-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้  (อ่าน 6506 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

roonaldo

  • บุคคลทั่วไป

สิ่งที่จะสอนต่อไปนี้ บางคนอาจจะเบื่อเพราะคิดว่าไม่เห็นจำเป็นแค่จับคอร์ดก็เล่นกีตาร์ได้แล้วก็ใช่ครับ แต่การที่เราจะเข้าการเล่นกีตาร์ให้ลึกซึ้งลงไปมากกว่าแค่นั่งตีคอร์ดมีความจำเป็นมากครับอย่างน้อยก็ต้องพอรู้ในเบื้องต้นจะใช้ให้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น และยิ่งถ้าคุณจะศึกษาการเล่นกีตาร์ในระดับที่ยากขึ้นคุณหนีไม่พ้นแน่นอนครับกับเรื่องทฤษฎีดนตรี

           ผมอยากจะบอกว่าทฤษฎีนั้นมีความสำคัญเหมือนกันถึงผมอาจจะไม่รู้มากนัก แต่ก็คิดว่าเพียงพอสำหรับการฝึกในระดับเบื้องต้น ซึ่งมันสามารถช่วยให้ผมเล่นกีตาร์และเข้าใจมันได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการแกะเพลงหรือสร้างสรรค์ผลงานเองได้ด้วย ดังนั้นจึงน่าที่จะได้ศึกษาเอาไว้บ้าง รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามนะครับ เพราะถ้าเล่นเป็นอย่างเดียวโดยที่ไม่สนใจทฤษฎีเลยนั้นอาจจะมีปัญหาในการฝึกขั้นสูงต่อไป เอาล่ะครับเรามาดูรายละเอียดกันเลยดีกว่า

            รู้จักโน๊ตดนตรีกันนิดนึง

                        - บรรทัด 5 เส้น (Staff)

                        - ค่าของตัวโน๊ต

                        - ห้องดนตรี

                        - Time Signature

                        - Dotted Note

                        - Tied Note

                        - Sharp และ Flat

    

 

            ดังที่ได้เคยกล่าวไว้แล้วว่าขนาดของสายและการกำหนดความสั้นยาวของสายโดยกดสายแต่ละเส้นที่แต่ละเฟร็ตนั้นจะทำให้ได้ระดับเสียงที่ต่างกันไป ซึ่งหมายถึงทุก ๆ ช่องบนคอกีตาร์จะมีระดับเสียงหรือโน็ตประจำอยู่นั่นเองแต่ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้รู้จักโน็ตดนตรีเบื้องต้นกันก่อน

          รู้จักโน๊ตดนตรีกันนิดนึง

            โน็ตดนตรีคือเครื่องหมายที่แทนค่าเสียงดนตรีนั่นเองเพื่อให้มีความเป็นสากลในการบันทึกเช่นการเขียนหนังสือให้คนอ่านหนังสืออ่านอ่าน แต่โน็ตใช้บันทึกดนตรีให้นักดนตรีเล่น เราจะแบ่งพิจารณาใน 2 ลักษณะคือ

            - ระดับเสียงสูงต่ำของโน๊ตดังกล่าว โดยสามารถทราบจากระบบ "บรรทัด 5 เส้น" (staff)

            - ระยะความสั้นยาวของเสียงดังกล่าวหรือเรียกว่าจังหวะ โดยจะทราบจากลักษณะของตัวโน๊ต เช่น โน๊ตตัวกลม ตัวดำ เป็นต้น

บรรทัด 5 เส้น (Staff)

            เกิดจากเส้นตรง 5 เส้น ขีดซ้อนกันในแนวดิ่ง ซึ่งจะบอกให้ทราบถึงระดับเสียงของดนตรีหรือตัวโน๊ตนั้นว่าเป็นเสียงอะไร โดยที่แต่ละเส้นและช่องระหว่างเส้นทั้ง 5 นั้นจะมีค่าเสียงที่ต่างกันจากเสียงต่ำไปหาสูงถ้าไล่จากเส้นล่างไปหาเส้นบน และจะกำหนดค่าของเสียงด้วยกุญแจ (Key Signature) สำหรับกีตาร์จะเป็นกุญแจซอล (treble clef หรือ G-clef) ซึ่งกำหนดให้เส้นที่ 2 จากล่างมีค่าเป็นเสียงซอล ดังนั้นจะได้เสียงประจำเส้นและช่องต่าง ๆ ของ staff ดังนี้



            โดยที่ระดับเสียงต่ำจะอยู่ด้านล่างของ staff และเมื่อระดับเสียงนั้นสูง หรือต่ำเกินกว่าในบรรทัด 5 เส้นปกติ ก็จะเขียนเส้นขนานเล็ก ๆ ที่ด้านบนเพื่อบันทึกโน๊ตเมื่อระดับเสียงสูงกว่าในบรรทัด 5 เส้นปกติ และในทางตรงกันข้ามถ้าระดับเสียงต่ำกว่าปกติก็จะเขียนเส้นดังกล่าวขนานกับบรรทัด 5 เส้นด้านล่าง ซึ่งเส้นดังกล่าวนี้เรียกว่า"เส้นน้อย" (Leger Line)

            สำหรับระดับเสียงของดนตรีสากลนั้นมี 7 เสียง แทนด้วยตัวอักษร 7 ตัวแรกของภาษาอังกฤษคือ A, B, C, D, E, F และ G แต่ในการอ่านจะเริ่มจาก C และอ่าน C = โด , D = เร, E = มี, F = ฟา, G = ซอล,   A = ลา, B = ที จากนั้นก็จะวนกลับไปที่ C (โด) แต่จะมีระดับเสียงที่สูงกว่า C ตัวแรก (เรียกว่าเสียงสูงกว่า 1 อ๊อกเท็ป [Octave] ซึ่งจะกล่าวต่อไป)

            ในขั้นแรกขอให้เพื่อน ๆ จำให้ได้ก่อนนะครับว่าเสียงอะไรแทนด้วยสัญลักษณ์อะไรซึ่งมีความสำคัญมากในการศึกษาขั้นต่อไป และผมจะแทนเสียงต่าง ๆ นั้นด้วยตัวอักษรในการอธิบายต่อไป

การกำหนดค่าความสั้นยาวของเสียง

            นอกจากระดับเสียงแล้วเราต้องกำหนดความสั้นยาวของเสียงโดยการใช้สัญลักษณ์ทางดนตรีอันได้แก่

โน๊ตตัวกลม  
โน๊ตตัวขาว  
โน๊ตตัวดำ  
โน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น หรือเมื่อมี 2 ตัวติดกันจะเขียน  
โน๊ตเขบ็ต 2 ชั้น หรือเมื่อมี 2 ตัวติดกันจะเขียน  

            และอาจจะมีถึงโน๊ตเขบ็ต 3 หรือ 4 ชั้นก็ได้ และอาจจะเขียนตัวโน๊ตกลับหัวก็ได้ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมในการเขียน นอกจากสัญลักษณ์ที่บอกความสั้นยาวของเสียงที่เล่นออกมาแล้ว ยังมีสัญลักษณ์ที่บอกถึงความสั้นยาวของเสียงที่ไม่ได้เล่น หรือ กำหนดความสั้นยาวของการหยุดเสียงซึ่งเรียกว่า "ตัวหยุด" โดยจะแบ่งเหมือนประเภทแรกแต่ความหมายตรงกันข้ามคือประเภทแรกบอกความสั้นยาวในการเล่นเสียงออกมา แต่ตัวหยุดจะบอกความสั้นยาวของการหยุดเสียงโดยใช้สัญลักษณ์ดังนี้

ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตตัวกลม
 
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตตัวขาว  
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตตัวดำ  
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น  
ตัวหยุดเทียบเท่าโน๊ตเขบ็ต 2 ชั้น  

 

การแบ่งห้องทางดนตรี (Measure)

            ในการบันทึกโน๊ตดนตรีจะต้องแบ่ง staff ออกเป็นส่วน ๆ เท่า ๆ กันด้วยเส้นกั้นแต่ละห้องในแนวดิ่งที่เรียกว่า bar line โดยที่ผลรวมของจังหวะทั้งหมดในแต่ละห้องต้องมีความยาวหรือจังหวะเท่ากัน และ 1 ห้อง จะเรียกว่า 1 bar

Time Signature

            ตอนนี้เราทราบระดับเสียงของโน๊ตจาก staff (C, D, E ฯลฯ) ทราบความสั้นยาวของโน๊ตจากลักษณะของตัวโน๊ต (ตัวดำ,ตัวขาว ฯลฯ) คราวนี้เราจะมารู้จักตัวที่กำหนดจังหวะให้ตัวโน๊ต โดยที่เมื่อกี้เรารู้เพียงอัตราส่วนของตัวโน๊ตเท่านั้นเช่น ตัวขาวมีความยาวเป็น 1/2 ของตัวกลม แต่เป็น 2 เท่าของตัวดำ แต่เรายังไม่รู้ว่าไอ้ความยาวเสียงนั้นมันยาวเท่าไหนถึงเรียกว่าครบ 1 จังหวะ ซึ่งสิ่งที่จะกำหนดให้เราทราบค่าดังกล่าวจาก Time Signature โดยจะเขียนเป็นตัวเลขเศษส่วนกัน เช่น



            เรามาดูความหมายของตัวเลขต่าง ๆ กันนะครับ

            - ตัวเลขตัวบน หมายถึง จำนวนจังหวะใน 1 ห้อง(1 bar) ว่าใน 1 ห้องดังกล่าวนั้นมีกี่จังหวะนับ เช่น 2 หมายถึงในห้องนั้นมี 2 จังหวะนับ ถ้า 3 คือ มี 3 จังหวะนับใน 1 ห้อง

            - ตัวเลขตัวล่าง หมายถึง การกำหนดว่าจะให้สัญลักษณ์โน๊ตประเภทใดมีค่าเป็น 1 จังหวะ เช่นเลข 4 จะหมายถึงให้โน๊ตตัวดำ (quarter note) มีค่าเป็น 1 จังหวะ และมีผลให้โน๊ตตัวขาว (half note)มีค่าเป็น 2 จังหวะนับ โน๊ตตัวกลม whole note) มีค่าเป็น 4 จังหวะนับ และโน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น (eighth note) มีค่า 1/2 จังหวะนับ เป็นต้น

                หรือถ้าเป็น 8 หมายถึงให้โน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น (eighth note) มีค่าเป็น 1 จังหวะ โน๊ตตัวดำ (quarter note) มีค่าเป็น 2 จังหวะ และมีผลให้โน๊ตตัวขาว (half note)มีค่าเป็น 4 จังหวะนับ โน๊ตตัวกลม whole note) มีค่าเป็น 8 จังหวะนับ และโน๊ตเขบ็ต 2 ชั้น (sixteenth note) มีค่า 1/2 จังหวะนับ เป็นต้น และลองมาดูตัวอย่าง time  signature ที่พบเห็นบ่อย ๆ กันนะครับ

2 ให้โน๊ตตัวดำมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 2 จังหวะใน 1 ห้อง
4
  
3 ให้โน๊ตตัวดำมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 3 จังหวะใน 1 ห้อง
4
  
4 ให้โน๊ตตัวดำมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 4 จังหวะใน 1 ห้อง
4
  
6 ให้โน๊ตเขบ็ต 1 ชั้นมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 6 จังหวะใน 1 ห้อง
8
  
12 ให้โน๊ตเขบ็ต 1 ชั้นมีค่าเป็น 1 จังหวะ และมี 12 จังหวะใน 1 ห้อง
8

โน๊ตประจุด (Dotted Note)

            ในบางกรณีทีเราต้องการให้ค่าตัวโน๊ตนั้นมีจังหวะยาวขึ้นมาอีก ครึ่งหนึ่งของตัวมันเอง เราจะใช้จุด (dot) แทนค่าให้เพิ่มจังหวะอีกครึ่งนึงของตัวเองโดยเขียนจุดไว้ด้านข้างของตัวโน๊ตที่ต้องการเพิ่มจังหวะ เช่นเมื่อต้องการสร้างโน๊ต 3 จังหวะจากโน๊ตตัวขาวที่มีค่า 2 จังหวะ(กรณีที่ time signature เป็น 4/4 โน๊ตตัวขาวมีค่า 2 จังหวะ)เราก็ประจุดโน๊ตตัวขาวซึ่งมีผลให้มีจังหวะเพิ่มขึ้นครึ่งนึงของ 2 คือ 1รวมเป็น 3 จังหวะ หรือเท่ากับโน๊ตตัวดำ 3 ตัว

            หรือเมื่อให้โน๊ตตัวดำ(มีความยาว 1 จังหวะ)ประจุดก็จะหมายถึงจังหวะจะเพิ่มขึ้นอีกครึ่งนึงของ 1 คือ 1/2 รวมเป็น 1 1/2 หรือ 1จังหวะครึ่งนั่นเองซึ่งมีค่าเท่ากับโน๊ตเขบ็ต 1 ชั้น 3 ตัว ลองดูจากการเปรียบเทียบข่างล่างนี้


  

  

Tied Note

            สำหรับโน๊ตประจุดนั้นจะใช้เพิ่มจังหวะที่อยู่ในห้องเดียวกัน แต่เมื่อต้องการให้จังหวะของโน๊ตตัวนั้นยาวข้ามไปยังอีกห้องหรืออีก bar นึงนั้นเราจะใช้สัญลักษณ์ tie หรือเส้นโยงโน๊ตข้ามไปอีกห้องโดยที่โน๊ตตัวที่อยู่ทางท้ายเส้นโยงนั้นไม่ต้องเล่น แต่เล่นที่ตัวทางหัวเส้นโยงแล้วนับจังหวะรวมไปถึงตัวที่อยู่ท้ายเส้น (ดูจากรูปนะครับแล้วลองฝึกนับในใจดู โดยอาจเคาะมือหรือเท้าเป็นจังหวะนับก็ได้) อย่างไรก็ตาม tied note สามารถใช้ร่วมในห้องเดียวกันก็ได้ความหมายก็เช่นเดียวกันคือเล่นโน๊ตตัวแรกแล้วนับจังหวะรวมกับโน๊ตที่อยู่ท้ายเส้นโยง



    หมายเหตุ ตัว C ที่เห็นอยู่ต่อจากกุญแจซอลนั้นหมายถึง time signature 4/4 ในการเขียนโน็ตมักแทนด้วย C

            จากตัวอย่างข้างบนจะเห็นมี 2 จุดที่มี tied โน๊ต จุดที่ 1ในห้องแรก โน๊ตตัว D เป็นโน๊ตตัวดำมีเส้นโยงไปยังโน๊ต D ที่เป็นโน๊ตตัวตำอีกตัว ในเชิงปฏิบัติคุณจะดีดโน๊ตตัวขาวตัวแรกเสียง B นับ 2 จังหวะ จากนั้นดีดโน๊ตตัวที่สองคือตัวดำตัวแรกแต่เราจะนับจังหวะรวมกับตัวดำตัวที่สอง(เนื่องมาจากเส้นโยง)แล้วนับรวมเป็น 2 จังหวะดังนั้นในห้องแรกคุณจะเล่นโน๊ตแค่ 2 ตัวคือโน๊ต B ตัวขาว และโน๊ต D ตัวดำนับ 2 จังหวะเช่นกัน

            และที่จุดที่สองเป็นการโยงข้ามห้องจากห้องที่สองโน๊ต C ตัวดำไปยังห้องที่สามโน๊ต C ตัวขาว หลักการปฏิบัติเช่นเดียวกับแบบแรกคือเล่นโน๊ต C ตัวดำแต่นับจังหวะรวมโน๊ตตัวขาวไปด้วยดังนั้นรวมจังหวะในการเล่นโน๊ต C ตัวนี้เป็น 3 จังหวะ(ตัวดำ 1 จังหวะ + ตัวขาว 2 จังหวะ = 3 จังหวะ)

            ข้อสังเกตอย่างนึงคือการใช้ tied note มักจะเป็นโน๊ตตัวเดียวกัน ถ้าเกิดเป็นโน๊ตคนละตัวจะไม่ใช่ tied note แต่อาจจะเป็นโน๊ตแฮมเมอร์ ออนถ้าตัวท้ายเส้นโยงมีระดับเสียงสูงกว่าตัวหน้า และอาจจะเป็นพูล ออฟ ถ้าโน๊ตตัวท้ายเส้นโยงเสียงต่ำกว่าตัวหน้า เป็นต้น

            ลองมาดูตัวอย่างการบันทึกโน๊ตดนตรีดูนะครับ อาจจะยากไปนิดนึงแต่ลองศึกษาดูครับ ศึกษาไว้เล็กน้อยพอเข้าใจหน่อยก็ยังดีครับเผื่อไว้ต่อไปอาจจะได้ศึกษาในขั้นที่สูง ๆ ต่อไปได้ ผมได้เลือกเพลงดฟล์คเก่า ๆ ที่หลายคนคงรู้จักคือเพลง 500 ไมล์ส่วนหนึ่งมาให้ลองดู พร้อมทั้งคำอธิบายการอ่านโน๊ต



อธิบายการอ่าน

ลำดับตัวโน๊ต ชื่อโน๊ต จำนวนจังหวะ
 
1 G 1
2 C 1
 
จังหวะรวม (เศษห้อง) 2
3 E 1.5
4 E 0.5
5 D 1
6 C 0.5
7 D 0.5
จังหวะรวมห้อง 1 4
8 E 1.5
9 E 0.5
10 D 1
11 C 1
จังหวะรวมห้อง 2 4
12 D 1.5
13 E 0.5
14 D 1
15 C 1
จังหวะรวมห้อง 3 4
16 A 3
17 A 0.5
18 C 0.5
จังหวะรวมห้อง 4 4
19 D 1.5
20 E 0.5
21 D 1
22 C 0.5
23 A 0.5
จังหวะรวมห้อง 5 4
24 G 1.5
25 G 0.5
26 A 1
27 C 1
จังหวะรวมห้อง 6 4
29 C 4
จังหวะรวมห้อง 7 4

            จากตารางจะมีเพียงห้องแรก ซึ่งเรียกว่าเศษห้องจะมีไม่ครบ 4 จังหวะแต่นอกนั้นทุกห้องจะรวมได้ 4 จังหวะหมด ตาม time signature ที่เป็นตัว C นั่นแหละครับหมายถึง 4/4 ซึ่งทำให้โน๊ตตัวดำมีค่าเป็น 1 จังหวะและทั้งห้อง หรือ 1 bar จะมี 4 จังหวะ

เครื่องหมาย ชาร์ฟ และ แฟล็ท (Sharp & Flat)

            จากที่ได้รู้จักเสียงดนตรีทั้ง 7 เสียงนั้นถือเป็นระดับเสียงตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งระดับเสียงจะห่างกัน 1 เสียงเต็ม (หมายถึงระดับความสูงต่ำของเสียงนะครับ) แต่จะมี 2 คู่ที่ต่างกันครึ่งเสียง คือ ระหว่าง E, F และ B, C ไม่ใช่ครึ่งจังหวะนะครับอย่าเพิ่งงงล่ะครับ ตอนนี้เราพูดถึงเรื่องระดับของเสียงอยู่ไม่ใช่จังหวะ

            ในการแต่งเพลงหรือดนตรีสากลมักจะมีเสียงที่เป็นครึ่ง ๆ คือไม่ใช่เสียงเต็มแบบธรรมชาติซึ่งไม่มีกำหนดในสัญลักษณ์ดนตรีสากล จึงต้องมีการสร้างสัญลักษณ์เพื่อทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงสูงขึ้นหรือต่ำลงครึ่งเสียงและสัญลักษณ์ดังกล่าวก็คือเครื่องหมายชาร์ฟ (#) และแฟล็ท (b) นั่นเอง

            - เครื่องหมาย ชาร์ฟ (Sharp ; #) เมื่อปรากฎที่โน๊ตตัวใดจะทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงสูงขึ้นครึ่งเสียงเช่น C# อ่านว่า ซี-ชาร์ฟ จะมีระดับเสียงสูงกว่า C อยู่ครึ่งเสียง

            - เครื่องหมาย แฟล็ท (Flat ; b) ตรงกันข้ามกับ # เมื่อปรากฎที่โน๊ตตัวใดจะทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงต่ำลงครึ่งเสียงเช่น Eb อ่านว่า อี-แฟล็ท จะมีระดับเสียงต่ำกว่า E อยู่ครึ่งเสียง

            ดังนั้นจะต้องมีโน๊ตที่มีระดับเสียงซ้ำกันอันได้แก่ C# = Db , D# = Eb , F# = Gb , G# = Ab และ A# = Bb นอกจากนี้ยังมี Cb = B , B# = C , E# = F และ Fb = E ซึ่งแบบหลังมักไม่นิยมเขียนในรูป # , b

 

            เมื่อมีการกำหนดเครื่องหมาย # หรือ b ลงบน staff ที่ในช่องระหว่างเส้น หรือบนเส้นใดก็ตาม(ศึกษาจากเรื่อง scale ได้) จะมีผลบังคับให้ตัวโน๊ตทุก ๆ ตัวที่อยู่บนเส้นหรือในช่องนั้น ๆ ถูกบังคับด้วย # หรือ b เช่นกัน นอกจากนี้ยังรวมถึงโน๊ตที่มีเสียงเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ช่องหรือบนเส้นใดของ staff ดังเช่น เมื่อมีการติดเครื่องหมาย # ไว้บนเส้นบนสุดของ staff ซึ่งเส้นนี้มีเสียง F อยู่ เมื่อมี # อยู่บนเส้นนี้จะมีผลให้โน๊ตทุกตัวที่อยู่บนเส้นนี้มีค่าเป็น F# ทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องเขียน # ไว้ที่โน๊ตทุก ๆ ตัว นอกจากนี้โน๊ตที่มีเสียง F ทั้งหมดเช่นในช่องล่างสุด(ระหว่างเส้นที่ 1 กับ 2) ซึ่งมีเสียง F เช่นกัน ก็จะกลายเป็น F# ไปโดยปริยาย สำหรับเครื่องหมาย b ก็เช่นเดียวกันแต่จะทำให้ค่าของโน๊ตลดลงครึ่งเสียง

            แต่ในการแต่งเพลงบางทีอาจต้องการปรับกลับมาให้เป็นเสียงเต็ม คือต้องการถอดเครื่องหมาย # , b ออกชั่วคราวเช่นแค่ 1 หรือ 2 ห้องหรือเพียงแค่โน๊ตตัวเดียวที่ต้องการปลดเจ้า #, b ออก ดังนั้นเราจึงมีเครื่องหมายอีกตัวที่ใช้ในการปลดเจ้า #, b ออก

            - เครื่องหมายเนเจอรัล (naturals ;  ) เครื่องหมายนี้จะตรงกันข้ามกับ #, b คือ เมื่อปรากฎที่โน๊ตตัวใดจะทำให้โน๊ตนั้นมีระดับเสียงเป็นปกติตามสัญลักษณ์ของมัน คือใช้ในการถอดเครื่องหมาย #, b นั่นเอง เช่นจากตัวอย่างที่แล้ว staff เส้นบนสุดติด # อยู่ดังนั้นเสียง F จึงกลายเป็น F# แต่ที่โน๊ตตัวหนึ่งเราต้องการให้เป็นเสียง F เฉย ๆ เราก็จะเขียนเครื่องหมาย naturals ไว้ที่โน๊ตตัวดังกล่าว ซึ่งมีผลให้เฉพาะโน๊ตตัวนั้นที่กลายเป็น F

            หากต้องการยกเลิกเครื่องหมาย #, b ทั้งห้องนั้นก็จะเขียน naturals ไว้บนเส้นนั้นเลย เช่นที่ห้องหนึ่งผมต้องการยกเลิก F# ทั้งหมด ผมก็จะใส่เครื่องหมาย naturals ไว้บน staff เส้นบนสุดในห้องนั้น

            ลองมาดูตัวอย่างพร้อมคำอธิบายดูครับ



            ตัวอย่างแรกเป็นสเกลทาง # โดยมี 1 # คือ F# ซึ่งอยู่ในสเกล G major และ time signature เป็น 4/4 (หรือเครื่องหมาย C) เรามาดูโน๊ตที่น่าสนใจกัน

            โน๊ตตัวที่ 1 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F แต่เนื่องจากใน staff นี้ติด 1 # คือ F# ดังนั้นโน๊ตตัว F ทุกตัวต้องติด # หมดจึงมีผลให้โน๊ตตัวที่ 1ติด #ไปด้วยเป็น F#

            โน๊ตตัวที่ 2 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง G แต่ติด # จึงกลายเป็น G#

            โน๊ตตัวที่ 3 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F# (เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 1) แต่ติด  จึงกลายเป็น F ธรรมดา

            โน๊ตตัวที่ 4 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F# (เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 1) แม้จะมี  ในห้องที่สอง แต่มันจะมีผลเฉพาะในห้องนั้นเมื่อขึ้นห้องใหม่แล้วก็จะเหมือนเดิม

            โน๊ตตัวที่ 5 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง G แต่ติด # จึงกลายเป็น G#

            โน๊ตตัวที่ 6 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F# (เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 1) แม้จะมี  ในห้องที่สอง แต่มันจะมีผลเฉพาะในห้องนั้นเมื่อขึ้นห้องใหม่แล้วก็จะเหมือนเดิมเหมือนตัวที่ 4

          โน๊ตตัวที่ 7 จะมีผลเป็น G# เนื่องมาจากโน๊ตตัวที่ 5 แต่ติด  จึงกลายเป็น G ธรรมดา

          โน๊ตตัวที่ 8 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง F# เนื่องมาจากโน๊ตตัวที่ 4



              ตัวอย่างที่สองเป็นสเกลทาง b โดยมี 1 b คือ Bb ซึ่งอยู่ในสเกล F major ลองมาดูรายละเอียดดูนะครับ

            โน๊ตตัวที่ 1 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง B แต่เนื่องจากใน staff นี้ติด 1 b คือ Bb ดังนั้นโน๊ตตัว B ทุกตัวต้องติด b หมดจึงมีผลให้โน๊ตตัวที่ 1ติด b ไปด้วยเป็น Bb

            โน๊ตตัวที่ 2 เนื่องจากโน๊ตตัวที่ 1จะมีเสียง Bb แต่เนื่องจากติด  จึงมีผลให้กลายเป็น B ธรรมดา

            โน๊ตตัวที่ 3 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง D  แต่ติด b จึงกลายเป็น Db

            โน๊ตตัวที่ 4 ยังคงเป็น Bb แม้ว่าโน๊ตตัวที่ 2 จะติด natural ก็ตาม แต่เมื่อต่าง octave หรือคนละขั้นเสียง natural จะไม่มีผล

            โน๊ตตัวที่ 5 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง E แต่ติด b จึงกลายเป็น Eb

            โน๊ตตัวที่ 6 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง Bb (เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 1) แม้จะมี  ในห้องที่สอง แต่มันจะมีผลเฉพาะในห้องนั้นเมื่อขึ้นห้องใหม่แล้วก็จะเหมือนเดิม

          โน๊ตตัวที่ 7 จะมีเสียง Bb เหตุผลเดียวกับโน๊ตตัวที่ 6

          โน๊ตตัวที่ 8 ตามบรรทัด 5 เส้นจะมีเสียง G  แต่ติด b จึงกลายเป็น Gb


          จากทั้ง 2 ตัวอย่างผมได้แสดงทั้งระบบ notation และ tablature เพื่อให้คุณได้เห็นว่าโน๊ตแต่ละตัวนั้นอยู่บนตำแหน่งใดบนฟิงเกอร์บอร์ดเพื่อให้เห็นความแตกต่างได้ชัดเจนขึ้น สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับระบบ tab โปรดดูรายละเอียดในหัวข้อเรื่องการอ่าน tablature

            เอาล่ะครับถึงตรงนี้คุณก็ได้รู้จักโน๊ตดนตรีกันพอสมควรแล้ว ถ้าสนใจจริง ๆ คุณสามารถหาหนังสือ ทฤษฎีดนตรีสากลมาอ่าน หรือไปเรียนในโรงเรียนดนตรีได้ก็จะดีมากเลยครับ ผมมันก็รู้แค่งู ๆ ปลา ๆ อาจจะอธิบายได้ไม่กระจ่างนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับการเล่นกีตาร์เบื้องต้นแล้วล่ะครับ สำหรับเรื่องของสเกล และการอ่าน score หรือโน๊ตดนตรีผมจะกล่าวต่อไปภายหลังนะครับ ตอนนี้ผมแค่อยากให้คุณรู้จักโน๊ต ระดับเสียงและจังหวะดนตรีว่าคืออะไร ใช้สัญลักษณ์อะไร เรียกยังไง อ่านยังไง ทั้งหมดนี้รู้ไว้เป็นพื้นฐานนะครับผมจะเน้นการสอนจาก tablature มากกว่าซึ่งผมจะกล่าวรายละเอียดต่อไป

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 มกราคม 2011, 11:22:06 โดย roonaldo »

waterman09

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 11:21:04 »

 hgjhg...สำหรับความรู้ดีๆค้าบ

roonaldo

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 11:23:07 »

ก้อสุดแล้วแต่ครับบ เพราะว่า ตอนนี้เปน ช่วงเดกมาติวเข้า ดุริยศอลป์กันเลยไฟแรงนิดนึง ประกอบกับข้อมูลก้อทำไว้นานแล้วว อิอิ


รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหามครับบ เดด

cmuPuza

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 11:26:15 »

 nears  มาเข้าเรียน  แต่หลับ

roonaldo

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 11:27:43 »

nears  มาเข้าเรียน  แต่หลับ

ลักหลับซะ

Yasito

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 11:30:15 »

เล่นไม่เป็น


แต่อยากมีคนเล่นให้ฟังตอนหลับ


แล้วก็ลักหลับเลย



55555555555+


(คิดถึงสมัยเมื่อนานมาแล้วมีคนโทรศัพท์ร้องเพลงเล่นกีต้าร์ให้ฟัง โอ๊ยยย สุดจะปลิ้มมมมม)

prof.big

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 11:32:45 »

คารวะอาจารย์เลย เคยเรียนมา(พอหางอึ่ง)แต่ไม่ค่อยเข้าใจเลย พอมาอ่านแล้ว อืม..เข้าใจง่ายแฮะ

cmuPuza

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 11:38:18 »

nears  มาเข้าเรียน  แต่หลับ

ลักหลับซะ

เด๋วหาหมามาเฝ้า  เอาไว้กัดเวลาคนมาลักหลับดีกว่า

golfmanu00

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 14:01:53 »

สุดยอดเลยครับ  อาจารย์โด้  เมื่อก่อเคยอยากเรียกกีต้าครับ  แต่หาที่เรียนไม่ได้เลยเลิกซะ lkkjjh

roonaldo

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 18 มกราคม 2011, 16:06:36 »

อิอิ ไม่มีไรแก่เกินเรียนครัย อิอิ

roonaldo

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 20 มกราคม 2011, 09:30:40 »

กระแสไม่ดีๆๆๆ

chocokizz

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 20 มกราคม 2011, 09:42:39 »

แน่ใจเหรอว่ากระแสไม่ดี คนมาส่องตั้ง78view แต่ไม่เม้นกันแค่นั้นแหละ


สู้ๆๆๆๆ เป็นกำลังใจให้

Makettingmanager

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 20 มกราคม 2011, 19:50:03 »

ดันๆท่านอาจารย์โด้ครับว่างๆมาสอนผมเล่นบ้างนะครับร้องเป็นอย่างเดียว dsgjsd

meaw_meow

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2011, 10:27:16 »

 .,mn เยี่ยมครับ  ;khhg ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ

ยังอ่านไม่จบ กลัวจะหลับ (เดี๋ยวโดนลักหลับ  jljhl) แต่จะแวะมาอ่านอีกให้จบ

เลยมา comment ขอบคุณกันก่อน  ;kljj

lumka

  • บุคคลทั่วไป
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2011, 10:33:38 »

ว้าว ความรู้ๆเก็บๆๆๆๆ gsdgdgs

ngpizza

  • V.I.P.
  • เด็กหัดเสียว
  • *
  • กระทู้: 356
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +2/-1
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
Re: ทฤษฐีดนตรี สำหรับ กีตาร์ โดยครู โด้
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 16 สิงหาคม 2011, 15:23:20 »

thx มากครับ    ;kljj