cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: etatae333 ที่ 01 มีนาคม 2019, 11:09:27

หัวข้อ: 7 แผนร้ายเปลี่ยนโลกที่เกิดขึ้นจริง!!
เริ่มหัวข้อโดย: etatae333 ที่ 01 มีนาคม 2019, 11:09:27
7 แผนร้ายเปลี่ยนโลกที่เกิดขึ้นจริง!!
cr. Cammy-เต่านรก


พวกเรารักทฤษฏีสมคบคิด พวกเราชอบทฤษฏีลอบสังหารจอห์น เอฟ เคนนาดี้ แล้วเชื่อมโยงไปยังแอเรีย 51
ก่อนที่จะถูกรัฐบาลออกมาบอกว่า “มันไม่จริง” ใช่นี้คือเรื่องหลายเรื่องที่เรารู้จักกันดี

แหละอันดับต่อไปนี้เป็น เรื่องของแผนร้ายที่บุคคลกลุ่มหนึ่งสมคบคิดที่วางแผนเพื่อให้มันเป็นจริงเพื่อเปลี่ยนโลกใบนี้.....
 
7. Business Plot

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551497877-4515.jpeg)
 
“แผงผังลับธุรกิจ” (หรือเรียกอีกอย่างว่าแผนกบฏคิดมิดีมิร้าย Plot Against FDR และ White House Putsch)
เป็นกลุ่มสมรู้ร่วมคิดทางการเมืองในปี 1930 ที่อ้างว่ามีนักธุรกิจนายทุนแบงค์มั่งคั่งประกอบด้วยเซลแบงค์, จีเอ็ม, กู๊ดเยียร์,
สแตนดาร์ดออย (บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพลของโลก) มารวมตัวกันวางแผนต้องการสร้างลัทธิฟาสซิสต์ในองค์กร
ทหารผ่านศึก เพื่อใช้ในรัฐประหารเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฟรงกลิน ดี รูสเวลส์


สำหรับสาเหตุที่มีคิดแผนการเช่นนี้ก็เนื่องจากในช่วงนั้นเศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำ ทำให้มีความคิดยึดอำนาจเพื่อต้องการให้
ประเทศนำเงินดอลล่าร์ผูกติดค่าทองคำ เพราะว่าหากปล่อยไว้เงินตรามากมายที่พวกตนมีอยู่จะกลายเป็นเงินเฟ้อกลายเป็น
กระดาษที่ไร้ค่า

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551497851-8948.jpeg)

แผนการดังกล่าวคือการชักชวนอดีตนายพลบีตเลอร์ (Smedley Darlington Butler, retired U.S. Marine Corps
Major General) ซึ่งเป็นนายทหารที่ได้รับยกย่องว่ามีความกล้าหาญ และมีความสามารถในการรบนับไม่ถ้วน และมีพลังอำนาจ
ในการบัญชาการองค์กรทหารผ่านศึก ให้นำทหารผ่านศึกจำนวน 500,000 คนเข้าไปในพื้นที่ทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน ดีซี
โดยอ้างว่า เพื่อปกป้องประธานาธิบดีจากการรัฐประหาร (พล็อตนี้เอามาใช้ในหนังเรื่อง XxX )

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551497851-895.jpeg)

แผนนี้ใกล้จะประสบผลสำเร็จ หากแต่ ในปี 1930 อดีตนายพลบีตเลอร์ ที่พวกเขาคิดว่าเป็นหนึ่งในมิตรของกลุ่ม กลับไม่ใช่
แฟนของฟาสซิสต์ เขาเป็นรักชาติ และสับสนุนแฟรงกลิน เขาเลยออกมาแฉพฤติกรรมของกลุ่ม ตอนแรกผู้เกี่ยวของกลุ่มที่โดน
แฉออกมาปฏิเสธ หากแต่หลังจากสืบหาหลักฐานพบว่าเป็นจริง แต่กระนั้นผลสุดท้ายก็ไม่มีใครได้รับการดำเนินคดี นิวยอร์กไทม์
ได้ออกมาขนานนามแผนการนี้ว่า “เป็นเล่ห์เหลี่ยมขนาดยักษ์”
 




6. The July 20 Plot
 
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551497945-9171.jpeg)
   
เมื่อสถานการณ์สงครามโลกใกล้สิ้นสุดลง กองทัพนาซีเยอรมันใกล้พ่ายแพ้ แต่ฮิตเลอร์ผู้นำเยอรมันขณะนั้นยั้งดื้อดึงที่จะทำสงครามต่อ
พันเอกเคานท์ เคลาส์ ฟอน ชเตาเฟนแบร์ก(Claus Schenk Graf von Stauffenberg) ถูกคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมสมคบคิดสังหาร
ฮิตเลอร์ในปี 1944


ใช่นี้คือเรื่องจริงและถูกสร้างเป็นหนังหลายครั้ง แผนนี้มีชื่อว่าน “แผนลับ 20 กรกฎาคม” เป็นแผนการลอบสังหารอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
ภายใน "รังหมาป่า" (กองบัญชาการภาคสนามใกล้กับเมืองรัสเทนบูร์ก แคว้นปรัสเซียตะวันออก) เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944
แผนการดังกล่าวเป็นความพยายามของขบวนการกู้ชาติเยอรมนี เพื่อที่จะทำลายการปกครองของนาซี

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551497945-8925.jpeg)

ในตอนนั้นกลุ่มสมคบคิดทางทหารมีอยู่หลายกลุ่มตั้งแต่กลุ่มพลเรือน นักการเมืองและเหล่าปัญญาชน และในสมาคมลับอื่น ๆ ทั้งหมด
ต่อต้านฮิตเลอร์และอยากให้ฮิตเลอร์ตาย ซึ่งก่อนหน้าวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 นั้นมีความพยายามที่จะลอบสังหารฮิตเลอร์
หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ทำให้การลอบสังหารฮิตเลอร์เริ่มยากขึ้น ฮิตเลอร์เริ่มที่จะไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะและไม่ไว้ใจคนอื่น และใช้เวลา
ส่วนใหญ่ที่ "รังหมาป่า" โดยมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนายิ่งกว่าเดิม

แต่กระนั้นกลุ่มสมคบคิดก็ไม่ลดละพวกเขาได้ติดต่อ พันเอกเคานท์ เคลาส์ ฟอน ชเตาเฟนแบร์กซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสมคบคิดเข้าไป
ใกล้ชิตฮิตเลอร์และสังหารเขาด้วยระเบิด แผนการของสเตาฟเฟนเบิร์ก คือ การวางกระเป๋าใส่เอกสารบรรจุระเบิดไว้ในห้องประชุมของฮิตเลอร์
ก่อนจะถอนตัวออกจากการประชุม รอจนเกิดการระเบิดขึ้น และบินกลับไปยังกรุงเบอร์ลินและเข้าร่วมกับผู้ก่อการคนอื่นและทำการควบคุม
เยอรมนีทั้งหมด และคณะผู้นำนาซีทั้งหมดก็จะถูกจับกุม และสงครามโกกครั้งที่ 2 จะจบลงอย่างรวดเร็ว และคนนับล้านจะไม่ตายอีก
และกลายเป็นหน้าหนึ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551497945-9288.jpeg)

ใช่แผนน่าจะสำเร็จโดยง่ายดาย แต่ปัญหาคือแผนการทั้งหมดนี้ต้องให้ฮิตเลอร์ตายเท่านั้น หากแต่ก่อนถึงวันที่ 20 กรกฎาคมพันเอก
ชเตาเฟนแบร์ก พยายามลอบฆ่า ฮิตเลอร์ 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งถึงวันที่  20 กรกฎาคม ค.ศ. 1944 ชเตาเฟนแบร์ก เดินทาง
มายังรังหมาป่าเพื่อเข้าร่วมประชุมกับฮิตเลอร์อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับกระเป๋าเอกสารซึ่งบรรจุระเบิดไว้เช่นเดิม โดยที่ผู้ที่เข้าร่วมประชุม
ทั้งหมดไม่ถูกตรวจค้นตัวเลย

ราว 12.30 น. การประชุมเริ่มขึ้น พันเอกชเตาเฟนแบร์ก วางระเบิดภายในกระเป๋าเอกสารใต้โต๊ะที่ประชุมของฮิตเลอร์และนายทหาร
อีกกว่า 20 นาย  และได้แกิดการระเบิดขึ้นและทำลายห้องประชุม พันเอกชเตาเฟนแบร์ก ที่ออกมาข้างนอกได้ยินเสียงระเบิดก็คิดว่า
ฮิตเลอร์เสียชีวิตแล้ว จึงรีบเดินทางกลับกรุงเบอร์ลินเพื่อควบคุมสถานการณ์ตามแผนที่เขาวางเอาไว้

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498000-7979.jpeg)

หากแต่แผนการต้องหยุดลงเมื่อมีรายงานยินยันได้ว่าฮิตเลอร์ยังไม่ตายเขาแค่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ส่งผลทำให้พันเอกชเตาเฟนแบร์ก
และสมาชิกสมคบคิดจำนวนมากถูกประหารชีวิต ก่อนได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษในเวลาต่อมา และเรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาสร้าง
เป็นภาพยนตร์ เรื่อง Valkyrie โดยมี ทอม ครูซ รับบทเป็นพันเอกชเตาเฟนแบร์ก


 

5. Operation Ajax
 

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498022-5151.jpeg)
   
ในช่วงอังกฤษปกครองอิหร่านนั้น พวกเขามีความสุขใจกับการค้าขายอิหร่าน โดยเฉพาะแหล่งน้ำมันมหาศาล หากแต่ในปี 1951
อิหร่านได้ยกเลิกปกครองแบบกษัตริย์ พระเจ้ามุฮัมมัด เรซา ชาห์ ปาฮ์ลาวี (Muhammad Reza Shah Pahlavi) ที่เป็น
ผู้ปกครองเวลานั้นได้ลี้ภัยไปต่างประเทศ


อิหร่านได้มีรัฐบาลและรัฐสภาภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี โมฮัมมัด มูสซาเด็ก (Mohammad Mussadeq) อิหร่านก็กลายเป็น
ประเทศที่ชาตินิยมมากพวกเขาต่อต้านอังกฤษ และใช้นโยบายแบบชาตินิยมโดยการยึดสัมปทานน้ำมันของบริษัทอังกฤษ ให้เป็น
กิจการของรัฐ ส่งผลให้อังกฤษยุติการซื้อขายน้ำมันกับอิหร่าน

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498038-3752.jpeg)

และนั่นทำให้อังกฤษวางแผนที่จะโค่นล้มรัฐบาลของโมฮัมมัด มูสซาเด็กขึ้น และแล้วแผนการ “ปฏิบัติการอาแจ๊กซ์”  จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
ในช่วงเดือนเมษายน 1953 จากความร่วมมือของประธานาธิบดี ไอเซนฮาวร์ แห่งสหรัฐ และนายกรัฐมนตรี เชอร์ชิล แห่งอังกฤษ
เพื่อเป้าหมายในการโค่นล้มรัฐบาลของนาย มูสซาเด็กและสนับสนุนให้พระเจ้าชาห์กลับมามีบทบาทปกครองประเทศอีกครั้ง

แผนการนี้ซีไอเอมีบทบาทเต็มๆ พวกเขาทำการโฆษณาชวนเชื่อ และออกข่าวลื่อต่างๆ นาๆ ว่ามูสซาเด็กวางแผนที่จะเปลี่ยนระบบ
การปกครองจากนายกรัฐมนตรีสู่ระบบประธานาธิบดี ซึ่งจะทำให้เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองประเทศ แต่เมื่อประชาชนอิหร่าน
ได้ทราบแนวคิดดังกล่าว ต่างก็ไม่เห็นด้วย และได้เริ่มก่อการประท้วงอย่างรุนแรงอีกครั้ง แต่มูสซาเด็กก็ได้ตอบโต้ โดยส่งกองกำลัง
เข้าไปยึดครองพระราชวังของพระเจ้าชาห์ในเดือนสิงหาคม และได้ผลักดันให้พระเจ้าชาห์ออกจากประเทศ โดยได้ทรงลี้ภัย
สู่อิตาลีในเวลาต่อมา

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498053-2004.jpeg)

ต่อมาก็มีเหตุการณ์การประท้วง 1953 ที่นำโดยกลุ่มที่นิยมระบบกษัตริย์ และกลุ่มอำนาจเก่าที่เคยเสียผลประโยชน์ต่างๆ
โดยได้รับการสนับสนุนในทางลับ จากหน่วยสืบราชการลับซีไอเอ ของสหรัฐและเอ็มไอหกของอังกฤษ ผลของการประท้วง
คือมีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน และ นาย มูสซาเด็ก จำเป็นต้องออกจากตำแหน่งในเดือนสิงหาคมและถูกจับในข้อหากบฏ
ถูกตัดสินจำคุกกว่า 3 ปี และได้เสียชีวิตลงในปี 1967

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498065-6608.jpeg)

เมื่อการประท้วงครั้งนั้นสิ้นสุดลง พระเจ้าชาห์ ทรงเสด็จกลับสู่ประเทศในฐานะผู้นำสูงสุดอีกครั้ง และได้ทรงปรับเปลี่ยนนโยบายให้มี
การส่งออกน้ำมันดิบไปยังอังกฤษและตะวันตกเหมือนเดิม และดำเนินนโยบายส่งน้ำมันให้อังกฤษอีกครั้ง จนกระทั่งปี 1979 เกิดเหตุ
วุ่นวายในประเทศอีกครั้ง ส่งผลทำให้พระเจ้าชาห์ลี้ลัยในต่างประเทศและเสด็จสวรรคตเมื่อ 1980 ก่อนที่อิหร่านจะกลายเป็นประเทศ
ที่ต่อต้านตะวันตกอย่างเต็มเหนี่ยว อย่างที่เราได้เห็นจนถึงปัจจุบัน

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498069-4546.jpeg)

ส่วน “ปฏิบัติการอาแจ๊กซ์” กลายเป็นปฎิบัติการที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนั้น ล้วนแล้วเป็นความลับ




 
4. The Gunpowder Plot
 
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498149-2361.jpeg)

“แผนดินปืน”  เป็นแผนที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 1605 ก่อนหน้านั้นเรียกว่า “กบฏดินปืน” โดยเป็นแผนการลอบสังหารพระเจ้าเจมส์ที่ 1
แห่งอังกฤษ (King James I)  ซึ่งคนวางแผนคือกาย ฟอคส์ (Guy Fawkes)และผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกจำนวน 13 คน
ซึ่งพวกเขาอยากให้พวกคาทอลิกในอังกฤษมีเสรีภาพมากขึ้นซึ่งในตอนนั้นพระเจ้าเจมส์นับถือโปรเตสแตนต์(นอกจากนี้ในช่วงพระเจ้าเจมส์
ปกครองบ้านเมืองทรงบริหารราชการตามอำเภอใจจนเกิดความระส่ำระสาย เกิดกบฏต่อต้านและมีการจำคุกผู้คนเป็นจำนวนมาก)


(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498149-2391.jpeg)

โดยแผนการของกาย ฟอคส์คือการวางระเบิดรัฐสภาของอังกฤษพร้อมพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ที่จะมาประชุมเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1605
เพื่อเป็นการโหมโรงให้เกิดความวุ่นวายในมิดแลนด์ กาย ฟอคส์เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องดินปืนและมีประสบการณ์ทางการทหาร เขาวางแผน
เช่าห้องใต้ถุนรัฐสภาเพื่อเก็บดินปืนไว้ 36 ถัง(820 กิโลกรัม) เพื่อหวังระเบิดรัฐแห่งนี้ซึ่งถ้าแผนการณ์นี้สำเร็จอังกฤษจะเปลี่ยน
ประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน 

แต่แผนการกับรั่วไหลเสียก่อนเมื่อเจ้าหน้าที่พบจดหมายที่บอกแผนการเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม กาย ฟอคส์ถูกจับและถูกทรมานเพื่อบอก
สมาชิกในกลุ่มทั้งหมด ก่อนที่จะถูกแขวนคอในวันที่ 30 มกราคม 1606

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498149-2655.jpeg)

แม้ว่ากาย ฟอล์ค จะตายนานแล้วแต่ชื่อของเขายังคงอยู่ ในฐานะบุคคลที่ชาวอังกฤษรู้จักกันดี และทุกวันที่ 5 พฤศจิกายนของทุกปี
จะมีงานฉลองเกี่ยวกับเขา โดนการเผารูปสัญลักษณ์ที่ทำจากฟางหรือเศษวัสดุเป็นรูปกาย ฟอคส์เพี่อเป็นการระลึกถึงเขา ที่วางแผน
การคบคิดระเบิดรัฐสภาอังกฤษ แต่ไม่สำเร็จ และเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกนำไปดัดแปลงสร้างภาพยนตร์ในเรื่อง V for Vendetta





 
3.The Tuskegee Experiment
 
 (http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498215-371.jpeg)

การศึกษาซิฟิลิสทัสคีจี หรือ โครงการศึกษาสุขภาพซิฟิลิสสาธารณะเป็นแผนการศึกษาโรคฟิสิกซ์ซึ่งดำเนินการมา ตั้งแต่ ค.ศ. 1932 -1972
ระยะเวลานานถึง 40 ปี ในทัสคีจี เมืองชนบทในมลรัฐอลาบามา โดยมีที่มาจากแนวคิดของรัฐบาลสหรัฐและสาธารณสุขสหรัฐ (U.S. Public
Health Service (PHS)) ที่ต้องการศึกษาการเจริญเติบโตของโรคซิฟิลิสในคน อืม ฟังดูมันธรรมดาใช่เปล่าแค่ทดลองเชื้อโรคเฉยๆ แต่ที่
น่ากลัวของโครงการนี้ก็คือโครงการไร้จริยธรรมโดยสิ้นเชิง การทดลองในมนุษย์โครงการนี้ผู้ทดลองไม่ได้รับความยินยอมและส่วนใหญ่เป็น
คนไม่รู้หนังสือ และ ผิวดำ


การทดลองนี้ได้ดำเนินการโดยฉีดยาให้แก่ผู้ทดลองแก่คนผิวดำกว่า 412คน(ชุดแรก) ในย่านอาศัยแถวนั้น จากนั้นก็ศึกษาวิจัยการดำเนิน
โรคซิฟิลิสตามธรรมชาติในคนโดยที่คนเหล่านั้น ผู้โชคร้ายเหล่านี้เข้าใจว่า ตนกำลังได้รับการรักษาจากรัฐ โดยไม่เคยมีใครบอกให้รู้ว่าเป็น
โรคอะไร และจะไม่ได้รับการแจ้งว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เลย(ถูกปฏิเสธการรักษาที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรค)
โดยบอกผู้ป่วยว่าเป็นโรคโลหิตจางและเมื่อยล้า มีการทำหัตถการหลายอย่างเพียงเพื่อการศึกษาวิจัย เช่น การเจาะหลังเพื่อนำน้ำไขสันหลัง
ไปตรวจ เป็นต้น(แต่อย่างน้อยคนป่วยที่ว่าได้ค่าตรวจสุขภาพฟรี อาหารฟรี และค่าฝังศพผู้เสียหายนั้นฟรีเพราะเป็นหนึ่งในสัญญาจากรัฐบาล)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498215-379.jpeg)

ตอนแรกแผนการทดลองวางกำหนดการณ์ไว้ที่ไม่กี่เดือน(6 ถึง 9 เดือน) แต่การวิจัยครั้งนี้กลับดำเนินการต่อเนื่องถึง 40 ปี ส่งผลให้ผู้ถูก
ทดลองรอดชีวิตเพียงประมาณ 70 คนจากทดลอง(ไม่รวมผู้ที่ติดเชื้อจากการทดลองนี้) แล้วสิ่งที่ได้คือวงการแพทย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับซิฟิลิส
อย่างละเอียด

การทดลองนี้ได้รับการขนานนามว่า “เป็นการวิจัยทางการแพทย์ที่น่าอับอายที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ” เป็นการทดลองที่ไม่มีความจำเป็น
อะไรเลย อีกทั้งโรคนี้มียารักษามานานแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และมีการกระจายภาระไม่เป็นธรรมโดยเลือก
แต่ชาวผิวดำในพื้นที่ยากจน ส่งผลให้ประธานาธิบดีแถลงขอโทษต่อผู้เข้าร่วมโครงการที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือครอบครัว และชุมชน และเสนอให้
ดูแลชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากโครงการวิจัย (ประมาณ 9,000,000 ดอลลาร์)

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498215-3981.jpeg)

ในปี ค.ศ. 1997 ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้เข้าทำเนียบขาวเพื่อรับฟังคำกล่าวขออภัยจากประธานาธิบดีคลินตัน  นำไปสู่การออกกฎหมายควบคุม
ดูแลการวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกา (National Research Act) โดยกฎหมายดังกล่าวต้องอาสาสมัครต้องมีความยินยอมรวมไปถึง
กฎหมาย “บริจาคอวัยวะ”เป็นต้น
 




2. Operation Snow White
 
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498279-5815.jpeg)

แผนสโนไวท์ แผนการนี้คล้ายกับหนังสายลับหลายเรื่องเลยครับ โดยเป็นแผนการระหว่างปี 1970 ภายใต้แนวคิดของ L.รอนฮับบาร์ด
(L. Ron Hubbard)ผู้เขียนที่เป็นแรงบันดาลใจในการก่อตั้งลัทธิไซน์โทโลจี (Scientology) ในการให้สาวกบุกรุกแทรกซึม และ ขโมย
เอกสารสำคัญจาก สำนักงานใหญ่ทั่วโลก


ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานราชการ สถานทูต และสถานกงสุลต่างประเทศ รวมไปถึงองค์กรเอกชน โดยแผนนี้ดำเนินการโดยสมาชิกลัทธิ
กว่า 30 ประเทศ รวมถึงประเทศไทยและใหญ่ที่สุดคืออเมริกา โดยสมาชิกเหล่านี้จะปลอมตัวเป็นคนของหน่วยงานราชการ เช่น ยาม
เลขานุการ หรืองานอื่นๆ ที่ต่อมามีการระบุว่ามีตัวแทนของลัทธิถึง 5,000 คนแทรกซึม ดักฟัง โดยมีวัตถุประสงค์คือโจรกรรมและขโมย
เอกสารสำคัญของหน่วยงานสาเหตุที่ทำก็เพราะเจ้าลัทธิมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลปกป้องผลประโยชน์ของลัทธิ

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498279-6131.jpeg)

ส่งผลทำให้มีการตัดสินว่าเสมาชิกระดับสูงของลัทธิและภรรยารอนฮับบาร์ดนี้มีความผิดจริงในข้อหาลักทรัพย์ของหน่วยงานรายการ






1.Project MKULTRA
 
(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498308-1118.jpeg)

โครงการเอ็มเคอัลทราหรืออีกชื่อหนึ่งว่า CIA mind-control research program เป็นชื่อรหัสลับที่เป็นการทดลองลับๆ
ที่ผิดกฎหมายของหน่วยข่าวกรองกลางและสืบราชการลับของสหรัฐ "ซีไอเอ" พยายามปิดบังซ่อนเร้นไม่ให้ประชาชนรู้
โดยโครงการนี้เป็นการทดลองในมนุษย์ที่ดำเนินการโดยสำนักงานวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลสหรัฐ โดยเริ่มขึ้นเมื่อทศวรรษ
ที่ 1950 โดยดำเนินถึงปลายปี 1960 โดยใช้ชาวอเมริกันและแคนาดาเป็นตัวทดลอง


จุดประสงค์ของโครงการเอ็มเคอัลทราคือเป็นการศึกษาและทดลอง "การควบคุมพฤติกรรมมนุษย์" โดยใช้สารเคมีและสารชีวภาพ
เพื่อนำมาดัดแปลงใช้ทำอาวุธสงครามแรกเริ่มเดิมทีนั้น ซีไอเอ ไม่ได้คิดจะสร้างอาวุธชนิดนี้ พวกเขาเพียงแต่กลัวว่าประเทศที่เป็น
ปฏิปักษ์ต่อสหรัฐจะใช้อาวุธเคมีและชีวภาพในการทำสงคราม พวกเขาจึงต้องทำการศึกษาเตรียมไว้ก่อนเพื่อจะได้ป้องกันและ
แก้ไขแก่สถานการณ์ภายภาคหน้าเอาไว้

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498308-089.jpeg)

การทดลองนี้ ไม่ใช่มีแต่ซีไอเอเท่านั้น หากแต่ยังมีหน่วยข่าวกรองของกองทัพและหน่วยข่าวกรองของสำนักงานอื่นๆ ของรัฐบาลด้วย
พวกเขาจะคอยแลกข้อมูลที่ได้จากการทดลองกัน ซึ่งการทดลองนี้ถือเป็นการทดลองลับสุดยอดขนาดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ซีไอเอ
ยังไม่ทราบเลยว่ามีการทดลองนี้ในหน่วยงานของเขา ผู้ที่ทราบเรื่องก็จะมีแต่นายแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมการทดลองเท่านั้น

สำหรับวิโครงการนี้การทดลองในช่วงแรกนั้นทำขึ้นที่ ศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติด เล็กซิงตัน (Lexington Rehabillitation Center)
ซึ่งปัจจุบันก็คือสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติ (National Institute of Mental Health) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนัก โทษอาสาสมัคร
คดียาเสพติดนักโทษเหล่านี้จะต้องเซ็นชื่อยินยอม อนุญาตให้นำสารเสพติดเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้รับ
สารเสพติดชนิดเดียวกับที่พวกเขาแต่ละคนติด

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498308-1501.jpeg)

จากหลักฐานที่เผยแพร่พบว่าโครงการนี้ใช้วิธีต่างๆ มากมายที่จะจัดการสภาพจิตใจของบุคคลและปรับเปลี่ยนการทำงานของสมอง
โดยการใช้ยาหลายประเภทรวมทั้งวิธีการต่างๆ มาทดลองกับคนทดลองเพื่อเปลี่ยนแปลงจิตใจและสมอง เช่น การใช้ยาเสพติด
สารเคมีอื่นๆ การละเมิดทางวาจาและทางเพศ โดยไม่สนจะว่าอาสาสมัครเต็มใจหรือไม่

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498308-149.jpeg)

ต่อมาก็มีทดลองโดยฉีดยาหลอนประสาท LSD((Lysergic acid diethylamide)) ให้กับลูกจ้างซีไอเอ, ทหาร, แพทย์, ข้าราชการ
, โสเภณี, ผู้ป่วยจิตเวช และบุคคลทั่วไปจำนวนหนึ่งซึ่งมีหลายระดับชนชั้นตั้งแต่อาชญากรชั้นต่ำไปจน ถึงระดับไฮโซ มีทั้งคนอเมริกัน
และคนต่างชาติ เพื่อศึกษาฤทธิ์ของยา LSD ซึ่งคนที่ทดลองบางคนก็ยินยอม บางคนไม่ได้รับเนื้อหาการทดลอง และบางคนไม่ยอมให้
ตนเองมาทดลองกับโครงการนี้ แต่กระนั้นบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลและวุฒิสมาชิกต่างก็พากัน ปฏิเสธกันให้พัลวันว่าไม่มีการ
ทดลองที่ผิดศีลธรรมและจรรยาดังกล่าว

(http://www.cmxseed.com/cmx_files/server/php/files/1551498308-2359.jpeg)

และแล้วโครงการนี้ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนในปี 1975 สภาคองเกรสสหรัฐได้แต่งตั้งคนเพื่อสืบสวนคดีนี้ หากแต่ในปี 1973
ผู้มีอำนาจสูงสุดซีไอเอ ถูกสั่ง ให้ทำลายไฟล์ทั้งหมด ทำให้เอกสารเกี่ยวกับโครงการนี้ถูกทำลายเผาไหม้ไปด้วย ทำให้ไม่มีหลักฐานว่า
มีการทดลองนี้เกิดขึ้นจริงในซีไอเอ

ข้อมูลจาก

http://www.cracked.com/article_15974_7-insane-conspiracies-that-actually-happened.html