หลังจากที่คนเหล่า ๆ นั้นบำเพ็ญเนกขัมมะบารมีจนสิ้นจากความเป็นมนุษย์ไปแล้วนั้น พวกเขาก็ได้ไปเกิดในแดนพรหม แล้วก็จุติลงมา แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์หรอกนะ พรหมแต่ละองค์ต่างก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เธอคงสงสัยว่าทำไม ในเมื่อบุญญาธิการของคนเหล่า ๆ นี้ก็มี เพราะเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยเนกขัมมะบารมี ทำไมจึงต้องมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน คำตอบก็คือว่า ท่านพรหมผู้ที่เป็นหัวหน้าของพรหมกลุ่มนี้เป็นผู้บอก ให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพื่อทำลายทิฐิมานะ ความถือตัวถือตนที่ยังมีเชื้ออยู่ในจิต เพราะว่าการเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ได้ยกย่อง ไม่ให้ความสำคัญ เหมือนเป็นสิ่งไร้ค่า จะประทุษร้ายย่ำยีอย่างไรก็ได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการปรามและปราบใจที่พยศ ที่เป็นปัจจัยของการเกิดในเบื้องหน้า (การเวียนว่ายตายเกิด) ของบุคคลเหล่านี้ ที่จะต้องเกิดมาเป็นผู้หลงผิด แม้ว่าคนเหล่านี้จะเคยทำเนกขัมมะบารมีมาก่อน ก็อย่าคิดว่าจะไม่มีสิทธิ์หลงนะ (ความหลงผิดที่เป็นปัจจัยให้ยังคงต้องมาเวียนว่ายตายเกิด) มันยังมีเชื้ออยู่ในใจในเรื่องมานะ (ความถือตัวถือตน) เขาจึงต้องให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเพื่อเป็นการปราบใจของตน
พรหมที่เป็นหัวหน้าก็ลงมาเกิดเป็นพญาราชสีห์ ส่วนพรหมองค์อื่น ๆ ก็เกิดเป็นสัตว์ต่างชนิดกัน บางคนเป็นสัตว์เล็ก บางคนเป็นสัตว์ใหญ่ บางคนเป็นสัตว์ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างเสือ เป็นลิง เป็นกวาง เป็นเก้ง เป็นกระต่าย อยู่ในป่าเดียวกัน เพื่อให้รู้จักการอยู่ร่วมกันอย่างมีเมตตาต่อสัตว์ต่างชนิด แต่เมื่อเหล่าพรหมทั้งหลายมาเกิดแล้วก็ไม่สามารถจะจดจำสัญญา (ความทรงจำในอดีต) ต่าง ๆ ในกาลก่อนได้ พวกเขาต้องเริ่มต้นในการฝึกทุกอย่าง เธอลองคิดสิว่า คนที่สะสมเชื้อความหลงผิดมานานนักหนาน่ะและจะต้องทำการต่อสู้ให้มีชีวิตรอด อยู่ได้ด้วยอาหาร มีหรือที่จะไม่ประทุษร้ายต่อกัน มีแน่ ๆ เขาเหล่านี้ก็ประทุษร้ายต่อกันเพื่อมาเป็นอาหาร บางคนถึงตายแล้วก็เกิดใหม่อีก ไม่ได้ตายแล้วไปเลยนะ เพราะมันเป็นคำสั่งจากพรหมองค์ที่เป็นหัวหน้า ที่เหล่าพรหมทั้งหลายจะต้องกลับมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่อไปอีก จนกว่าจะสามารถละทิฐิมานะออกจากใจของตนได้แล้ว ถึงจะไม่ต้องมาเกิดเป็นสัตว์ อีก เหมือนเป็นคำแช่งจากพรหม แล้วพวกสัตว์เหล่านั้นเขาก็กินกันเอง เกิดมาใหม่ก็ฆ่ากันเพื่อมาเป็นอาหาร ต่างคนก็ต่างประทุษร้ายกัน ส่วนพญาราชสีห์ที่เป็นพรหมที่เป็นหัวหน้าก็ไม่ได้ทำอะไร หากแต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ เพราะในการจะสอนน่ะ มันไม่ใช่ว่าจะไม่ต้องให้พวกเขานั้นทำอะไรเลย แล้วให้คอยนั่งฟังอย่างเดียว แล้วจะให้ไปบอกระงับความหลงผิดได้ มันต้องเจอของจริงก่อน
พรหมองค์ที่เป็นหัวหน้าที่มาเกิดเป็นพญาราชสีห์ ก็รอจนกระทั่งเหตุการณ์มันเป็นไปอย่างนี้เป็นเวลา ๑๐๐ ปี เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เพราะอายุของสัตว์เหล่านี้ไม่นาน ไม่เกิน ๑๐ ปี ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนี้ ถึงวันหนึ่งที่พญาราชสีห์คิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องมาปราบใจของสัตว์เหล่า ๆ นี้ให้รู้สึกในความคิดของตนว่า ที่ทำอยู่น่ะมันผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง พญาราชสีห์ก็ส่งเสียงคำรามออกมาจากในป่าด้วยภาษาที่สัตว์ต่างก็รู้กันว่า
?สัตว์ทั้งหลาย ท่านมีชีวิตอยู่ก็เหมือนหาชีวิตไม่ ตายก็เหมือนไม่ตาย จะเป็นหรือจะตายก็ไม่เท่ากับว่ามีชีวิต พวกท่านมีชีวิตที่เป็นโมฆะ? สัตว์เหล่านั้นได้ฟังก็ประหนึ่งดังกับมีสิ่งหนึ่งมาเคาะที่หัวใจของพวกเขา มันเป็นคำพูดที่ประหนึ่งว่าเหมือนโดนดุโดนด่าอย่างไรไม่รู้ ต่างคนก็ต่างมารวมกันโดยไม่ได้นัดหมายอยู่ในทุ่งแห่งหนึ่ง พญาราชสีห์ก็ยืนอยู่บนโขดหินสูงแล้วมองลงมาในหมู่เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย แล้วเปล่งวาจาว่า
?พวกท่านเป็นผู้ตั้งตนอยู่ในความประมาท ที่ไม่เคยให้ความเมตตาปราณีต่อกันและกันเลย เสียแรงที่พวกท่านได้เคยฝึกเนกขัมมะบารมีมาในกาลก่อน เวลาของท่านแทบจะไม่มีค่าอีกแล้ว หากท่านยังประพฤติตนเช่นนี้ที่ไม่เห็นแก่ชีวิตของใครแล้วล่ะก็ ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้เป็นมนุษย์อีกเลย ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานอย่างนี้อีก อย่างเลวพวกท่านก็ลงไปเกิดในนรก แล้วก็ต้องกลับมาเป็นสัตว์เดรัจฉานอีก? สัตว์เหล่านั้นต่างก็มีความสะดุ้งหวาดกลัว แล้วมีสัตว์อยู่ตัวหนึ่งพูดขึ้นว่า
?ท่านผู้เจริญ ท่านช่วยชี้ทางให้แก่พวกเราเถิด เราไม่อยากเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เราไม่อยากหิวโหยแบบนี้ เราไม่อยากประทุษร้ายกันแบบนี้ แต่เราไม่สามารถจะยับยั้งตัวเราให้เป็นไปตามที่ท่านพูดได้เลย? พญาราชสีห์ก็ตอบว่า
?เป็นได้สิ ท่านทั้งหลาย หากท่านรู้จักคำว่าสะดุ้งและหวาดกลัว? แล้วสัตว์เหล่านั้นก็ถามว่า
?พวกเราต้องกลัวอะไร???พวกท่านต้องกลัวการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน? พญาราชสีห์ตอบ เหล่าสัตว์ทั้งหลายเขาก็บอกว่าพวกเขากลัว
?และพวกท่านก็ต้องรู้สึกละอายผลของการที่ท่านทำความชั่วไว้แบบนี้ ที่ทำให้พวกท่านต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่ รู้จักจบจักสิ้น? พญาราชสีห์พูดต่อ นี่เขาสอนอะไร? เขาสอนหิริ-โอตตัปปะ คือความละอายและความเกรงกลัวต่อบาป
?พวกท่านต้องรู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาปกรรมที่ทำนี้ พวกท่านต้องนำเอาสิ่งนี้เป็นเครื่องเตือนสติไว้เสมอ? เมื่อพญาราชสีห์พูดจบ เขาก็ไป แล้วสัตว์เหล่า ๆ นั้นก็พากันไปนั่งทบทวนอยู่กับตัวเอง ต่างคนต่างก็เตือนใจตนเอง จนค่อย ๆ บรรเทาความอยากกินลงไป โดยอาศัยความคิดที่ว่า
?ถ้าเรายังคงทำอย่างนี้อีก เราก็จะไม่มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นอย่างอื่นที่ดีกว่านี้อีก เราจะต้องมาเป็นอยู่แบบนี้ จะต้องมาทรมานกับสภาพแบบนี้? พวกเขายั้งใจของเขาไว้อย่างนั้น ยั้งใจเอาไว้ได้จนกระทั่งดวงจิตทุกดวงของสัตว์เดรัจฉานเหล่านั้นสามารถหยุดยั้งการทำร้ายต่อกันได้ มีคุณธรรมของหิริโอตตัปปะ เมื่อสัตว์ทุกตัวสามารถยับยั้งใจไว้ได้แล้วนั้น พญาราชสีห์ก็มาปรากฎตัวขึ้นใหม่แล้วกล่าวว่า
?ท่านทั้งหลาย เราเห็นแล้วว่าพวกท่านระงับซึ่งความกลัว กลัวที่จะต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน? นั่นคือ
เขาสามารถระงับใจ จนไม่มีความรู้สึกกลัว ว่าตนเองจะพลาดมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้อีก จิตของเขาไม่มีความคิดจะประทุษร้ายใคร จิตของเค้ามีแต่ความเมตตาสงสาร แม้ว่าจะมีสัตว์อื่น ๆ อยู่ตรงหน้าของตน ซึ่งสามารถจะมาเป็นอาหารแก่เขาได้ เขาก็ไม่คิดที่จะประทุษร้ายกัน แล้วพญาราชสีห์ก็พูดต่อว่า
?ขอให้ท่านจงตั้งใจมองในสิ่งที่ท่านเป็นอยู่เถิด ว่าร่างกายของท่านน่ารังเกียจไหม?? ต่างคนก็ต่างดู เขาก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า
?นี่หรือเรา นี่หรือคือตัวเรา ตัวเราเป็นอย่างนี้หรือ? แล้วพวกเขาก็ระลึกชาติได้ว่า ตัวของเขาเคยเป็นผู้ที่สวยงาม เคยเป็นผู้ที่ยินดีในกามารมณ์มาก่อน พวกเขาจึงละอายใจมาก ๆ ว่า
เรานี่ไม่สามารถจะทำลายความชั่วในจิตใจของเราได้อย่างมั่นคงเลย เพียงแค่ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เราก็กลับมาทำความชั่วแบบนั้นอีก แล้วพวกเขาก็ถามตัวพญาราชสีห์ว่า
?แล้วเมื่อไรที่เราจะไม่ต้องกลับมาเป็นแบบนี้อีก?? พญาราชสีห์ก็ตอบว่า
?เมื่อท่านทั้งหลายเห็นโทษของการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เห็นโทษของความหิวโหย เห็นโทษของรูป เห็นโทษของสิ่งเหล่า ๆ นี้แล้ว ท่านก็จะไม่มีโอกาสกลับมาเกิดเป็นสิ่งเหล่า ๆ นี้อีก? แล้วสัตว์ทุกตัวก็พากันเพ่งโทษโจทก์ความชั่วของตนเองว่า
เรานี่เลวนัก เรานี่มีความหลงผิดนะ เราถึงต้องมาเป็นแบบนี้ เรานี่มีจิตใจหยาบคาย ประทุษร้ายต่อคนอื่น ๆ ได้โดยไม่รู้สึกสงสารในความทรมานของเขาเลย เรานี่มันชั่วเหลือเกิน จนกระทั่งพวกเขารู้สึกละอาย อายมาก เกลียดตัวเองมาก เกลียดความคิดแบบนี้มาก จนรู้สึกอยากจะตายไปเสีย
แต่ในขณะนั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นมาว่า
?ท่านผู้เจริญ เหตุใดเล่าท่านถึงต้องกล่าวถ้อยคำวาจาว่าอยากตาย ในเมื่อท่านเป็นผู้ไม่ตาย ทำไมถึงกล่าวคำวาจาว่าอยากตาย?? สัตว์เหล่านั้นต่างก็อึ้งกิมกี่ คิดไม่ทัน ไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่ตาย ในเมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็ตายนี่ ตายแล้วก็ตายอีกอยู่นี่นา แล้วพญาราชสีห์ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นท่านก็ตอบว่า
?ท่านไม่ได้ตาย ที่ท่านต้องมีรูปที่น่ารังเกียจ มีความเขลาโง่ ที่เป็นเหตุทำให้เกิดทุกข์โทษในการเกิดไม่จบไม่สิ้น นั้นเป็นเพราะว่า ความหลงผิดของท่านน่ะ มันไม่ได้ตายออกไปจากใจของท่านต่างหากเล่า เราจึงได้กล่าวว่าท่านไม่ได้ตาย ตัวท่านน่ะไม่ตาย เพราะยังมีความคิดโง่ ๆ ที่มันยังไม่ตาย มันคือความหลงโง่ ๆ น่ะที่ไม่ตาย? (เมื่อยังมีความหลงผิดอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และกิเลสอื่น ๆ อยู่ มันทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อีก ทำให้เกิดมาตายอีกกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันก็ยังไม่สามารถจะตายจริง ๆ โดยที่ไม่ต้องมาเกิดใหม่ได้อีก) สัตว์เหล่า ๆ นั้นต่างก็พิจารณากันว่า
?อ๋อ มันเหตุนี้เองที่พญาราชสีห์จึงได้กล่าวถ้อยคำนี้ พวกเขาจึงหยุดความคิดอยากตาย ความคิดที่จะอยากฆ่าตัวตาย เขาจะคิดแต่ว่ามันจะตายเมื่อไรก็ช่าง แต่เราจะไม่ยอมให้ความดีที่เราตั้งใจทำนั้นตายไปกับกายนี้ และจะไม่ยอมให้สิ่งที่เป็นความชั่วมันกำเริบขึ้นมาในใจของเราอีก เราขอตั้งสัตยาธิษฐานว่า เราจะไม่ยอมทำความชั่วอย่างนี้อีกไม่ว่าเราจะเกิดชาติไหน ๆ? หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาเปล่งวาจาจบ กายทุกกายที่เป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นก็ล้มตึง ดวงจิตเหล่า ๆ นั้นก็กลายเป็นกายละเอียด สวยงาม มีรัศมีกายสว่าง ลอยขึ้นไปเสวยทิพยสมบัติที่สวรรค์ พอไปที่สวรรค์ก็เป็นเหตุอันแน่นอนที่พวกเขาจะไม่ทำชั่วอีกแล้ว (เพราะพวกเขาต้องทรงคุณธรรมของความเป็นเทวดาซึ่งก็คือ หิริ โอตตัปปะ) เขาต้องการทำความดีให้ถึงที่สุด จึงเป็นเหตุให้พวกเขาได้พบกับพระพุทธเจ้าบนสวรรค์ (พระพุทธเจ้าท่านทรงเสด็จมาเทศน์บนสวรรค์เป็นประจำ) เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบ พวกท่านเหล่านั้นต่างก็จบกิจเป็นพระอรหันต์กันหมด ความหลงผิดในใจของพวกเขาได้ตายไปจนหมดสิ้นแล้ว เว้นแต่พรหมที่เป็นพญาราชสีห์องค์เดียวเท่านั้น
http://tales.me/