สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ ณ วัดเชตวัน มีอุบาสก 5 คน เป็นเพื่อนกันมานั่งฟังธรรม
ทั้ง5คนมีกิริยาอาการต่างๆกัน คนหนึ่งนั่งหลับ คนหนึ่งเอานิ้วเขี่ยพื้นดินเล่น
คนหนึ่งเขย่าต้นไม้ คนหนึ่งนั่งแหงนดูท้องฟ้า มัเพียงคนเดียวที่นั่งฟังด้วยอาการสงบ
พระอานนท์กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ทำไมอุบาสกเหล่านี้จึงแสดงกิริยาเช่นนนั้น"
พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าถึงอดีตชาติของอุบาสกเหล่านั้น ว่าคนที่นั่งหลับเคยเกิดเป็นงูมาหลายร้อยชาติ
เขาหลับมาหลายร้อยชาติแล้วก็ยังไม่อิ่ม แม้แต่ฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้าธรรมมะก็ไม่เข้าหู ยังหลับอยู่อย่างนั้น
อุบาสกที่เอานิ้วเขี่ยพื้นดิน เคยเกิดเป็นไส้เดือนมาหลายร้อยชาติ นั่งเอานิ้วเขี่ยพื้นดินเล่นอยู่อย่างนั้น
ด้วยอำนาจความประพฤติที่เคยทำมา ก็ไม่ได้ยินธรรมมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน
อุบาสกที่นั่งเขย่าต้นไม้เกิดเป็นลิงมาแล้วหลายร้อยชาติ ถึงบัดนี้เขาก็ยังเขย่าต้นไม้อยู่ ไม่ได้ยินธรรมมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน
อุบาสกที่แหงนดูท้องฟ้านั้นเคยเป็นพราห์มบอกฤกษ์ด้วยการดูดาวมาหลายร้อยชาติก็ยังนั่งดูท้งฟ้าอยู่ ไม่ได้ยินธรรมของพระพุทธเจ้า
ส่วนอุบาสกที่นั่งฟังด้วยอาการสงบนั้น เคยเกิดเป็นพราห์มศึกษาธรรมและปรัชญา ค้นหาความจริงมาหลายร้อยชาติ
มาบัดนี้ได้พบพระพุทธเจ้า จึงตั้งใจฟังธรรมด้วยดีจนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจนึกสงสัยว่าชาติก่อนเราเกิดเป็นอะไรหนอ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก ต้องมีบุญมาก
อุปมาเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่ง ที่ดำน้ำอยู่ในท้องทะเล ทุกๆ100ปี
เต่าตาบอดตัวนี้จะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลหนึ่งครั้ง บนพื้นผิวน้ำทะเลก้อมีห่วงเล็กๆ
ที่มีขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าเล็กน้อยลอยอยู่ 1 ห่วง
โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดีนั้นยากเพียงใด
โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น ยากกว่าหลายเท่านัก
ไหนๆได้เกิดเป็นคนแล้วก็สั่งสมบุญกันต่อไปเน้อ
ที่มา หนังสือ เราเกิดมาทำไม โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก