-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนานผีปอบ  (อ่าน 517 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

don

  • บุคคลทั่วไป
ตำนานผีปอบ
« เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 01:00:03 »

ตำนานผีปอบ 1
 " ผีปอบ " มีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีวิชา ไสยศาสตร์ มนต์ ดำจนแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอัน
เข้มขลังจากเวทมนตร์คาถาไปกระทำร้ายหรือ ทำลาย ชีวิตผู้อื่นได้ เช่น ทำ เสน่ห์ยาแฝด ฝังรูปฝังรอยเสกหนังควาย เสก ตะปู
เข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณ ภูตผีไปเข้าสิง วิชาไสยศาสตร์เหล่า นี้มีข้อห้าม ข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย ผู้ที่มีวิชาอาคม
ทาง ไสยศาสตร์ซึ่ง พระพุทธเจ้าทรงระบุว่า เป็นเดียรฉานวิชา จะต้องระวังไม่ให้ละเมิดข้อห้าม ข้อ ปฏิบัติโดยเด็ดขาด
หากกระทำผิดข้อห้าม ชาวอีสานจะเรียกกันว่า "คะลำ" จะเกิดโทษหนักในข้อ"ผิด ครู" วิญญาณ บรมครู จะลงโทษ ให้กลายเป็น
ปอบ หรืออีกประการหนึ่งของ ผู้ที่กลายเป็นปอบก็คือ เล่นคาถาอาคมอย่างคลั่งไคล้ และใช้ความขลังแห่งวิชา มนต์ดำไปทำลาย ทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัว บาปกลัวกรรมกระทำชั่วเป็นอาจิณกรรม กระทั่งถูกอาถรรพณ์ของไสยเวทย์ย้อนกลับมาเข้าตัวเอง
กลายเป็นปอบไป ในที่ สุด
 "ผีปอบ" ยังแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น "ปอบ ธรรมดา" หมายถึง คนที่มีปอบสิงอยู่ในร่าง
( คือ ตนเองเป็นปอบ ) เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู่ก็จะตายตามไป ด้วย
"ปอบเชื้อ" หมายถึง ครอบครัวใดพ่อแม่เป็น ปอบเมื่อพ่อแม่ตายไปลูก หลานก็จะสืบทอดให้เป็นปอบ
ต่อไป อีกประการหนึ่งเป็น กรรมพันธุ์ไม่ว่า จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม เรียกว่าเป็นปอบต่อเนื่องกันไปไม่ รู้จบ
"ปอบแลกหน้า" หมายถึง ปอบเจ้าเล่ห์ถนัดเอา ความผิดไปโยนให้ผู้อื่น กล่าวคือ เวลาไปเข้า สิงใคร
เมื่อถูกสอบถามว่ามีผู้ ใดเลี้ยงหรือบังคับ ปอบ จะไม่บอกความจริงหากไปกล่าวโทษว่าเป็นคนนั้นคนนี้ โดย ที่ผู้ถูกระบุชื่อ ไม่รู้เรื่อง รู้ราวอะไรเลย ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปล ว่า "ใบ้") หมายถึง ปอบ
ที่ไม่ยอมพูดอะไรเวลามีคน ถาม จนกว่าญาติพี่น้องจะไป ตามหมด ผีมาขับไล่ จึงจะยอมเปิดปากพูดว่าตนเป็นปอบของใครมีใครใช้ให้มา เข้า สิง

ตำนานผีปอบ 2


 

   ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิงหรือที่ชาวอีสานเรียกว่า   "ปอบ
เข้า"    จะมีอาการแตกต่างกันไปบางคน
แสดงกิริยาอาการ  ดุร้ายบางคนจะนอนซมซึมคล้ายกับป่วยไข้อย่างหนัก    บางคนจะ
ร่ำไห้รำพันไปต่างๆ 
นานาแต่ไม่ว่าจะมีทีท่า  อาการอย่างไร   ผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะเรียกร้องให้นำ
อาหารสุก ๆ  ดิบ ๆ  พวกหมู
ตับ  ไก่ต้มมากิน  เหมือน ๆ  กับเวลา  กินก็แสดงความตะกละมูมมามและกินได้จุผิด
ปกติเมื่อญาติพี่น้อง
รู้ว่าคนป่วยถูกปอบเข้าสิง เขาก็จะไปตามหมอผีให้มาไล่ปอบ     การไล่ปอบให้ออก
จากร่างมีหลายวิธีตาม
แนวทางที่หมอผีได้ร่ำเรียนมาบางคนจะเอาพริกแห้งมาเผา ให้ควันรม คนป่วยจนสำลัก
ควันน้ำตาไหลพราก
 
   ครั้นปอบออกจากร่าง      แล้วหมอผีจะข่มขู่สอบถามว่าผีปอบเป็นใครมาจากไหน
         เมื่อปอบรับสารภาพหมอผี
ก็   จะปล่อยไป  คนป่วยได้สติหายเป็นปกตินัยน์ตาที่แดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริก
เผารม  จะหายไปทันทีแต่เจ้าของปอบกลับมี
อาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วย สายเลือดจนต้องหลบหน้าอยู่แต่ในห้องไม่กล้าให้ใครพบหน้า
  อีกวิธีหนึ่ง   คือใช้หวายเฆี่ยนไล่ปอบ
ซึ่งก็เท่ากับเฆี่ยนคนป่วยนั่นแหละ      หากปอบกล้าแข็งหมอผีจะเฆี่ยนหนักๆ     
กระทั่งเนื้อตัวคนที่ถูกปอบเข้าสิงเขียวช้ำด้วย
รอยหวาย เมื่อปอบยอมแพ้ออกจากร่างไปรอยหวายก็จะจางหายไปทันที  แต่วิธีไล่ปอบแบบ
นี้เคยเป็นข่าวมาแล้ว

   เนื่องจากผู้ป่วยไม่ได้ถูกปอบเข้าสิง    หากป่วยเป็นโรคประสาท  ญาติคิดว่าปอบ
เข้าจึงไปตามหมอผีมาไล่  หมอผี
จัดการเฆี่ยนคนป่วย  ด้วยหวายได้รับบาดเจ็บบอบช้ำจนหลายครั้งหลายหน  โดยคิดว่า
ปอบฮึดสู้ไม่ยอม แพ้ในที่สุด  คนป่วยก็
เสียชีวิต  ร้อนถึงตำรวจต้องมาจัดการกับหมอผีและญาติตามกฎหมาย

   อีกวิธีหนึ่ง  หมอผีจะนำสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวบางชนิดมาข่มขู่ให้ปอบกลัว   
เช่น  คางคก  ตุ๊กแก งู ในกรณีนี้  คนที่
ถูกปอบเข้าสิงมักเป็นผู้หญิงหรือตัวปอบเป็นหญิง แม้จะเป็นผีปอบ ( เธอ ) ก็ยัง
ขยาดแขยงสัตว์ประเภทนี้และ มักจะยอมออก
จากร่างที่เข้าสิงง่าย ๆ 
ตำนานผีปอบ 3


ผีปอบที่แก่กล้าเวลาเข้าสิงใครจะอดอยาก  กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้า
สิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย 
เมื่อหมอผีดำเนินการไล่ผีปอบจากร่างที่ถูกปอบสิงมีข้อ
สังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ  จะปรากฎเป็นก้อนกลมอยู่ใต้
ผิวหนังปูดนูนขึ้นมา  เวลาหมอผีจี้ก้อนกลม  ๆ   นี้ด้วยไพลเสก  มันจะ
เลื่อน

   สำหรับหมอผีรุ่นครูจะจู่โจมเข้ามัดข้อมือ   ข้อเท้าและรอบคอ   ด้วยด้ายสาย
สิญจน์เพื่อไม่ให้ปอบหนีออกจากร่าง   
จากนั้นก็จะใช้ไพลเสกจี้ลงไปที่ก้อนกลม ๆ    ใต้ผิวหนัง   เรียกว่าก้อนกลมนี้
หนีไปที่ใดก็จะตามจี้ไม่ยอมปล่อย จากนั้นใช้ไพล
เสกจี้ทางอีสารเรียกว่า "แทง"     ปอบจะเจ็บปวด
ทรมานแสนสาหัส (คนที่ถูกปอบสิงจะร้องโอดครวญดังสนั่น)หมอผีจะขู่บังคับ
ให้บอกว่าเป็นใคร ซึ่งปอบมักจะยอมสารภาพโดยดี  หลังจากทรมานปอบให้หวาดกลัวเข็ด
หลาบแล้ว    หมอผีจึงจะแก้มัดด้วย
ด้ายสายสิญจน์ปล่อยให้ปอบออกไป

   หมอผีบางรายมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด      ให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าเป็นที่
เปิดเผยแก่สาธารณชนทั่วไป  โดย
หมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไปจับหนามา    แล้วเอาหม้อดินครอบ
ศีรษะคนถูกปอบสิงใช้มีดโกนขูดเขม่าควัน
ไฟ   คล้ายกับโกนผมให้หมดไปครึ่งศีรษะ  จากนั้นปล่อยให้ปอบออกจากร่าง   วิธีการ
ไล่ปอบแบบนี้จะทำให้ผู้เป็นปอบหรือ
เลี้ยงผีปอบต้องหลบซ่อนอยู่ในห้อง    หรือเวลาออกไปไหนก็ต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะ
ตลอดเวลา เนื่องจากเส้นผมแหว่งหาย
ไปครึ่งศีรษะ

ตำนานผี
ปอบ 4

         
  เรื่องของปอบนี้จะลงความเห็นว่าเกิดจาก "ความ
เชื่อ" หรือความงมงายไร้สาระเอาเสียเลยก็
คงไม่ได้   เพราะเรื่องราวประหลาด ๆ   เกี่ยวกับผีปอบยังเคยปรากฎกับพระอริยสงฆ์
  เช่น หลวงปู่ดู่พรหม 
ปัญโญ  วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยามาแล้ว

   กล่าวคือ มีหมอผีไสยเวท  ชาวเวียงจันน์คนหนึ่งมาที่วัดสะแก   มานมัสการหลวงปู่
ดู่  บอกท่าน
ว่าตนมีวิชาดีเป็น    วิชาบิดไส้   บิดฟัน   ต้องการมอบวิชานี้ให้แก่ท่านเป็น
การเฉพาะเพราะเห็นว่าไม่มีใคร
รับถ่ายทอดวิชาเหล่านี้ได้   แล้วก็มอบคัมภีร์โบราณให้ผูกหนึ่ง   หลวงปู่ดูด
เห็นว่าเป็นวิชาแปลก    ก็รับไว้
โดยเสียค่าครูให้เป็นธรรมเนียม  เมื่อได้คัมภีร์นั้นมาแล้ว   หลวงปู่ก็ไม่ได้
เปิดดูหรือให้ความสนใจเป็นพิเศษ
ท่านนำไปวางไว้ที่โต๊ะหมู่บูชา และก็ลืม ๆ ไป   ส่วนหมอผีไสยเวทชาวลาวยังไม่
กลับไปทันที   หากนอนพักค้างคืนที่วัดสะแก
ต่อ   2 - 3   วัน

   คืนนั้น.....   หลวงปู่ดู่เกิดฝันประหลาด   ฝันว่า
ท่านออกไปหากินคล้าย ๆ    กับเป็นปอบและไปกินควายชาวบ้าน     
ซึ่งอยู่ในตำบลใกล้เคียง     เช้าวันรุ่งขึ้นท่านก็ยังไม่ฉุกคิดอะไร   กระทั่ง
ล่วงเข้าคืนที่สอง   ขณะที่หลวงปู่นอนหลับ ท่านก็ฝัน
ในลักษณะเดียวกันอีก    คือ     ออกไปกินไส้ควายของชาวบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้
  ๆ

   เช้าวันรุ่งขึ้น   ก็ได้มีชาวบ้านมาหาหลวงปู่ดู่    เล่าถวายต่อท่านว่า     
เมื่อคืนนี้ควายของเขาตาย กะทันหันโดยหา
สาเหตุไม่พบ    อีกทั้งลักษณะการตาย     มีสภาพน่ากลัวหลายอย่าง        หลวงปู่
สอบถามว่าตั้งบ้านเรือน   อยู่อาศัยที่ใด   
ชาวบ้านก็กราบเรียนให้ท่านทราบ  คราวนี้   หลวงปู่ดู่ถึง
กับสะดุ้ง   เพราะที่อยู่ของชาวบ้านคนนั้นตรงกันกับบ้านที่ท่านฝัน
ว่าไปกินไส้ควายมานั่นเอง หลวงปู่ดู่คิดว่า "อ้าย
ลาวไสยเวทคนนี้เห็นทีจะเอาวิชาชั่วร้ายมามอบให้ท่านเป็น ถึงได้เกิดเหตุการณ์
ดังกล่าวขึ้น   หากท่านเกิดฝันไปกินคนเข้า อาจทำให้ใครต่อใครตายได้และวิชาที่
ท่านรับมาเห็นทีจะเป็นวิชาปอบ     ดังนั้น
หลวงปู่ดู่จึงได้นำคัมภีร์ตำรา เอามาเผาไฟ 

   ลาวหมอผีรู้ว่าหลวงดู่เผาวิชาตำรามันทิ้ง     มันก็แสดงท่าโกรธเคืองไม่ใช่
น้อย ตอนจากวัดกลับถิ่นเดิมของมัน 
มันไม่ยอมมาบอกกล่าวกราบลา     แม้แต่คำเดียว  และนับแต่นั้นก็ไม่หวนหลับมาที่
วัดสะแก   อีกเลย

   จากเรื่องนี้     แสดงให้เห็นว่าอิทธฤทธิ์ของไสยเวทมนต์ดำ
นั้นมีจริง  มีความเข้มขลังแสดงผลให้ประจักษ์ได้จริง ๆ   
แต่เป็นทางวิชาทางเลวร้าย    เพราะมีเจตนาเพื่อเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นให้ได้
รับความเดือดร้อน  หรืออาจถึงขั้นทำอันตราย
จนถึงแกjชีวิต  พระคุณเจ้าหลวงปู่ดู่กล่าวถึงวิชาไสยศาสตร์นี้ว่า   "พวกที่
เรียน ของเหล่านี้ เขาปรารถนาอเวจีเป็นที่พึ่งทั้ง
นั้น"
 
  บันทึกการเข้า 
 

cmman573

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตำนานผีปอบ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 09:49:45 »

หึๆๆ ผมชอบผีปลอบมากมาย เวลาสาวมีปัญหา อยากปลอบให้คลายเศร้า

pulohid

  • บุคคลทั่วไป
Re: ตำนานผีปอบ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 31 กรกฎาคม 2008, 10:38:27 »

เก็บไว้เป็นความรู้ workz