การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ปัญหาระดับโลก
องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลว่า ในทุกปีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เป็นสาเหตุนำไปสู่การทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยของผู้หญิงอย่างน้อยจำนวน 20 ล้านคน ซึ่งกว่า 100,000 คนต้องเสียชีวิตลงในที่สุดเพราะเกิดอาการแทรกซ้อนต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงอีกจำนวนนับล้านต้องประสบปัญหาเรื้อรังทางสุขภาพอันเนื่องมาจากการทำแท้ง ที่ไม่ปลอดภัยด้วย
เฉพาะในประเทศไทย ผลการสำรวจหลายครั้งระบุว่า ในจำนวนผู้หญิงที่สมรสแล้วและตั้งครรภ์เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนทั้งหมด ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพิจารณาว่านี่เป็นการสำรวจเฉพาะผู้ที่สมรสแล้วเท่านั้น ยังไม่รวมผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ตั้งครรภ์โดยที่ไม่ได้สมรส ซึ่งมีผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์เป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ของตนเอง
การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินสามารถช่วยลดอัตราการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ซึ่งส่งผลให้การทำแท้งมีจำนวนลดลงด้วย และนั่นหมายถึงชีวิตของผู้หญิง จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ไม่ต้องสูญเสียไปเพราะการทำแท้งที่ไม่ถูกหลักการแพทย์ และชีวิตของเด็กจำนวนมากที่ไม่ต้องเกิดมาโดยที่ครอบครัวไม่พร้อมจะเลี้ยงดู
การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินคืออะไร ?
การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินก็คือ วิธีการคุมกำเนิดที่ใช้ภายหลังการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์เฉพาะกรณีฉุกเฉินจริงๆ
การคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน จะใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะในกรณีที่คุณ "พลาด" และเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่ต้องการเท่านั้นมันไม่ใช่การคุมกำเนิดตามปกติ และไม่ใช่วิธีที่จะนำมาใช้ในการวางแผนครอบครัวด้วย เรามักเรียกยาเม็ด ที่ใช้เพื่อการคุมกำเนิดฉุกเฉินนี้ว่า "ยาคุมหลังร่วมเพศ" หรือ "ยาคุมชั่วคราว" หรือ "morning after" ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่สร้างความเข้าใจผิด และนำไปสู่การใช้ยาคุมฉุกเฉีนผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจมีผลต่อร่างกายของผู้หญิงในระยะยาวเพราะ ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่การคุมกำเนิดแบบธรรมดาที่เราคุ้นเคยกัน อย่างเช่น ยาคุม 21 เม็ด หรือยาคุม 28 เม็ด แต่ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่ผลิตขึ้นมา โดยมีสูตรเฉพาะเพื่อให้ผู้หญิงใช้ในช่วงที่เกิดปัญหาและไม่ต้องการตั้งครรภ์เท่านั้น หากเรานำยาคุมฉุกเฉินมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดา มันจะกลายเป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพต่ำไปในทันที นั่นหมายความว่า หากคุณมีเพศสัมพันธ์อยู่เป็นประจำและใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ คุณจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์มากขึ้นเมื่อเทียบกับถ้าคุณใช้วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดาวิธีอื่นๆ
การคุมกำเนิดฉุกเฉินมิได้เพียงการกินยาเท่านั้น แต่ยังสามารถทำได้ โดยการใส่ "ห่วงอนามัย" หรือที่เรียกว่า IUD (ไอยูดี) ซึ่งวิธีนี้ต้องอาศัยแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ผ่านการอบรมเป็นผู้ใส่ให้เป็นวิธีที่ไม่สะดวกจึงไม่เป็นที่นิยมใช้
การกินยาคุมฉุกเฉินล่วงหน้าก่อนมีเพศสัมพันธ์
จะไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้เลย
ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร ?
เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ผู้หญิงทั่วโลกใช้ยาคุมฉุกเฉินในการป้องกันการตั้งครรภ์ หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน (unprotected sex) องค์การอนามัยโลกให้การรับรองว่า การกินยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกัน การตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ในระดับหนึ่ง
ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนผสมเช่นเดียวกับยาคุมธรรมดา แต่มีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดสูงกว่า และต้องกินหลังจากมีเพศสัมพันธ์ภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ ในขณะที่ยาคุมธรรมดาต้องกินวันละ 1 เม็ด ทุกๆ วัน (กรณีแผงละ 28 เม็ด) และมีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดน้อยกว่า
ยาคุมฉุกเฉินมี 2 แบบ
ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนผสม ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสตินผสมกัน (Combined Pill Regimens : Yuzpe Method) ปริมาณยาที่กินแต่ละครั้งต้องมีฮอรฺโมนเอธิลเอสตราดิออล (ethinyl estradiol) อย่างน้อย 0.1 มิลลิกรัม รวมกับฮอร์โมนเลวอนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) อย่างน้อย 0.5 มิลลิกรัม
หรือ
ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว (Progestin-Only Pill Regimens) ปริมาณยาที่กินแต่ละครั้งต้องมีฮอร์โมนเลวอนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) อย่างน้อย 0.75 มิลลิกรัม
หรือ
ใครควรกินยาคุมฉุกเฉิน ?
ยาคุมฉุกเฉินไม่ใช่ยาคุมธรรมดาซึ่งที่ต้องกินเป็นประจำทุกวัน หากแต่ยาคุมฉุกเฉินมีปริมาณฮอร์โมนสุงกว่า เพราะผลิตขึ้นมาเพื่อ แก้ปัญหาให้แก่ผูหญิงที่ไม่ต้องการตั้งครรภ์ในกรณีต่อไปนี้เท่านั้น
* มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดใดๆ
* ใช้ถุงยางแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่ารั่ว/แตก/หลุดหรือไม่
* กินยาคุมชนิดธรรมดาอยู่ แต่ลืมเกินไป วันสองวันหรือนานกว่านั้น
* ใส่ห่วงคุมกำเนิดแล้ว แต่มันหลุด
* นับระยะปลอดภัย (หน้าเจ็ดหลังเจ็ด) ผิดพลาด
* ถูกข่มขืน, มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ตั้งใจ ไม่เต็มใจ
ในภาวะฉุกเฉินที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ การกินยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกวิธี หลังจากมีเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 75% แต่ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์อยู่เป็นประจำ หรือมีเป็นระยะๆ คุณควรจะใช้วิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดา ซึ่งจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่าการกินยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินที่ขายในบ้านเราขณะนี้มีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ
โพสตนอร์ (Postinor) และมาดอนนา (Madonna)
ซึ่งทั้งสองยี่ห้อต่างก็เป็นยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยว
วิธีการกินยา
ตามข้อมูลทางวิชาการ การกินยาคุมฉุกเฉินทั้งแบบฮอร์โมนผสม และแบบที่มีฮอร์โมนเดี่ยว มีวิธีการกินเหมือนกันคือ ต้องกิน 2 ครั้ง
ครั้งแรกภายในเวลา 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์
ครั้งที่สอง กินหลังจากที่กินครั้งแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง
หมายความว่า ถ้ามีเพศสัมพันธ์ตอนสองทุ่ม และกินยาเม็ดแรกตอน 5 ทุ่ม จะต้องกินยาเม็ดที่สองตอน 11 โมงเช้าซึ่งก็คือ 12 ชั่วโมงถัดมานั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังมีการศึกษาวิจัยว่า จำเป็นต้องกินยาเม็ดที่สองหรือไม่ เพราะถ้าประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีที่กินเม็ดเดียว กับกรณีที่กินยาสองเม็ดนั้นไม่แตกต่างกัน การกินแค่เม็ดเดียว น่าจะช่วยลดอาการข้างเคียงของยาลงได้แต่ยังไม่สามารถยืนยันผลใดๆ เนื่องจากการศึกษาวิจัยนี้ยังไม่เสร็จสิ้น
ยาคุมธรรมดาก็สามารถใช้เป็นยาคุมฉุกเฉินได้
ยาคุมแบบธรรมดาว่าจะเป็นแผง 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ที่มีชนิดและปริมาณของฮอร์โมนตรงตามสูตรของยาคุมฉุกเฉิน สามารถนำมาใช้กินเป็นยาคุมในเวลาฉุกเฉินได้ ตารางที่แสดงในหน้าต่อไปจะบอกให้รู้ว่า มียาคุมที่ขายในประเทศไทยยี่ห้อใดบ้างที่สามารถนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ ข้อควรระวังในการกินยาแต่ละยี่ห้อ ก็คือ การกินแต่ละครั้งจะมีจำนวนเม็ดยา ที่ต้องกินมากน้อยต่างกันไปตามปริมาณของฮอร์โมนที่มีอยู่ในตัวยาแต่ละยี่ห้อ และในการกินแต่ละครั้งจะต้องกินยี่ห้อเดียวกันเท่านั้น
การกินยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อโพสตินอร์ (Postinor) หรือ
มาดอนนา (Madonna) ก็ให้ใช้วิธีนี้เช่นกัน คือ
กินเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
แล้วกินเม็ดที่สองในอีก 12 ชั่วโมงถัดมา