-->

ผู้เขียน หัวข้อ: 3 ประตู สู่เมืองลับแล เมืองเจ้าหนี้หนีคนขี้โกง  (อ่าน 592 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18210
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

3 ประตู สู่เมืองลับแล เมืองเจ้าหนี้หนีคนขี้โกง
cr. ปิยะนัย เกตุทอง



จากเรื่องเล่าปรัมปราของชาวเมืองลับแลเมืองเล็ก ที่ปัจจุบันเป็นอำเภอลับแล อำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเล่าสืบต่อกันมา
จนแพร่หลายในปัจจุบัน  เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่เรื่องเล่านี้ไม่ได้มีเฉพาะที่ อำเภอลับแลเท่านั้น แต่จริงๆแล้วเรื่องเล่าเมืองลับแล
กระจายออกไปหลายที่มากมายในประเทศ มีทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออก มีเรื่องเล่าของประตูเมืองลับแลที่ถูกปิด
ส่วนจะมีที่ไหนบ้างมาลองอ่านกัน



เมืองลับแลเขาวังสะดึง



ในพื้นที่ ต. เขาแร้ง อ. เมือง จ. ราชบุรี เดิมที่เขาวังสะดึงด้านทิศตะวันออกจะมีปากถ้ำ ซึ่งในปัจจุบันจะมีหินแผ่นใหญ่ปิดปาก
ถ้ำซ้อนกันอยู่ ไม่สามารถเข้าไปภายในถ้ำได้


ณ ถ้ำแห่งนี้มีประวัติเล่ากันต่อ ๆ กันมาว่า เป็นที่พักอาศัยของชาวเมืองลับแล ซึ่งชาวเมืองลับแลจะมีรูปร่างสันทัดคล้ายกับคนไทย
โดยทั่วไป การแต่งตัวก็เหมือนกับคนไทยโดยทั่วไป แต่มีภาษาพูดที่แตกต่างจากคนไทย ภายในถ้ำในวันดีคืนดีจะมีเสียงดนตรีไทย
ประเภทวงปี่พาทย์ดังแผ่ว ๆ มาจากในถ้ำ แต่ไม่สามารถหาแหล่งที่มาของเสียงได้

เล่ากันว่าชาวเมืองลับแลจะเป็นกลุ่มคนที่มีความซื่อสัตย์ ขยันทำมาหากิน ซื่อตรง รักเดียวใจเดียว ไม่ลักเล็กขโมยน้อย
อยู่กันเป็นกลุ่ม จะพบเห็นคนเมืองลับแลได้ก็ต่อเมื่อเวลาใกล้ค่ำ ชาวลับแลจะออกมาอาบน้ำในสระน้ำด้านหน้าของเขาวังสะดึง
เรียกชื่อสระนี้ว่า “สระพัง” หรือบางครั้งชาวลับแลจะลงมาจากเขามาจับจ่ายชื้อเสบียงอาหารที่บริเวณตลาดนัดเชิงเขาในฤดูน้ำหลาก



ภายในถ้ำของชาวเมืองลับแลจะมีข้าวของเครื่องใช้ครบทุกอย่าง โดยเฉพาะพวกถ้วยชาม เครื่องใช้ในครัวเรือน เมื่อชาวไทย
ในเขตพื้นที่ใกล้เคียงมีงานมงคลต่าง ๆ มักจะมาเอาถ้วยชามภายในถ้ำไปใช้ เมื่อเสร็จงานแล้วก็จะนำกลับมาส่งคืน

จากความซื่อสัตย์ของคนเมืองลับแลนี้เองมักจะถูกเอาเปรียบจากคนในพื้นที่ใกล้เคียงจนมีเรื่องเล่ากันว่า
ชาวไทยได้เข้าไปยืมถ้วยชามจากชาวลับแลมาใช้แล้ว มักไม่ส่งคืนจนชาวเมืองลับแลเกิดความเบื่อหน่าย
การถูกเอารัดเอาเปรียบ จึงได้ปิดปากถ้ำไม่ออกมาติดต่อกับคนภายนอกอีกเลย





เมืองลับแลที่เขางู



จากคำบอกเล่าของคุณณรงค์ คุ้มจิตร์ เล่าว่า
" เขางูมีตำนานเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า เขางูเป็นเมืองลับแล เล่ากันว่า ที่ถ้ำแห่งนี้สามารถทะลุผ่านไปยังเมืองลับแลซึ่งมีผู้คน
ชาวลับแลอาศัยอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นคนพวกนี้ได้ วันดีคืนดีจะมีเสียงปี่พาทย์ดังออกมา ในสมัยก่อนเมื่อชาวบ้าน
จะทำบุญเลี้ยงพระ จะไปอธิษฐานขอยืมถ้วยชามรามไหจากคนลับแล ก็จะมีถ้วยชามจัดวางไว้ตามที่ขอยืม

ต่อมามีคนขอยืมแล้วไม่นำไปคืน ทำให้คนลับแลไม่ให้ยืมอีกต่อไป ปากถ้ำที่เข้าไปสู่เมืองลับแลจึงปิด ตอนเด็กๆ ได้เคยไป
วิ่งเล่นแถวนั้น แล้วมีปู่ ย่า ตา ยาย ชี้ให้ดูประตูปากถ้ำ ซึ่งต่อมาได้ทำกำแพงกั้นไว้ และเมื่อจังหวัดจะมาบูรณะ มีการใช้รถไถ
ไถดินมากลบบริเวณปากถ้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ปากถ้ำที่เป็นเสมือนกำแพงสู่ตำนานที่เล่าขานกันมานั้นก็หายไป

และนี่คงเป็นที่มาของชื่อถ้ำฝาโถ ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณของเทือกหินเขางู"








เมืองลับแลที่เขากลางตลาดจอมบึง



อาจารย์ สุรินทร์ เหลือลมัย ที่ปรึกษาสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ได้เล่าเกี่ยวกับเมืองลับแล
ไว้ใน "ตำนานจอมบึง" ตอนหนึ่งว่า


ผู้สูงอายุต่างเล่าต่อๆ กันมาด้วยถ้อยคำธรรมดา ทำนองมุขปาฐะ คือจากปากต่อปาก ไม่ทราบว่าผู้เล่าดั้งเดิมเป็นใคร
มักจะอ้างว่าเป็นของเก่า ฟังจากผู้เล่าที่เป็นบุคคลสำคัญยิ่งในอดีตอีกต่อหนึ่ง  ทุกครั้งมักเล่าเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนี้

“วันดีคืนดี ชาวบ้านจะได้ยินเสียงมโหรีพิณพาทย์ลาดตะโพน ดังแว่วมาจากเพิงผาหน้าถ้ำ อันเป็นดินแดนลี้ลับของเขา
กลางตลาด  ที่นั่นเป็นเขตแดนของชาวเมืองลับแล  สมัยก่อนนานมาแล้ว เวลาชาวบ้านจะมีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน
จะไปขอยืมถ้วยโถโอชามจากชาวเมืองลับแล โดยครั้งแรกจะบนบานไว้ก่อนว่าต้องการยืมของอะไรบ้าง  รุ่งขึ้นก็จะมี
สิ่งของที่ขอยืมวางไว้ให้พร้อม ชาวบ้านใช้งานเสร็จเมื่อไรก็ทำความสะอาด แล้วนำส่งคืนที่เดิมภายในถ้ำ ทุกรายจะ
ปฏิบัติเช่นนี้เสมอ

แต่แล้วมีรายหนึ่งเล่นไม่ซื่อ เกิดความละโมบโลภมาก อยากได้บางสิ่งไว้ใช้ตลอดไป จึงส่งของคืนไม่ครบจำนวน
ชาวลับแลไม่พอใจ ถือว่าทำผิดกติกาอย่างแรง ตั้งแต่นั้นมา แม้ชาวบ้านจะบนบานสักเท่าไร ก็ไม่มีสิ่งของออกมาวางไว้
ให้ยืมอีก ปากถ้ำก็เลื่อนลงมาปิดสนิท เหลือเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน”


นิทานเรื่องนี้เคยแพร่หลายอยู่ในหลายอำเภอของเมืองราชบุรี ตลอดจนจังหวัดอื่นๆ ด้วย เค้าโครงเรื่องหลวมๆ เอื้อให้
สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหารายละเอียดที่ต้องการสื่อความหมายได้ง่าย จึงถ่ายทอดจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งได้ อ.สุรินทร์
ยังเขียนต่อถึงการเล่าขานเกี่ยวกับตำนานเมืองลับแลในราชบุรี ว่ามีอีกหลายแห่ง


ข้างบนเป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งจากในบล๊อคเมืองลับแลที่น่าสนใจตามเรื่องเล่าครั้งอดีต จากปากท่านอาจารย์หลายๆคน
แต่ที่น่าสนใจเข้าไปอีกคือ เมื่อจบบทความของอาจารย์คนต่างๆ ก็ได้มีการแสดงความคิดเห็นกันมากมายโดยจะยกตัวอย่าง
มาให้อ่านหนึ่งคนที่ผมว่าน่าสนใจ เป็นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพบเจอเมืองลับแลของคนในครอบครัว


ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรน่าสนใจขนาดไหนลองไปอ่านกันดูครับ


ข้อมูลของคุณ chirapan

ผมเป็นชาวเขาอยู่กับป่า ที่บ้านผมก็มีเหตุการณ์แบบนี้ครับ แต่บ้านผมเชื่อว่าเป็นผีครับ เขาก็เลยกลัวกัน
เพราะบางทีมันปรากฎตัวให้เราเห็น จากที่ได้ยินมา ดังนี้ครับ วันหนึ่งแม่ผมเองครับ ไปที่ไร่ ตอนเที่ยงกลับมาที่กระท่อม
เห็นคนนอนอยู่ครับ ตกใจเรียกเพื่อนบ้านที่มีไร่ใกล้เคียงให้มาดู พอเขามาถึง มันก็หายไปแล้วครับ


- อีกเหตุการณ์หนึ่งปีเดียวกัน มันแกะข้าวห่อของแม่ผมไปแช่นํ้า แต่มันก็ไม่กินครับ

- เหตุการณ์ต่อมาเกิดกับคุณตาผม เขากำลังเลื่อยไม้ฟืนอยู่ แต่มีคนดึงเลื่อยทำให้เลื่อยไม่ได้ จึงพูดกับมันว่า ถ้าจะช่วยก็ช่วย
ให้มันเสร็จ มันก็ช่วยจริงๆครับ จะเสร็จเลย แต่มันไม่เห็นตัวนะครับ รู้สึกเพียงว่า เลื่อยมันเบาและขาดเร็วกว่าเดิม

- อีกเหตุการณ์หนึ่ง มีคนเห็นตอนที่มันกำลังเก็บมะม่วงครับ ตอนใกล้มืด พอมีคนเห็นปุ๊บมันก็อ้อมหลังต้นมะม่วงแล้วหายเลย

- อีกเหตุการณ์หนึ่งครับ คนนี้เขาไปตัดไม้รั้ว เยอะมาก และแบกไม่ทัน ระหว่างที่แบกไปหลายเที่ยวก็มีคนแบกให้จะเสร็จเลยครับ

- อีกเหตุการณ์หนึ่งที่มีพยานครับ คุณตาผมอีกละ เขาไปล่าสัตว์กลางคืน เขานอนบนต้นไม้ แต่มีคนดึงขากางเกงเขา ตาผม
ก็เลยรีบคว้ามือมันไว้ รู้สึกได้ว่าเป็นมือของคน มีขนบ้างจนรู้สึกสัมผัสได้ แต่พอเอาไฟส่องแต่กลับมองไม่เห็นใครเลย

จากที่เล่ามาทั้งหมด เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงจากคนในหมู่บ้าน คนในหมู่บ้านเชื่อและเล่าต่อกันว่า ลืมบอกผมเป็นชาวเขา
ภาษาผมเรียกคนกลุ่มนี้ว่า "เบือก" เขาอยู่ในรู ถ้าเราเจอ แล้วเอานํ้าซาวข้าวสาดมัน มันจะหายตัวไม่ได้อีกเลย แล้วจะเหมือน
คนปกติทั่วไป แต่ก็ไม่มีใครทำกับเขาอย่างนี้หรอกครับ มนก็สอดคล้องกับเนื้อหาที่อาจารย์ได้ไปลงในเมืองใต้ดินนั่นแหละครับ
ผมว่าเรื่องนี้น่าสนใจ แต่หาหลักฐานยาก

อ้างอิงข้อมูลจาก - http://rb-history.blogspot.com และ th.wikipedia.org
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03 มีนาคม 2018, 15:16:52 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

kiDnapp32

  • H E L L O `
  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 113
  • Country: 00
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด

ชอบเรื่องเล่าแบบนี้มากครับ ขอบคุณมากครับ  eta08