819.jpeg)

เขาได้เขียนหนังสือ The Man-Eating Leopard of Rudraprayag ที่เล่าประสบการณ์ของเขาในการล่าเสือดาวแห่งพานาร์
จนโด่งดัง และอินเดียได้ตั้งชื่อเขตอุทยานแห่งชาติในคามาออนเป็นชื่อของเขาเพื่อเกียรติต่อเขาในปี 1957)
 


The Champawat Tigress

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093964-0449.png)
   
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชายแดนประเทศเนปาลและเมืองคาเมออน ประเทศอินเดียและ ได้เกิดอสูรกาย
ซึ่งเป็นเสือเบงเกอลตัวหนึ่งไล่ล่าคนจำนวนมาก  มันชอบซุ่มทำร้ายคนกลางป่าเขา มีชายหญิงและเด็กตกเป็น
เหยื่อมากมาย หลายคนเริ่มออกมากล่าวขนานมันว่ามันเป็นปีศาจหรือสิ่งที่ลงมาจากเบื้องบนเพื่อลงโทษพวกเขา
มันชื่อ “เสือร้ายแห่งซัมพาวัต” และที่น่าสนใจคือ “มันเป็นเสือตัวเมีย”


เสือร้ายแห่งซัมพาวัตได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเสือที่ฆ่าคนกว่า 436 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นการอ้างในเอกสารการ
เสียชีวิตของราชการเนปาลและอินเดีย แต่กระนั้นมันก็ได้ถูกจารึกชื่อว่าเป็นสัตว์ตัวเดียวที่ฆ่ามนุษย์มากที่สุดในโลก 
หลังจากที่มันฆ่าคนกว่า 200 คนในเนปาล ส่งผลทำให้ทางรายการไม่อยู่เฉย พวกเขาจัดการส่งกองทัพแห่งชาติ
เนปาลข้ามพรมแดนอินเดีย เพื่อไปฆ่ามันและนี้คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ ที่มีการใช้ทหาร
จำนวนมากในการฆ่าสัตว์เพียงตัวเดียว

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093963-9485.jpeg)

แต่ปรากฏว่าล้มเหลว และกลายเป็นว่ามันกลับเพิ่มชื่อเสียงให้แก่เสือตัวนี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มันเพิ่มความกล้าหาญ
ถึงขั้นข้ามพรมแดนเข้าสู่หมู่บ้านชัมพาวัต ประเทศอินเดียโจมตีกลางวันแสกๆ และหากินรอบๆ หมู่บ้านจนทำให้
ชาวบ้านไม่กล้าออกจากกระท่อม และพวกเขามักหวาดกลัวทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคำรามของมัน  จนทางการอินเดีย
ถึงขั้นเขียนป้ายเตือนว่าจุดนี้เป็นสถานที่ของเสือแห่งซัมพาวัตออกมาโปรดเลี่ยงใช้เส้นทางอื่น และรัฐบาลอินเดีย
ติดประกาศหานายพรานมือฉมังไปจัดการอย่างเร่งด่วน

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535093964-041.jpeg)

สุดท้ายเจ้าเสือตัวนี้ก็ถูกยิง โดย จิม คอร์เบ็ตต์ (เจ้าเดิมกับอันดับ 3) ในปี 1911 ซึ่งการกระทำครั้งนี้ทำให้ชาวบ้าน
ยกย่องเขาจนเปรียบเสมือนพราหมณ์ ที่เบื้องบนส่งมาโปรด(นอกจากนั้นเขายังไม่เอาเงินรางวัล) และเรื่องราว
ประสบการณ์เหล่านี้ได้ถูกเขียนในหนังสือ Maneaters of Kumaon (1944)


 
Gustave

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535094011-1481.jpeg)
   
จากอันดับทั้งหมดส่วนใหญ่สัตว์ที่ฆ่ามนุษย์นั้นมักพบจุดจบด้วยฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น หากแต่ยกเว้นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
มันคือ “กุสตาฟ” จระเข้แม่น้ำไนล์ ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาและของโลก (จระเข้เลี้ยงและใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศไทย
ยาว 6 เมตรเช่นกัน) มันอาศัยและอาละวาดคนในบริเวณแม่น้ำลูซิซิและชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลสาปแทนแกนยิกา
ประเทศบุรุนดี ทวีปแอฟริกา


ด้วยความยาวกว่าหกเมตร(ในปี 2004 มีการประมาณว่า มันมีอายุ 60 ปี ยาวกว่า 6.1 เมตร หนักกว่า 1 ตัน) หนักกว่า
หนึ่งตัน จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่หลายคนขนานนามว่ามอนสเตอร์แห่งแอฟริกา รวมไปถึงมันเป็นสัตว์นักล่ากินคนด้วย
มันได้ฆ่าคนกว่า 300 คนและอาจมากขึ้นในอนาคต เพราะจนบัดนี้มันยังคงมีชีวิต ไม่ได้หายไปไหน และไม่ได้ถูกฆ่า
แต่อย่างใด และมันเป็นสัตว์ฆ่ามนุษย์เพียงตัวเดียวที่ยังเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจชีวิตอยู่ (เหยื่อ 300 รายนั้นไม่ได้
ถูกบันทึกเป็นทางการ ซึ่งอาจเป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริงของคนพื้นเมือง)

กุสตาฟถูกตั้งชื่อโดย แพทริช เฟย์ (Patrice Faye) ชาวฝรั่งเศสที่ตั้งถิ่นฐานในบุรุนดีและพยายามที่จะจับมัน
ตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งเขาพยายามนำกรงเหล็กใหญ่ล่อมัน แต่จระเข้นั้นฉลาดมาก ไม่เคยหลงกลติดกับแม้แต่หนเดียว
แถมมันเยาะเย้ยทีมงานของแพทริชอีก แต่กระนั้นภาพของมันก็ถูกบันทึกออกอากาศทาง PBS พฤษภาคม 2004

ชาวบ้านในท้องถิ่นต่างออกบอกว่าสาเหตุที่ผมล่ามนุษย์นั้นเพื่อความสนุกสนานของมันเท่านั้น หลักฐานคือเอกลักษณ์
ประจำตัวมันคือเมื่อมันฆ่าเหยื่อที่เป็นมนุษย์แล้วมันจะเหลือซากทิ้งไว้ไม่ได้กินหมดแต่อย่างใด อีกทั้งมันฉลาดมาก
เพราะเมื่อมันฆ่าคนแล้ว มันจะหายไปอาจนานเป็นเดือน หรือเป็นปี มันจะออกมาอีกครั้งในสถานที่แตกต่างกัน
เพื่อฆ่าอีกครั้ง จนไม่มีคาดการได้ว่ามันจะปรากฏที่ใด

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535094011-1614.jpeg)

นอกจากเจ้าจระเข้นี้ยังมีความต้องการอาหารมากกว่าปกติ ถึงขั้นฆ่าช้างน้ำฮิปโปโปเตมัสตัวเต็มวัยได้ (เป็นสัตว์
อันตรายมาก และเป็นสัตว์ที่จระเข้ไม่กล้ากิน พวกมันและพยายามหลีกเลี่ยง) เกราะร่างกายของเจ้ากุสตาฟนั้น
เต็มไปด้วยรอยแผลนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น มีด หอก หรือแม้กระทั้งอาวุธปืน มันสามารถเอาชีวิตได้ แม้ว่าจะมี
นายพรานหรือทหารติดอาวุธมาล่ามันก็ตาม และตำนานของมันได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง  Primeval
(ชื่อไทย โคตรเคี่ยมสะพรึงโลก)

และคลิปที่อยู่ท้ายอันดับนี้ผมแนะนำให้ทุกท่านได้ดู ถึงความยิ่งใหญ่และความน่ากลัวที่หลายคน
ขนานนามว่า “โครตไอ้เข้”





เพชฌฆาตลุ่มน้ำ ไอ้ด่าง บางมุด
   

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535094421-601.jpeg)

ย้อนกลับมาในประเทศไทยที่ คลองบางมุด บ้านหนองไก่ปิ้ง ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร  ในปี 1964
ในสมัยนั้นชาวบ้านในพื้นที่แห่งนั้น ยังคงอาศัยเส้นทางน้ำเป็นสายตามประสาชาวชนบท แต่แล้ว เมื่อจู่ๆ
ก็มีจระเข้พันธุ์ทองหลาง (จระเข้น้ำเค็มชนิดหนึ่ง) ยักษ์ขนาด 4 เมตร ออกอาละวาดทำร้ายคนริมตลิ่ง
และไล่กัดเรือที่สัญจรไปมา จนชาวบ้านไม่กล้าพายเรือในแม่น้ำดังกล่าวหากไม่จำเป็น


ในเย็นของเดือนกันยายน ชาวบ้านคนหนึ่งชื่อนายอุดม ลงอาบน้ำในคลองและเขาก็ถูกจระเข้ยักษ์คาบไปกิน
ต่อหน้าต่อตาต่อหน้าชาวบ้านนับสิบ รุ่งเช้าพบศพนายอุดมลอยอืดขึ้นมาเขาถูกกินเฉพาะส่วนท้อง 

ต่อมานายอินชาวเขมร ได้นำเรือเล็กเพื่อไปตัดจากเพื่อนำมามุงหลังคาบ้าน ก็ถูกจระเข้ยักษ์โจมตีเรือ และคาบเขา
ลงไปในน้ำ ต่อหน้าต่อตาภรรยาของเขา รุ่งขึ้นศพนายอินลอยขึ้นมา ก็พบว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้องเช่นเดียว
ข่าวจระเข้ฆ่าคน 2 ศพ ได้แพร่กระจายไปทั่วจังหวัดและถูกขึ้นหัวข้อข่าวหนังสือพิมพ์และขนานนามว่า
“ไอ้ด่างบางมุด” เนื่องจากจระเข้ยักษ์ตัวนี้มีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาวคาดอยู่
รอบลำคอจึงเป็นที่มาของชื่อของชื่อดังกล่าว

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535094436-4163.jpeg)

และหลายคนเชื่อว่ามันคือ “ไอ้ด่างเกยชัย” จระเข้ในตำนาน ที่เคยอาละวาดกินคนที่แม่น้ำน่าน บ้านเกยชัย
จ.นครสวรรค์(ปัจจุบันคือ ต.เกยไชย อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์) เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 และมันกลับมาอีกครั้ง
เพื่อแก้แค้นมนุษย์

ผลจากข่าวดังกล่าวทำให้หลายคนเดือดดานและพยายามฆ่ามันโดยใช้ระเบิดน้ำเพื่อบังคับมันออกมา
แต่กลับเป็นว่าไปเพิ่มความโกรธของมันยิ่งขึ้นไปอีก จนมันอาละวาดไล่กัดกินคนไปทั่ว ในขณะที่ทาง
ประชาชนเร่งรัด ทางราชการให้หาทางกำจัดมันให้ได้ ซึ่งมีนักล่าจากทั่วทุกสารทิศต่างมา ณ ที่แห่งนี้
เพื่อจัดการมัน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวต้องกลับบ้านด้วยมือเปล่า

จนเมื่อเวลาผ่านไปชื่อเสียงของ"ไอ้ด่าง"ก็เลื่องลือไปทั่วทั้งประเทศ ความโด่งดังของมันถึงขนาดมีคณะถ่ายทำ
ภาพยนตร์ไล่ตามพรานจระเข้ เพื่อถ่ายทำเป็นภาพยนตร์สารคดีไปทุกระยะเตรียมส่งฉายทั่วโลก สุดท้ายทางการ
ถึงขั้นกวาดล้างครั้งใหญ่ โดยฆ่าแหล่งที่อยู่ และฆ่าจระเข้ทุกตัวในบางมดจนสิ้น

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1535094450-9031.jpeg)

จนเจ้าด่างต้องหนีไปอาละวาดที่คลองเขาปีบ เป็นคลองแยกไปจากคลองบางมุด จนมันถูกปราบโดยซึ่งถูกปราบ
ได้ด้วยลูกระเบิดของนายตำรวจ ส.อ.ห้วง พิมาน เมื่อผ่าท้องจระเข้ยักษ์ก็พบหัวกระโหลกมนุษย์ถึง 2 หัว
แสดงให้เห็นว่านอกจากมันฆ่าคนสองคน แล้วมันยังกินคนนอกเหนือจากนั้นด้วย

จนถึงทุกวันนี้เรื่องราวเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวบ้านคลองบางมุดตลอดมา และในปี 2005
ก็ถูกนำมาดัดแปลงสร้างภาพยนตร์เรื่อง โคตรเพชฌฆาต(The Brutal River) กำกับโดย อนัต ยวงเงิน





แปลและเรียบเรียง By Cammy@Dek-d
http://listverse.com/2010/10/16/top-10-worst-man-eaters-in-history/