-->

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องเล่าหลังวัด  (อ่าน 735 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

don

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องเล่าหลังวัด
« เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 00:53:02 »

ปลายเดือนมกราคมของพ.ศ.๒๕๔๗ เป็นช่วงที่ภาคอิสานตอนบนประสบกับอากาศหนาวที่แปลกกว่าทุกปีเล็กน้อย เป็นความแปลกที่ทรมานเสียด้วยคือ นอกจากจะหนาวเย็นจนกระดูกแทบกรอบแล้ว ฝนผิดฤดูก็ยังโปรยปรายเพิ่มความยะเยือกลงมาอีก ทำให้หลายคนที่ปรับตัวไม่ทันเป็นไข้ล้มป่วยไปตามๆกัน เป็นการตกที่มาราธรคือตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนจนหมดเดือนมกราคมเลยทีเดียว แต่พอขึ้นวันใหม่ของเดือนกุมภาพันธ์ก็ขาดเม็ดไปเสียเฉยๆเหลือเพียงความเหน็บหนาวจากไอความชื้นไว้เท่านั้น เมื่ออากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นบ้างเพราะแสงแดดเริ่มส่องมา กิจกรรมประจำวันของชาวบ้านรวมทั้งตัวผมก็เริ่มกลับมาดำเนินตามปกติอีกครั้ง แต่สำหรับผมนั้น ไม่ว่าจะหนาวหรือฝนก็ไม่มีผลเหมือนกับชาวบ้านคนอื่นๆเท่าใดนักหากไม่ติตรงที่เป็นคนขี้เกียจสักหน่อย เพราะเป็นลูกจ้างประจำที่ต้องคอยเฝ้าดูแลสวนยางพาราให้เถ้าแก่ ด้วยสภาพร่างกายที่เคยชินกับทุกสภาพอากาศ ทำให้ผมไม่ค่อยใส่ใจกับความหนาวเย็นมากนัก เสื้อผ้าซ้อนกันสองตัวก็ทำให้ผมอยู่ได้อย่างสบายในเวลาทำงานกลางลมหนาวหรือแม้แต่ในเวลานอน บวกกับดีกรีของสาโทที่ทำไว้กินเองก็ช่วยให้ร่างกายต้านทานลมหนาวได้ดีขึ้นอีก และในยามที่ว่างจากการทำงานของคนที่ขาดความอบอุ่นตั้งแต่เด็กเพราะมีพี่น้องรวมกันสามารถตั้งทีมฟุตบอลได้และยังเหลือเป็นตัวสำรองได้อีกสองคนนั้น การปล่อยอารมณ์กับสารระเหยจึงเป็นความละมุนส่วนตัวที่ผมจะพอพึ่งได้ในยามเหงา ตราบเท่าที่ผมสามารถหาซื้อมันมาด้วยเงินของผมเอง แม้เถ้าแก่จะรู้ แกก็ไม่ว่าอะไรมากแค่เตือนว่าผมคงได้ตายเพราะมันซักวัน หากยังไม่ยอมเลิก ผมกลับอยากให้ถึงวันนั้นไวๆเพราะนี่ขนาดตอนมีชีวิตอยู่มันยังทำให้ผมรื่นรมย์ได้ขนาดนี้ ถ้าหากเกิดว่าผมตายไปพร้อมกันกับมันเท่ากับว่าขึ้นสวรรค์เป็นแน่แท้ ผมคิดอย่างนี้
สวนยางที่ผมเฝ้าดูแลอยู่นั้น ห่างจากหมูบ้านแค่สองสามกิโลเมตรเท่านั้นโดยมีวัดตั้งอยู่ก่อนที่จะถึงหมู่บ้าน ทุกๆวันหลังจากที่ทำงานทุกอย่างแล้ว ผมมักจะนั่งทอดอารมณ์และสูดดมเจ้ากาวของโปรดก่อนจะหลับไปอย่างเป็นสุข ตื่นขึ้นมาเก็บยางอีกทีก็เช้ามืดก่อนทำเป็นยางแผ่น และเถ้าแก่ก็จะมารับเอาไปส่งตลาดอาทิตย์ละครั้ง เป็นวงจรของชีวิตที่เอื้ออำนวยต่อคนอย่างผมมากเหลือเกิน ทำงานได้เงินและก็...กาว
หลังจากที่ทำงานประจำวันแล้ว วันนี้ผมต้องเข้าหมู่บ้านเสียหน่อยเพราะตั้งแต่คืนวานสิ่งบรรดาลความสุขของผมหมดลงพอดี จึงรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อให้ถึงหมู่บ้านก่อนสองทุ่มเนื่องจากในต่างจังหวัดนั้นร้านค้าจะปิดไวมาก เมื่อเรียบร้อยก็ปั่นจักรยานเข้าหมู่บ้านทันที สองข้างทางในเวลาพลบค่ำเช่นนี้มองดูอึมครึมน่ากลัวแม้ว่าจะพอมองลอดทะลุแนวต้นยางได้บ้างลางๆแต่ก็ยังน่ากลัว แสงจากตะเกียงแบตเตอร์รี่ของคนที่กรีดยางมองเห็นวับแวบไกลๆ ผมลืมบอกไปว่าที่แถวบ้านผมนั้นเขากรีดยางกันตั้งแต่เริ่มมืดกันเลย สองสามทุ่มก็เสร็จกันแล้ว
สภาพถนนจะขึ้นๆลงๆตลอดเวลาเพราะสภาพพื้นที่เป็นเนินๆและก่อนที่จะถึงเขตวัดผมก็ต้องผ่านเนินอีกลูกหนึ่งซึ่งสูงมาก นี่ถ้าหากเป็นวันที่ผมได้ดมกาวมาก่อนละก็เนินแค่นี้ผมปั่นข้ามได้สบายแต่วันนี้เรี่ยวแรงผมหดหายไปมากเพราะขาดของดีส่วนตัวเลยต้องจูงเอากันล่ะและเมื่อลงเดินความวังเวงของสองข้างทางยิ่งทำให้ผมปอดยิ่งขึ้น เสียงฝูงนกเป็ดที่บินผ่านไปร้องประสานกันดังแว่วๆอยู่ในความมืดด้านบน ผมเร่งฝีเท้าเพื่อจะได้พ้นๆเนินและขึ้นปั่นจักรยานเสียที
ขณะที่กำลังเร่งฝีเท้าอยู่นั่นเอง ผมก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอีกโขเมื่อเห็นแสงสว่างสาดข้ามเนินขึ้นมา ดูจากความสว่างแล้วคงเป็นรถยนต์ที่ขับสวนมานั่นเอง แต่ก็แปลกตรงที่ไม่มีเสียงของรถยนต์เลยและก็ไม่ได้ผิดสังเกตอะไรคิดเอาว่าเพราะเนินสูงนี่เองที่กั้นเสียงเอาไว้ มีอย่างเดียวคือขอให้รู้ว่ามีคนผ่านมาก็พอ มาเริ่มผิดสังเกตตรงที่เหมือนว่าแสงนั่นเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหวมาทางผมแต่กลับค่อยๆเลื่อนออกนอกทาง จะว่ารถเลี้ยวก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตรงยอดเนินนี้ไม่มีทางแยกไปทางไหนเลย เป็นแนวต้นยางล้วนๆ
จนกระทั่งพ้นเนินขึ้นมา และมองเห็นที่มาของแสงสว่างเท่านั้น เลือดทุกหยดในตัวผมก็เหมือนว่ามันจะจับตัวกันเป็นก้อนขึ้นมาแทบจะทันที ขาของผมแข็งหยุดยืนอยู่กับที่สายตาเบิกค้างนิ่งจับอยู่ที่เบื้องหน้าทั้งที่อยากเบือนหนีแต่ก็ฝืนไม่ได้ ปลายจมูกเริ่มชาๆมันตึงไปจนถึงกกหูเหมือนถูกรัดด้วยหนังยางเส้นให_่จนน้ำตาปริ่มออกมา หนังศรีษะเกิดอาการคันขึ้นมาอย่างรุนแรงยังกับมีมดคันเป็นร้อยๆตัวรุมกัด มือกำแฮนด์จักรยานแน่นนิ่งอยู่ตรงนั้น
มันไม่ใช่รถยนต์หรือเครื่องกำเนิดแสงใดๆที่มนุษย์สร้างขึ้นเลยหากแต่สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาผมขณะนี้คือ วัตถุทรงกลมใสเหมือนลูกแก้วขนาดลูกฟุตบอลที่เรืองแสงได้ น่าจะเรียกว่าส่องแสงได้มากกว่า กำลังลอยผ่านแนวต้นยางที่ความสูงในระดับสายตาไปอย่างช้าๆ บริเวณที่มันลอยผ่านไปสว่างโร่เหมือนมีไฟแสงจันทร์ริมถนนในตัวเมืองติดตั้งไว้ ลักษณะการเปล่งแสงไม่ใช่การกระพริบแต่สว่างจ้าตลอดเวลาก่อนจะหายเข้าไปทางด้านล่างของเนินซึ่งเป็นแนวทึบของป่าไผ่และกล้วยป่าที่ขึ้นปกคลุมสองฝั่งลำห้วยแต่ยังพอมองเห็นแสงที่ส่องลอดช่องระหว่างใบไม้ออกมาจนกระทั่งลับไปและทุกอย่างก็กลับอยู่ในสภาพอึมครึมของเวลาหัวค่ำปกติอีกครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกินเวลาเพียงสามสี่นาทีเท่านั้น
ผมเริ่มขยับนิ้ว กระพริบตา ปล่อยจักรยานและทรุดนั่งด้วยอาการหมดแรงน้ำตาไหลพรากแต่ไม่มีอาการสะอื้นเลย 20 นาทีผ่านไปหลังจากที่เช็ดน้ำตาและรวบรวมเรี่ยวแรงพอไปต่อไหวจึงจูงจักรยานเดินลงเนิน เพราะไม่มีแรงปั่นแล้ว ผมพยายามคิดว่าตัวเองเมากาวแต่ว่ามันก็ไม่ได้ตกถึงปอดผมตั้งแต่เมื่อวาน คงไม่เมาถึงวันนี้หรือว่าหิวกาวมากไปจนเกิดภาพหลอนขึ้นกันแน่
และก็สะดุ้งแทบเหวออีกหนกับเสียงทักดังๆจากคันคูบ่อสระน้ำให_่หลังวัด ?ไปไหนมา? ผมหันขวับตามที่มาของเสียงทันที จากน้ำเสียงกับบุคลิกท่าทางของบุคคลผู้นี้ต่อให้เห็นหน้าไม่ชัดเพียงใดทุกคนในหมู่บ้านแถบนี้รวมทั้งผมด้วยก็จำท่านได้ดี ?หลวงพ่อ !?ผมอุทานด้วยอาการขนลุกแต่เกิดจากความดีใจและอุ่นใจสุดขีด จอดจักรยานแล้วรีบนั่งยองๆยกมือไหว้ท่วมหัวตอบด้วยเสียงที่ยังสั่นอยู่ ?มาจากสวนครับ จะเข้าไปซื้อของสักสองสามอย่าง? ท่านหัวเราะเบาๆเป็นการรับรู้ ผมจึงถามท่านต่อ ?หลวงพ่อมาอยู่ตรงนี้นานแล้วหรือครับ?
?ชั่วโมงกว่าๆแล้วล่ะ ทำไมเหรอ? ผมขนลุกอีกครั้งกับคำตอบของท่าน รีบถามท่านทันทีด้วยเสียงที่แหบๆ ?แล้ว......หลวงพ่อเห็น...เอ่อ....?ผมถามได้แค่นั้น ท่านก็ตอบแบบที่ผมต้องทรุดเผละลงกับพื้นถนนตรงนั้น ด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคุยเรื่องปกติ ?อ๋อ...ไอ้ลูกแก้วนั่นน่ะเหรอ เราก็นั่งดูตั้งแต่มันขึ้นตอนแรกแล้วล่ะ จากต้นมะหาดข้างหลังเอ็งนั่นแหละ? ผมเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างหวาดระแวง ท่านกลับหัวเราะเสียอย่างนั้น แสดงว่าผมไม่ได้เมากาวหรือหิวกาวจนเกิดภาพหลอนขึ้นมาแต่อย่างใด
?แล้ว....มันคืออะไรครับหลวงพ่อ? ผมถามเพราะนึกคำถามนี้ได้เท่านั้น คำตอบของท่านคือ ?ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปใส่ใจกับมันเลย ถึงเวลามันก็ออกของมันอย่างนี้แหละ ธรรมดาของของมันน่ะ แถวนี้มันออกประจำบางทีก็ลูกให_่บางทีก็ลูกเล็ก ไม่มีอันตรายกับคนเราหรอก?
ผมยังกลัวอยู่มาก เลยถามต่อ?แล้วนี่ผมต้องทำอย่างไรดีครับนี่ เจอแบบนี้แล้วใจไม่ดีเลย?
?ไม่ต้องคิดมากหรอก ดีซะอีกที่เขามาให้เห็น แล้วนี่เอ็งก็คัดทหารมาแล้วนี่ ไม่คิดจะบวชหาพ่อแม่เอ็งบ้างหรือ เขาอาจมาเตือนเอ็งเรื่องนี้ก็ได้?
หลังที่ได้พบเห็นเหตุการณ์และได้คุยกับหลวงพ่อในคืนนั้น ผมจึงตัดสินใจเลิกดมกาวและบวชกับท่านได้ครบ ๖ เดือนพอดีก็ลาสิกขาออกมา โดยระหว่างที่บวชอยู่นั้นหลวงพ่อท่านจะบอกให้ผมไปนั่งตรงคันคูสระน้ำตรงข้ามกับต้นหาดต้นนั้นทุกคืนวันแรม ๑๔ค่ำ ทุกวันนี้ผมไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่า เจ้าลูกแก้วส่องแสงนั่นคืออะไร

cmman573

  • บุคคลทั่วไป
Re: เรื่องเล่าหลังวัด
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 10:04:02 »

อาไรที่เกี่ยวกับวัดก้อมีสิ่งลี้ลับเหมือนกันหรือเนี้ย

pulohid

  • บุคคลทั่วไป
Re: เรื่องเล่าหลังวัด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 10:24:28 »

เค้ามาดีก็ดีไป

cooltea79

  • บุคคลทั่วไป
Re: เรื่องเล่าหลังวัด
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 11:10:41 »

ตกลง เป็นวิญญาณช่ายอ่ะป่ะ

notear

  • บุคคลทั่วไป
Re: เรื่องเล่าหลังวัด
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 01 สิงหาคม 2008, 21:57:49 »

อาไรที่เกี่ยวกับวัดก้อมีสิ่งลี้ลับเหมือนกันหรือเนี้ย


อ่ะ ใช่เลย วัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นะ  พี่น้อง 890

cmman573

  • บุคคลทั่วไป
Re: เรื่องเล่าหลังวัด
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 02 สิงหาคม 2008, 12:44:22 »

ผมแปลกใจอยู่อย่าง ว่าวัดมีพระ ผีกลัวพระ แล้วทำมายยยยย วัดถึงมีผีมากมายก้อไม่รุ้

notear

  • บุคคลทั่วไป
Re: เรื่องเล่าหลังวัด
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 03 สิงหาคม 2008, 23:22:15 »

ผมแปลกใจอยู่อย่าง ว่าวัดมีพระ ผีกลัวพระ แล้วทำมายยยยย วัดถึงมีผีมากมายก้อไม่รุ้


อยากรู้หรือป่าว 

ว่าง ๆ ก็ลองไปถามเขาดูสิ kjhg

pass07

  • บุคคลทั่วไป
Re: เรื่องเล่าหลังวัด
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 04 สิงหาคม 2008, 08:56:14 »

นึกดูแล้ว สยอง ครับท่าน  890 890