-->

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องจริงของสัตว์ทำร้ายคนที่ยิ่งกว่านิยายระทึกขวัญ  (อ่าน 661 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18209
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

เรื่องจริงของสัตว์ทำร้ายคนที่ยิ่งกว่านิยายระทึกขวัญ



คุณเคยดูภาพยนตร์จำพวกสัตว์โลกผู้ไม่น่ารักไหมครับ ที่เป็นหนังจำพวกปลาฉลาม จระเข้ที่มีขนาดยักษ์
แล้วหันมาทำร้ายมนุษย์โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย หากแต่โดยปกติสัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่จะไม่ทำร้ายคนเพราะมันรู้ว่า
หากมันล่าคนแล้วปัญหายุ่งยากจะตามมาหามันแน่

แต่กระนั้นมันก็มีหลายกรณีเหมือนกันที่สัตว์กินเนื้อเหล่านี้จะฆ่าคน กินคนหากอยู่ภายใต้เงือนไขที่เหมาะสม เช่น
หิวจัด ถูกรุกรานที่อยู่ หรือนึกว่ามนุษย์เป็นแมวน้ำ...? และหลักการที่ว่าเมื่อมันทำร้ายมนุษย์แล้วมันจะล่ามนุษย์
ต่อไปเรื่อยตราบใดที่มันไม่ตาย เพราะมันรู้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่มันล่าง่ายที่สุด นี้คือ 10 เหตุการณ์สัตว์ทำร้ายมนุษย์
ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ที่จนกลายเป็นตำนาน
 
The lions of Njombe   



เราเริ่มรายการด้วยเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของสิงโตกินคนเป็นอันดับแรก และผมก็เคยอ่านเรื่องนี้ในนิตยสารแปลก
(แต่จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ) มันเริ่มเกิดขึ้นปี 1932 ในแทนซาเนียใกล้เมืองจ็อมเบ เกิดเหตุการณ์ฝูงสิงโตยักษ์ออกมา
ฆ่าคนอย่างบ้าคลั่ง


ตำนานมีอยู่ว่าสิงโตได้รับการควบคุมโดยแม่มดหมอผีในชนเผ่าท้องถิ่นชื่อมาตามูลา แมนเกรา(Matamula Mangera) 
ที่เธอมักส่งฝูงสิงโตออกมาทำร้ายคนหากใครก็ตามที่ลบหลู่เธอหรือต่อต้านเธอ ฝูงสิงโตของเธอนั้นได้คร่าชีวิตมนุษย์
ไปถึง 1,500 ศพ(บางคนบอกว่า 2,000 คน) และนี้คือเหตุการณ์สิงโตทำร้ายมนุษย์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
และหนึ่งในกรณีของสัตว์ทำร้ายมนุษย์เลวร้ายที่สุดที่เคยบันทึกไว้

แม่มดมาตามูลา มีอำนาจบาตรใหญ่มากขนาดหัวหน้าเผ่าอื่นๆ ไม่กล้ายุ่งกับเธอ จนกระทั้ง จอร์จ รัชบี้ (George Rushby
1900–1968)
นายพรานที่มีชื่อเสียงได้ตัดสินใจปราบฝูงสิงโตนั้น เขาฆ่าสิงโตไป 15 ตัว และทำให้เหตุการณ์
สิงโตทำร้ายคนยุติลงในที่สุด และเรื่องราวของจอร์จได้ถูกนำมาสร้างละครกึ่งสารคดี BBC ในชื่อ


“The Man-eating Lions of Njombe.” ออกอากาศในเดือนกรกฎาคม 2005
 


Two Toed Tom



“ทอมสองขา” เป็นจระเข้กินคนที่ค่อนข้างคลุมเครือ และยากจะทราบได้ว่าเรื่องของจระเข้ตัวนี้เป็นเรื่องจริง
หรือเป็นแค่ตำนาน โดยจระเข้ตัวนี้เป็นตำนานของอเมริกาทางตอนใต้อาศัยอยู่ในบึ่ง terrorized ในรัฐอลาบามา
ชายแดนฟอริด้า ชื่อของมันมีที่มาขาของมันมีสองเท้าเนื่องจากขาของมันหายไป(ขาด้านซ้ายทั้งสองข้าง
หรือแล้วแต่ตำนานจะอ้าง) เพราะโดนกับดักเหล็กจนขาขาด


และนั้นเป็นสาเหตุทำให้มันเจ็บแค้นมนุษย์ มันจึงเริ่มออกอาละวาดทำร้ายมนุษย์ในช่วงยุค 20 หลายคนอ้างว่า
มันมีขนาดใหญ่กว่าสี่เมตรครึ่ง บางคนอ้างว่ามันน่ากลัวมากเหมือนมันเป็นปีศาจส่งมาจากนรกเพื่อล่าพวกเขา
มันชอบกินวัวและมนุษย์ผู้หญิง (มันชอบคว้าเอากระชากเสื้อผ้าของพวกเขาแล้วกินในน้ำ)

แม้นายพรานท้องถิ่นจะมีการใช้ปืนหรือระเบิดแต่ก็ไม่สามารถฆ่ามันได้ จนกระทั้งมีนายพรานคนหนึ่งโยนถัง
ที่เต็มไปด้วยระเบิดสิบห้าถัง ลงไปสระน้ำและจุดให้มันระเบิด และแล้วทอมก็หายไป... แต่หลายคนเชื่อว่า
ทอมน่าจะยังมีชีวิตอยู่และรอคอยโอกาสที่จะแค้นตามแบบฉบับของมัน

และก็เป็นจริงๆ ทอมก็ปรากฏตัวมาอีกครั้งและได้กินลูกสาวของคนโยนถึงระเบิดและบรรดาเด็กๆของเกษตรกร
ที่อยู่ตามชายฝั่ง ก่อนที่มันจะหายไปไม่กลับมาอีกเลย มีหลายคนบอกว่าเรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นเพียงนิทานพื้นบ้าน
หากแต่ชาวบ้านในละแวกนั้นบอกว่าเป็นเรื่องจริงและเชื่อว่ามันยังคงเดินเตร่อยู่ในหนองน้ำฟอริด้าหลายปี
มีรายงานพบเห็นมันต่อเนื่องถึงจระเข้ขนาดใหญ่สองขาอยู่เป็นระยะ และที่สำคัญคือเจ้าทอมไม่เคยถูกจับได้

 



Kesagake


   
เหตุการณ์ "หมีสีน้ำตาลบุกหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ(The Sankebetsu brown bear incident)" เป็นเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการโจมตีหมีสีน้ำตาลที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ที่โจมตีหมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึ เมืองโทมาม่า
ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น


เหตุการณ์เกิดขึ้นในเดือน 9 ธันวาคม ถึง 14 ธันวาคม 1915 โดยสมัยก่อนนั้นหมู่บ้านแห่งนี้พึ่งมีคนอยู่อาศัย กำลังบุกเบิก
จำนวนคนในหมู่บ้านน้อยมากและส่วนใหญ่อาศัยอยู่บนป่าเขา และพื้นที่แห่งนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของหมีเพศผู้ขนาดยักษ์
ที่หลายคนเรียกมันว่า “เคะซากาเกะ” ซึ่งมันชอบขโมยข้าวโพด จนสร้างความรำคาญในแก่ชาวบ้าน มันเลยถูกยิงจนบาดเจ็บ
แล้วหนีขึ้นบนเขา เมื่อมันหนีชาวบ้านก็รู้สึกโล่งใจ เพราะหมีคงจะรู้สึกกลัวคนและอยู่ห่างจากพืชผลของเขา

หากแต่พวกเขาคิดผิด!!



9 ธันวาคม 1915 เวลา 10.30 น. เจ้าหมียักษ์กลับมาอีกครั้ง มันเริ่มออกปฏิบัติการแก้แค้นฉบับเลือดต้องล้างด้วยเลือด
มันเลือกเหยื่อรายแรกของมันคือครอบครัวโอตะ(ota Family) ในขณะนั้นอาเบะ เมยูและฮายูมิ มิกิโอะ (Abe Mayu
and Hasumi Mikio) ภรรยาของครอบครัวและทารกที่เธอดูแลอยู่ก็ถูกเจ้าหมีตัวบุกเข้ามาในบ้านเพื่อหมายฆ่าคนทั้งสอง
ทารกถูกกัดศีรษะจนเสียชีวิต ส่วนฝ่ายหญิงพยายามต่อสู้โดยสาดฟืนเข้าใส่ แต่ท้ายที่สุดเธอก็ถูกหมีลากเข้าป่า

เมื่อชาวบ้านมาถึงที่เกิดเหตุถึงกับต้องตะลึงโดยพวกเขาบรรยายว่าเหมือนโรงฆ่าสัตว์ไม่มีผิดเพราะเลือดสาดกระจาย
ทั้งบนพื้นและผนัง ชาวบ้านรู้สึกโกรธแค้นหมีพวกเขาเลยจับกลุ่มสามสิบคนบุกเข้าป่าและพยายามยิงมันแต่มันก็หนีไปได้
หลังจากพวกเขาสำรวจบริเวณรอบๆ ก็พบชิ้นส่วนศพที่มีเพียงหัวและชิ้นส่วนของเขาที่เหลือของฝ่ายหญิงฝังอยู่ใต้หิมะ
คาดว่าหมีคงเก็บอาหารของมันไว้กินภายหลัง และหลังจากนั้นคืนถัดมา(8.00 น.)หมีก็กลับมาที่ฟาร์มโอตะอีกครั้ง
ซึ่งชาวบ้านบางส่วนได้จับกลุ่มรอเตรียมรับมืออยู่แล้ว ชาวบ้านพยายามยิงหมีแต่ว่ามันก็รอดไปอีก โชคดีเหตุการณ์ครั้งนี้
ไม่มีใครบาดเจ็บ



ในเวลาไม่นานนัก เจ้าหมีได้เลือกครอบครัว มิโซเค(Miyoke family) ซึ่งอยู่หมู่บ้านอื่นที่ไร้ทางป้องกัน(เพราะไม่นึกว่า
หมีจะมา) ซึ่งเจ้าหมีตัวนี้ฆ่าคนในครอบครัวนี้อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งเวลานั้นภรรยาที่ตั้งครรภ์ของครอบครัวยาโย(Yayo)
กำลังเตรียมอาหารและได้ยินเสียงข้างนอกดังก้อง และไม่ทันที่ตรวจสอบหมีก็บุกเข้าทางหน้าต่างแล้วเข้ามาในบ้าน
หม้อปรุงอาหารพลิกกลับเปลวไฟ และความหวาดกลัวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอพยายามหนีออกจากบ้าน แต่เด็ก 4 คน
ในบ้านหนีไม่ทันจึงถูกฆ่าตาย หญิงที่ตั้งครรภ์หนีไม่ไหวร้องขอชีวิตลูกในครรภ์ของเธอ แน่นอนมันไร้สาระ เจ้าหมีก็ฆ่าเธอ
เช่นเดียวกันเหยื่อก่อนหน้าของมัน เมื่อพวกชาวบ้านมาถึงพวกเขาก็พบร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของเด็ก 4 คน ผู้หญิงและ
ตัวอ่อนในครรภ์กระจัดกระจายทั่วพื้นดิน

เจ้าหมีตัวนี้ใช้เวลาเพียงสองวันฆ่าคนทั้งหกคนจนทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นหวาดกลัวเป็นอันมาก

หลังจากนั้นเจ้าหมีก็ถูกไล่ล่าอย่างหนัก(ระหว่างนั้นมันก็อาละวาดฆ่าคนไปด้วย) จนในที่สุดเรื่องก็จบลงเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม
นายพรานคนหนึ่งได้ยิงหมีที่เชื่อว่าเป็นตัวต้นเหตุได้ มันมีขนาดยาวกว่าสามเมตร หนักกว่า 380 กิโล เมื่อผ่าท้องมาก็พบ
ชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ในกระเพาะอาหารของมัน และแล้วเหตุการณ์สัตว์โจมตีที่เลวร้ายที่สุดในญี่ปุ่นก็จบลง




หากแต่ชื่อของเจ้าหมีตัวนี้ก็ปรากฏอยู่ในนิยายและละครมากมายในปัจจุบัน หมู่บ้านซันเคซาเบ๊ะทสึกลายเป็นที่ร้างคน
แต่มียังมีการจำลองแสดงเหตุการณ์ดังกล่าว โดยมีรูปจำลองของหมีและบ้านโอตะที่หมีเคยมาอาละวาดตั้งอยู่ให้
นักท่องเที่ยวเข้าชม และการ์ตูนมังงะโบราณอย่าง “ไอ้เขี้ยวเงิน” หนึ่งในหมีที่เป็นศัตรูกับไอ้เขี้ยวเงินนั้น มีหมีตัวหนึ่ง
นำมาจากเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย




 


The New Jersey Shark


   
คุณเคยดูหนังสัตว์ทำร้ายคนคลาสสิกเรื่อง “Jaws (1975)” ที่กำกับโดยสตีเว่น สปิลเบิร์ดไหมครับ ที่เกี่ยวกับ
ฉลามขนาดยักษ์ทำร้ายคน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นโดยมีเค้าโครงเรื่องจากนวนิยายเรื่อง “Jaws (1974)”
ของปีเตอร์ เบนช์ลีย์ ซึ่งก็มีข้อมูลมาจากเรื่องจริง ซึ่งเขาได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกขานว่า
“Jersey Shore shark attacks of 1916 ” หรือ “เดอะ นิวเจอร์ซีย์ ชอร์”


เป็นเหตุการณ์ฉลามขาวยักษ์ (ไม่รู้ว่ามาตัวเดียวหรือมีมากกว่าหนึ่งตัว) ทำร้ายคนอย่างต่อเนื่องหลายครั้งนอก
ชายฝั่งของมลรัฐนิวเจอร์ซีย์ในสหรัฐอเมริกา ระหว่างช่วงฤดูร้อนของ วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 12 กรกฎาคม ปี 1916 
เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตไป 4 รายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง(พูดง่ายๆ คือไม่ทราบจำนวนที่แท้จริง) เหตุการณ์
ครั้งนี้ส่งผลทำให้ชุมชนริมทะเลและรีสอร์ทรายล้อมชายหาดที่เกิดเหตุจ้องเพิ่มการป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่ว่าการ
เอาตาข่ายมากันไม่ให้คนเข้าใกล้ชายหาดเลยทีเดียว




สมัยก่อนนั้นนักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อว่าฉลามนั้นเป็นสัตว์ทำร้ายคน แต่เหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องคิดเสียใหม่
(แม้จะเป็นกรณีที่หายากมาก) โดยทุกอย่างเริ่มขึ้นที่แนวชายฝั่งนิวเจอร์ซีย์เหยื่อรายแรกคือหนุ่มชาร์ลส์ แวนแซงท์
(Charles Vansant)ถูกฉลามทำร้ายในน้ำตื้นมากในขณะว่ายน้ำกับสุนัข คนหลายคนเห็นฉลามทำร้ายต่างพยายาม
ช่วยเหลือชายหนุ่มคนนั้น แต่ว่าฉลามกัดแน่นมากมันกัดจนขาของเขาฉีกขาดจนเขาขาดใจตายก่อนส่งถึงโรงพยาบาล

ห้าวันต่อมาก็มีเหยื่ออีกคนคือชาร์ลส์ (Charles Bruder) ถูกฉลามทำร้ายในขณะว่ายน้ำห่างจากชายฝั่ง ตอนแรก
หลายคนคิดว่าเขากำลังพายเรือแคนูสีแดง หากแต่ความจริงคือหลามยักษ์ที่เต็มไปด้วยเลือดที่มาจากขาฉีกขาดของ
เขาต่างหาก ซึ่งกว่าจะช่วยเขาก็ไม่ทันการเสียแล้วเพราะว่าเขาขาดใจตายก่อนที่จะขึ้นชายหาดเสียอีก

แม้ว่าจะมีพยานหลายคนบอกว่าฉลามโขมตีมนุษย์ แต่ว่านักวิทยาศาสตร์ก็แจ้งเตือนประชาชนว่าตัวการร้ายในเหตุการณ์
ครั้งนี้วาฬเพชฌฆาตหรือเต่าทะเล!!

จากนั้นก็มีรายงานเห็นฉลามในพื้นที่ชายหาดใกล้นิวเจอร์ซีย์มากมาย ในวันที่ 12 กรกฎาคมเด็กอายุ 11 ปีถูกทำร้าย
โดยฉลามและลากเขาไปใต้น้ำ คนที่เห็นเหตุการณ์พยายามเข้าไปช่วย ชายคนหนึ่งสแตนเลย์ ฟิชเชอร์(Stanley Fishe)
พยายามช่วยเหลือเด็กหากแต่เขาถูกทำร้ายโดยฉลามและเสียชีวิตจากบาดแผลและเหยื่อที่ห้ารายสุดท้ายคือเด็กหนุ่ม
อายุ 14 ชื่อ โจเซฟ ดันน์ (Joseph Dunn) ที่ถูกฉลามโจมตีทั้งๆ ที่เวลาพึ่งผ่านไป 30 นาที หลังจากฉลามทำร้าย
สแตนเลย์ ฟิชเชอร์ แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เขาเป็นเหยื่อเพียงหนึ่งเดียวที่รอด

[/url]

จนกระทั่ง 14 กรกฎาคม ชายคนหนึ่งชื่อไมเคิล (Michael Schleisser) ได้จับฉลามขาวที่ยาวกว่า 2.3 เมตร
หนัก 147 กิโล ได้ในอ่าวราริแทน ซึ่งฉลามตัวนี้พยายามทำร้ายเขาโดยการทำให้เรือจม แต่เขาก็ได้ฆ่ามันด้วยไม้พายที่หัก
เมื่อเขาเปิดกระเพาะของมันออกก็มีชิ้นส่วนศพของหญิงสาวติดมาด้วย และหลังการจับฉลามนี้ได้ ก็ไม่มีเหตุการณ์ฉลาม
โจมตีในชายฝั่งนิวเจอร์ซีย์อีกเลย



 
The Bear of Mysore


   
หมีแห่งมัยซอร์ เป็นชื่อของหมีสลอท ในที่ดุร้ายก้าวร้าวจนผิดปกติและออกอาละวาดฆ่าคนตามเมืองต่างๆ ในมัยซอร์
ประเทศอินเดีย และมันฆ่าคนอย่างน้อย 12 คน ซึ่งโดยปกติแล้วหมีชนิดนี้เป็นสัตว์กลัวคน และไม่ทำอันตรายต่อใคร
อีกทั้งมันไม่กินเนื้อคนซึ่งชอบกินแมลงปลวก ผลไม้ และน้ำผึ้งเป็นพิเศษ


แต่หมีแห่งมัยซอร์กลับทำร้ายคน ทำให้หลายคนสันนิษฐานว่าอะไรที่ทำให้มันดุร้ายถึงขนาดนี้ บางคนเชื่อว่าหมีตัวนี้
โกรธแค้นที่มนุษย์ขโมยลูกของเธอ บางคนเชื่อว่าแฟนสาวของเขาถูกลักพาตัวไป (สรุปแล้วมันเพศไหนกันแน่เนี้ย)
และบางคนเชื่อว่าสาเหตุเนื่องจากมันเคยมีประสบการณ์ที่ตกเป็นของเล่นของมนุษย์ ที่ป่าเถื่อน

จะด้วยเหตุผลใดก็ตามมันก็ได้เป็นเครื่องจักรนักฆ่าโดยสมบูรณ์แบบ โดยมันจัดการฆ่ามนุษย์กว่าโหลโดยฉีกใบหน้า
เหยื่อด้วยกรามและฟันของมัน (และกินชิ้นส่วนศพบางส่วน) ซึ่งเหยื่อบางคนมีชีวิตรอดหากแต่ก็พิการโดยสมบูรณ์
มันออกอาวะลาดฆ่าคนทั้งกลางวันและกลางคืน



สุดท้ายมันก็ถูกฆ่าโดย เคนเน็ธ แอนเดอร์สัน (Kenneth Anderson 1910-1970) นักล่าและนักเขียนชาวอินเดีย
ที่เขียนหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับการผจญภัยของเขาในป่าทางใต้ของอินเดีย ซึ่งเขาได้บันทึกความทรงจำนี้
ในหนังสือ Man-Eaters and Jungle Killers


 
The Beast of Gevauden
           


“สัตว์ร้ายแห่งเชโวดอง” เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สัตว์ทำร้ายคนที่ลึกลับกว่าอันดับทั้งหมดในรายการของเรา
โดยเหตุการณ์นี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1764 -1767 ที่เมืองเชโวดอง แคว้นโอแวร์ญ ซึ่งเป็นย่านภูเขาอยู่ใน
ทางภาคกลางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส จู่ๆ มีสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ ออกอาละวาด
ไล่ฆ่าผู้คนตายไปหลายรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรีที่อ่อนแอ (เหยื่อรายแรกเป็นเด็กสาว เมื่อมิถุนายน
1764) 


ส่วนจำนวนของ”สัตว์ร้าย” ตัวนี้มีจำนวนไม่แน่ชัดแต่คาดว่ามันน่าจะมีตัวเดียว และรูปร่างมันมีลักษณะตามคำ
บอกเล่าของผู้พบเห็น ไม่ตรงกันสักราย แต่ก็พอสรุปว่า มันเหมือนหมาป่าตัวโตๆ เกือบเท่ากับวัว หัวโตมาก
จมูกยาวแหลมและยื่น ขนสีเทา หูสั้นและฟันใหญ่ กรงเล็บขนาดใหญ่แหลมคม(ใหญ่กว่าหมาป่าปกติ) และ
หางยาว ดูเผินๆ แล้วมันก็ดูเหมือนป่าหมาตัวโตๆ ที่โตมาก แต่พิเศษที่ต่างจากหมาป่าทั่วไปคือ

เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เดินได้ด้วย 2 ขาหลัง !! เหมือนมนุษย์ ไม่มีผิด 
(หลายฝ่ายเชื่อว่ามันน่าจะเป็นไฮยีน่าโบราณ)   

โดยสถานที่มันปรากฏตัวมากที่สุดคือปศุสัตว์และทุ่งเลี้ยงสัตว์ (และป่าเขาทางเดินสัญจร) จากรายงานมี 210 คน
ถูกทำร้าย 113 ตกเป็นเหยื่อเสียชีวิต และ 98 ถูกกิน ทำให้หลายคนเชิญว่าเป็นเป็นปีศาจที่มาจากนรก มีนายพราน
หลายรายที่พยายามที่จะล่ามันแต่สุดท้ายก็ล้มเหลวต้องกลับบ้านด้วยมือเปล่า



จนกระทั่ง ปี 1767 นายพรานท้องถิ่นคนหนึ่งชื่อ จีน ชาลเตล (Jean Chastel)ได้จัดการเป่ามันด้วยปืนคาบศิลา
(บางตำนานบอกว่าใช้กระสุนเงินยิงมันและเมื่อจัดการผ่าท้องมันก็พบศพเหยื่อรายสุดท้ายที่มันกินด้วย) ก่อนที่
นำซาก “สัตว์ร้าย” ไปสตั๊ฟและไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ก่อนที่จะนำซากนั้นไปฝัง 

และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “เจ้าสัตว์ร้าย” ก็ไม่มาอาละวาดให้ผู้คนในเชโวดองอีกเลย ตลอดกาล..........
 


The Ghost and the Darkness


   
ผีร้ายและความมืด เป็นชื่อของสิงโตคู่กินคน ที่ออกอาละวาดฆ่าคนงานก่อสร้างแรงงานทางรถไฟจากเคนย่า
ไปยูกันดา ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงธันวาคม 1898 โดยหลายคนขนานนามเหตุการณ์นี้ว่า


“Tsavo maneaters”

มันเริ่มขึ้นเมื่อจักรวรรดิอังกฤษกำลังแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทวีปแอฟริกา ในเดือนมีนาคม 1898 ทางการอังกฤษ
ได้เริ่มต้นสร้างทางรถไฟข้ามแม่น้ำซาโว ในเคนย่า โครงการนี้ควบคุมโดย พ.ตท.จอห์น เฮนรี่ แพ็ตเตอร์สัน
(John Henry Patterson) ในช่วงแรกพวกคนงานต้องผจญกับสัตว์ป่าที่ทำร้ายพวกเขา เนื่องจากพวกเขา
สร้างทางรถไฟในเขตป่า


แต่กระนั้นในเหตุการณ์เหล่านี้ก็สามารถควบคุมได้อยู่หมัด จนกระทั้งเก้าเดือนต่อมามัจจุราชที่แท้จริงก็ปรากฏ
เมื่อจอห์นได้รับรายงานจากคนงานว่าพวกเขากำลังผจญหน้ากับสิงโตคู่เพศชาย พันธุ์ซาโว(เป็นสิงโตพันธุ์หนึ่ง
ที่มีขนาดใหญ่และมักร่วมมือสิงโตเพศเดียวกันตัวอื่นเพื่อล่าอาหาร จุดเด่นคือมันไม่มีแผงขนที่คอ) ที่มันมักลาก
พวกคนงาน (ส่วนมากเป็นชาวอินเดีย) จากเต้นท์ของพวกเขาในเวลากลางคืนและกลืนพวกเขาเป็นอาหาร
มาหลายราย



คนงานพยายามป้องกันสิงโตคู่นี้โดยการทำรั้วหนามรอบๆ ค่าย แต่ก็ไม่สามารถป้องกันมัจจุราชคู่นี้ได้เลย
เพราะว่ามันฉลาดพอในการแก้ปัญหานี้ โดยการคลานผ่านรั้วลวดหนาม หลายครั้งก็ทวีความรุนแรงและน่ากลัวขึ้น
เพราะมันเริ่มล่าทั้งกลางคืน กลางวัน จนทำให้คนงานหวาดกลัวพวกมันอย่างมากและเรียกขานพวกมันว่าผีร้าย
และความมืด พวกมันมีเขี้ยวที่ยาวเป็นพิเศษ ทำให้พวกเขาไม่เชื่อว่าพวกมันไม่ใช้สิงโตแต่เป็นปีศาจร้ายที่หลุด
มาจากนรก

ในขณะที่บางคนเชื่อว่าสิงโตนี้เป็นร่างเกิดใหม่ของกษัตริย์โบราณของท้องถิ่นที่พยายามขับไล่ผู้รุกรานอังกฤษ
(เป็นความเชื่อของแอฟริกาตะวันออกที่เชื่อว่าสิงโตเป็นร่างกลับชาติมาเกิดของกษัตริย์) คนงานหลายคนลังเล
ที่จะสร้างสะพานต่อและบางคนหนีออกจากค่ายดีกว่าจะรอเป็นเหยื่อของสิงโตปีศาจ




เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลทำให้จอห์นต้องหยุดงานทำสะพาน และเริ่มออกล่าสิงโตคู่นี้ชนิดเอาเป็นเอาตาย เขาวาง
กับดักและพยายามเกาะรอย ดักฆ่ามันในตอนกลางคืนจากต้นไม้ แต่กระนั้นจอห์นก็ไม่สามารถฆ่าสิงโตคู่นี้ได้เสียที
จนกระทั้งเขายิงสิงโตตัวแรกได้ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 1898(เขาใช้เวลานานถึง 9 เดือน) และสามสัปดาห์ต่อมา
เขาก็ฆ่าสิงโตตัวที่สองได้ โดยสิงโตทั้งสองตัวมีขนาดใหญ่ถึง 3 เมตร (วัดจากจมูกถึงปลายหาง) นอกจากนี้
จอห์นและคณะยังพบถ้ำที่เป็นที่อยู่ของมันซึ่งได้พบซากของผู้ตกเป็นเหยื่อของสิงโตจำนวนมาก มีทั้งกระดูก
เสื้อผ้าและเครื่องประดับ



หลังจากที่จอห์นจัดการสิงโตทั้งคู่ได้สำเร็จ เขาก็กลับมาทำสะพานต่อจนสำเร็จลุล่วงเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1899
และจอห์นได้เขียนหนังสือที่เล่าเหตุการณ์นี้ในชื่อ “The Man-Eaters of Tsavo(1907)” โดยจำนวนผู้ตกเป็น
เหยื่อสิงโตคู่นั้นไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่หลายคนเชื่อว่าเหยื่อน่าจะสูงถึง 135-140 คนหรือมากกว่านั้น
ในปี 1924 ขนสตั๊มฟ์ของสิงโตคู่นี้ถูกขายให้พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่ชิคาโกในราคา 5,000 เหรียญสหรัฐ
ในสภาพดีมาก

 




The Panar Leopard


   
จริงอยู่ที่เสือดาวนั้นเป็นชนิดที่มีขนาดเล็กในจำนวนสัตว์ตระกูล “แมวใหญ่” และมักไม่ทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
ที่มีขนาดใหญ่กว่ามัน หากแต่ที่จริงแล้วเสือดาวนั้นเป็นนักล่าเก่าแก่ที่สุด ที่เรารู้จักจากการพบฟอสซิลกระดูกญาติๆ
ของมันก็บ่งบอกได้ว่า เจ้าแมวลายตัวนี้เคยรับประทานบรรพบุรุษของมันมากกว่าสามล้านปีที่ผ่านมา ดังนั้นขอเพียง
แค่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมล่ะก็แมวดำจะทำร้ายมนุษย์ทันที และเมื่อมันพบว่ามันพอใจเนื้อมนุษย์
มากกว่าอาหารอื่นๆ มันจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารอย่างแท้จริง


เหมือนในกรณีเสือดาวแห่งพานาร์ซึ่งเป็นเสือดาวกินคนที่ออกล่ากินคนในช่วงศตวรรษที่ 20 ในอำเภอคามาออน
(Kamaon) ทางภาคเหนือของอินเดีย ที่ว่ากันว่ามันฆ่าและกินคนถึง 400 คน แต่สุดท้ายวลีที่ว่า

“สุดท้ายมนุษย์ก็ยังเป็นสัตว์ที่น่ากลัว” นั้นคงจะจริง



พราะเจ้าเสือดาวนั้นได้พลาดท่า ถูกกระสุนนายพรานจนได้รับบาดเจ็บ มันหนีเข้าป่าและไม่ล่ามนุษย์อีกเลย
และในบั้นปลายชีวิตสุดท้ายของมัน ทำได้แต่เพียงหนีนักล่าที่ไล่ล่ามันเท่านั้น และผลสุดท้ายมันก็จบชีวิต
ในปี 1910 โดยนักล่าในตำนาน จิม คอร์เบ็ตต์ (Jim Corbett 1875-1955) นายพรานชาวอังกฤษ นักล่า
นักอนุรักษ์ และนักธรรมชาติวิทยา ที่มีชื่อเสียงในการฆ่าเสือและเสือดาวกินคนในประเทศอินเดีย



เขาได้เขียนหนังสือ The Man-Eating Leopard of Rudraprayag ที่เล่าประสบการณ์ของเขาในการล่าเสือดาวแห่งพานาร์
จนโด่งดัง และอินเดียได้ตั้งชื่อเขตอุทยานแห่งชาติในคามาออนเป็นชื่อของเขาเพื่อเกียรติต่อเขาในปี 1957)

 


The Champawat Tigress


   
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชายแดนประเทศเนปาลและเมืองคาเมออน ประเทศอินเดียและ ได้เกิดอสูรกาย
ซึ่งเป็นเสือเบงเกอลตัวหนึ่งไล่ล่าคนจำนวนมาก  มันชอบซุ่มทำร้ายคนกลางป่าเขา มีชายหญิงและเด็กตกเป็น
เหยื่อมากมาย หลายคนเริ่มออกมากล่าวขนานมันว่ามันเป็นปีศาจหรือสิ่งที่ลงมาจากเบื้องบนเพื่อลงโทษพวกเขา
มันชื่อ “เสือร้ายแห่งซัมพาวัต” และที่น่าสนใจคือ “มันเป็นเสือตัวเมีย”


เสือร้ายแห่งซัมพาวัตได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเสือที่ฆ่าคนกว่า 436 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวเป็นการอ้างในเอกสารการ
เสียชีวิตของราชการเนปาลและอินเดีย แต่กระนั้นมันก็ได้ถูกจารึกชื่อว่าเป็นสัตว์ตัวเดียวที่ฆ่ามนุษย์มากที่สุดในโลก 
หลังจากที่มันฆ่าคนกว่า 200 คนในเนปาล ส่งผลทำให้ทางรายการไม่อยู่เฉย พวกเขาจัดการส่งกองทัพแห่งชาติ
เนปาลข้ามพรมแดนอินเดีย เพื่อไปฆ่ามันและนี้คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ ที่มีการใช้ทหาร
จำนวนมากในการฆ่าสัตว์เพียงตัวเดียว




แต่ปรากฏว่าล้มเหลว และกลายเป็นว่ามันกลับเพิ่มชื่อเสียงให้แก่เสือตัวนี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มันเพิ่มความกล้าหาญ
ถึงขั้นข้ามพรมแดนเข้าสู่หมู่บ้านชัมพาวัต ประเทศอินเดียโจมตีกลางวันแสกๆ และหากินรอบๆ หมู่บ้านจนทำให้
ชาวบ้านไม่กล้าออกจากกระท่อม และพวกเขามักหวาดกลัวทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคำรามของมัน  จนทางการอินเดีย
ถึงขั้นเขียนป้ายเตือนว่าจุดนี้เป็นสถานที่ของเสือแห่งซัมพาวัตออกมาโปรดเลี่ยงใช้เส้นทางอื่น และรัฐบาลอินเดีย
ติดประกาศหานายพรานมือฉมังไปจัดการอย่างเร่งด่วน



สุดท้ายเจ้าเสือตัวนี้ก็ถูกยิง โดย จิม คอร์เบ็ตต์ (เจ้าเดิมกับอันดับ 3) ในปี 1911 ซึ่งการกระทำครั้งนี้ทำให้ชาวบ้าน
ยกย่องเขาจนเปรียบเสมือนพราหมณ์ ที่เบื้องบนส่งมาโปรด(นอกจากนั้นเขายังไม่เอาเงินรางวัล) และเรื่องราว
ประสบการณ์เหล่านี้ได้ถูกเขียนในหนังสือ Maneaters of Kumaon (1944)



 
Gustave


   
จากอันดับทั้งหมดส่วนใหญ่สัตว์ที่ฆ่ามนุษย์นั้นมักพบจุดจบด้วยฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น หากแต่ยกเว้นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
มันคือ “กุสตาฟ” จระเข้แม่น้ำไนล์ ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกาและของโลก (จระเข้เลี้ยงและใหญ่ที่สุดอยู่ในประเทศไทย
ยาว 6 เมตรเช่นกัน) มันอาศัยและอาละวาดคนในบริเวณแม่น้ำลูซิซิและชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลสาปแทนแกนยิกา
ประเทศบุรุนดี ทวีปแอฟริกา


ด้วยความยาวกว่าหกเมตร(ในปี 2004 มีการประมาณว่า มันมีอายุ 60 ปี ยาวกว่า 6.1 เมตร หนักกว่า 1 ตัน) หนักกว่า
หนึ่งตัน จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่หลายคนขนานนามว่ามอนสเตอร์แห่งแอฟริกา รวมไปถึงมันเป็นสัตว์นักล่ากินคนด้วย
มันได้ฆ่าคนกว่า 300 คนและอาจมากขึ้นในอนาคต เพราะจนบัดนี้มันยังคงมีชีวิต ไม่ได้หายไปไหน และไม่ได้ถูกฆ่า
แต่อย่างใด และมันเป็นสัตว์ฆ่ามนุษย์เพียงตัวเดียวที่ยังเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจชีวิตอยู่ (เหยื่อ 300 รายนั้นไม่ได้
ถูกบันทึกเป็นทางการ ซึ่งอาจเป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริงของคนพื้นเมือง)

กุสตาฟถูกตั้งชื่อโดย แพทริช เฟย์ (Patrice Faye) ชาวฝรั่งเศสที่ตั้งถิ่นฐานในบุรุนดีและพยายามที่จะจับมัน
ตั้งแต่ปี 1998 ซึ่งเขาพยายามนำกรงเหล็กใหญ่ล่อมัน แต่จระเข้นั้นฉลาดมาก ไม่เคยหลงกลติดกับแม้แต่หนเดียว
แถมมันเยาะเย้ยทีมงานของแพทริชอีก แต่กระนั้นภาพของมันก็ถูกบันทึกออกอากาศทาง PBS พฤษภาคม 2004


ชาวบ้านในท้องถิ่นต่างออกบอกว่าสาเหตุที่ผมล่ามนุษย์นั้นเพื่อความสนุกสนานของมันเท่านั้น หลักฐานคือเอกลักษณ์
ประจำตัวมันคือเมื่อมันฆ่าเหยื่อที่เป็นมนุษย์แล้วมันจะเหลือซากทิ้งไว้ไม่ได้กินหมดแต่อย่างใด อีกทั้งมันฉลาดมาก
เพราะเมื่อมันฆ่าคนแล้ว มันจะหายไปอาจนานเป็นเดือน หรือเป็นปี มันจะออกมาอีกครั้งในสถานที่แตกต่างกัน
เพื่อฆ่าอีกครั้ง จนไม่มีคาดการได้ว่ามันจะปรากฏที่ใด



นอกจากเจ้าจระเข้นี้ยังมีความต้องการอาหารมากกว่าปกติ ถึงขั้นฆ่าช้างน้ำฮิปโปโปเตมัสตัวเต็มวัยได้ (เป็นสัตว์
อันตรายมาก และเป็นสัตว์ที่จระเข้ไม่กล้ากิน พวกมันและพยายามหลีกเลี่ยง) เกราะร่างกายของเจ้ากุสตาฟนั้น
เต็มไปด้วยรอยแผลนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น มีด หอก หรือแม้กระทั้งอาวุธปืน มันสามารถเอาชีวิตได้ แม้ว่าจะมี
นายพรานหรือทหารติดอาวุธมาล่ามันก็ตาม และตำนานของมันได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง  Primeval

(ชื่อไทย โคตรเคี่ยมสะพรึงโลก)

และคลิปที่อยู่ท้ายอันดับนี้ผมแนะนำให้ทุกท่านได้ดู ถึงความยิ่งใหญ่และความน่ากลัวที่หลายคน
ขนานนามว่า “โครตไอ้เข้”






เพชฌฆาตลุ่มน้ำ ไอ้ด่าง บางมุด
   



ย้อนกลับมาในประเทศไทยที่ คลองบางมุด บ้านหนองไก่ปิ้ง ต.นาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร  ในปี 1964
ในสมัยนั้นชาวบ้านในพื้นที่แห่งนั้น ยังคงอาศัยเส้นทางน้ำเป็นสายตามประสาชาวชนบท แต่แล้ว เมื่อจู่ๆ
ก็มีจระเข้พันธุ์ทองหลาง (จระเข้น้ำเค็มชนิดหนึ่ง) ยักษ์ขนาด 4 เมตร ออกอาละวาดทำร้ายคนริมตลิ่ง
และไล่กัดเรือที่สัญจรไปมา จนชาวบ้านไม่กล้าพายเรือในแม่น้ำดังกล่าวหากไม่จำเป็น


ในเย็นของเดือนกันยายน ชาวบ้านคนหนึ่งชื่อนายอุดม ลงอาบน้ำในคลองและเขาก็ถูกจระเข้ยักษ์คาบไปกิน
ต่อหน้าต่อตาต่อหน้าชาวบ้านนับสิบ รุ่งเช้าพบศพนายอุดมลอยอืดขึ้นมาเขาถูกกินเฉพาะส่วนท้อง 


ต่อมานายอินชาวเขมร ได้นำเรือเล็กเพื่อไปตัดจากเพื่อนำมามุงหลังคาบ้าน ก็ถูกจระเข้ยักษ์โจมตีเรือ และคาบเขา
ลงไปในน้ำ ต่อหน้าต่อตาภรรยาของเขา รุ่งขึ้นศพนายอินลอยขึ้นมา ก็พบว่าถูกกินเฉพาะส่วนท้องเช่นเดียว
ข่าวจระเข้ฆ่าคน 2 ศพ ได้แพร่กระจายไปทั่วจังหวัดและถูกขึ้นหัวข้อข่าวหนังสือพิมพ์และขนานนามว่า
“ไอ้ด่างบางมุด” เนื่องจากจระเข้ยักษ์ตัวนี้มีสีดำทั้งส่วนลำตัวและส่วนหัว ยกเว้นที่คอเท่านั้นที่มีสีขาวคาดอยู่
รอบลำคอจึงเป็นที่มาของชื่อของชื่อดังกล่าว




และหลายคนเชื่อว่ามันคือ “ไอ้ด่างเกยชัย” จระเข้ในตำนาน ที่เคยอาละวาดกินคนที่แม่น้ำน่าน บ้านเกยชัย
จ.นครสวรรค์(ปัจจุบันคือ ต.เกยไชย อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์) เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 และมันกลับมาอีกครั้ง
เพื่อแก้แค้นมนุษย์


ผลจากข่าวดังกล่าวทำให้หลายคนเดือดดานและพยายามฆ่ามันโดยใช้ระเบิดน้ำเพื่อบังคับมันออกมา
แต่กลับเป็นว่าไปเพิ่มความโกรธของมันยิ่งขึ้นไปอีก จนมันอาละวาดไล่กัดกินคนไปทั่ว ในขณะที่ทาง
ประชาชนเร่งรัด ทางราชการให้หาทางกำจัดมันให้ได้ ซึ่งมีนักล่าจากทั่วทุกสารทิศต่างมา ณ ที่แห่งนี้
เพื่อจัดการมัน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวต้องกลับบ้านด้วยมือเปล่า

จนเมื่อเวลาผ่านไปชื่อเสียงของ"ไอ้ด่าง"ก็เลื่องลือไปทั่วทั้งประเทศ ความโด่งดังของมันถึงขนาดมีคณะถ่ายทำ
ภาพยนตร์ไล่ตามพรานจระเข้ เพื่อถ่ายทำเป็นภาพยนตร์สารคดีไปทุกระยะเตรียมส่งฉายทั่วโลก สุดท้ายทางการ
ถึงขั้นกวาดล้างครั้งใหญ่ โดยฆ่าแหล่งที่อยู่ และฆ่าจระเข้ทุกตัวในบางมดจนสิ้น



จนเจ้าด่างต้องหนีไปอาละวาดที่คลองเขาปีบ เป็นคลองแยกไปจากคลองบางมุด จนมันถูกปราบโดยซึ่งถูกปราบ
ได้ด้วยลูกระเบิดของนายตำรวจ ส.อ.ห้วง พิมาน เมื่อผ่าท้องจระเข้ยักษ์ก็พบหัวกระโหลกมนุษย์ถึง 2 หัว
แสดงให้เห็นว่านอกจากมันฆ่าคนสองคน แล้วมันยังกินคนนอกเหนือจากนั้นด้วย


จนถึงทุกวันนี้เรื่องราวเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวบ้านคลองบางมุดตลอดมา และในปี 2005
ก็ถูกนำมาดัดแปลงสร้างภาพยนตร์เรื่อง โคตรเพชฌฆาต(The Brutal River) กำกับโดย อนัต ยวงเงิน






แปลและเรียบเรียง By Cammy@Dek-d
http://listverse.com/2010/10/16/top-10-worst-man-eaters-in-history/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 สิงหาคม 2018, 14:10:28 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่