-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ไมร่า ฮินเลย์ และ เอียน แบรดี ฆาตกรคู่โหด Part 1  (อ่าน 917 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18233
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

ไมร่า ฮินเลย์ และ เอียน แบรดี ฆาตกรคู่โหด



ถ้ามีการจัด 10 คดีฆาตกรรมที่โลกต้องจารึกแล้ว หากไม่มีการกล่าวถึงฆาตกรรมแห่งท้องทุ่งล่ะก็ถือว่า 10 อันดับนี้
จะขาดสีสันอย่างยิ่ง การฆาตกรรมแห่งท้องทุ่งเป็นคดีสะเทือนขวัญที่ดังที่สุดในประเทศอังกฤษเมืองแห่งผู้ดีแต่จิตใจ
คนกลับไม่ดีตามไปด้วย คดีนี้เกิดขึ้นในศวรรษที่ 60 เป็นคดีที่สื่อประโคมข่าวการทารุณกรรมและฆ่าเหยื่ออย่างโหดเหี้ยม
โดยการร่วมมือของชายหญิงคู่หนึ่งคือไมร่า ฮินเลย์ และเอียนแบรดี ไม่มีใครในอังกฤษเลยที่จะไม่รู้จักคู่รักคู่นรกคู่นี้

             
เรื่องเล่าขนหัวลุก

วันที่ 7 ตุลาคม 1965 ผู้การทาลบ็อตกำลังลาพักร้อนกับภรรยา ในขณะที่กำลังออกเดินทางจู่ๆ ก็สะดุ้งด้วย
เสียงโทรศัพท์ มันเป็นสายจากสารวัตสืบสวนกิล


"มีเรื่องสำคัญน่ะ ขอเวลาหน่อยได้หรือเปล่า มาที่สถานีตำรวจหน่อยสิ"

ทาลบ็อตรู้ว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ จึงสัญญากับภรรยาว่า ขอไปข้างนอกครู่เดียวก่อนที่จะกลับมาพาเธอออกเดินทางพักร้อน
ถ้ารู้ไม่ว่าทาลบ็อตรู้หรือไม่ว่ากำลังย่างเท้าไปสู่คดีแห่งประวัติศาสตร์ที่โด่งดังของอังกฤษที่ยุ่งยากอีกหนึ่งคดีแล้ว
เมื่อทาลบ็อตไปถึงห้องสอบสวนของสถานีตำรวจ เขาได้พบกับชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายคือ เดวิด สมิธ อายุ 17 ปี
ท่าทางตื่นตระหนก ส่วนฝ่ายหญิงชื่อมัวรีน ภรรยาที่แต่งงานได้ปีกว่าๆ เธอมาพร้อมกับสามีเพื่อแจ้งข่าวการฆาตกรรม
ในคดีหนึ่ง โดยสามีเดวิด เป็นผู้เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นทั้งหมด เรื่องมันมีอยู่ว่า...................

"เมื่อคืนนี้ไมร่า ฮินเลย์ เธอเป็นพี่สาวมัวรีนมาที่บ้าน ก็คงมาเยี่ยมน้องสาวกับแม่ของเธอตามปกติแหละครับ
แต่ตอนกลับนี้สิ เธอจะกลับไปคนเดียวแต่กลัวเพราะทางมันมืดทั้งเปลี่ยวก็เลยขอให้ผมเดินมาเป็นเพื่อน
เราเดินไปจนถึงบ้านเลขที่ 16 วอร์เดิลบรู๊ค อเวนิว แมนเชสเตอร์ที่เธออาศัยอยู่กับเพื่อนชายของเธอชื่อเอียน แบรดี ไมรา
เรียกเขาเข้ามาในบ้าน บอกว่าจะให้ไวน์ขวดเล็กๆ เป็นการขอบคุณ ผมก็เลยตกลง เมื่อไมราพาผมเข้าไปในครัว
ปล่อยให้ผมยืนอ่านฉลากข้างขวดไวน์อยู่ที่นั่นคนเดียว ครู่หนึ่งเท่านั้น ผมได้ยินเสียงร้องกรีดดังยาว ไมราตะโกน
เรียกผม เสียงเธอดังอยู่ในห้องนั่งเล่น ผมรีบวิ่งเข้ามาหา แต่พอเข้าไปเท่านั้นก็เห็นเอียนหิ้วอไรไม่รู้อยู่ในมือ
ทีแรกผมคิดว่าเป็นตุ๊กตาผ้าขี้ริ้ว แต่พอเอียนปล่อยให้มันร่วงลงปะทะโซฟา ผมถึงเห็นมันชัดเจนว่ามันไม่ใช้ตุ๊กตา
แต่เป็นเด็กหนุ่มที่ผมไม่รู้จัก

ร่างของเขาลงแผ่บนพื้น เอียนก้าวไปยืนคร่อมเด็กชายคนนั้น ตอนนี้ละครับผมเห็นขวานอยู่ในมือเขา เด็กเอง
คงเห็นขวาน เขาส่งเสียงร้องครางแต่เอียนก็ไม่สนใจ เขาเงื้อขวานขึ้น แล้วจามเข้าไปหัวเด็ก เลือดสาดกระจาย
ผมตกใจแทบสิ้นสติ เนื้อตัวสั่นไปหมดได้แต่ยืนนิ่ง เด็กส่งเสียงครางอีกหนเอียนก็จามหัวเขาเข้าไปอีกที่
เลือดงี้กระจาย คราวนี้เด็กไม่ร้องแล้วละครับ มีแต่เสียงครอกอยู่ในคอ เอียนหาผ้าคลุมเด็กไว้แล้วเอาลวด
มามัดไว้รอบคอศพ เขามัดไปด่าไป

"ไอ้.....สัตว์นรก"
"ไอ้..........."

พอเสร็จเขาก็หันมายิ้มกับไมรา "ก็แค่เนี้ย  ไอ้นรกเอ๊ย"


ตอนนั้นผมก็ไม่รู้จะทำไงดีเลยครับ ยอมรับว่ากลัวที่สุดในชีวิต แล้วในสมองผมก็นึกเอาว่า คงต้องทำอะไร
ตามน้ำไปก่อนเพื่อตัวเองจะได้ปลอดภัย ไม่รู้ว่าเขาจะให้ผมทำอะไรแต่ผมคงต้องทำ....

ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่า จิตใจของทั้งสองทำด้วยอะไร คิดอะไรอยู่ เพราะหลังจากฆ่าคนเสร็จใหม่ๆ
ไมราชงชาให้ผมดื่ม(ใครจะไปกินลง) แถมยังพูดจาหยอกล้อกับเอียงเรื่องสายตาของเด็กตอนที่เอียนจามหัว
แล้วต่างก็หัวเราะกันยกใหญ่ สองคนยังบอกผมว่าเคยมีตำรวจมาสอบเธอหลังจากที่ทั้งสองเพิ่งช่วยกัน
นำร่างเหยื่อไปฝั่งที่ทุ่งแซดเดิ้ลเวิร์ธเสร็จ แล้วก็หัวเราะขบขันกันยกใหญ่ เอียนยังบอกผมอีกว่าเขาฆ่าคน
ก่อนหน้านี้มาหลายคนแล้ว สีหน้าและแววตาของเอียนที่กำลังพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทำให้ผมขนหัวลุกชัน
อย่างบอกไม่ถูก เขาขอให้ผมทำความสะอาดพื้น ช่วยเอาเชือกมัดศพแล้วแบกขึ้นไปไว้ชั้นบน กว่าผมจะกลับมา
ออกจากบ้านนั้นก็จะกลับบ้านได้ก็เกือบเช้า ผมต้องสัญญาแล้วสัญญาอีกกับสองคนนั้นว่าให้ไปช่วยกำจัดศพเช้านี้
บ้าหรือเปล่า ผมไม่มีทางกลับไปที่นั้นอีก พอถึงบ้านน่ะผมเล่าให้มัวรีนฟังหมดแล้วก็พากันออกมาโทรศัพท์
สาธารณะโทรฯ มาหาตำรวจนี้แหละครับ"


สิ้นสุดการเล่าเรื่องจากคำให้การของเดวิด สมิธ ผู้การทาลบ็อคและสารวัตรวิล ต่างยอมรับว่านี้เป็นเรื่องสยองขวัญ
ที่สั่นประสาทแทบไม่น่าเชื่อ และไม่เชื่อว่าทั้งสองปล่อยตัวเดวิดทั้งๆ ที่เขาเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
แต่ถึงอย่างไรทั้งสองต้องมุ่งหน้าสู่บ้าน 16 วอร์เดิลบรู๊ค อเวนิว แมนเชลเตอร์ ทันทีพร้อมกับเรียกกำลัง
ตำรวจถึง 24 นาย เพื่อเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงข้างหน้านั้นด้วย


อาจเป็นเพราะกำลังตำรวจมากพอทำให้ไมรา ฮินเลย์ไม่อาจขัดขื่น ตำรวจนำกำลังขึ้นไปค้นห้องชั้นบน
ซึ่งเป็นห้องเดียวกับที่เดวิดว่ามันล็อคกุญแจ ตำรวจต้องบังคับให้ไมราไข จึงพบศพห่อผ้าห่มสีเทา
และขวานที่เป็นอาวุธสังหารอยู่ครบถ้วน

เอียนและแบรดีและไมรา ฮินเลย์ถูกจับทันที แต่เขาก็ลากเดวิด สมิธเป็นผู้ต้องหาร่วมด้วย แถมแก้ตัวว่า
เขาไม่ได้ตั้งใจฆ่าแต่สุดวิสัย เนื่องจากเกิดการทุ่มเถียงกันระหว่าง เดวิด สมิธ และเอ็ดเวิร์ด อีแวน เด็กหนุ่มวัย 17 ปี
ที่กลายเป็นศพ การทุ่มเถียงนั้นทำให้เกิดโทสะจนต่างกระโจมเข้าต่อสู้กันนัวเนีย เดวิดต่อยเตะเอ็ดเวิร์ดหลายครั้ง
ส่วนตัวเขาเองได้เอาขวานที่อยู่บนพื้นฟันเอ็ดเวิร์ดจนตาย เอียนให้การอีกว่ามีแต่เขากับเดวิดเท่านั้นที่จัดการกับศพ
ไมราไม่มีส่วนในความตายของเอ็ดเวิร์ด อีแวนแม้แต่น้อย

ไมราถูกแยกสอบสวน เธอให้การตรงกับเอียน แบรดี รำพึงรำพันว่าเธอทั้งกลัวและตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ครั้งแรกตำรวจเชื่อคำให้การของไมราจึงได้ปล่อยตัวไป แต่สี่วันต่อมาตำรวจพบกระดาษร่างแผนการต่างๆ
สามแผ่นในรถ หลักฐานชิ้นนี้ทำให้เธอและเอียนดิ้นไม่หลุดเพราะกระดาษทั้งสามแผ่นบ่บอกว่าพวกเขาวางแผน
ฆ่าอย่างมีระบบและเตรียมร่วมมือกันทำอย่างไรบ้าง


อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่ได้ให้ความสนใจกับการฆาตกรรมสดๆ ของเอ็ดเวิร์ด อีแวนที่มีหลักฐานครบถ้วนมากนัก
แต่พวกเขาพุ่งความสนใจไปยังคำพูดของเดวิดที่ว่า ผัวเมียคู่รักนรกนี้พูดคุยโอ่เรื่องเอาเหยื่อไปฝังไว้ที่ทุ่งแซดเดิ้ลเวิร์ธ

นั้นก็หมายความว่าไมราและเอียนอาจฆ่าเหยื่อมากกว่าหนึ่งรายและเป็นต้นเหตุของการหายตัวไปของคนหลายคนในอังกฤษ
ตำรวจเชื่อว่า ทั้งสองได้ฆ่าและฝั่งเหยื่ออย่างที่เดวิดบอกจริง แต่เป็นจำนวนเท่าไหร่ล่ะ? เพราะมีคดีคนหายในแฟ้มตำรวจกว่าร้อยคดี
ตำรวจต้องหาพยานและหลักฐาน จนในที่สุดก็ทำการขุดทุ่งแซดเดิ้ลเวิร์ธ โดยกำหนดจุดที่น่าสนใจและจากภาพถ่าย
ตรงจุดที่ทั้งคู่ชอบถ่ายรวมกันตรงสถานที่นั้น

และแล้ว วันที่ 10 ตุลาคม 1965 ตำรวจพบซากศพแรกเลสลี่ แอนน์ ดาวนี่ อายุ 10 ปี เธอหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 1964 อีกสิบเอ็ดวันต่อมาพบร่างของ จอห์น คิลไบร์ด อายุ 12 ปี ที่หายไปอย่างไรไร้ร่องรอย
เช่นเดียวกับเลสลี่ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1963

เมื่อศพทั้งสองถูกขุดพบ เอียน แบรดี และไมรา ฮินเลย์ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมร่วมทันที และนี้เป็นครั้งแรกของประเทศ
อังกฤษที่ฆาตกรร่วมเป็นผู้หญิง และเป็นครั้งแรกที่เป็นการฆาตกรรมต่อเหยื่อทั้งสองเพศ ทำไมกัน? ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่า
เป็นเพศที่อ่อนนุ่ม เป็นเพศที่ช่วยประคับประคองให้ครอบครัวมีความสุขสมบูรณ์ กับการเป็นมือที่เปื้อนเลือด ฆ่าชีวิตน้อยๆ
ที่ไม่มีความผิดจนยากที่จะให้อภัยได้

เรามาดูประวัติของคนทั้งคู่กัน!

               

ไมรา ฮินเลย์


               
ไมรา ฮินด์เลย์เกิดวันที่ 23 กรกฎาคม 1942 ที่กอร์ตัน ในย่านอุตสาหกรรมแมนเชสเตอร์ เธอเป็นลูกคนโต
ของเนลลีและบ็อบ ฮินเลย์ พ่อเธอถูกเกณฑ์ไปทำงานในหน่วยทหารพลร่มในช่วงสามปีแรกที่เธอเกิด
ทำให้แม่กับยายของไมราชื่อเอลเลน เมย์บิวรี่ เลี้ยงดูไมรา ทำให้ไม่มีปัญหาในเรื่องเลี้ยงดูมากนัก
ในเวลาแม่ของเธออกไปทำงานเป็นช่างเครื่อง


แต่แล้วก็เกิดปัญหาเกิดขึ้นเมื่อบ๊อบ ฮินเลย์กลับมาที่บ้าน เขาซื้อบ้านใหม่เพื่อแยกจากแม่ยาย แต่บ็อบเอง
ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการทำงานแบบพลเมืองได้ รายได้ก็ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และสิ่งที่หนักหนา
ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อทั้งคู่มีลูกคนที่สอง มัวรี ในเดือนสิงหาคม 1946 สถานการณ์ณ์ยุ่งยากมากขึ้น ทั้งสอง
แทบไม่มีเวลาให้กับครอบครัว จึงจำต้องส่งไมราไปให้ยายเอลเลนช่วยดูแลอีกครั้ง

เมื่อไมราถูกส่งไปอยู่กับยาย สถานการณ์ในครอบครัวก็สงบสุขอีกครั้ง ไมรามีความสุขเมื่ออยู่กับยาย
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อเสียสำหรับเธอ คือเธอไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อพ่อเลย พ่อของไมราไม่ใช้คนที่แสดง
อารมณ์มากนักเมื่ออยู่หน้ากับลูก เธอมักทะเลาะกับเธอป่วยๆ จนยากที่จะประสานรอยร้าว

แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือไมราไมรู้วิธีจัดการกับผู้ชาย เพราะเธอไม่มีบทเรียนจากแม่และพ่อเนื่องจาก
ช่วงชีวิตเธอมักอยู่กับยายนั้นเอง ไมราเริ่มต้นวัยเรียนที่โรงเรียนประถมที่ถนนพีค็อกเมื่ออายุ 5 ขวบ เพื่อนๆ
ของเธอมักพูดว่า เธอเป็นคนฉลาดและเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ แต่เธอไม่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน
เพราะยายไม่ชอบ จึงทำให้คะแนนกิจกรรมลดลง แต่ในเรื่องการเรียนไมราแสดงความสามารถให้เห็นว่า
อยู่ในขั้นดี จนเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่นก็ยิ่งเห็นพรสวรรค์ในด้านการเขียนและแต่งกลอน ไมรายังเป็นคนรักกีฬา
ชอบกีฬา เธอเคยเล่นว่ายน้ำแข็งในฤดูหนาวมาแล้ว ทำให้บุคลิกของเธอไม่ใช้ผู้หญิงที่บอบบาง


สิ่งที่น่าแปลกใจกับฆาตกรหญิงคนนี้คือ ไมร่าเป็นคนรักเด็ก จนไม่น่าเชื่อ เธอเคยหาลำไพ่พิเศษระหว่างเรียน
ได้ด้วยการรับจ้างเด็ก พ่อแม่ของเด็กหลายรายก็เต็มใจทิ้งเด็กไว้เธอ เนื่องจาก ท่าทางเธอฉลาดและดูเป็น
ผู้ใหญ่เกินอายุ จึงทำให้ดูแล้วไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด


แต่เมื่อไมราอายุ 15 ขวบ จู่ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงสภาพจิตใจชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เหตุเป็นเพราะในช่วงนี้
ไมรามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อไมเคิล ฮิกกินส์ เด็กชายอายุ 13 ปีที่ขี้อายและบอบบาง ไมรารักเขาและดูแล
เขาราวกับเป็นน้องชาย แต่แล้วความสัมพันธุ์ของเธอกับไมเคิลนั้นก็จบไปอย่างรวดเร็ว ไมเคิลจมน้ำเสียชีวิต
ในอ่างเก็บน้ำที่เด็กแถวนั้นชอบลงว่ายน้ำเล่นเป็นประจำ ไมราได้ยินข่าวนี้ก็โทษตัวเองว่าเป็นเพราะเธอ
ที่ไม่ยอมไปกับไมเคิลในวันที่ไมเคิลตาย ถ้าหากเธอไปด้วยเธออาจช่วยไมเคิลได้เพราะเธอว่ายน้ำแข็งกว่าไมเคิลได้

ความตายของไมเคิลกลายเป็นความมืดที่คลอบคลุมจิตใจของไมราในเวลาต่อมา เธอทำอะไรไม่ได้ตลอด
สองสามอาทิตย์ต่อมา รอยแผลนั้นได้ฝังลึกจนยากต่อการเยียวยารักษา เธอร้องไห้ตลอดเวลา แต่งกาย
ด้วยเสื้อผ้าสีดำและไปโบสถ์ตอนกลางคืนเพื่อจุดเทียนให้ไมเคิล เที่ยวไปเรี่ยไรเศษเงินจากเพื่อนบ้าน
เพื่อซื้อหรีดให้เขา ครอบของของไมราเริ่มเห็นความทุกข์ของไมราว่าเสียใจเกินเหตุ แม้ว่าครอบครัว
จะพยายามปลอบโยมอย่างไร ไมราก็ไม่รับฟัง และเมื่อมีปฏิกิริยต่อต้านกับครอบครัว เธอก็ตอบโต้ด้วย
การเปลี่ยนไปนับถือคริสต์นิกายโรมัรคาทอริคเช่นเดียวกับไมเคิลเสียเลย แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้น การเรียน
ของไมราก็พลอยตกต่ำลงเหว ทำให้เธอต้องออกจากโรงเรียนหลังไมเคิลตายไม่นาน โรงเรียนให้เหตุผล
ที่ไล่ออกไมราว่าเธอไม่ฉลาดพอที่จะเรียนต่อ (ทั้งที่ระดับไอคิวของไมราอยู่ที่ 107)

เมื่อออกจากโรงเรียน ไมราต้องทำงาน งานแรกของเธอคือเป็นเสมียนขั้นต้นในบริษัทวิศวกรรมไฟฟ้าแห่งหนึ่ง
ช่วงเวลานั้นไมราเริ่มหันกลับมาสนุกสนานเช่นเดียวกับวัยรุ่นในยุคนั้นเขาทำกัน เช่น ออกไปคาเฟ่ เต้นรำ
เที่ยวกับผู้ชายบ้าง  และลองเสพบุหรี่ ไมราเริ่มรู้สึกสนุกกับชีวิตวัยรุ่น เธอเริ่มแต่งตัวแบบไม่ซ้ำแบบ
แต่งหน้าเข้ม เพื่อให้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น



เมื่ออายุได้ 17 ปี ไมราเริ่มมีความรักกับรอนนี่ ซินแคลร์ หนุมท้องถิ่นที่ทำงานเป็นคนชงชาในร้านค้าแถวนั้น
ความรักเริ่มผลิบานอีกครั้ง แต่คราวนี้จิตใจเธอไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว สิ่งที่เธอต้องการในตอนนี้คือชีวิต
ที่น่าตื่นเต้น โลดโผน ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร  แต่รอนนี่ไม่ทำให้เธอได้สิ่งนั้น ทำให้ไมราเลิก
กับรอนนี่ในเวลาไม่นานนัก


ไมราเริ่มหาชีวิตแบบที่เธอต้องการ เธอกรอกแบบสมัครเป็นทหารเรือและทหารบก แต่ไม่เคยส่ง ฝันของเธอ
อีกอย่างคือการเป็นคนเลี้ยงเด็กอเมริกาแต่ก็ไม่เคยพยายามอย่างจริงจัง สิ่งเดียวที่เธอทำในตอนนี้คือการ
เดินทางหางานที่ลอนดอน แต่วันมีผ่านเลยไปสองปี กลับคว้าได้แต่ความว่างเปล่า

แต่แล้วในที่สุดสิ่งที่แปลกใหม่และตื่นเต้นก็วิ่งเข้ามาหาเธอดังที่เธอปรารถนา เมื่อเดือนมกราคม 1961
ไมรา ฮินด์เลย์ได้พบกับเอียน แบรดี เป็นครั้งแรก



               
เอียน แบรดี



แอน แบรดี เกิดเมื่อวัยที่ 2 มกราคม 1938 ในกอร์บอลซึ่งเป็นสลัมที่มีสภาพเลวร้ายที่สุดในกลาสโกว์
ในขณะนั้น แม่ของเอียนคือมาร์การ์กาเร็ต สจ๊วต เป็นพนักงานทำงานอยู่ในห้องน้ำชาในโฮเต็ลแห่งหนึ่ง
เธอตั้งครรภ์เขาออกมาโดยไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นพ่อเด็กในท้อง  ทำให้ได้รับสายตาที่ดูถูกจากคนรอบข้าง
อยู่เสมอ และมาร์กาเร็ตก็ไม่เคยบอกเอียนว่าใครเป็นพ่อ ยกเว้นเพียงบอกใบ้ว่าเขาเป็นนักหนังสือพิมพ์
จากกลาสโกว์ แต่ตายก่อนที่เอียนจะเกิดเพียงสองสามเดือน


เนื่องด้วยไม่มีสามี แม่ของเอียนจึงต้องทำงานหาเลี้ยงด้วยตัวของตัวเองและลูกด้วยการเป็นบริกรต่อไป
แต่เงินเดือนเพียงน้อยนิดของเธอไม่อาจเลี้ยงดูลูกได้ตลอดเวลามากนัก บ่อยครั้งที่เธอต้องปล่อยให้
เอียนอยู่บ้านตามลำพัง จนในที่สุดเมื่อเธอไม่สามารถเลี้ยงดูเอียนได้ จึงประกาศโฆษณาหาคนมารับ
เลี้ยงดูเอียนไว้อย่างถวาร (ยกลูกให้นั้นแหละ)

ปรากฏว่ามีผัวเมียคู่หนึ่งคือ แมรี่และจอห์น สโลน แม้ทั้งสองจะมีลูกอยู่แล้วถึง 4 คน แต่ด้วยความรัก
เด็กจึงตอบรับเลี้ยงดูเอียน โดยมาร์การ์กาเร็ตเซ็นโอนสวัสดิการรัฐของเอียนให้แก่เขาทั้งสองคน
เท่ากับว่าเอียนเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวนี้อย่างไม่เป็นทางการ แต่เธอก็ไปเยี่ยมลูกทุกอาทิตย์
พร้อมกับหาของขวัญ ของเล่นไปให้เสมอ โดยไม่ได้บอกว่าเธอเป็นแม่

เอียนเริ่มเรียก แมรี่ สโลนว่า "ป้า" และ "แม่" ตามลำดับ แล้วเมื่อนานๆ เข้าแม่ที่แท้จริงของเอียน
ไม่มาอีกเลยเมื่อเอียนอายุ 2 ปี เพราะเธอแต่งงานกับสามีใหม่ แพทริค แบรดิ และย้ายไปที่แมนเชสเตอร์


อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนระหว่างแม่และเอียน รวมทั้งสภาวะความเป็นอยู่อาศัยของครอบครัว
ของสโลนนี้ก็ได้ ที่ทำให้เอียนรู้สึกว่า เขาไม่เป็นของใคร และไม่มีใครเป็นของเขา ไม่ว่าพวกสโลนจะสร้างความรัก
แก่เอียนมากเท่าไหร่ เอียนก็ไม่มีท่าที่ตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น เขาเริ่มตีกรอบตัวเขาเอง และค่อยๆ กีดกันคนอื่น
รอบข้างออก และตอบโต้โดยความดื้อรั้นและความโกรธเกรี้ยว จนในที่สุดนานๆ เข้าจึงติดเป็นนิสัย
ซึ่งครอบครัวสโลนเห็นพฤติกรรมของเอียนจนชาชิน

แต่การแสดงออกทางอารมณ์ แตกต่างจากความฉลาดของเอียน เขาฉลาดมาก จนครูในวัยประถมมักชมเอียน
ว่าเป็นเด็กหัวไว เสียอย่างเดียวว่า เขาไม่ขยัน ถ้ามีความพยายามมากกว่านี้สักนิดเอียนอาจไม่เป็นฆาตกร...!

ครอบครัวสโลนรู้ดีทำไมเอียนชอบนำศพไปฝังที่ท้องทุ่งแทนที่จะฝังในป่าที่หาได้ยากกว่า เนื่องจาก
มีเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อเอียนอายุ 9 ขวบ ได้ไปเที่ยวกับครอบครัว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เอียนไปเที่ยวนอกกอร์บอล
เขาไปปิกนิกที่ทุ่งลอค โลมอนด์ หลังอาหารกลางวันผ่านไป สมาชิกครอบครัวสโลนต่างพากับนอนแผ่
งีบกันบนพื้นหญ้า แต่พอตื่นขึ้นก็พบว่าเอียนได้หายไป จ่างคนต่างช่วยกันหา ในที่สุดก็พบว่าเขาปีนขึ้น
ยืนอยู่บนยอดเขาสูงถึง 500 หลา เขายืนนิ่งอยู่ที่นั้นนานนับชั่วโมง ครอบครัวสโลนต่างพยายามตะโกนกู่ร้องเรียก
พ่อแม่สโลนส่งลูกชายสองคนของเขาตามไปถึงตัว แต่เอียนกับไม่แยแส บอกให้ทุกคนกลับบ้านไม่ต้องห่วงเขา
เขาอยากอยู่คนเดียว


ภาพเงาดำของเอียนที่ทะมึนตัดกับท้องฟ้ากว้าง นับเป็นภาพที่พวกเขาจดใจจนขึ้นใจ หลังจากนั้นเขาก็ยอมลง
และขึ้นรถบัสกลับบ้านในเวลาต่อมา นี้เป็นครั้งแรกที่เอียนพูดเป็นต่อยหอย เป็นสัญญาณอันตรายว่าเขาได้รับ
ประสบการณ์บางอย่างจากการไปเที่ยวครั้งนี้ มันเป็นประสบการณ์ส่งผลไปถึงวัยผู้ใหญ่ นั้นคือความรู้สึกว่าตัว
เขาเป็นใหญ่อยู่ท่ามกลางอาณาเขตที่ไม่สิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่นั่นเป็นของเขารวมทั้งพลังและอำนาจ
ความแข็งแกร่ง ต่างจากชีวิตจริงที่มีแต่ม่านหมอกของความว่างเปล่า
ในทุ่งนั้นเขาเป็นนาย และเป็นราชา!

น่าเสียดายที่ชีวิตของเอียน แบรดีไม่เป็นประโยชน์กับใครเลยทั้งๆ ที่เขามีสมองปราดเปรื่อง เอียนเคยผ่าน
การทดสอบเข้าสถาบันชอร์แลนด์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กอัจฉริยะได้เมื่ออายุ 11 ปีมาแล้ว แต่เพราะความ
ขี้เกียจนี้แหละที่ทำให้สมองที่ชาญฉลาดต้องสูญเปล่า ที่แย่ไปกว่านั้น เอียนเริ่มเกเร สูบบุหรี่ ไม่สนใจการเรียน
และถูกตำรวจจับบ่อยขึ้น แต่สิ่งเดียวที่พัฒนาของเอียนกับเป็นสมองในความตรึงใจกับภาพสงครามโลกครั้งที่สอง
โดยเฉพาะเรื่องนาซี เขารู้สึกสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง



เขาเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับความรุนแรงและซาดิสต์ แล้วยิ่งอ่าน เอียนก็ยิ่งพบในสิ่งที่เขาอยากทำ บางสิ่ง
ที่น่าตื่นเต้น ท้าทาย ในช่วงอายุ 13-16 ปี เอียนถูกตำรวจจับสามครั้งข้อหางัดแงะขโมยของ เขาจวนเจียน
จะถูกศาลตัดสินคุมประพฤติอยู่แล้วแต่รอดไปได้เพราะเขากำลังย้ายไปอยู่กับเป๊กกี้ผู้เป็นแม่และแพทริค
แบรดีสามีใหม่ของเธอที่แมนเชสเตอร์


ช่วงนี้คือปลายปี 1954 มันเป็นปีที่เอียนมีจิตใจสับสน เมื่อมาอยู่กับแม่ที่แท้จริงกับพ่อเลี้ยงคนใหม่ แทนที่
จะดีขึ้นเขากับรู้สึกว่าอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า อีกทั้งการพูดจาสำเนียงสก็อตที่ไม่เข้ากับคนท้องถิ่น 
แม้จะมีการเปลี่ยนนามสกุลจากสจ๊วตเป็นแบรดีตามพ่อแล้ว แต่ก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นมากนัก

ความรู้สึกที่ว่าไม่เหมือนใคร ทำให้เอียนเริ่มหาทางของตัวเองที่แตกต่าง เขาเริ่มเข้าทำงานขนของในตลาด
หลังจากเอียนย้ายมาที่มอสไซค์ อยู่มาได้ปีกว่าๆ เขาเริ่มก่ออาชญากรรมอีก เขาลาออกจากการขนของในตลาด
แล้วไปทำงานที่โรงต้มเหล้าแทน ที่นั้นนายจ้างจับได้ว่าเขาเป็นสายให้พวกหัวขโมยตะกั่วปิดจุก ส่งผลให้เขา
ต้องเข้าไปสู่สถานพินิจเยาวชนเป็นเวลาสองปี

แต่.......แทนที่จะเข้าคุกจิตใจของเอียนจะดีขึ้น กลับกลายเป็นการต่อหางต่อปี เอียนได้เริ่มเรียนรู้เรื่อง
อาชญากรรมต่างๆ เขาเริ่มตั้งตนเป็นใหญ่ ชอบทำแหกกฎในคุกเช่น ต้มเหล้าเถื่อน เล่นการพนัน จนกระทั้ง
ถูกส่งเข้าคุกฮัง เมื่อเขามีเรื่องตะลุมบอลผู้คุม ในขณะนั้นเอียนมีอายุ 17 ปี


การย้ายคุก ทำให้เอียนเริ่มขึ้นและสุขุมมากขึ้น แต่ไม่เลิกคิดที่จะทำชั่ว เพราะมันได้หยั้งลึกเข้าไปในสายเลือด
จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว เขาเริ่มศึกษาเรียนรู้จากคนคุกรอบข้าง แล้วเริ่มคิดการใหญ่ว่าจะวางแผลว่าถ้าออกจากคุก
จะหาเงินได้มากๆ โดยระหว่างนี้เขาต้องมีอาชีพสุจริตไว้บังหน้า เขาจึงเริ่มเข้าเรียนหลักสูตรบรรณารักษ์ในคุกที่เขาอยู่

ครั้งนั้นเมื่อเอียนถูกปล่อยตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1957 เอียนไม่มีงานทำ อยู่นานหลายเดือน ถึงขนาด
ยอมทำงานเป็นกรรมกร จนกระทั้ง ปี 1959 เอียนได้ไปทำงานเป็นพนักงานสต็อคที่มิลวาร์คเมอร์แคนไดส์
อีกปีกว่าๆ ต่อมา เลขานุการใหม่ก็มาถึง.......


(ติดตามตอนต่อไป)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 พฤษภาคม 2014, 17:44:07 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่