-->

ผู้เขียน หัวข้อ: "The Book of Invasions" แลบอร์ แกบแบล่า อีเรนน์ "หนังสือแห่งการรุกราน"  (อ่าน 726 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18210
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

"The Book of Invasions"แลบอร์ แกบแบล่า อีเรนน์ "หนังสือแห่งการรุกราน"

แลบอร์ แกบแบล่า อีเรนน์ รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Book of Invasions (หนังสือแห่งการรุกราน)
หรือ The Book of Conquests (หนังสือแห่งชัยชนะ) เป็นหนังสือที่เรียบเรียงเรื่องราวของชาวไอริชตั้งแต่
ต้นกำเนิดการสร้างโลกถึงยุคกลาง เนื้อหาทั้งหมดถูกเขียนเป็นบทกวีร้อยแก้วโดยนักวิชาการผู้หนึ่ง
(เขียนในศตวรรษที่ 11)



เนื้อหาสามารถแบ่งออกเป็น 10 ตอน ดังนี้



1. Genesis - ปฐมกาล

เรื่องราวการสรรค์สร้าง การล่มสลายของมนุษย์ และประวัติศาสตร์ช่วงแรกๆของโลก ของยูแดโอ-คริสเตียน
( Judaeo-Christian =  ศาสนาคริสต์+ยูดาห์) รายละเอียดลึกกว่านี้ไม่มีระบุไว้ครับ



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



2. Early history of the Gaels - เรื่องราวก่อนประวัติศาสตร์ของไอริช

เป็นเรื่องเกี่ยวกับต้นกำเนิดภาษาของชาวไอริช  ใน LGE นั้น (ขอย่อ แลบอร์ แกบแบล่า อีเรนน์ ว่า LGE นะครับ)
เล่าว่า กอยเดล กลาส (Goídel Glas) หลานชายของกษัตริย์ฟีเนียส ฟอร์เซด (Fénius Farsaid) ได้เลือกภาษา
ที่ดีที่สุดจากหนึ่งใน 72 คนผู้สร้างหอคอยบาเบล (Tower of Babel) หอคอยที่สร้างเพื่อเป็นที่บูชาพระเจ้า
และเป็นอีกเส้นทางสำหรับการติดต่อกับพระเจ้า มาเป็นภาษาของชาวไอริชที่เรียกว่า กอยเดลิก (Goidelic)

แต่ในตำราอื่นนอกจาก LGE เล่าว่าพระเจ้าเป็นผู้เลือกสรรภาษาให้ชาวไอริช จากการมองผ่านหอคอยแห่งบาเบล
แล้วคิดว่าเหล่ามนุษย์ควรมีภาษาที่ใช้ติดต่อกับพวกตน ซึ่งภาษาที่พระเจ้าเลือกนี้ได้แพร่กระจายออกไปจนกลายเป็น
ภาษาของชาวไอริช




เพิ่มเติม :
- พอได้ภาษาแล้วหอคอยบาเบลก็ถล่มลงทันทีครับ
- ผมสรุปได้ว่าพระเจ้าเห็นว่ามนุษย์ร่วมใจกันสร้างหอคอย ทุกคนใช้ภาษาเดียวกัน
ก็เลยถล่มหอคอยทิ้งซะ เพื่อให้มนุษย์กระจายตัวกันไป จนเกิดภาษาที่มากมายเช่นปัจจุบัน


นอกจากเรื่องภาษาแล้วในตอนนี้ยังเล่าถึง เกลส์ (The Gaels) ทายาทของกษัตริย์ฟีเนียส ฟอร์เซด
ที่ได้รับแบบจำลองการสร้างหอคอยที่ชาวอิสราเอลโบราณพยายามสร้างในพันธสัญญาเดิม (the Old Testament)
ทำให้พวกเขารุ่งเรืองมากในอียิปต์สมัยโมเสสในฐานะผู้สร้างหอคอย เหล่าทายาทของกษัตริย์ฟีเนียส ฟอร์เซดได้จากอียิปต์
มาระหว่างการอพยพย้ายถิ่น แล้วออกเดินทางกว่า 440 ปีก็จะตัดสินใจตั้งรกรากที่ไอบีเรีย ที่นั่นลูกหลานของกอยเดล กลาส
นามว่า บรีโอแกน (Breogán) ได้พบเมืองบริกันเทีย (Brigantia) เขาสร้างหอคอยจากที่นั้น จากยอดหอคอย อิธ (Íth)
บุตรแห่งบรีโอแกนได้มองเห็นเกาะๆหนึ่ง...


**เรื่องราวในตอนนี้จบเพียงเท่านี้ เป็นการพบเกาะไอร์แลนด์ครั้งแรกจากการมองจากทางไกล แต่โดยความคิดเห็นส่วนตัว
ผมว่าเรื่องราวนี้น่าจะเกิดหลังน้ำท่วมโลกไปอีกนาน แต่ที่มาเป็นตอน 2 คงเป็นเพราะเป็นการค้นพบภาษาไอร์แลนด์ครั้งแรก
ละมั้งครับ**



เพิ่มเติม :
มี 5 เผ่าผู้อพยพมาที่ไอร์แลนด์ก่อนพวกเกลส์ครับ (the Celtic Gaels) การเดินทางมาเจอไอร์แลนด์ครั้งแรก
เริ่มจากพวกเคสแซร์ไล่ลงไปเรื่อยๆครับ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



3. Cessair - เคสแซร์หลานแห่งโนอาห์กับเรื่องราวก่อนน้ำท่วมโลก

เรื่องราวทั้งหมดนี้ถูกบันทึกโดยฟินทัน ผู้เดียวที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกครับ แต่ก็แน่ใจไม่ได้หรอกนะครับว่ารอดจริงๆ
ผมว่าคุณฟินตันน่าจะตายไปแล้ว เหลือแต่วิญญาณที่สิงในร่างสัตว์คอยบอกถึงการมีอยู่ของพวกตนมากกว่า มาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ


เคสแซร์ (Cessair, Cesair, Ceasair, Kesair) เป็นบุตรสาวของบิธ (Bith) บุตรแห่งโนอาห์ผู้ซึ่งปฏิเสธ
การโดยสารเรือโนอาห์ หรือ อาร์ค (Ark)

 
เมื่อเคสแซร์เห็นบิดาตนปฏิเสธการโดยสารอาร์ค จึงได้เสนอให้รวมตัวกันแล้วสร้างกลุ่มไอดอล (Idolatry) เพื่อหาหนทาง
ในการรอดพ้นจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ด้วยกัน ซึ่งความคิดเห็นของกลุ่มไอดอลเสนอว่าให้สร้างเรือขึ้นใหม่แล้วเดินทางหนีไป
ให้ไกลสุดขอบโลก เรือถูกสร้างขึ้น 3 ลำ แต่ละลำบรรจุผู้โดยสารได้ประมาณ 50 คน เมื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของเรือเรียบร้อย
กลุ่มไอดอลก็ออกเดินทาง โดยมุ่งหน้าไปทางตะวันตกของโลก นำโดยเคสแซร์หลานแห่งโนอาห์

น่าเศร้าที่เหลือเพียงเรือของเคสแซร์ลำเดียวเท่านั้นที่สามารถฝ่าทะเลอันไกลโพ้นมาถึงเกาะในแดนตะวันตก หรือก็คือเกาะไอร์แลนด์
ได้โดยปลอดภัย นับเป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์เดินทางมาถึงเกาะไอร์แลนด์  ลูกเรือบนลำเหลือผู้หญิง 50 คน กับผู้ชายเพียง 3 คน
คือ บิธ พ่อของเคสแซร์, ฟินทัน ( Fintán mac Bóchra) สามีของเคสแซร์ และลาดรา (Ladra) กัปตันเรือ ดังนั้นทั้งสามคน
จึงแบ่งผู้หญิงออกเป็น 3 กลุ่มตามจำนวนผู้ชายแล้วเดินทางแยกย้ายสำรวจเกาะ เคสแซร์ไปกับกลุ่มของฟินทันและผู้หญิงอื่นๆ
อีก 16 คน บิธไปกับแบร์ฟิน (Bairrfhind) เพื่อนของเคสแซร์และผู้หญิงอีก 16 คน ส่วนลาดราก็แยกย้ายไปกับผู้หญิงที่เหลือ
อีก 16 คนเช่นกัน



หลังจากแยกย้ายได้ไม่นาน ลาดราก็ตาย ด้วยสาเหตุใดนั้นไม่มีระบุไว้ แต่ลาดราก็เป็นบุรุษคนแรกที่ได้ฝังศพบนแผ่นดินไอร์แลนด์
(the first man to be buried on Irish soil) เมื่อลาดราตายผู้หญิงในกลุ่มของลาดราก็ถูกแบ่งให้บิธและฟินทันเท่าๆกัน
แต่จากนั้นไม่นานบิธก็ตายอีก การปกครองผู้หญิงทั้งหมดจึงตกเป็นหน้าที่ของฟินทันแต่เพียงผู้เดียว ก่อนน้ำท่วมโลก 6 วัน
เคสแซร์ก็หัวใจล้มเหลวตาย เธอถูกฝังไว้ที่ยอดสุดของหุบเขาเมียดา (Cnoc Meadha)


40 วันหลังเคสแซร์และลูกเรือถึงเกาะ น้ำท่วมครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น ฟินทันเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตจากภัยน้ำครั้งนั้น
โดยใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำใต้น้ำ จนถ้ำนั้นได้ชื่อว่า "Fintán's Grave" หรือสุสานแห่งฟินทัน ภายหลังรู้จักกันในชื่อ
"The White Ancient" หรือประวัติศาสตร์สีขาว ซึ่งฟินตันนั้นมีชีวิตหลังจากน้ำท่วม
ครั้งนั้นอีกกว่า 5500 ปี เพื่อเป็นสักขีพยานให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงการอพยพมาตั้งถิ่นฐานของพวกตน คนรุ่นหลัง
จะเห็นฟินตันในร่างของแซลมอนบ้าง อินทรีย์บ้าง เหยี่ยวบ้างสลับกันไป



เพิ่มเติม :
- ในหนังสือแห่งดรูยุม เสน็ชต้า (Book of Druimm Snechta) ระบุว่า บันบา (Banba) มาถึงไอร์แลนด์พร้อมกับสตรี 50 คน
บุรุษ 3 คน 240 ปีก่อนน้ำท่วมโลก

- ซี-ธรูน เซตินน์ (Seathrún Céitinn) บอกว่านักตกปลาชาวสเปน 3 คน คือ คาปา (Capa)  แล็กเน่ (Laigne) และลัวไช (Luasad)
เจอพายุฝนระหว่างเดินเรือแล้วก็ถูกพัดไปที่ไอร์แลนด์ ทั้ง 3 ชอบที่นั่นมากจึงกลับไปพาภรรยามาอยู่ด้วยกันที่ไอร์แลนด์ก่อนเกิดน้ำท่วมโลกไม่นาน


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



4. Partholón - พาร์โธลาน 300 ปีหลังน้ำท่วมโลก

พาโธลานเป็นลูกของ จาเฝธ (Japheth) หลานโนอาห์ เดินทางมาจากตะวันออกกลางพร้อมกับภรรยา เดาก์นัท (Dalgnat)
บุตรสามคนคือ สไลน์ (Sláine), ราเดรจ (Rudraige),  เลแกลน (Laiglinne) ภรรยาของบุตรทั้งสามคือ เนอบา (Nerba),
ซิกบา (Cichba), เคิร์บนาด (Cerbnad) และเหล่าประชาชนที่ติดตามพาโธลานกว่าพันคน ได้เดินทางผ่านอนาโตเลีย
กรีซ ซิซิลี ไอบีเรีย จนมาถึงไอร์แลนด์เมื่อประมาณ 300-312 ปีหลังน้ำท่วมโลก ในวันอังคารที่ 14 พฤษภาคม
ตรงกับปีที่หกสิบของอับราฮัม


อีกข้อมูลที่รวบรวมโดยซี-ธรูน เซตินน์ ระบุว่า พาโธลานเป็นบุตรของเซร่า (Sera) กษัตริย์แห่งกรีซ เขาหลบหนีจากบ้านเกิดหลังจากสังหาร
พ่อและแม่ของตน เขาสูญเสียตาข้างซ้ายจากการสังหารครั้งนั้น พาโธลานพร้อมด้วยผู้ติดตามหนีออกจากกรีซ แล่นเรือผ่านซิซิลี
วนรอบโปรตุเกสและสเปน จนมาถึงทางตะวันตกของไอร์แลนด์ ใช้เวลาร่วม 7 ปี
 
พาโธลานได้สร้างเมืองอยู่อย่างสงบสุขที่ไอร์แลนด์ แต่ทว่าความสงบสุขนั้นก็อยู่ได้เพียง 10 ปีเท่านั้น สงครามก็บังเกิดขึ้น เหล่าผู้คนของพาโธลาน
โดนรุกรานจากเผ่าฟอมอเรี่ยน (Fomorians) ชาวเรือผู้ชั่วร้ายซึ่งนำโดย ซิชอล กริเซนชอส (Cichol Gricenchos) ชาวเมืองของพาโธลาน
สามารถปราบเผ่าฟอมอเรี่ยนลงได้และกลับมาสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่บ้านเมืองก็อยู่อย่างสงบสุขได้ไม่นานก็เกิดภัยพิบัติขึ้น ภัยพิบัติที่คร่าชีวิต
ชาวเมืองไปกว่า 9000 คน ศพทั้งหมดถูกทิ้งไว้บนที่ราบเอลต้า (Elta) หรือที่ราบเก่า ทางตอนใต้ของดับลิน (Dublin) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองทัมลาจ
(Tamhlacht) ซึ่งชื่อทัมลาจนั้นมีความหมายว่า "plague grave" หรือ "เกิดภัยพิบัติร้ายแรง"



จากภัยพิบัตินี้ทำให้พาโธลานเลือนหายไปจากไอร์แลนด์  ทว่ามีบุคคลหนึ่งที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้ (เหมือนกับฟินทันที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมโลก)
นั่นคือทูอัน  แมค ไคริล (Tuan mac Cairill) บุตรของสตาน(Starn)พี่ชายพาโธลาน เขามีชีวิตอยู่นานกว่าศตวรรษ ก่อนจะตายแล้วเกิดใหม่
เป็นบุตรของหัวหน้าเผ่าในยุคของคอล์ม ซิล (Colm Cille) เขาถูกตั้งชื่อว่า ไคเรล (Cairell) ไคเรลหรือทูอันนั้นแม้จะเกิดใหม่แต่ความทรงจำ
ทั้งหมดยังอยู่ เขาเล่าเรื่องราวของพาโธลานอีกครั้ง ทำให้เรื่องราวของพาโธลานไม่ถูกลบเลือนหายไปจากไอริช

เล่าถึงนี้คงสงสัยกันว่าแล้วชีวิตของพาโธลานตอนเกิดภัยพิบัติเป็นอย่างไร พาโธลานนั้นพอมาตั้งรกรากที่ไอร์แลนด์ได้แล้วก็ชิงตายไปก่อน
ที่จะเกิดภัยพับัติเสียอีก ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้อยู่ในช่วงสงครามกับฟอมอเรี่ยนด้วยซ้ำ พาโธลานไม่อยู่ เดาก์นัทภรรยาของพาโธลาน
ก็เลยล้าลา...มีชู้เลยซะงั้น โอ้วชีวิตช่างวุ่นวายเหลือเกิน


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


5. Nemed - เนเมดชนกลุ่มที่สามในไอร์แลนด์

กว่า 30 ปีหลังภัยพิบัติที่คร่าเหล่าผู้คนของพาโธลาน เนเมด บุตรแห่งแอกนอแมน(Agnoman)น้องชายพาโธลาน ผู้มีเชื้อสาย
จากมาก็อก (Magog) ได้เดินทางมาขยายอำนาจอยู่ที่ไอร์แลนด์พร้อมกับบุตร 4 คน สตาร์น (Starn) ลาบอเนล นักพยากรณ์
(Iarbonel the Soothsayer)  แอนไนนด์ (Annind) และ เฟอกัส เรดไซด์ (Fergus RedSide) เนเมดเดินทางด้วยเรือทั้งสิ้น
44 ลำ เริ่มต้นเดินทางจากทะเลแคสเปี่ยน ใช้เวลา 1 ปี 6 เดือนในการพบเกาะไอร์แลนด์ ในการเดินทางครั้งนี้เนเมดได้สูญเสีย
มาชา (Macha) ภรรยาของตนไป


เนเมดมาตั้งถิ่นฐานที่ไอร์แลนด์ได้ไม่นาน เผ่าฟอมอเรี่ยนก็มารุกรานอีกครั้ง! (จองเวรมาตั้งแต่รุ่นลุง =w=a) สงครามอันยาวนาน
ระหว่างเนเมดกับเผ่าฟอมอเรี่ยนจึงอุบัติขึ้น ทั้งสองฝ่ายสู้รบกัน 3 ครั้งด้วยกัน ผลออกมาเป็นดังคาด คือ เผ่าฟอมอเรี่ยนแพ้ยับเยิน
ทั้งสามครั้งติดต่อกัน ก่อนจะเกิดสงครามครั้งที่ 4 ไอร์แลนด์ก็เกิดภัยพิบัติขึ้น คร่าชีวิตผู้คนกว่า 3000 คน รวมถึงตัวเนเมดเองด้วย
เมื่อสิ้นเนเมด ไอร์แลนด์ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเผ่าฟอมอเรี่ยน โดยผู้นำทั้งสอง คือ มอร์ค (Morc) และ คอนานด์ (Conand)



ผู้คนของเนเมดโดนกดขี่จากเผ่าฟอมอเรี่ยน ต้องส่งข้าวโพด นม และเด็กๆ สองในสามส่วนของที่มีอยู่ให้ไปในทุกวันซัมเฮน(Samhain)
โดยไม่อาจขัดขืน เป็นเช่นนี้อยู่นานจนผู้คนเริ่มรับการกดขี่นี้ไม่ไหว จึงตั้งตัวขึ้นต่อต้าน นำโดย เฟอกัส เรดไซด์ บุตรคนเล็กของเนเมด
กับหลานชายทั้งสอง เซมูล บุตรแห่งลาบอเนล นักพยากรณ์ (Semul son of Iarbonel the Soothsayer) และ เอิร์กลัน บุตรแห่งสตาร์น
(Erglan  son of Starn) ได้บุกเข้าโจมตีหอคอยแห่งคอนานด์ คอนานด์กับเหล่าฟอมอเรี่ยนในหอคอยโดยสังหารทั้งหมด


จากนั้นไม่นาน มอร์ค หัวหน้าฟอมอเรี่ยนอีกตนก็ยกทัพจากทะเลมาสู้กับเฟอกัส เรดไซด์ ทั้งสองฝ่ายโรมรันกันอย่างไม่มีใครยอมถอย
ดูไม่ออกเลยว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ ทว่าจู่ๆก็เกิดคลื่นยักษ์สาดซัดระหว่างกองทัพทั้งสอง ทหารฝ่ายเฟอร์กัส เรดไซด์หนีขึ้นเรือรอด
ไปเพียงไม่กี่คน ที่เหลือโดนทะเลสูญหายไปสิ้น

7 ปีให้หลังผู้คนที่มาพร้อมกับนาเมดก็อพยพจากไอร์แลนด์ไป เหตุเพราะไม่อยากอยู่ภายใต้การปกครองของเผ่าฟอมอเรี่ยน
ผู้คนอพยพกระจายไปทั่วสี่ทิศรอบโลก ปล่อยให้ไอร์แลนด์ร้างผู้คนกว่า 200 ปี


*ซัมเฮน (Samhain) = วันสิ้นสุดการเก็บเกี่ยว เปรียบได้กับวันปีใหม่ของชาวเคลท์


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



6. Fir Bolg - เฟอ บอล์ก ชนกลุ่มแรกที่มีในบันทึกประวัติศาสตร์ชัดเจนที่สุด

230 ปีหลังจากไอร์แลนด์ถูกปล่อยทิ้งร้าง ลูกหลานของนาเมดที่อพยพไปอยู่เมืองกรีซได้หลบหนีการถูกกดขี่ข่มเหง ย้ายกลับมาอยู่
ที่ไอร์แลนด์ พวกเขาแบ่งออกเป็น 3 เชื้อชาติ คือ กลุ่มบอล์ก (Fir Bolg) กลุ่มดอมนานน์ (Fir Domnann) และ กลุ่มกัลลอน (Fir Gálioin)
พวกเขาอยู่ในไอร์แลนด์ได้เพียง 37 ปีก็ถูกรุกรานจาก ทูเอธา เด ดอนนานน์ (Tuatha Dé Danann) ลูกหลานของเนเมดที่อพยพไปตอนเหนือ

*Fir ภาษาไอริชหมายถึงมนุษย์ ส่วนใหญ่ใช้แทนบุรุษ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


7. Tuatha Dé Danann - ทูเอธา เด ดอนนานน์ ยุคแห่งเวทย์มนต์




ทูเอธา เด ดอนนานน์ ลูกหลานของเนเมดอีกกลุ่มที่อพยพไปอยู่ทางตอนเหนือของโลก ลูกหลานของเนเมดกลุ่มนี้ได้นำเวทย์มนต์นอกรีต
และลัทธิดรูอิด (arts of pagan magic and druidry) กลับมาที่ไอร์แลนด์ด้วย..


ทูเอธา เด ดอนนานน์ มีรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีแดง ผิวขาวนวล คนทั่วไปมักคิดว่าเป็นพวกชนชั้นสูง ดูน่าเกรงขาม และลึกลับ ชอบทำตัวให้
กลมกลืนกับคนทั่วไป แต่ใครๆก็ดูออกอยู่ดีว่าไม่ใช่คนธรรมดา เนื่องจากมีรูปลักษณ์ และความสามารถที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด!

เมื่อครั้ง เฟอกัส เรดไซด์ บุตรคนสุดท้องของเนเมด ยกทัพบุกหอคอยแห่งคอนานด์จนชนะเป็นที่เรียบร้อบ ลาบอเนล นักพยากรณ์
บุตรคนที่สามของเนเมด (Iarbonel the Soothsayer) ก็ได้อพยพออกมาจากไอร์แลนด์พร้อมกับผู้คนจำนวนหนึ่ง ไปตั้งรกราก
ใกล้กับเมืองธีบส์ (Thebes) ในกรีซ ซึ่งเป็นสถานที่ที่อยู่ระหว่างชาวเอเธนส์ (the Athenians) และชาวฟิลิสไทน์ (the Philistines)
และที่นั่นเองคือสถานที่ ที่พวกเขาได้สัมผัสและเรียนรู้ศาสตร์เวทย์เป็นครั้งแรก...

ฟอรัส เฟียซา (Forus Feasa) ได้เล่าเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นขณะที่เหล่าลูกหลานของเนเมดไปอาศัยอยู่ที่นั่นว่า

"เกิดการปะทะกันระหว่างชาวเอเธนส์และชาวอัสซีเรียอยู่หลายครั้ง เป็นสงครามที่ยืดเยื้อหาผู้ชนะไม่ได้เสียที
แต่แล้วจอมเวทย์ของลาบอเนล ก็ได้ปลูกทหารชาวเอเธนส์ที่ถูกฆ่าตายให้ฟื้นคืนชีพ และนำสู่สนามรบในวันถัดไป
เป็นผลให้ทหารอัสซีเรียขวัญหนีดีฝ่อถอนทัพกลับไป"


ผู้คนรู้จักจอมเวทย์เหล่านั้นในนามของ ทูเอธา เด ดอนนานน์ (Tuatha Dé Danann) หรือบุตรหลานแห่งเทพีดานู
ผู้เป็นมารดาของเทพทั้งหลายในตำนานเคลติก ทูเอธา เด ดอนนาน์ ได้เดินทางข้ามยุโรปไปตั้งรกรากต่อที่สแกนดิเนเวีย
แล้วย้ายไปที่อัลบา (Alba) ในสก็อตแลนด์ ก่อนจะลงเอยที่เกาะเหนือ (the Northern Isles)



พวกเขากลับมาที่ไอร์แลนด์อีกครั้งเพื่อร้องสิทธิ์การครอบครองไอร์แลนด์จาก เฟอ บอล์ก และ เผ่าฟอมาเรี่ยน เหล่าจอมเวทย์
บุตรหลานแห่งเทพีดานูไม่ได้กลับมามือเปล่า พวกเขานำอาวุธเวทย์มนต์ 4 ชิ้นกลับมาเพื่อต่อกรกับเฟอ บอล์ก และ เผ่าฟอมาเรี่ยนด้วย
ซึ่งได้กระจายอาวุธทั้งสี่ไปยังสี่เมืองในไอร์แลนด์ อาวุธทั้งสี่ได้แก่


1. หินแห่งโชคชะตา (Stone of Destiny) จะตกเป็นของกษัตริย์ที่คู่ควรแก่การปกครองไอร์แลนด์มากที่สุด ธาตุดิน
ถูกกระจายไปอยู่ทิศเหนือ อยู่ที่เมืองฟาเลียส (Falias)


Stone of Fál (Lia Fáil)


2. หอกแห่งชัยชนะ  (Spear of Victory) จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อสู้ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ครอบครองหอกวิเศษนี้ ซึ่งหอกนี้
ได้ตกเป็นของลักฮ์เป็นที่เรียบร้อย ธาตุลม ถูกกระจายไปอยู่ทิศใต้ หอกวิเศษอยู่ที่เมืองกอเรียส (Gorias)


Spear (sleg) of Lugh
 

3. ดาบแห่งแสง (Sword of Light) ดาบวิเศษที่ไม่มีใครสามารถหลบการฟาดฟันจากดาบนี้ไปได้ และดาบนี้
ก็เป็นดาบกษัตริย์นูอาดา ธาตุไฟ ถูกกระจายไปอยู่ทิศตะวันออก อยู่ที่เมืองฟินเดียส (Findias)


Sword (Cliamh Solais the Sword of Fire) of Núadu
 
4. หม้อแห่งความอุดมสมบูรณ์ (Pot of Plenty) เป็นหม้อที่ไม่เคยเหือดแห้ง รวมทั้งไม่มีก้นหม้อ ไม่มีใครจากไป
โดยไม่รู้สึกพึงพอใจ หม้อนี้เป็นของแด็กด้า ธาตุน้ำ ถูกกระจายไปอยู่ทิศตะวันตก อยู่ที่เมืองมิวเรียส (Murias)


Cauldron (coire) of the Dagda


หลายคนน่าจะสงสัยว่าทำไมใน เฮลบอย เจ้าชายนูอาด้าถึงได้มีอาวุธเป็นหอก? แล้วทำไมข้อมูลมันบอกว่าเป็นดาบ?

อาวุธหลักของเจ้าชายนูอาด้าคือดาบครับ "Cliamh Solais"ชื่อของดาบครับ คือความจริงแล้วคำว่า Cliamh
มันเป็นภาษาโบราณของไอร์แลนด์ สามารถแปลเป็นอะไรได้มากโขเลยอ่ะครับ (แปลว่าจมูกปลอมยังได้เลยครับ)

ดังนั้นไม่แปลกเลยครับที่ทำให้คนแปลใช้หอกกับดาบสลับกัน wow แต่ว่าในบันทึกของไอร์แลนด์มีเรื่องราว
ของดาบแห่งแสงอยู่ด้วย ก็เลยตกลงเรียกอาวุธของนูอาด้าว่าดาบ

ลัคฮ์ ก็เป็นอีกคนที่มีปัญหากับอาวุธเหมือนกัน ถ้าหากรีดเดอร์ลองเซิร์ซหาชื่อ Lugh นะครับ จะมีบางรูปที่ใช้ดาบเป็นอาวุธ!
เอาอีกแล้วครับ มันก็เป็นความไม่แน่ใจในชื่ออีกเช่นเคย แต่ที่เรียกอาวุธของลัคฮ์ว่าหอกเนื่องจาก อาวุธของลัคฮ์ผอมเกินกว่า
ที่จะเป็นดาบ แล้วตอนที่สู้ในสงครามพี่แกก็ชอบใช้อาวุธเทือกนั้นด้วยครับ บางครั้งพี่แกก็ใช้เชือกเป็นอาวุธครับ

การเดินทางมาเยือนไอร์แลนด์ของเหล่า ทูเอธา เด ดอนนานน์ ต่างจากผู้มาเยือนไอร์แลนด์กลุ่มอื่นๆตรงที่ พวกเขาไม่ได้ล่องเรือ
ข้ามทะเล แต่ล่องเรือบนเมฆดำ! ค่อยๆแล่นในอากาศมาลงจอดบนยอดเขาคอนเมคเน เรน (Conmaicne Rein) การมาเยือน
ของเหล่าบุตรหลานแห่งเทพีดานูทำให้ฟ้ามืดบดบังแสงอาทิตย์ถึงสามวันเลยทีเดียว พวกเขามาถึงไอร์แลนด์ในวันจันทร์ที่ 1
ของเดือนพฤษภาคม (วันเบลเทน /Beltene/)และทันทีที่พวกเขาลงจอด เรือก็ลุกไหม้ ราวกับเป็นสัญญาณท้ารบต่อเหล่า
เฟอ บอล์ก


g]

ขอแทรกนิดนึงก่อนเริ่มสู้กันนะครับ การมาเยือนของทูเอธา เด ดอนนานน์ สำหรับคนอื่นๆที่อยู่อยู่ในไอร์แลนด์จะเห็นราวกับการมา
เยือนของเทพเจ้าเลยครับ แค่เห็นรูปลักษณ์ที่วิ้งกว่าชาวบ้านทั่วไป แถมยังใช้พลังได้เหนือมนุษย์อีก เท่านั้นก็สรุปได้ทันทีเลย
ละครับว่าทูเอธา เด ดอนนานน์คือเทพเจ้า แต่ถึงจะเกรงกลัวอย่างไร ก็ไม่อยากเสียบ้านเกิดไป เลยต้องจำยอมรับคำท้าต่อ
เหล่าเทพในสายตาพวกเขาอยากเสียไม่ได้ 


การแข่งขันประลองหาผู้ที่เหมาะสมจะเป็นกษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ได้เริ่มต้นขึ้น ในชื่อการประลองแห่งมอยทูร่า หรือการประลอง
แห่งแมก ทัวด์ (the Battle of Moytura (or Mag Tuired)) การประลองมี 2 ครั้งด้วยกัน

ครั้งที่ 1 เป็นการต่อสู้ระหว่าง ทูเอธา เด ดอนนานน์ ซึ่งนำโดยกษัตริย์นูอาดา (Nuada) กับเหล่าเฟอทั้งสามเผ่า นำโดยเผ่า
เฟอ บอล์ก โดยมี เบรส (Bres) ผู้นำเผ่าฟอมอเรี่ยนเป็นกรรมการ การประลองจบลงที่ ทูเอธา เด ดอนนานน์ เป็นฝ่ายชนะ
ส่วนเหล่าเฟอทั้งหลายก็ถูกเนรเทศไปอยู่เกาะใกล้ๆกับไอร์แลนด์แทน ในความยินดีของผู้มาเยือนหน้าใหม่กลับมีความโชคร้าย
ซ่อนอยู่ด้วย กษัตริย์นูอาดาแม้จะชนะศึกได้แต่ต้องสูญเสียแขนขวาไป ทำให้ถูกตัดสินว่าไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นกษัตริย์แห่งไอร์แลนด์

ดังนั้นเบรสผู้นำเผ่าฟอมาเรี่ยนจึงอาสาทำหน้าที่เป็นกษัตริย์แทน (รอจะเสียบอยู่แล้วสิเอ็ง) ด้วยความที่เบรสเป็นลูกครึ่งที่มี
เชื้อสายของไอร์แลนด์ไหลเวียนอยู่ บวกกับความสามารถของเผ่าฟอมอเรี่ยน จึงไม่มีใครกล้าคัดค้าน



7 ปีที่แห่งความทุกข์ยาก ภายใต้การปกครองของเบรส ลูกครึ่งฟอมอเรี่ยน นูอาดา ก็กลับมาทวงไอร์แลนด์คืนอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือ
ของ ดิอัน เคช (Dian Cécht) ผู้สร้างแขนเทียมจากเงินให้นูอาดา จนนูอาดาได้ฉายาใหม่ว่า "แขนเงิน"  (Nuada of the silver arm)
และแล้วการประลองครั้งที่ 2 แห่งมอยทูร่าก็ได้เริ่มต้น เป็นการประลองของทูเอธา เด ดอนนานน์ กับ เผ่าฟอมอเรียน การประลองเป็นไป
อย่างดุเดือด นูอาดาได้ต่อสู้กับเบเลอร์ ตาปิศาจ ( Balor of the Evil Eye) เป็นผลทำให้นูอาดาตาย


แต่การต่อสู้ยังไม่จบลง เนื่องจากลัคฮ์ (Lugh of the Long Arm) หลานชายแท้ๆของเบเลอร์บุตรแห่งดิอัน เคช ได้ลงประลองต่อจาก
นูอาดา ในนามของทูเอธา เด ดอนนานน์ ลัคฮ์สามารถสังหารเบเลอร์ลงได้ ทำให้ไอร์แลนด์ตกเป็นของทูเอธา เด ดอนนานน์เป็น
ระยะเวลากว่า 150 ปี



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

8. Milesians - มิลลาเซียนการมาเยือนของเกลส์

ในตอนนี้จะเป็นเรื่องราวต่อจากตอนที่ 2 ครับ ต่อจากที่ อิธ (Íth) บุตรแห่งบรีโอแกนได้มองเห็นเกาะๆหนึ่ง
จากหอคอยบริกันเทีย


ซึ่งเป็นการค้นพบเกาะครั้งแรก ดังนั้นอิธจึงนำพรรคพวกเล็กน้อยไปเยือนเกาะแห่งนั้น ซึ่งก็คือเกาะไอร์แลนด์ กษัตริย์ที่นั่น
ต้อนรับพวกเขาเป็นอย่างดี แต่กษัตริย์อีกพวกหนึ่งได้สังหารอิธแล้วส่งร่างไร้วิญญาณกลับไปที่ไอบีเรีย

เป็นที่แน่นอนว่าญาติของอิธต้องกลับมาแก้แค้น เหล่ามิลลาเซี่ยนจริงเตรียมยกพลเข้าโจมตีเกาะไอร์แลนด์ นำโดยบุตรชานคนที่แปด
ของ มิล เอสเปน (Míl Espáine) พี่ชายของอิธ บุตรแห่งมิลได้ยกทัพขึ้นบกที่เมืองทาร่า (Tara) กะจะยกทัพมาแก้แค้นแต่พอได้เห็น
เกาะไอร์แลนด์ที่ดูอุดมสมบูรณ์น่าอยู่เข้า จึงเปลี่ยนเป้าหมายจากการแก้แค้นมาเป็นชิงเกาะแทน



ซึ่งก็โดนขวางด้วย 3 กษัตริย์ แมค คิว (Mac Cuill) แมค เคช (Mac Cecht) และ แมค เกรน (Mac Gréine) ก็ทั้งสามกษัตริย์
นี่แหละที่เป็นคนสังหารอิธ และเป็นต้นเหตุของการปะทะกันครั้งนี้ ดังนั้นทั้งสามจึงมาขวางเหล่ามิลลาเซียน โดยตั้งเงื่อนไขว่า
หากสามารถผ่านเก้าคลื่น (The Ninth Wave) เข้ามาที่ไอร์แลนด์อีกครั้งได้จะยกทั้งเกาะให้ บุตรแห่งมิลรับเงื่อนไขและนำเรือ
ออกไปกลางมหาสมุทร


กษัตริย์ทั้งสามแห่งทูเอธา เด ดอนนานน์ ได้ยืมพลังของดรูอิดสร้างคลื่นยักษ์ พายุฝน ขัดขวางการกลับมาของเหล่ามิลลาเซียน
แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ มิลลาเซียนกลับมาที่ไอร์แลนด์อีกครั้งพร้อมกับเรียกสิทธิ์การปกครองไอร์แลนด์จากทูเอธา เด ดอนนานน์
ดังนั้นแผ่นดินไอร์แลนด์จึงถูกผลัดมืออีกครั้ง ทั้งนี้เหลือบุตรแห่งมิลรอดมา 3 คน คือ  อีเบอร์ ฟินน์ (Eber Finn) เอเรมอน (Eremon)
และ เอเมอจิน กลุนเจล (Amergin Glúingel) เอเมอจินแบ่งเกาะออกเป็นสองส่วนให้พี่ชาย ทิศเหนือเป็นของเอเรมอน
ทิศใต้เป็นของอีเบอร์ ฟินน์


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



9. Roll of the pagan kings of Ireland - ลำดับกษัตริย์ในไอร์แลนด์

บันทึกการเรียงลำดับกษัตริย์ของไอร์แลนด์เริ่มตั้งแต่ เอเรมอน และอีเบอร์ ฟินน์ ไล่ลงมาอีก 5 ศตวรรษ(AC)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

10. Roll of the Christian kings of Ireland - ลำดับกษัตริย์ในไอร์แลนด์ 2

บันทึกที่สมบูรณ์ที่สุดใน LGE รวบรวมเรื่องราวของกษัตริย์ที่ถูกบันทึกแบบลายลักษณ์อักษร


credit :: BeelzeBufo
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 มกราคม 2017, 14:41:17 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่