-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 10 คดีปริศนาที่ไขไม่ออก (ภาค 2 ภาคพิศวง)  (อ่าน 1098 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
10 คดีปริศนาที่ไขไม่ออก (ภาค 2 ภาคพิศวง)
« เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2017, 10:29:13 »

10 คดีปริศนาที่ไขไม่ออก (ภาค 2 ภาคพิศวง)

ความตายไม่ใช้สิ่งที่ปรารถนาของคนเรา ยิ่งหากความตายนั้นเกิดจากการถูกฆาตกรรม ยิ่งไม่มีใครชอบ
ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองหรือใครสักคน แม้คนนั้นจะเป็นคนที่ไม่รู้จักก็ตาม


ในปีหนึ่งๆ คนจำนวนไม่น้อยต้องตกเหยื่อถูกฆาตกรรม และแน่นอนว่าต้องมีใครคนหนึ่งที่เป็นฆาตกร บางครั้งก็จับได้
แต่บางครั้งก็จับไม่ได้ ซึ่งคดีที่จับฆาตกรไม่ได้นี้เป็นเพราะอะไร บางครั้งหลักฐานอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ก็กลับทำไม่ได้
เพราะอิทธิพลอำนาจของฆาตกรเหรอ?หรือเป็นเพราะความพิศวงของคดีกันแน่?

ต่อไปนี้ คือ 10 อันดับคดีฆาตกรรมปริศนาที่น่าฉงนสนเท่ห์ ลึกลับซับซ้อน คดีนี้โด่งดังไปทั่วในหลายปีที่ผ่านมา
โดยยังทิ้งปริศนาอยู่ว่า ใครฆ่าพวกเขา?และฆ่าพวกเขาทำไม?



อันดับ 10 The Seewen Murders


 
The Seewen murder case (1976)หรือมือสังหารซีเวน(ซีเวนคงหมายถึงเมืองหนึ่งในสวิสนะครับ) เป็นหนึ่งในคดีประวัติศาสตร์
ของสวิส เกิดเหตุขึ้นเมื่อสมาชิกครอบครัวชาวสวีสทั้งห้าคนถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา และคดีหมดอายุเมื่อปี 1996 โดยเหตุเกิดขึ้น
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงเทศกาลPentecost (ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่มีชื่อเสียงของชาวคริส คาทอลิค) ในปี1976ในบ้านจัดสรร
ขนาดเล็กชื่อ “Waldeggli” ในเขตป่าสงวนในเมืองSeewen, Dorneck, Solothurn,สวิสเซอร์แลนด์.เมื่อสมาชิกห้าคน
ประกอบไปด้วย


Siegrist-Säckinger, Elsa Clara (อายุ 62 ในวันเสียชีวิต)
Siegrist-Säckinger, Eugen (63) ,สามีของElsa Siegrist-Säckinger
Westhäuser-Siegrist, Anna (80),พี่สาว Eugen Siegrist
Westhäuser Emanuel (52),บุตรของ Anna Westhäuser-Siegrist
Westhäuser Max (49),บุตรของ Anna Westhäuser-Siegrist


คนห้าคนในครอบครัว Siegrist ถูกพบเป็นศพเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 1976 โดยตำรวจพบศพในบ้านสี่ศพ และอีกศพถูกห่อพรมบนระเบียง
ตำรวจคาดว่ามีเพียงสองคนเท่านั้น ที่เป็นเป้าหมายคือ Elsa และ Eugen แต่ว่าโชคไม่ดีของสามคนที่เหลือที่เผอิญอยู่ในบ้านในเวลานั้น
การตายนั้นโจ่งแจ้งมาก สิบสามนัดจากปืนช็อตกันประเภท Winchester (ปืนยาวสำหรับล่าสัตว์) แต่ที่น่าสนใจก็คือความแม่นยำเพราะว่า
กระสุน สิบเอ็ดนัดได้เข้าเป้าตรงหัว และอีกสองนัดเข้าที่หน้าอกส่วนบนของเหยื่อพอดี ส่วนอาวุธปืนถูกพบในผนังห้องครัวของบ้านโดเซอร์
ซึ่งผลสรุประบุว่ามันเป็นปืนที่สังหารสมาชิกทั้ง 5 นั้น

ปืนยาวนี้เป็นของ คาร์ล โดเซอร์(Carl Doserรูปบน) ซึ่งเป็นพวกหลีกหนีสังคมที่อาศัยอยู่ในBaselเขาซื้อปืนยาวปืนช็อตกันประเภท
Winchesterผลิตในอิตตาลี ในปี1996แต่หลังจากการตรวจตามกฎหมายแล้วก็ไม่สามารถที่จะเอาผิดเขาแต่อย่างใด เพราะไม่มีแรงจูงใจ
อีกทั้งไม่มีหลักฐานใดใดก็ตามที่บ่งบอกว่า โดเซอร์ และผู้เคราะห์ร้ายนั้นเคยรู้จักกันหรือว่าเจอกันมาก่อน เพราะฉะนั้นนั่นทำให้ โดเซอร์
เป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัย (แต่จนบัดนี้คนสวิสส่วนมากยังคงคิดว่า ผู้ที่เป็นมือสังหารนั้นคือ คาร์ล โดเซอร์ อยู่ดี)


และทฤษฎีที่สองก็คือ จอนนี่(Johnnysiegrist) เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวที่โดนสังหารหมู่ ซึ่งอาจจะเป็นคนที่ โดเซอร์ ช่วยเหลือ
ซึ่งจอนนี่เป็นคนที่เข้าไปในร้านขายอาวุธแล้วถามคนขายว่ากระสุนที่เขาต้องการจะซื้อนั้นจะใช้กับปืน Wincheter ที่ผลิตใน อิตตาลี ได้ไหม
(ถ้าคุณยังจำได้ ปืนนี้เป็นปืนแบบเดียวกันกับที่พบในบ้านของ โดเซอร์) และระหว่างการตรวจที่อยู่อาศัยของจอนนี่ได้พบพลาสติกที่ใช้เป็น
ฉนวนนั้นมีรอยของกระสุนปืนอยู่ และแรงจูงใจที่เป็นไปได้ก็คือจอนนี่โดยคนในครอบครัวดูถูก

จอนนี่โดนจับเข้าคุกชั่วคราว และตายเมื่อปี 1980 ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วคดีนี้เป็นอย่างไรกันแน่



อันดับ 9 Bob Crane


 
โรเบิร์ต บ๊อป เครน(Robert “Bob” Crane13 กรกฎาคม 1928 – 29 มิถุนายน 1978) เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน ซึ่งโด่งดัง
จากซีรี่ส์ตลกเรื่อง โฮแกน ฮีโร่ ซึ่งเขาแสดงเป็น โฮแกน ซึ่งคนดูชื่นชอบดาราคนนี้มาก เนื่องจากหน้าตาที่แมนๆ และพฤติกรรม
ที่แลดูมีเล่ห์เหลี่ยมในความพยายามในการทำลายกลุ่มนาซี จากแคมป์กักกันของนักโทษของศัตรู แต่สิ่งที่สาธารณชนไม่รู้เกี่ยวกับ
เครนนั้นก็คือ เขาเป็นพวกเพศสัมพันธ์แบบเสพติด ซึ่งทำลายชีวิตสมรสมาสองครั้งแล้ว การเสพติดนี้ไม่ได้แค่ทำให้เขามีเพศสัมพันธ์
กับผู้หญิงมานับไม่ถ้วน และการมีเพศสัมพันธ์อย่างลับๆแล้ว เขายังชอบเป็นพระเอก หนังโป๊ ซึ่งตอนนั้นวงการวีดีโอที่กำลังพัฒนา


ในวันที่ 29 มิถุนายน 1978 มีคนพบศพของเขาในคอนโดในรัฐอาริโซน่า เขาโดนกระบองฟาดจนเสียชีวิต ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญก็คือ
จอน คาเพนเตอร์ (John Carpenter ไม่ใช่ผู้กำกับหนังคนดัง) คาเพนเตอร์ คนนี้คือคนที่แนะนำให้ เครน ใช้กล้องในขณะที่มี
เพศสัมพันธ์ และ คาเพนเตอร์ คนนี้ก็เป็นผู้เสพติดเพศสัมพันธ์เหมือนกับ เครน แล้วคาเพนเตอร์ ก็ยอมรับว่าเขาได้อยู่กับเครน
คืนวันก่อน ซึ่งเครนก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าเขาก็ปฏิเสธว่าเป็นฆาตกร (ฆาตกรนั้นใช้ไม้ตั้งกล้องฟาดเข้าที่หัวของเครนหลายครั้ง
จนทำให้เครนเสียชีวิต)



ถึงแม้ว่าเศษของสมองถูกค้นพบในรถเช่าของคาเพนเตอร์ แต่โชคไม่ดีที่คดีนี้ถูกดูแลอย่างลวกๆจากกรมตำรวจ และกระบวนการ
ทางกฎหมายที่ทำอย่างลวกๆเช่นกัน อีกทั้งการจนมุมทางการเมืองในเขตของทนายที่มีส่วนเกี่ยวข้องอันน้อยนิดกับคดีนี้
ทำให้คาเพนเตอร์ยังลอยนวลอยู่ทุกวันนี้





อันดับ 8 Dian Fossey


 
ไดแอน ฟอสซีย์ (Dian Fossey)(16 มกราคม ค.ศ. 1932 - 26 ธันวาคม ค.ศ. 1985) เป็นนักสัตววิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง
ผู้ทำการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเฉพาะกับกอริลลา (วานรวิทยา) และดูเหมือนเธอจะรักกอริลลามากๆ
ถึงขั้นอุทิศตัวเพื่อกอริลลาเพื่อหยุดการรุกล้ำของนักลักลอบฆ่าสัตว์โดยในปี 1967 เธอได้ก่อตั้งก่อตั้งศูนย์วิจัย "คารีโซเก"
บริเวณอุทยานแห่งชาติโวลแคโน ภูเขาไฟวีรุงกา ในแอฟริกากลาง ครอบคลุมพื้นที่พรมแดน 3 ประเทศคือ รวันดา ยูกันดา
และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โดยได้รับความสนับสนุนจากสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และได้เขียนหนังสือ
ชื่อGorilla in the Mistเธออยู่ร่วมกันและศึกษาพฤติกรรมของกอริลลาเป็นเวลาถึง 18 ปี จนได้ฉายาว่า "สาวน้อยกอริลลา"


ในปี 1977กอริลลาตัวโปรดของเธอมีชื่อว่า "ดิจิต" (Digit)มันถูกกลุ่มผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าฆ่าตาย จากนั้นไดแอน ฟอสซีย์ได้ตั้งกองทุน
ชื่อ Digit Fund เพื่อปกป้องกอริลลา และตอบโต้กลุ่มนายพรานด้วยความรุนแรง จนกลุ่มผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าถือว่าเธอเป็นศัตรู
และลอบทำร้ายหลายครั้ง


26 ธันวาคม 1985 ไดแอน ฟอสซีย์ เสียชีวิตบนเตียงของเธอ ในกระท่อมที่พักของเธอเอง สาเหตุการตายคือมีดใหญ่ที่เป็นมีด
ที่เธอยึดจากนักลักลอบฆ่าสัตว์และแขวนอยู่บนผนัง ฆาตกรได้ใช้มีดเล่มใหญ่นี้ฟันที่ศีรษะจนฝังกะโหลกมิดจนเธอตายคาที่
จากหลักฐานที่พบทำให้นักลักลอบฆ่าสัตว์, พนักงานศูนย์กลางวิจัย และพนักงานทั้งหมดถูกจับกุม หากแต่พวกเขาก็ถูกปล่อยตัว
ออกมาโดยไม่ดำเนินคดีแต่อย่างใด จนบัดนี้ก็ไม่มีใครทราบว่าฆาตกรที่สังหารไดแอนเป็นใคร มีทฤษฏีต่างๆ มากมายที่มุ่งเน้น
ในเรื่องตลาดฆ่าขายสัตว์ป่าผิดกฎหมายและการรุกล้ำป่ากอริล่ากับสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดอื่นๆ

ศพของไดแอน ฟอสซีย์ ถูกฝังไว้ใกล้กระท่อมที่พัก ใกล้กับหลุมฝังศพดิจิตเพื่อนหัวแก้วหัวแหวนของเธอ และกอริลลาตัวอื่นๆ
ที่ถูกล่า ภายหลังการเสียชีวิตของ หลังจากนั้นเรื่องราวของเธอก็ถูกสร้างเป็นภาพยนต์ในชื่อ
Gorillasin the Mist: The Story of Dian Fossey (1988)





อันดับ7 Julie Ward
 


จูลี่ วาร์ด ช่างภาพสัตว์ป่าอายุ28ปี จากอิพสวิค อังกฤษ ที่ถูกฆาตกรรมอย่างปริศนาในเคนย่า ศพถูกพบศพในเขตป่าสงวนซาฟารี
มาไซ มาร่า(ซึ่งเขตสงวนนี้เอาไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบสัตว์ป่า หรือสงวนไว้เพื่อล่าสัตว์ก็ได้)


เหตุเกิดในปี1988หลังจากที่เพื่อนของเธอบอกว่าเธอไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงส่งเพราะว่าพวกเขากำลังจะออกจากแอฟริกา
ร่างกายของเธอซึ่งถูกแยกชิ้นส่วน (ตัดแขนขา) และถูกเผาถูกพบลึกเข้าไปในเขตสงวนหลังจากที่เธอถูกแจ้งว่าหายตัวไป
หนึ่งอาทิตย์ ทฤษฎีดั้งเดิมนั้นก็คือเจ้าหน้าที่ของเคนย่าบอกว่าเธอโดนสิงโตกินและโดนฟ้าผ่าแต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ยอมรับว่า
เธอโดนฆาตกรรมเพราะว่าพ่อของเธอช่วยเปิดเผยหลักฐานอีกมากมาย รายงานของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพนั้นก็โดนบิดเบือน
เพื่อปกปิดหลักฐานว่ามีมนุษย์เกี่ยวข้องกับการตายของจูลี่ด้วย



คดีนี้ได้ดึงความสนใจจากคนทั่วโลก เมื่อพ่อของจูลี่ จอน วาร์ด (John Ward.)พยายามจะตามล่าหาตัวฆาตกรให้มารับผิด
ตามกฎหมายให้ได้ เขาเดินทางไปกลับจากแอฟริกาเป็นร้อยครั้ง และทุ่มทุนกว่า1ล้านปอนด์ (ประมาณ5-6ล้านบาทไทย)
ในการหาตัวคนร้ายคดีนี้มีการนำกลับมาสอบสวนใหม่ถึงสองครั้ง หนึ่งในปี 1992 และในปี 1998 มีผู้ต้องสงสัยทั้งสามคน
แต่กลับโดนปล่อยตัวหมด


โดยพ่อของจูลี่บอกว่าคดีนี้คนทรงอำนาจอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็คืออดีตประธานาธิบดี แดเนียล มอย(Daniel Moi) เพราะจงใจปกปิด
คดีเนื่องจากคดีนี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของเคนย่าได้ ทำให้จนบัดนี้ยังไม่มีฆาตกรถูกจับเลย





อันดับ6 Amber Hagerman


 
คดีฆาตกรรมนั้นช่างโหดร้ายเหยื่อของฆาตกรนั้นมีทั้งชายและหญิง แม้กระทั้งเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา เดินเล่นๆ บนท้องถนนก็ไม่เว้น
แอมเบอร์ ฮาเกอร์แมน เป็นเด็กหญิงอายุ10ขวบน่ารักจากเมือง อาร์ลิงตั้น เท็กซัส ที่เป็นเหยื่อของการลักพาตัวและฆาตกรรม
เหตุเกิดในวันที่13มกราคม1996ไปบ้านคุณปู่คุณย่าใกล้บ้านเธอไม่กี่ไมล์เท่านั้น แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
เมื่อมีชายลึกลับคนหนึ่งขับรถสีดำมาประกบติดแล้วผลัก แอมเบอร์ ขึ้นรถสีดำของเขาแล้วก็ขับหนีไป เมื่อมีการแจ้งความก็มีการค้นหา
รถดำคันนั้นเกิดขึ้นทันทีแต่ก็ไม่พบร่องรอยแต่อย่างใด จนกระทั้งผ่านไปตั้ง4วันกว่าร่างของเธอจะถูกพบ ผู้ชายกำลังจูงหมาแล้ว
ก็ไปพบศพของเธอที่ก้นห้วย คอหอยของเธอถูกตัด แต่นั่นก็หลังจากที่เธอถูกลักพาตัวไป 2 วัน


ในปี 2007 เทอระพล อัดฮาน (Terapon Adhahn) ผู้ต้องสังสัยในเมือง ทาโคม่า กรุงวอชิงตัน โดนจับในข้อหาเกี่ยวข้อง
กับการลักพาตัวของเด็กในเขตของ วอชิงตัน แต่กระนั้นก็ไม่มีหลักฐานใดที่จะมัดตัวเขาในคดีของแอมเบอร์เลย และรางวัล $75,000
สำหรับผู้ที่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ก็ยังมีอคงยู่จนถึงทุกวันนี้


เหตุการณ์ของแอมเบอร์ทำให้สังคมอเมริการิเริ่ม สัญญาณแอมเบอร์ เป็นการเตือนภัยแบบสาธารณะในอเมริกาเพื่อการตอบสนอง
ที่รวดเร็วฉับไว และจะได้กระตุ้นให้การตามตัวเด็กที่หายไปหรือถูกลักพาตัว

ในปี 2003 ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้เซ็นบัญญัติกฎหมายให้ สัญญาณแอมเบอร์ เป็นโปรแกรมประจำชาติ
บัญญัติกฎหมายอื่นๆซึ่งถูกสร้างขึ้นจากฆาตกรรมของแอมเบอร์เช่น การลงทะเบียนของผู้ที่กระทำความทางผิดทางเพศแห่งชาติ
และผู้ปกครองของ แอบเบอร์ ยังมีชีวิตอยู่ตอนที่ บิล คลินตัน ร่างกฎหมาย





อันดับ5 Tupac Shakur


 
แพ็ก อมารู ชาเคอร์ (Tupac Amaru Shakur) (16 มิถุนายน ค.ศ. 1971 - 13 กันยายน ค.ศ. 1996) หรือมีอีกชื่อว่า ทูแพ็ก (2Pac)
หรือMakaveliเป็นแร็ปเปอร์ชาวอเมริกัน นอกจากนั้นยังมีผลงานแสดงภาพยนตร์ เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม หนังสือกินเนสบุ๊กบันทึกไว้ว่า
เป็นศิลปินแร็ปที่มียอดขายมากที่สุด ด้วยยอดขาย 75 ล้าน ชุดทั่วโลก รวมถึง 50 ล้านชุดในอเมริกาเพลงของชาเคอร์ส่วนใหญ่จะพูดถึง
การโตมาท่ามกลางความรุนแรง ความยากลำบากในชุมชนสลัม การเหยียดเชื้อชาติ ปัญหาในสังคม การขัดกันเองในหมู่แร็ปเปอร์



ทูเพค เป็นนักร้องที่มีนิสัยร้ายกาจ แต่แฟนเพลงรับได้นะ ชอบสิหยาบได้ใจ ส่งผลให้ทูเพคมีงานแสดงและงานเพลงทยอยออกมาตลอด
มากยิ่งขึ้นไปอีก เขามีคดีความละเมิดทางเพศคดีข่มขืน อายานน่า วันที่คณะลูกขุน กำลังประกาศคำตัดสิน ทูแพ็กก็โดนยิง 5 นัด
นัดหนึ่ง เจาะเข้าอัณฑะ เหตุเกิดในสตูดิโอที่ ไทม์ สแควร์ แถมโดนปล้นทรัพย์สินของเขาไปด้วย เรื่องนี้ทูแพ็กได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้
ในหลายเพลงของเขา เช่น เพลงช่วงอินโทรของเพลง "2of American Most Wanted" ว่าพัฟฟ์ แดดี้กับ ไนโตริอัส บี ไอ จี
อดีตสมาชิกธักไลฟ์ของเขา เป็นผู้จุดชนวน

และต่อมา ธันวาคม 1994 ศาลตัดสินว่าเขามีความผิดจริง ฐานประทุษร้ายทางเพศ เขาได้รับโทษจำคุก 4 ปีครึ่ง แต่ก็จำคุกได้ 11 เดือน
ออกจากคุกโดยการช่วยเหลือของMarion "Suge" Knight ซีอีโอของเดธโรว์เรเคิดส์ หลังจากนั้นชาเคอร์ออกอัลบั้มสามชุดภายใต้
สังกัดของเดธโรว์เรเคิดส์จนรวยไม่รู้เรื่อง ส่วนทูเพคก็จงรักภักกดีต่อ ซูกี้ ไคน์ แบบไม่มีอะไรหามาเปรียบได้ ซูกี้เป็นคนพาเขาออกจากคุก
ให้โอกาสเขา เงินทองซื้อเสียงหลั่งไหลมามากมายมหาศาล แบบนี้ไม่รักก็บ้าแล้ว




วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 1996 ทูแพ็ก พร้อมด้วย ชู้ก ไนท์ และ บอดี้การ์ดจำนวนหนึ่ง ได้พร้อมกันไปดูการชกมวยของ ไมค์ ไทสัน
ที่เอ็มจีเอ็มแกรนด์ ในลาสเวกัส หลังจากการชกนัดนั้น ทูแพ็กและพวก ได้นั่งรถออกมาจนถึงแยกหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ก็มีรถยนต์คาดิลแล็กสีอ่อน
จอดเทียบกับรถของทูแพ็ก ในรถคันนั้นมีคนผิวดำทั้งหมดสี่คน ได้กราดยิงปืนใส่รถที่เขานั่งอยู่ ทูแพ็กถูกยิง 4 นัด และถากชู้กไนท์
ผู้ซึ่งเป็นคนขับ ทูแพ็กเสียชีวิต 7 วันหลังจากนั้นที่โรงพยาบาล ในวันศุกร์ที่ 13 พอดิบพอดี โดยร่างของเขาถูกเผา หลังจากเสียชีวิตเพียงหนึ่งวัน
โดยไม่มีการสืบสวนมีข้อสันนิษฐานต่างๆ นาๆ ว่าสาเหตุที่ฆาตกรฆ่าทูแพคนั้นอาจเป็นเพราะความขัดแย้งของแก๊งกวนเมือง (แก๊งบลัดส์และแก๊งคริปส์)



ทูแพ็กถูกฆ่าให้ตาย เพื่อให้เป็นข่าวดัง เพื่อขายแผ่นทะลุเป้า หรือไม่ก็ฆ่าผิดตัว เพราะคนที่จะฆ่าแท้จริงคือ ซูกี้ ไคนท์ ต่างหาก
จนถึงทุกวันนี้คดีสังหารทูแพ็ก ชาเคอร์ ยังไปไม่ถึงไหน ดูและเหมือนว่าตำรวจไม่อยากไขคดีนี้ซะด้วยซ้ำ





อันดับ4 Catrine da Costa



โสเภณีนั้นเป็นอาชีพที่แทบจะไม่มีความปลอดภัยเลยในการหากิน เพราะว่าพวกเธอมักตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตทั้งหลาย
และเรื่อง คาทรีน ดา คอสต้า ก็เป็นหนึ่งในการตอบย้ำเรื่องนี้เป็นอย่างดี

คาทรีน ดา คอสต้า(เกิด 1956) เป็นหญิงชาวสวีเดนถูกพบเป็นศพในโซลน่า ประเทศสวีเดน ในช่วง.ฤดูใบไม้ผลิปี1984
เธอมีอาชีพเป็นหญิงโสเภณีขายบริการในสต็อก โฮล์ม โดนแจ้งว่าหายในวันที่10มิถุนายน ร่างของเธอที่ถูกแยกถูกพบในสองที่
ในเมือง โซลน่า ครั้งแรกพบ 18 กรกฎาคม ใต้สะพานลอยนอกเมืองสต๊อก โฮล์ม ในเขตเทศบาลใกล้โซลน่า





ในคดีนี้มีผู้ต้องสงสัยหลายคน ผู้ต้องสงสัยที่สำคัญที่สุดคือหมอสองคน หนึ่งในนั้นก็คือผู้เชี่ยวชาญด้านโรคและพยาธิที่ทำงาน
สองที่ ที่พบศพในเวลานั้น และอีกคนเป็นผู้ฝึกหัดธรรมดา ซึ่งลูกของเขาได้ระลึกความทรงจำว่าพ่อของเธอได้ก่อคดีนั้น
และทั้งสองก็โดนส่งไปตรวจสอบ แต่ว่ากฎหมายกลับทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าตำรวจไม่สามารถหาวิธีฆ่าได้เพราะว่าชิ้นส่วนที่หายไป
ชิ้นส่วนที่หายไปทำให้ตำรวจไม่สามารถรู้ได้เลย ว่าการตายของเธอนั้นตายเพราะสภาวะแวดล้อมแบบไหน

กฎหมายของสวีเดนนั้นทำให้ตำรวจต้องจำใจปล่อยให้สองหมอนั้นเป็นอิสระ แต่ว่าหมอสองคนนั้นก็โดนยึดใบแพทย์ ทำให้ไม่สามารถ
ทำอาชีพที่ร่ำเรียนมาได้ และนั่นก็ไม่ได้ยับยั้งให้พวกเขาฟ้องร้องกลับเนื่องจากนั่นทำให้พวกเขาเสียรายได้อย่างใหญ่หลวง
หลังจากนั้นเกือบจะทศวรรษที่พวกเขาได้ใช้กลยุทธ์อย่างถูกกฎหมาย ในศาลฟ้องร้องนั้นก็โดนปฏิเสธไปในเดือน 18 กุมภาพันธ์ 2010






อันดับ3 Mary Pinchot Meyer


 
แมรี่ พินชอต เมเยอร์ (Mary Pinchot Meyer) เป็นสาวสังคมแห่งกรุงวอชิงตันดีซี เป็นช่างทาสี , ภรรยาของอดีตCIA
และเป็นหนึ่งในผู้หญิงจำนวนมากที่ตาย เพราะคบหาสมาคมประธานาธิปดีแห่งสหรัฐ จอห์น เอฟ เคนเนดี ซึ่งตอนนั้นเธอรู้จักกับเขา
ในขณะเรียนอยู่โรงเรียนเบรียร์ สคูล ก่อนหน้าที่พบเคนนาดี้นั้นแมรี่ เคยมีประวัติเป็นพวกฝักใฝ่ลัทธิคอมมานิสต์เป็นหนึ่งในสมาชิก
“อเมริกัน เลเบอร์ ปาร์ตี้” เป็นนักข่าวนิตยสารยูไนเต็ด เพรส และ ทำงานกับหนังสือ “แอตแลนติก มั๊นธ์ลี่” ก่อนที่จะออกจากงาน
เพื่อแต่งงานกับคอร์ด เมเยอร์ หนุ่มเศรษฐีที่มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงCIAและเคยเป็นสายลับมาก่อนและกลายเป็นแม่ลูกสาม


ในปี 1956 ในช่วงนั้นแมรี่เครียดมากๆ เพราะสูญเสียลูกชายคนที่สอง, หย่า และ มีปัญหาทางจิต จนต้องใช้ยาแอสเอสดี
(เป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง ที่อเมริกาประกาศห้ามใช้ในปี 1966)มาใช้บำบัด ในช่วงนั้นเองที่แมรี่เริ่มพบประธานาธิปดีเคนนาดี้อยู่เรื่อยๆ
และมีข่าวลื่อว่าทั้งสองมีสัมพันธ์สวาทร่วมกันและใช้ยาเสพย์ติดร่วมกัน ทำให้ CIA กังวลว่าหลายฝ่ายวิตกกังวลมากในเรื่องที่
แมรี่รู้อะไรเกี่ยวกับประธานาธิบดีบ้าง ก็เขารักกัน จูบกัน ร่วมรักกัน เสพย์ยากันขนาดนี้ มีหรือท่านผู้นำแห่งชาติจะไม่พลั้งปาก
พูดอะไรบ้าง บางทีอาจเป็นเรื่องความมั่งคงแห่งชาติ แผนการล้มคอมมัวนิต์ในโซเวียต ความลับการอยู่รอดของประเทศชาติ
ที่มีผลต่อสงครามเย็น ฯลฯ แล้วซีไอเอ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร...คำตอบมีอยู่ในใจอยู่แล้ว??



ในวันที่ 12 ตุลาคม 1964 สิบเอ็ดเดือนหลังจากเคนนาดี ถูกลอบสังหาร แมรีกำลังอยู่เมืองยอร์ชทาวน์ เธอออกไปเดินเล่นมุ่งหน้า
ไปแม่น้ำโพโตแม็ค....เดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางเลียบทางแม่น้ำ มีพยานหลายคนเล่าว่าเห็นชายผิวดำเดินตามหลังแมรี่ ก่อนที่พยาน
หลายคนจะได้ยินเสียงปืนสองนัด จากนั้นก็พบศพแมรี่หลังพุ่มไม้เธอถูกยิงสองนัด ที่ศีรษะของเธอ และด้านหลังจนทะลุหัวใจ


ต่อมามีหลายฝ่ายคาดว่าแมรี่ อาจถูกฆ่าปิดปากรู้ความลับสุดยอดของประเทศมีการค้นหาไดอารี่ของแมรี่ที่คาดว่าเธอได้เก็บความลับ
เอาไว้ในสมุดเล่มนั้น แต่จนบัดนี้ก็ไม่พบแต่อย่างใดคาดว่าคงถูกเผาไปแล้ว ส่วนคนร้ายที่สังหารแมรี่นั้น ตำรวจยังพยายามหา
ผู้ต้องสงสัยอื่นๆ แต่จนบัดนี้ก็ตามจับฆาตกรตัวจริงไม่ได้สักที จนบัดนี้คดีก็ไขไม่ออก......

ในปี 2001คอร์ด เมเยอร์ถูกถามว่าใครเป็นคนฆ่าแมรี่ เขาตอบว่า “ก็คนเดียวกับคนฆ่าจอห์นเอฟเคนนาดี้นั่นแหละ”





อันดับ2 Lake Bodom Murders


 
ทะเลสาบโบดอมเป็นทะเลสาบน้ำจืดอยู่ใกล้ๆกับเมือง เฮลซินกิ ประเทศฟินแลนด์ และที่นั่นก็เป็นที่ๆฆาตกรรมหมู่เกิดขึ้นด้วย
ในวันที่6มิถุนายน1960 ในช่วงเช้าตรู่กลุ่มเด็กวัยรุ่นประกอบไปด้วย เด็กหนุ่มอายุ18สองคน และเด็กผู้หญิงอายุ15สองคน
โดนทำร้ายด้วยมีดและกระบองสั้น ระหว่างที่กำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในเต๊นท์ของพวกเขา ฆาตกรลงมือปลิดชีวิตเด็กสามคน
แต่คนสุดท้าย Nils Gustafsson รอดตายแต่ก็บาดเจ็บสาหัส ร่างกายของเขาสั่นอย่างแรงและกรามของเขาหัก
หลังจากนั้นเขาก็ฟื้นตัวและมีชีวิตอย่างแข็งแรง แต่ถึงแม้ว่าจะมีผู้รอดชีวิตตำรวงก็ไม่สามารถหาตัวคนร้ายมาลงโทษได้




12 ปีต่อมา ชายคนหนึ่งได้ทิ้งข้อความลาตายไว้ว่าเขาเป็นฆาตกร เขาเป็นคนขายน้ำมะนาว ที่ทะแลสาบนั้น แต่ว่าการสืบสวน
ของตำรวจนั้นทำให้รู้ได้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้เป็นฆาตกร เพราะระหว่างในวันที่วัยรุ่นนั้นถูกฆ่าเขากำลังนอนอยู่กับภรรยา
ของเขาต่างหาก และในปี 2003 ศาสตราจารย์ จอร์มา พาโล ได้ประกาศเกี่ยวกับคนไข้ที่เขารักษาในวันที่เกิดการฆาตกรรมขึ้น
คนไข้นั้นชื่อว่า ฮานส์ อัสแมน เขาโดนรักษาเพราะว่ามีแผลที่ "น่าสงสัย" พาโล ยืนยันว่าชายผู้นั้นเป็นฆาตกรแต่ว่าคดีนี้
ถูกปกปิดเนื่องจากอัสแมนนั้นเกี่ยวข้องกับองค์กรหน่วยตำรวจลับแห่งสหภาพโซเวียต(รัสเซีย) ซึ่งเขาน่าจะเป็นสายลับ

แต่ที่น่าตกใจมากที่สุดนั้นก็คือการเข้าจับกุม Nils Gustafsson ผู้รอดชีวิตในปี 2004 เวลาผ่านไป 44 ปี หลังจากที่เกิด
เหตุการณ์นั้นขึ้น และตอนที่เขาโดนจับกุมนั้นเขาอายุ 62 ปี เนื่องจากเขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกตั้งข้อหาหลังจาก
ถูกกล่าวหาว่าเขาได้ฆาตกรรมเพื่อนสามคนของเขาเองด้วยการแทง เขาถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต



แต่ทว่าหลังการสืบสวนหลักฐานของตำรวจอีกครั้ง เลือดที่ถูกตรวจด้วยเทคนิคดีเอ็นเอสมัยใหม่ ไม่สามารถโยงกับเขาได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงถูกปล่อยตัวในปี 2005 และเพื่อเป็นการยุติธรรม ทางการฟินแลนด์ได้มอบเงิน 44,900 € แก่เขา
สำหรับความทุกข์ทรมานทางจิตใจที่เกิดจากการถูกคุมขังเป็นเวลานาน เพื่อรอการพิจารณาคดี







อันดับ1 Servant Girl Annihilator


 
“นักถล่มสาวใช้” เป็นฆาตกรปริศนาที่ก่อกรรมทำเข็นที่เมืองออสติน ในรัฐเท็กซัส ระหว่างปี1884-1885 อเมริกา มีผู้ตกเป็นเหยื่อ
ของมัน 7 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่เป็นสาวใช้ผิวดำ ที่ตายด้วยน้ำมือของฆาตกรรายนี้อย่างอำมหิต บางรายมันถึงกลับบุกไปฆ่า
ถึงเตียงนอนที่บ้าน จากนั้นก็ลากมาฆ่าต่อที่ข้างนอก บางรายถูกข่มขืนยับ และบางคนร้ายกว่านั้นเพราะฆาตกรได้ใช้ขวานสับ
ใบหน้าเหยื่อจนหูและหน้าเละแหลกเหลว จนทำให้คนในละแวกนั้นเป็นโรคประสาทไปทั่ว


และที่น่าพิศวงคือ มันออกอาละวาดฆ่าเหยื่อวันแรกเมื่อปี 1884 ในส่งท้ายปีใหม่มอลลี่ สมิธ(Mollie Smith) สาวใช้ผิวสีอายุ25ปี
คือเหยื่อรายแรกของฆาตกรมันบุกไปยังบ้านของเธอและลากเธอทั้งๆ ที่ตอนนั้นเธอกำลังนอนอยู่บนเตียงนอน จากนั้นมันก็ฆ่าเธอ
หลังที่ทำงานของตัวเอง ใบหน้าของเธอถูกอาวุธหนักประเภทกระบองตีจนเละ และหัวถูกขวานสับจามจนแผลฉีกเป็นทางยาว
อย่างน่ากลัว



ส่วนรายที่ 2 ก็โหดไม่แพ้กัน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1885 เอลิซ่า เชลลีย์(Eliza Shelley) สาวใช้ผิวดำถูกฆาตกรฆ่า และ เธอถูกพบ
ในมุมพื้นถนนจอห์นสัน ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ซอนไซ สภาพศพบ่งบอกถึงความสนุกสนานของฆาตกรเหมือนรายก่อนหน้า มันคงทำร้ายเธอ
ในตอนหลับโดยใช้ยานอนหลับแล้วลากเธอมาเล่นต่อบนพื้น ทั้งๆ ที่ใส่ชุดนอนอยู่ แล้วจับเธอกดบนพื้นแน่นและใช้อาวุธประเภท
ของมีคมแทงไปในหัว จนสมองเละ เช่นเดียวกับอีกแผลที่บ่งบอกได้ว่าเธอถูกทำร้ายด้วยขวาน จนหัวแทบแยกออกเป็นสองซีก

จากนั้นก็มีรายงานเหยื่อของมันเป็นระยะ 5-6 ราย ตายบ้างไม่ตายบ้าง มีผู้ต้องสงสัยคดีนี้หลายร้อยคน แต่สุดท้ายตำรวจก็ไม่ได้อะไร
เหยื่อรายสุดท้ายคือหญิงผิวขาวยูล่า ฟิลลิปส์ (Eula Phillips) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม วันใกล้ส่งท้ายปีใหม่ แล้วไม่รู้เพราะอะไรจู่ๆ
มันก็หยุดฆ่าไปเลย แปลกดี เริ่มต้นส่งท้ายปีใหม่ และมาจบในวันใกล้ส่งท้ายปีใหม่.....

แม้ฆาตกรจะจากไปนานแล้ว และการสอบสวนก็อยู่ในขั้นล้มเหลว ไม่มีใครสามารถจับตัวการของคดีนี้ได้ ทำให้สันนิษฐานกันว่า
บางทีฆาตกรอาจจะเป็นเกี่ยวข้องนักการเมืองในท้องถิ่น ที่มีอำนาจวาสนาที่จะปิดปากตำรวจก็ว่าได้ และมีข้อสันนิษฐานว่าฆาตกรรายนี้
กับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คือคนเดียวกัน ว่ากันว่าหลังจากนักถล่มสาวใช้ฆ่าคนที่เมืองออสตินจนพอใจแล้ว มันก็ได้เปลี่ยนที่ทำการใหม่
ไปที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทำการฆ่าโสเภณี 5-7 ราย และหลายคนเรียกมันว่า“แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์”



ซึ่งสิ่งที่เชื่อมโยงคือลักษณะการฆ่าของมันที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนา กับบาดแผลของเหยื่อแสดงให้เห็นว่า“นักถล่มสาวใช้”
กับ“แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์”คือคนๆ คนเดียวกัน แต่ก็นั้นมันก็เป็นข้อสันนิษฐานที่พูดปากตาปากในวงเหล้าเท่านั้น


http://listverse.com/2010/03/09/10-more-unsolved-murders/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กุมภาพันธ์ 2017, 10:32:02 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

น้ำขิง

  • เด็กหัดเสียว
  • **
  • กระทู้: 462
  • Country: 00
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: 10 คดีปริศนาที่ไขไม่ออก (ภาค 2 ภาคพิศวง)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 24 สิงหาคม 2017, 23:18:50 »

มันคงเป็นกรรมค่ะ

spspace

  • ว๊องแมน
  • *
  • กระทู้: 8
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: 10 คดีปริศนาที่ไขไม่ออก (ภาค 2 ภาคพิศวง)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 12 กันยายน 2017, 09:48:18 »

มีแต่คดีสยอง

ร้านอาหารญี่ปุ่น