-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Third sex ในตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนา  (อ่าน 1674 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18150
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed
Third sex ในตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนา
« เมื่อ: 03 สิงหาคม 2013, 12:15:12 »

Third sex ในตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนา
       


สมัยนี้คนเราสามารถเปิดเผยรสนิยมทางเพศ แบบทางเลือกของตัวเองได้มากขึ้นนะครับ ใครเป็นเกย์ ใครเป็นเสือไบ
ใครเป็นทอมเป็นดี้ สามารถเปิดเผยตัวเองได้มากกว่าสมัยก่อน เป็นยุคที่เราท่านประกาศตัวในเรื่องรสนิยมทางเพศ
ได้อย่างชัดเจน


น่าจะเป็นเพราะยุคนี้คนไม่ค่อยให้ความสนใจกันมาก เราอาจรู้จักกันแค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ต่างคนต่างอยู่ไป
ใครอยากเป็นอะไรก็เป็น ถ้าไม่มาเดือดร้อนถึงเรา อันนี้พูดถึง คนในสังคม ไม่รวมถึงคนในครอบครัวด้วยนะครับ
ถ้าเป็นคนในครอบครัวอาจจะยังขัดเคืองใจอยู่บ้าง หากลูกชายจะกลายเป็นผู้ที่มีรสนิยมในการอนุรักษ์สายพันธุ์
ดั้งเดิมของพันธุ์ไม้ (คือรักไม้ป่าเดียวกัน) หรืออาจจะยังรับไม่ได้อยู่บ้าง หากลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัว
คิดจะมีสามีหรือภรรยาเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นเพียงความคิดเห็นของผมเท่านั้นเอง ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะรู้เรื่อง
เกี่ยวกับเกย์อย่างลึกซึ้งจริงๆ ก็ต้องลองไปถาม ประลองพล พ. บางยาง หรือ นฤพนธ์ สุดสวาท ดูเอาเอง

ในความคิดเห็นของผม ถ้าเราพูดถึงคนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกันโดยที่เราตัดเรื่องเครือญาติออก ก็จะพบว่าคนสมัยนี้
มีความเป็นปัจเจกและยืดหยุ่นในเรื่องพวกนี้ได้สูง คนเราสมัยนี้หมกมุ่นกับตัวเองมากเกินกว่าจะหมกมุ่นกับเรื่อง
ของคนอื่น ในเมื่อคนเราต้องมัวแต่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง ความสนใจในตัวคนอื่นก็ลดน้อยถอยลง
และที่จริงในชีวิตคนมีเรื่องอื่นที่สำคัญมากกว่าการจะต้องไปรับรู้ว่าใครเป็นมนุษย์ที่มีรสนิยมทางเพศแบบไหน (ฮ่า)


เมื่อผมไปอ่านตำนานกำเนิดมนุษย์ฉบับล้านนาซึ่งเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมายาวนาน ก่อนจะถูกจดจารเป็นตัวอักษร
บทตำนานเอาไว้ ปรากฏว่าตำนานนี้มีความน่าสนใจตรงที่ว่ามีตัวละครที่เป็นกะเทยและทอมปรากฏตัวอยู่ด้วย

เป็นจุดที่ทำให้ผมสนใจอยากเขียนถ่ายทอดเรื่องนี้ ตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนา ก็คือ ปฐมมูลมูลี นั่นเอง
โดยส่วนตัวผมที่เป็นผู้เขียนบทความชิ้นนี้ คงจะต้องอธิบายตัวเองให้ชัดเจน (ด้วยความร้อนตัว) เสียก่อนว่า


‘ผมชอบผู้หญิง’

เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเขียนถึงเรื่องพวกนี้ได้ และคิดว่าคงเขียนเรื่องพวกนี้
ได้ไม่ลึกซึ้งเท่าไร และถ้าท่านผู้อ่านอยากลึกซึ้งในเรื่องพวกนี้ ผมก็บอกไปแล้วว่าควรไปถามกับใคร (ฮ่า)

ในตำนานนี้น่าสนใจว่าเขาสร้างตัวละครที่มีลักษณะเป็นผู้ชายรักผู้ชาย และยังมีตัวละครที่มี ‘ฐานะ’ เป็นผู้หญิง
ที่อยู่กินกับผู้หญิงโดยมีนัยยะสื่อถึงลักษณะการอยู่กินกันแบบชู้สาวอีกด้วย โดยแม้ว่าในตำนานจะไม่ได้เขียนถึง
คนที่เป็นเพศที่สามในแง่ดีนักก็ตาม แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติในด้านที่เกี่ยวกับเพศที่สามได้ค่อนข้างดี


จะกล่าวถึง อิตถังไคยะสังกะสี (ชื่อยาวหน่อยนะฮะ) เป็นผู้หญิงที่กินดอกไม้เป็นอาหาร เกิดขึ้นมาหลังจากยุคที่โลก
เต็มไปด้วยความว่างเปล่า เกิดพืชขึ้นมา แล้วก็เกิดมนุษย์คือนางคนนี้เอง ชีวิตแกอยู่ลำพังคนเดียวมันก็ว้าเหว่
ไม่รู้จะทำอะไร วันทั้งวันแกนั่งปั้นรูปสัตว์ต่างๆให้มีชีวิตมากินพืชกินลูกไม้ไปเรื่อยเปื่อย ในช่วงจังหวะนั้น
ก็เกิดผู้ชายขึ้นมาหนึ่งคน คือ ปู่สังไคยะสังกะสี ตรงนี้ให้สังเกตว่าตามตำนานการเกิดมนุษย์ของล้านนา
แม่หญิงเกิดก่อนป้อจาย เมื่อมีมนุษย์ครบสองเพศพอที่จะเล่นจ้ำจี้กันได้ ก็ไม่ต้องรอให้ใครมาสอนแล้วครับ
ทั้งสองก็สมสู่กันจนได้ลูกออกมาถึงสามคนด้วยกัน โดยในตำนานบอกว่าเป็นการ ‘สร้าง’ คนขึ้นมาสามคน

ลูกทั้งสามของปู่ย่าทั้งสองนี้ เป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง และเป็น นปุงสกะ อีกหนึ่ง คือเป็นคนที่ไม่แน่ว่าเป็นเพศใด
มีลักษณะที่ตัวเป็นชายใจเป็นหญิง คือเป็นผู้ชายแต่ชอบผู้ชายด้วยกัน (เห็นไหมฮะว่าล้ำขนาดไหน)


โดยมนุษย์สามคนนี้ยังไม่มีความรับรู้เรื่องบาปบุญคุณโทษแต่อย่างใด เพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ด้วยตัวเอง
และมนุษย์ก็ต้องมีจิตใจที่แตกต่างกันออกไป (ตรงนี้ก็ล้ำ ดูเข้าใจโลก และเป็นเงื่อนไขที่จะผูกเรื่องภายในตำนานต่อไป)
ทั้งสามก็แยกย้ายกันไปสร้างบ้านแปงเมืองอยู่คนละทิศละทาง ผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว ปู่กับย่าเห็นท่าไม่ค่อยดี
เพราะคนไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ก็เลยทำลายล้างโลก แต่ทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่อีกรอบ สร้างคนขึ้นมาอีกสามคนเหมือนกัน

เหมือนเดิมเลย แต่คราวนี้ทำให้มีสำนึกเรื่องบาปบุญ สามารถพูดจาสื่อสารได้ รู้ว่าใครเป็นพ่อใครเป็นแม่
หวังว่าน่าจะดีกว่าเก่า อันนี้เป็นเค้าโครงเรื่อง

ในบางสำนวนของตำนานกำเนิดมนุษย์ฉบับล้านนานี้ มีรายละเอียดที่แตกต่างไปบ้าง แทนที่จะมีนางอิตถังไคยะสังกะสี
ก็เปลี่ยนเป็นเรียกว่า ‘แม่ผู้ยิ่งใหญ่’ แทน เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์สามคนแรก

ซึ่งเป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง กะเทยหนึ่ง



พอต่อมาน้องกะเทยก็ไปเกิดความอิจฉาในตัวผู้หญิง เพราะเห็นว่าผู้หญิงได้รับความรักจากผู้ชาย แกก็เลยจัดการ
ฆ่าผู้หญิงเพื่อแย่งเอาผู้ชายมาเป็นของตัว ก็ทำได้สำเร็จเรียบร้อย แต่ผู้ชายกับกะเทยอยู่ด้วยกัน มันสืบลูกสืบหลานไม่ได้

‘แม่ผู้ยิ่งใหญ่’ เลยฆ่าทิ้งทั้งสองคนเลย แล้วสร้างผู้ชาย ผู้หญิง กะเทย ขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง
อันนี้เรื่องพิศวาสฆาตกรรมเลย

คราวนี้แทนที่กะเทยจะรู้สึกอิจฉาผู้หญิง กลับรู้สึกไม่พอใจในตัวผู้ชาย ก็เลยฆ่าผู้ชายเพื่อที่จะชิงตัวผู้หญิงมาอยู่ด้วยกัน
แต่อยู่ด้วยกันในฐานะของพี่น้อง ในเมื่ออยู่กันแบบพี่น้อง ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบชู้สาว มันก็ไม่มีลูกมีหลานอีก
แม่ผู้ยิ่งใหญ่ก็เลยฆ่ากะเทยกับผู้หญิงอีก เพราะสร้างคนขึ้นมาด้วยความต้องการให้มันผสมพันธุ์กัน
ให้มันมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง จะได้สืบสายพันธุ์ต่อไปได้ มันก็วุ่นกับเรื่องอิจฉากัน ไม่พอใจกัน
ก็ต้องทำลายทิ้งแล้วสร้างใหม่เลย

แม่ผู้ยิ่งใหญ่ก็เลยสร้างมนุษย์ชุดที่สามขึ้นมา เหมือนเดิมครับ ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง กะเทยหนึ่ง แต่คราวนี้ท่านแม่
ไปแอบกระซิบบอกกะเทยว่า ข้าจะให้สินบนเอ็ง จะให้เอ็งรับหน้าที่มีบทบาทพิเศษกว่าเขา ถ้าเอ็งยอมรับการ
แต่งงานของชายกับหญิงได้ คราวนี้ปรากฎว่ากะเทยยอมรับได้ครับ ไม่อิจฉา พอใจทุกอย่างแล้ว


ชายหญิงจึงสืบลูกสืบหลานกันต่อมาได้จนทุกวันนี้ ?

เค้าโครงเรื่องมีอยู่เพียงเท่านี้ สิ่งหนึ่งที่คิดได้ก็คือ ตำนานนี้เป็นการสร้างเรื่องเล่าเพื่อจัดระเบียบทางเพศในสังคม
ตามความคิดความเชื่อของคนที่เริ่มต้นเล่าตำนาน ณ จุดที่ตำนานเริ่มมีรายละเอียดในแบบที่เขียนถึงมานี้
ทัศนคติเกี่ยวกับเพศที่สามของผู้สร้างตำนานหรือที่ผู้ที่สร้างเรื่องเล่าเพิ่มเติมในตำนานที่คิดว่า กะเทยหรือเพศที่สาม
เป็นเพศที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย เป็นผู้ขัดขวางการสืบทอดการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ก็เป็นความคิดที่เข้าใจ
ได้สำหรับสังคมโบราณ เพราะปฎิเสธความจริงไม่ได้ว่าการที่ผู้ชายอยู่กับผู้ชายอยู่กินกันแบบสามีภรรยานั้น
มันไม่สามารถจะสืบลูกได้ ครอบครัวจะไม่แตกแขนง และจะทำให้สังคมมีผู้คนน้อยลง อันนี้เข้าใจได้ทั้งหมดทั้งสิ้น


หลังจากอ่านตำนานแล้ว ทำให้ผมเชื่อว่าในแว่นแคว้นที่ถูกเรียกว่าล้านนาในสมัยหลังนี้ จะต้องมีการอยู่กิน
หรือชอบพอกันระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย (กะเทย เกย์ โฮโมเซ็กชวล) ด้วยกัน จนถึงขั้นที่จะต้องสร้างเรื่องเล่า
เพื่อชี้ให้เห็นว่าแม่ที่ให้กำเนิดโลกจำเป็นจะต้องสังหารกะเทยถึงสองคนด้วยกัน

ซึ่งตามนัยยะกะเทยก็เป็นลูกที่ตัวเองสร้างขึ้นมา เพื่อจะทำให้สังคมเกิดความเป็นปกติ ความเป็นปกติที่ว่า
ถึงนี้ก็คือการที่เผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติจะสามารถดำรงอยู่รอดได้ โดยคนที่เป็นกะเทยจะต้องยอมรับ
การแต่งงานระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงเสียก่อน

หลังจากที่ผมอ่านแล้วก็ไม่คิดว่าตำนานนี้เป็นการเหยียดเพศทางเลือกอะไรทั้งนั้น เพราะในสมัยโบราณ
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเพศยังไม่มี หรืออาจจะมีในระดับหนึ่ง แต่ก็คงมีในลักษณะที่จำกัด
(ขนาดคนร่วมสมัยเราเองยังเวิ่นเว้อกับเรื่องแบบนี้อยู่เลยนะฮะ)


อันที่จริงต้องบอกว่าตำนานบทนี้เป็นการยอมรับถึงการมีอยู่ของกะเทยด้วยซ้ำ คือยอมรับว่าเพศที่สามมีอยู่
และยอมรับให้อยู่ร่วมสังคมกัน (เพราะแม่ผู้ยิ่งใหญ่ตั้งใจสร้างกะเทยขึ้นมาถึงสามครั้งเลยทีเดียว) แต่แม้ว่า
จะยอมรับแล้ว แต่ยังมองเห็นว่าเป็นปัญหาแก่สังคมตามความเชื่อในยุคสมัยของเขา ในเมื่อเขามองเห็นว่า
เป็นปัญหาตามความเข้าใจของเขา ในยุคสมัยของเขา เขาก็พยายามที่จะแก้ปัญหานั้น โดยการทำเรื่องเล่าขึ้นมา
เอาไว้ให้เล่าสืบกันไป เพื่อหวังจะแก้ไขสิ่งที่เขามองว่าเป็นปัญหา


สำหรับกะเทยคนแรกในตำนาน เขามีจิตใจที่ชอบผู้ชาย เขาต้องการอยู่ร่วมกับผู้ชาย และเขารู้สึกว่าผู้หญิง
มาแย่งความรักของเขาไป

ในขณะที่กะเทยคนที่สอง เขามีจิตใจที่ชอบผู้หญิง อยากอยู่ร่วมกับผู้หญิง แม้ตำนานจะบอกว่าอยู่กับผู้หญิง
แบบพี่น้องก็ตาม แต่การย้ำในภายหลังว่าการอยู่ร่วมกันระหว่างกะเทยกับผู้หญิงนั้น ไม่สามารถมีบุตรได้
ก็ย่อมสื่อให้เห็นว่าตำนานบทนี้พยายามจะข้ามบางอย่างไป คือการพยายามไม่บอกกล่าวอย่างชัดเจนว่า
นปุงสกะ คนที่สอง เป็นตัวแทนของผู้หญิงที่มีจิตใจเป็นชาย ที่ไม่พึงพอใจผู้ชาย และต้องการได้ผู้หญิง
มาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว เป็นภาพแทนของเพศทางเลือกที่ในสมัยปัจจุบันถูกเรียกว่า ทอมบอย

ตำนานพยายามข้ามการอธิบายถึงลักษณะของความเป็นหญิงรักหญิง โดยอ้างว่า กะเทยอยู่กับผู้หญิง
ในแบบพี่น้องร่วมสายสัมพันธ์ แต่ถูกแม่ผู้ยิ่งใหญ่สังหารเพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ (?)
หรือในอีกทางหนึ่ง ‘กะเทย’ ที่ตำนานกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ เขาอาจจะหมายถึงบุคคลที่มีลักษณะของความเป็น
กะเทยแท้ คือเป็นบุคคลที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการมีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิงในคนเดียว
คือมีทั้งจู๋และจิ๋มนั่นเอง เขาจึงสามารถจะเป็นได้ทั้งชายและหญิง


ซึ่งถ้าเป็นในปัจจุบันนี้ ก็ไปบอกให้หมอเอาออกเสียหนึ่งเพศ (ถ้าต้องการ และแน่ใจว่าตัวเองเป็นเพศอะไร
แล้วจะมีความสุขมากกว่า) หรือจะเก็บไว้ทั้งสองเพศก็ตามสบาย ชีวิตน่าจะซู่ซ่าไปอีกแบบ

แต่ในสมัยนั้นจะไปทำศัลยกรรมยังไง เพราะประตูน้ำโพลีคลินิกก็ยังไม่เปิดให้บริการ



ดร. อนาโตล โรเจอร์ เป็ลติแยร์ เขียนไว้ในคำนำหนังสือ ‘ตำนานเค้าผีล้านนา ปฐมมูลมูลี’ ว่า
ปฐมมูลูลี ซึ่งเป็นตำนานกำเนิดมนุษย์ของล้านนานี้ เป็นมุขปาฐะที่เล่าสืบต่อมานาน จนได้บันทึกเป็นอักษร
ตำนานการสร้างโลกโดยปู่ย่าสังไคยะ-สังคะสีมีปรากฏโดยทั่วไปในหมู่ชนชาติไทย เป็ลติแยร์สันนิษฐานว่า
ปฐมมูลมูลี น่าจะเขียนในสมัยพระเมืองแก้ว (2038-2068) ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองของล้านนา แต่ถือว่าเป็น
เรื่องเล่าที่เก่าแก่พอสมควร โดยโครงเรื่องนี้ได้กระจายไปถึงภาคอีสาน ล้านช้าง เชียงตุง สิบสองพันนา
คือมีปรากฏโดยทั่วไป


น่าสนใจว่า ในสมัยของพระเมืองแก้ว เป็นสมัยที่เกิดวรรณกรรมภาษาบาลีสำคัญๆขึ้นหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
ชินกาลมาลีปกรณ์ หรือ จามเทวีวงศ์ ล้วนแต่เกิดขึนในสมัยพระเมืองแก้ว อาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดข้อ
สันนิษฐานดังกล่าว ที่สำคัญอีกอย่างคือเป็นยุคที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมาก และเป็นยุคที่เชียงใหม่
ต้องทำสงครามกับอยุธยา ตรงนีผมใส่ข้อมูลพื้นหลังสมัยพระเมืองแก้วเข้ามา ก็ให้คิดเชื่อมโยงกันเองว่า
มันอาจจะเกี่ยวข้องกับฉากหลังอย่างไรบ้าง


โดยมากเวลาที่เราอ่าน นิทาน เรื่องเล่า หรือตำนานที่เล่าสืบกันมา เราจะพบว่าการแบ่งแยกเพศจะถูกจำกัดไว้
ที่สองเพศเท่านั้น ทั้งที่จริงความรับรู้เกี่ยวกับเพศที่สามมีมานานแสนนานแล้ว เพราะมีศัพท์ที่ใช้เรียกเพศที่สาม
มากมาย (เช่น นปุงสกะ ในภาษาบาลี) ทั้งในภาษาสยามและทั้งภาษาจากแว่นแคว้นอื่น เช่นอินเดียนแดง
หรือในสังคมชนเผ่าอื่นๆ แต่คนสมัยก่อนก็ย่อมจะเชื่อว่า เพศควรจะมีแค่เพียงสองเพศ คือเพศชายกับเพศหญิงเท่านั้น
เพราะเขาอาจมองว่าการแบ่งแยกเพศแค่เพียงชายและหญิงเป็นสิ่งที่เป็นไปตามระบบสืบพันธุ์ของโลก
จนกลายเป็นความคิดปกติของผู้คน และคนบางคนอาจคิดไปไกลถึงขั้นที่ว่า การร่วมเพศทางเว็จมรรคเป็นเรื่องที่ผิดปกติ

เช่น จิตร ภูมิศักดิ์ ก็เคยเขียนอะไรทำนองนี้เอาไว้ โดยจะเป็นการเขียนถึงในบริบทใดก็ตาม การเขียนไว้ย่อม
แสดงถึงทัศนคติที่แสดงออกถึงเพศที่สามของผู้เขียน ทั้งที่จริง เพศที่สามในบางลักษณะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
การสลับโครโมโซมแบบไม่ปกติ - ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น และมีเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่น้อยเลย
มันจึงเป็นธรรมชาติของมันอยู่เอง ส่วนในด้านที่ตำนานเขียนถึงเพศที่สามในแบบที่สามารถไล่สังหารคนที่
ครอบครองบุคคลอันเป็นที่รักของตัว ก็เป็นจินตนาการในเรื่องเล่าที่จะต้องเล่าให้สนุกกินใจผู้อ่าน
รวมทั้งหวังผลบางประการไปพร้อมกัน



credit :: tuaytoon.com
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่