cmxseed สังคมราตรี

หมวดหมู่ทั่วไป => ลี้ลับ ประวัติศาสตร์ ตำนานโลก => ข้อความที่เริ่มโดย: etatae333 ที่ 03 สิงหาคม 2013, 12:15:12

หัวข้อ: Third sex ในตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนา
เริ่มหัวข้อโดย: etatae333 ที่ 03 สิงหาคม 2013, 12:15:12
Third sex ในตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนา
       
(http://image.ohozaa.com/i/c0a/lxsZN1.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wZXYWRCT5Wdq5BFp)

สมัยนี้คนเราสามารถเปิดเผยรสนิยมทางเพศ แบบทางเลือกของตัวเองได้มากขึ้นนะครับ ใครเป็นเกย์ ใครเป็นเสือไบ
ใครเป็นทอมเป็นดี้ สามารถเปิดเผยตัวเองได้มากกว่าสมัยก่อน เป็นยุคที่เราท่านประกาศตัวในเรื่องรสนิยมทางเพศ
ได้อย่างชัดเจน


น่าจะเป็นเพราะยุคนี้คนไม่ค่อยให้ความสนใจกันมาก เราอาจรู้จักกันแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ต่างคนต่างอยู่ไป
ใครอยากเป็นอะไรก็เป็น ถ้าไม่มาเดือดร้อนถึงเรา อันนี้พูดถึง คนในสังคม ไม่รวมถึงคนในครอบครัวด้วยนะครับ
ถ้าเป็นคนในครอบครัวอาจจะยังขัดเคืองใจอยู่บ้าง หากลูกชายจะกลายเป็นผู้ที่มีรสนิยมในการอนุรักษ์สายพันธุ์
ดั้งเดิมของพันธุ์ไม้ (คือรักไม้ป่าเดียวกัน) หรืออาจจะยังรับไม่ได้อยู่บ้าง หากลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว
คิดจะมีสามีหรือภรรยาเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นเพียงความคิดเห็นของผมเท่านั้นเอง ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะรู้เรื่อง
เกี่ยวกับเกย์อย่างลึกซึ้งจริงๆ ก็ต้องลองไปถาม ประลองพล พ. บางยาง หรือ นฤพนธ์ สุดสวาท ดูเอาเอง

ในความคิดเห็นของผม ถ้าเราพูดถึงคนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกันโดยที่เราตัดเรื่องเครือญาติออก ก็จะพบว่าคนสมัยนี้
มีความเป็นปัจเจกและยืดหยุ่นในเรื่องพวกนี้ได้สูง คนเราสมัยนี้หมกมุ่นกับตัวเองมากเกินกว่าจะหมกมุ่นกับเรื่อง
ของคนอื่น ในเมื่อคนเราต้องมัวแต่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง ความสนใจในตัวคนอื่นก็ลดน้อยถอยลง
และที่จริงในชีวิตคนมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่าการจะต้องไปรับรู้ว่าใครเป็นมนุษย์ที่มีรสนิยมทางเพศแบบไหน (ฮ่า)

เมื่อผมไปอ่านตำนานกำเนิดมนุษย์ฉบับล้านนาซึ่งเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมายาวนาน ก่อนจะถูกจดจารเป็นตัวอักษร
บทตำนานเอาไว้ ปรากฏว่าตำนานนี้มีความน่าสนใจตรงที่ว่ามีตัวละครที่เป็นกะเทยและทอมปรากฏตัวอยู่ด้วย

เป็นจุดที่ทำให้ผมสนใจอยากเขียนถ่ายทอดเรื่องนี้ ตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนา ก็คือ ปฐมมูลมูลี นั่นเอง
โดยส่วนตัวผมที่เป็นผู้เขียนบทความชิ้นนี้ คงจะต้องอธิบายตัวเองให้ชัดเจน (ด้วยความร้อนตัว) เสียก่อนว่า


‘ผมชอบผู้หญิง’

เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเขียนถึงเรื่องพวกนี้ได้ และคิดว่าคงเขียนเรื่องพวกนี้
ได้ไม่ลึกซึ้งเท่าไร และถ้าท่านผู้อ่านอยากลึกซึ้งในเรื่องพวกนี้ ผมก็บอกไปแล้วว่าควรไปถามกับใคร (ฮ่า)

ในตำนานนี้น่าสนใจว่าเขาสร้างตัวละครที่มีลักษณะเป็นผู้ชายรักผู้ชาย และยังมีตัวละครที่มี ‘ฐานะ’ เป็นผู้หญิง
ที่อยู่กินกับผู้หญิงโดยมีนัยยะสื่อถึงลักษณะการอยู่กินกันแบบชู้สาวอีกด้วย โดยแม้ว่าในตำนานจะไม่ได้เขียนถึง
คนที่เป็นเพศที่สามในแง่ดีนักก็ตาม แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติในด้านที่เกี่ยวกับเพศที่สามได้ค่อนข้างดี

จะกล่าวถึง อิตถังไคยะสังกะสี (ชื่อยาวหน่อยนะฮะ) เป็นผู้หญิงที่กินดอกไม้เป็นอาหาร เกิดขึ้นมาหลังจากยุคที่โลก
เต็มไปด้วยความว่างเปล่า เกิดพืชขึ้นมา แล้วก็เกิดมนุษย์คือนางคนนี้เอง ชีวิตแกอยู่ลำพังคนเดียวมันก็ว้าเหว่
ไม่รู้จะทำอะไร วันทั้งวันแกนั่งปั้นรูปสัตว์ต่างๆให้มีชีวิตมากินพืชกินลูกไม้ไปเรื่อยเปื่อย ในช่วงจังหวะนั้น
ก็เกิดผู้ชายขึ้นมาหนึ่งคน คือ ปู่สังไคยะสังกะสี ตรงนี้ให้สังเกตว่าตามตำนานการเกิดมนุษย์ของล้านนา
แม่หญิงเกิดก่อนป้อจาย เมื่อมีมนุษย์ครบสองเพศพอที่จะเล่นจ้ำจี้กันได้ ก็ไม่ต้องรอให้ใครมาสอนแล้วครับ
ทั้งสองก็สมสู่กันจนได้ลูกออกมาถึงสามคนด้วยกัน โดยในตำนานบอกว่าเป็นการ ‘สร้าง’ คนขึ้นมาสามคน

ลูกทั้งสามของปู่ย่าทั้งสองนี้ เป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง และเป็น นปุงสกะ อีกหนึ่ง คือเป็นคนที่ไม่แน่ว่าเป็นเพศใด
มีลักษณะที่ตัวเป็นชายใจเป็นหญิง คือเป็นผู้ชายแต่ชอบผู้ชายด้วยกัน (เห็นไหมฮะว่าล้ำขนาดไหน)

โดยมนุษย์สามคนนี้ยังไม่มีความรับรู้เรื่องบาปบุญคุณโทษแต่อย่างใด เพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ด้วยตัวเอง
และมนุษย์ก็ต้องมีจิตใจที่แตกต่างกันออกไป (ตรงนี้ก็ล้ำ ดูเข้าใจโลก และเป็นเงื่อนไขที่จะผูกเรื่องภายในตำนานต่อไป)
ทั้งสามก็แยกย้ายกันไปสร้างบ้านแปงเมืองอยู่คนละทิศละทาง ผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว ปู่กับย่าเห็นท่าไม่ค่อยดี
เพราะคนไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ก็เลยทำลายล้างโลก แต่ทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่อีกรอบ สร้างคนขึ้นมาอีกสามคนเหมือนกัน

เหมือนเดิมเลย แต่คราวนี้ทำให้มีสำนึกเรื่องบาปบุญ สามารถพูดจาสื่อสารได้ รู้ว่าใครเป็นพ่อใครเป็นแม่
หวังว่าน่าจะดีกว่าเก่า อันนี้เป็นเค้าโครงเรื่อง

ในบางสำนวนของตำนานกำเนิดมนุษย์ฉบับล้านนานี้ มีรายละเอียดที่แตกต่างไปบ้าง แทนที่จะมีนางอิตถังไคยะสังกะสี
ก็เปลี่ยนเป็นเรียกว่า ‘แม่ผู้ยิ่งใหญ่’ แทน เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์สามคนแรก

ซึ่งเป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง กะเทยหนึ่ง

(http://image.ohozaa.com/i/8e5/oFVJ7H.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wZXYUnM776deF9h4)

พอต่อมาน้องกะเทยก็ไปเกิดความอิจฉาในตัวผู้หญิง เพราะเห็นว่าผู้หญิงได้รับความรักจากผู้ชาย แกก็เลยจัดการ
ฆ่าผู้หญิงเพื่อแย่งเอาผู้ชายมาเป็นของตัว ก็ทำได้สำเร็จเรียบร้อย แต่ผู้ชายกับกะเทยอยู่ด้วยกัน มันสืบลูกสืบหลานไม่ได้

‘แม่ผู้ยิ่งใหญ่’ เลยฆ่าทิ้งทั้งสองคนเลย แล้วสร้างผู้ชาย ผู้หญิง กะเทย ขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง
อันนี้เรื่องพิศวาสฆาตกรรมเลย

คราวนี้แทนที่กะเทยจะรู้สึกอิจฉาผู้หญิง กลับรู้สึกไม่พอใจในตัวผู้ชาย ก็เลยฆ่าผู้ชายเพื่อที่จะชิงตัวผู้หญิงมาอยู่ด้วยกัน
แต่อยู่ด้วยกันในฐานะของพี่น้อง ในเมื่ออยู่กันแบบพี่น้อง ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบชู้สาว มันก็ไม่มีลูกมีหลานอีก
แม่ผู้ยิ่งใหญ่ก็เลยฆ่ากะเทยกับผู้หญิงอีก เพราะสร้างคนขึ้นมาด้วยความต้องการให้มันผสมพันธุ์กัน
ให้มันมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง จะได้สืบสายพันธุ์ต่อไปได้ มันก็วุ่นกับเรื่องอิจฉากัน ไม่พอใจกัน
ก็ต้องทำลายทิ้งแล้วสร้างใหม่เลย

แม่ผู้ยิ่งใหญ่ก็เลยสร้างมนุษย์ชุดที่สามขึ้นมา เหมือนเดิมครับ ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง กะเทยหนึ่ง แต่คราวนี้ท่านแม่
ไปแอบกระซิบบอกกะเทยว่า ข้าจะให้สินบนเอ็ง จะให้เอ็งรับหน้าที่มีบทบาทพิเศษกว่าเขา ถ้าเอ็งยอมรับการ
แต่งงานของชายกับหญิงได้ คราวนี้ปรากฎว่ากะเทยยอมรับได้ครับ ไม่อิจฉา พอใจทุกอย่างแล้ว

ชายหญิงจึงสืบลูกสืบหลานกันต่อมาได้จนทุกวันนี้ ?

เค้าโครงเรื่องมีอยู่เพียงเท่านี้ สิ่งหนึ่งที่คิดได้ก็คือ ตำนานนี้เป็นการสร้างเรื่องเล่าเพื่อจัดระเบียบทางเพศในสังคม
ตามความคิดความเชื่อของคนที่เริ่มต้นเล่าตำนาน ณ จุดที่ตำนานเริ่มมีรายละเอียดในแบบที่เขียนถึงมานี้
ทัศนคติเกี่ยวกับเพศที่สามของผู้สร้างตำนานหรือที่ผู้ที่สร้างเรื่องเล่าเพิ่มเติมในตำนานที่คิดว่า กะเทยหรือเพศที่สาม
เป็นเพศที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย เป็นผู้ขัดขวางการสืบทอดการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ก็เป็นความคิดที่เข้าใจ
ได้สำหรับสังคมโบราณ เพราะปฎิเสธความจริงไม่ได้ว่าการที่ผู้ชายอยู่กับผู้ชายอยู่กินกันแบบสามีภรรยานั้น
มันไม่สามารถจะสืบลูกได้ ครอบครัวจะไม่แตกแขนง และจะทำให้สังคมมีผู้คนน้อยลง อันนี้เข้าใจได้ทั้งหมดทั้งสิ้น

หลังจากอ่านตำนานแล้ว ทำให้ผมเชื่อว่าในแว่นแคว้นที่ถูกเรียกว่าล้านนาในสมัยหลังนี้ จะต้องมีการอยู่กิน
หรือชอบพอกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย (กะเทย เกย์ โฮโมเซ็กชวล) ด้วยกัน จนถึงขั้นที่จะต้องสร้างเรื่องเล่า
เพื่อชี้ให้เห็นว่าแม่ที่ให้กำเนิดโลกจำเป็นจะต้องสังหารกะเทยถึงสองคนด้วยกัน

ซึ่งตามนัยยะกะเทยก็เป็นลูกที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เพื่อจะทำให้สังคมเกิดความเป็นปกติ ความเป็นปกติที่ว่า
ถึงนี้ก็คือการที่เผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติจะสามารถดำรงอยู่รอดได้ โดยคนที่เป็นกะเทยจะต้องยอมรับ
การแต่งงานระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเสียก่อน

หลังจากที่ผมอ่านแล้วก็ไม่คิดว่าตำนานนี้เป็นการเหยียดเพศทางเลือกอะไรทั้งนั้น เพราะในสมัยโบราณ
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศยังไม่มี หรืออาจจะมีในระดับหนึ่ง แต่ก็คงมีในลักษณะที่จำกัด
(ขนาดคนร่วมสมัยเราเองยังเวิ่นเว้อกับเรื่องแบบนี้อยู่เลยนะฮะ)


อันที่จริงต้องบอกว่าตำนานบทนี้เป็นการยอมรับถึงการมีอยู่ของกะเทยด้วยซ้ำ คือยอมรับว่าเพศที่สามมีอยู่
และยอมรับให้อยู่ร่วมสังคมกัน (เพราะแม่ผู้ยิ่งใหญ่ตั้งใจสร้างกะเทยขึ้นมาถึงสามครั้งเลยทีเดียว) แต่แม้ว่า
จะยอมรับแล้ว แต่ยังมองเห็นว่าเป็นปัญหาแก่สังคมตามความเชื่อในยุคสมัยของเขา ในเมื่อเขามองเห็นว่า
เป็นปัญหาตามความเข้าใจของเขา ในยุคสมัยของเขา เขาก็พยายามที่จะแก้ปัญหานั้น โดยการทำเรื่องเล่าขึ้นมา
เอาไว้ให้เล่าสืบกันไป เพื่อหวังจะแก้ไขสิ่งที่เขามองว่าเป็นปัญหา

สำหรับกะเทยคนแรกในตำนาน เขามีจิตใจที่ชอบผู้ชาย เขาต้องการอยู่ร่วมกับผู้ชาย และเขารู้สึกว่าผู้หญิง
มาแย่งความรักของเขาไป

ในขณะที่กะเทยคนที่สอง เขามีจิตใจที่ชอบผู้หญิง อยากอยู่ร่วมกับผู้หญิง แม้ตำนานจะบอกว่าอยู่กับผู้หญิง
แบบพี่น้องก็ตาม แต่การย้ำในภายหลังว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างกะเทยกับผู้หญิงนั้น ไม่สามารถมีบุตรได้
ก็ย่อมสื่อให้เห็นว่าตำนานบทนี้พยายามจะข้ามบางอย่างไป คือการพยายามไม่บอกกล่าวอย่างชัดเจนว่า
นปุงสกะ คนที่สอง เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่มีจิตใจเป็นชาย ที่ไม่พึงพอใจผู้ชาย และต้องการได้ผู้หญิง
มาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เป็นภาพแทนของเพศทางเลือกที่ในสมัยปัจจุบันถูกเรียกว่า ทอมบอย

ตำนานพยายามข้ามการอธิบายถึงลักษณะของความเป็นหญิงรักหญิง โดยอ้างว่า กะเทยอยู่กับผู้หญิง
ในแบบพี่น้องร่วมสายสัมพันธ์ แต่ถูกแม่ผู้ยิ่งใหญ่สังหารเพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ (?)
หรือในอีกทางหนึ่ง ‘กะเทย’ ที่ตำนานกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ เขาอาจจะหมายถึงบุคคลที่มีลักษณะของความเป็น
กะเทยแท้ คือเป็นบุคคลที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการมีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิงในคนเดียว
คือมีทั้งจู๋และจิ๋มนั่นเอง เขาจึงสามารถจะเป็นได้ทั้งชายและหญิง

ซึ่งถ้าเป็นในปัจจุบันนี้ ก็ไปบอกให้หมอเอาออกเสียหนึ่งเพศ (ถ้าต้องการ และแน่ใจว่าตัวเองเป็นเพศอะไร
แล้วจะมีความสุขมากกว่า) หรือจะเก็บไว้ทั้งสองเพศก็ตามสบาย ชีวิตน่าจะซู่ซ่าไปอีกแบบ

แต่ในสมัยนั้นจะไปทำศัลยกรรมยังไง เพราะประตูน้ำโพลีคลินิกก็ยังไม่เปิดให้บริการ

(http://image.ohozaa.com/i/991/oMFD4P.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wZXYOI7czGdwHcNN)

ดร. อนาโตล โรเจอร์ เป็ลติแยร์ เขียนไว้ในคำนำหนังสือ ‘ตำนานเค้าผีล้านนา ปฐมมูลมูลี’ ว่า
ปฐมมูลูลี ซึ่งเป็นตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนานี้ เป็นมุขปาฐะที่เล่าสืบต่อมานาน จนได้บันทึกเป็นอักษร
ตำนานการสร้างโลกโดยปู่ย่าสังไคยะ-สังคะสีมีปรากฏโดยทั่วไปในหมู่ชนชาติไทย เป็ลติแยร์สันนิษฐานว่า
ปฐมมูลมูลี น่าจะเขียนในสมัยพระเมืองแก้ว (2038-2068) ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของล้านนา แต่ถือว่าเป็น
เรื่องเล่าที่เก่าแก่พอสมควร โดยโครงเรื่องนี้ได้กระจายไปถึงภาคอีสาน ล้านช้าง เชียงตุง สิบสองพันนา
คือมีปรากฏโดยทั่วไป

น่าสนใจว่า ในสมัยของพระเมืองแก้ว เป็นสมัยที่เกิดวรรณกรรมภาษาบาลีสำคัญๆขึ้นหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
ชินกาลมาลีปกรณ์ หรือ จามเทวีวงศ์ ล้วนแต่เกิดขึนในสมัยพระเมืองแก้ว อาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดข้อ
สันนิษฐานดังกล่าว ที่สำคัญอีกอย่างคือเป็นยุคที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก และเป็นยุคที่เชียงใหม่
ต้องทำสงครามกับอยุธยา ตรงนีผมใส่ข้อมูลพื้นหลังสมัยพระเมืองแก้วเข้ามา ก็ให้คิดเชื่อมโยงกันเองว่า
มันอาจจะเกี่ยวข้องกับฉากหลังอย่างไรบ้าง

โดยมากเวลาที่เราอ่าน นิทาน เรื่องเล่า หรือตำนานที่เล่าสืบกันมา เราจะพบว่าการแบ่งแยกเพศจะถูกจำกัดไว้
ที่สองเพศเท่านั้น ทั้งที่จริงความรับรู้เกี่ยวกับเพศที่สามมีมานานแสนนานแล้ว เพราะมีศัพท์ที่ใช้เรียกเพศที่สาม
มากมาย (เช่น นปุงสกะ ในภาษาบาลี) ทั้งในภาษาสยามและทั้งภาษาจากแว่นแคว้นอื่น เช่นอินเดียนแดง
หรือในสังคมชนเผ่าอื่นๆ แต่คนสมัยก่อนก็ย่อมจะเชื่อว่า เพศควรจะมีแค่เพียงสองเพศ คือเพศชายกับเพศหญิงเท่านั้น
เพราะเขาอาจมองว่าการแบ่งแยกเพศแค่เพียงชายและหญิงเป็นสิ่งที่เป็นไปตามระบบสืบพันธุ์ของโลก
จนกลายเป็นความคิดปกติของผู้คน และคนบางคนอาจคิดไปไกลถึงขั้นที่ว่า การร่วมเพศทางเว็จมรรคเป็นเรื่องที่ผิดปกติ

เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ ก็เคยเขียนอะไรทำนองนี้เอาไว้ โดยจะเป็นการเขียนถึงในบริบทใดก็ตาม การเขียนไว้ย่อม
แสดงถึงทัศนคติที่แสดงออกถึงเพศที่สามของผู้เขียน ทั้งที่จริง เพศที่สามในบางลักษณะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
การสลับโครโมโซมแบบไม่ปกติ - ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น และมีเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่น้อยเลย
มันจึงเป็นธรรมชาติของมันอยู่เอง ส่วนในด้านที่ตำนานเขียนถึงเพศที่สามในแบบที่สามารถไล่สังหารคนที่
ครอบครองบุคคลอันเป็นที่รักของตัว ก็เป็นจินตนาการในเรื่องเล่าที่จะต้องเล่าให้สนุกกินใจผู้อ่าน
รวมทั้งหวังผลบางประการไปพร้อมกัน


credit :: tuaytoon.com