-->

ผู้เขียน หัวข้อ: ?เรื่องเล่า? ของ ?นักเล่าเรื่อง?  (อ่าน 694 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

12972116

  • บุคคลทั่วไป
?เรื่องเล่า? ของ ?นักเล่าเรื่อง?
« เมื่อ: 16 กันยายน 2009, 02:49:05 »

เที่ยงคืน วันที่ 5 กันยายน 2552 ฝนที่ตกมาตั้งแต่หัวค่ำหยุดตกไปนานแล้ว แต่อากาศยังคงเย็นสบาย เวลาเช่นนี้คงเป็นเวลาที่ใครหลายคนกำลังนอนหลับฝันดี แต่ ณ มุมหนึ่งในห้องเช่าเล็กๆ ในตำบลบางปู ผมยังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงาน



?ผมกำลังทำตามความฝันอยู่ต่างหากละ? ผมบอกตัวเองอย่างนั้นเวลาที่จิตใจวอกแวก เวะเวียนถามว่า ดึกดื่นปานนี้แล้วทำไม ทำไมยังต้องทำงานอีก



คนเรานั้นมีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากัน แต่เราก็ใช้ประโยชน์จากเวลานั้นไม่เหมือนกัน



ผมพยายามให้เวลาสำหรับความฝันของตัวเองให้มากกว่าเวลาแห่งการพักผ่อน ยังมีเวลาเยอะแยะที่จะทำอย่างนั้น แต่เวลาแห่งความสำเร็จเล่า ใช่นอนหลับแล้วตื่นทุกอย่างก็จะเป็นจริงได้ก็หาไม่ มันต้องลงมือทำ



แล้วอะไรคือความฝันของผม ?นักเล่าเรื่องที่เก่งที่สุดงั้ย? นั่นละคำตอบ

มันเกี่ยวอะไรกันระหว่างนักเล่าเรื่องกับการที่ผมต้องนั่งเขียนหนังสือกลางดึกกลางดิ่นแบบนี้ คำตอบมีเพียงว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออกเลยละ



เอางี้ ผมจะเล่าให้ฟัง



ความสนใจที่จะเป็นนักเล่าเรื่องในตัวผม ไม่ได้มีมาตั้งแต่วัยเด็กเหมือนกับนักกวีชื่อก้องโลก ชีวิตวัยเด็กของผมมีแต่ความยากเข็ญ




ผมเป็นลูกคนเดียวของครอบครัวชาวนาจนๆ ในจังหวัดเชียงราย พอพ่อกับแม่ต้องมาทำงานในกรุงเทพฯ ปล่อยให้ผมอยู่กับตายาย ไม่นานผมก็ลาออกจากโรงเรียนตอนเรียนอยู่ชั้น ม.3 ตามพ่อกับแม่เข้ากรุงเทพฯ

ผมทำงานทุกอย่างที่ทำได้ ไม่เกี่ยงเลย พนักงานโรงงาน รปภ.โรงงานก็ทำมาแล้ว เพียงหวังจะแบ่งเบาภาระของบุพการีบ้าง




ผมใช้เงินจำนวนน้อยนิดที่ขอจากพ่อกับแม่ไปสมัครเรียน กศน. พอได้วุฒิเทียบเท่า ม.6 ก็สมัครเรียนสาขาสื่อสารมวลชนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง




ด้วยความมุ่งมั่น ให้หลัง 3 ปี 6 เดือน พ่อ แม่ และภรรยา ซึ่งเพิ่งจะมาร่วมใช้ชีวิตกับผมก็ได้ยืนถ่ายรูปหมู่ในวันรับปริญญาของผม


ผมเรียนจบมหาวิทยาลัยรุ่นเดียวกันกับเพื่อนที่เรียนมัธยมมาด้วยกัน



วันนั้นผมดีใจมาก มากจนหลงผิดคิดไปว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว ในความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่


1 ปี ให้หลัง ใบปริญญายังประดับบนตู้กระจกคู่กับรูปรับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพฯ


แต่ผมกลับรู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า และไร้ค่า


?แล้วงัยเล่า ชีวิตมีแค่นี้เหรอ? ผมถามตัวเอง ชักไม่แน่ใจกับความสำเร็จครั้งนั้น




แม่คะยั้นคะยอให้ผมหางานทำ แต่ผมก็บอกแม่ว่า ?เราก็ค้าขายไปสิแม่ ไม่เห็นป็นไร?


ตอนนั้นครอบครัวเราค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ผมยังมีความฝันว่าสักวันจะเป็นเถ้าแก่ แต่คำว่า ?เสียดายความรู้? ของแม่ทำให้ผมต้องหางานทำ


ใจหนึ่งก็อยากให้แม่เห็นว่าทำงานก็ไม่เห็นจะมีอนาคตเท่างานค้าขายหรอก ใจหนึ่งก็อยากลองดู


หางานอย่านานที่เดียว แล้ววันหนึ่ง พี่มน ฝ่ายบุคคลในบริษัทที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็โทรมาให้เข้าไปสอบ หลังจากนั้นอีกไม่นานก็ได้สัมภาษณ์ และรับเข้าทำงานในตำแหน่งรวบรวมข้อมูลข่าวสาร


บริษัทแห่งนี้ทำเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร ต้องเรียกว่าเป็นคลังข้อมูลข่าวสารถึงจะถูก


4 ปีครึ่ง ผมรับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ชนิดที่ชาตินี้ไม่มีวันได้เจอะเจอ


ที่นี่เปลี่ยนผมไปมาก เปลี่ยนไปอย่างที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง


ผมต้องกลับไปเป็นเด็กนักเรียนอีกครั้ง ฝึกทุกอย่าง ตั้งแต่การอ่าน การเขียน และต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ให้มากกว่าที่ตาเห็น หูฟัง


ที่นี่เป็นโรงเรียนอะไรกัน ไม่มีครูมาค่อยตรวจการบ้าน ไม่มีใครมาจ้ำจี้จำไซกับคุณ คุณต้องเรียนรู้เอง


ผมได้มีโอกาสแสดงความสามารถหลายอย่างในงานข้อมูล จนเป็นที่ถูกอกถูกใจเจ้านาย จึงถูกเรียกเข้าไปพบเพื่อเสนองานชิ้นใหม่ให้ทำ


?พี่จะให้เธอเป็นคนบันทึกเหตุการณ์? พี่ปอย บอกผมเมื่อต้นปี 2552


พี่ปอย เป็นผู้หญิงสวย เก่ง เชื่อมั่นในตัวเองสูง อายุปีก็น่าจะย่าง 47 หรือ 48 ปี


พี่ปอยเคยบอกผมหลายครั้งว่า ก่อนที่จะมาทำงานที่นี่ แก่เคยทำงานให้บริษัทโบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีเงินหมุนเวียนนับพันล้านบาท แต่ปี 2540 แก่ก็กลายเป็นคนว่างงานเพราะบริษัทที่ทำอยู่เจอพิษวิกฤตต้มย้ำกุ้งล้มไม่ยอมลุก


ยังดีที่พี่ปอยพอมีสายสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ด้านสื่อสารมวลชนยักษ์ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งกำลังมองหาคนเก่งมาสร้างบริษัทเกี่ยวกับข้อมูลก็เลยดึงพี่ปอยเข้ามาทำ


?เขาโยนมาให้พี่เลยว่าอย่างได้บริษัทเกี่ยวกับข้อมูล แต่จะทำยังไงไปคิดเอาเอง? พี่ปอย บอกกับผมด้วยแววตาที่แสดงถึงความภาคภูมิใจเป็นที่สุด เพราะบริษัทที่มาได้ทุกวันนี้ก็มาจากฝีมือแกจริงๆ


และหากใครสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าบุคลิกของบริษัทกับพี่ปอยแทบไม่ต่างกันเลย


กลับมาที่ห้องผู้จัดการ ผมยังนั่งฟังอย่างเงียบๆ


?แต่ไม่เอาแบบสรุปข่าวนะ มันอ่านไม่สนุก เอาแบบว่าเล่าสู่กันฟังอย่างเนี้ย ใช้คำง่ายๆ? พี่ปอยพยายามอธิบายถึงงานที่แกอยากให้เป็นกับผม


ผมรับงานชิ้นนั้นด้วยความเต็มใจ และคิดว่าตัวเองมีความเข้าใจและทำได้อย่างแน่นอน ?แล้วพี่ต้องอึ้ง? ผมคิดในใจตอนที่เดินออกจากห้องนั้น


ผมไฟแรงเริ่มคิดวางแผนต่างๆ ในหัวว่าจะเริ่มจากการเขียนเรื่องอะไรก่อนดี และได้ข้อสรุปว่า เหตุการณ์บ้านเมืองที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานั้นน่าจะเป็นสิ่งที่เข้ากับสถานการณ์ที่สุด


ใช่แล้ว ผมเลือกจะเขียนเรื่องการประท้วงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และได้ลงมือเขียนทันที ผลก็มาออกมาอย่าน่าผิดหวัง ผมเขียนไม่ได้ แต่ผมยังไม่รู้หรอกทำไม และยังคงพยายามเขียนต่อไป


อ้อ ลืมบอกไปว่า ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือโดยเฉพาะนิยามสืบสวนสอบสวน และนิยามกำลังภายใน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ผมเออออเอาเองว่าประสบการณ์ของการอ่านจะทำให้เขียนหนังสือง่ายขึ้น โดยที่ไม่ได้มองตัวเองเลยว่า เพิ่งจะมารักชอบการอ่านหนังสือได้เพียง 2 ปีเท่านั้น


และผลมันก็ออกมาอย่างที่เห็นนั่นละครับ ?แม่งไม่ได้เรื่องเลย? ผมด่าตัวเอง


แต่ผมมันเป็นคนที่ค่อนข้างจะดึงดันลองถ้าคิดจะทำอะไรสักอย่างก็จะหมกมุ่นกับมันจนถึงที่สุด ยิ่งผมมีความรู้สึว่างานนี้มันมีความท้าท้ายมาก ผมก็ยิ่งเพิ่มความสนใจมันขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว


และหากจะมองว่า ความอยากเป็นนักเล่าเรื่องของเริ่มต้นขึ้นมาจากตรงนี้ ก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะแรกๆ ผมยังมีความรู้อยากเอาชนะมากกว่าจะเก็บมาเป็นความใฝ่ฝัน แต่พอได้ผ่านประสบการณ์ที่ผมจะเล่าต่อไปนั่นแหละ มันจึงกลายเป็นความใฝ่ฝันของผมอย่างแท้จริง


เมื่อไปต่อไม่ได้ ผมก็หยุดงานเขียนทุกอย่าง และเริ่มสำรวจตัวเองเพื่อจะได้รู้ว่าตัวเองนั้นบกพร่องตรงไหน ผมพยายามเข้าไปค้นหาคำแนะนำการเขียนจากเว็บไซต์ต่างๆ และตรงนั้นแหละ ถึงทำให้ผมยอมรับกับความเป็นจริงที่แสนเจ็บปวดว่า ผมเป็นคนที่เขียนหนังสือไม่เป็น!


ต้องเข้าใจก่อนนะว่าเขียนได้กับเขียนเป็นมันคนละเรื่องกัน จะขีดจะเขียนอะไรใครก็ทำได้ แต่คนที่เขาเขียนหนังสือเป็นเขาจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เขาเขียน ไม่ว่าจุดประสงค์ของการเขียน และกลวิธีการเล่า ซึ่งสิ่งนี้ไม่มีในตัวผม แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมถอดใจหรอกนะ ตรงข้ามมันกลับทำให้ผมมุมานะมากขึ้น เพราะผมเชื่อเสมอว่าหากคนเราได้มีโอกาสฝึกฝนในสิ่งใดๆ ก็ตามเขาคนนั้นก็จะสามารถทำได้อย่างแน่นอน


ผมแก้ปัญหาข้อนี้ด้วยการสร้างเวทีในการเขียนเพื่อหาประสบการณ์ให้กับตัวเอง ด้วยการลงทุนซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ที่วางอยู่ตรงหน้าและผมกำลังใช้งานมันอยู่พร้อมกับติดตั้งอินเทอร์เน็ต จากนั้นก็เปิดบล็อกของตัวเองขึ้น และตั้งโปรแกรมให้ตัวเองว่าในหนึ่งวันต้องเขียนเรื่องราวต่างๆ ลงไปอย่างน้อย 1 เรื่อง


แต่ก็มีอุปสรรคพอสมควร เพราะกว่าผมจะเลิกงานและกลับถึงห้องบ้างทีก็ดึก ยิ่งดึกก็ยิ่งคิดไม่ออก และเขียนไม่ได้ ซึ่งผมก็มีวิธีแก้ปัญหาอีก ด้วยการพกสมุดบันทึกเล่มเล็กและปากกาติดตัวไว้เสมอ หากคิดอะไรออกก็จะเขียนเอาไว้ พอกลับถึงห้องก็พิมพิ์สิ่งนั้นลงบล็อกไป


แต่ผลที่ได้มันกลับทำให้ผมท้อแท้ขึ้นมาจริงๆ จนเกือบจะล้มแผนความฝันที่จะเป็นนักเล่าเรื่องไปเลย ต้องตั้งหลักกันพักใหญ่ พอรู้สึกว่าเรียวแรงกลับคืนมาแล้ว ก็ยังเริ่มสำรวจตัวเองอีกครั้ง


แล้ววันหนึ่งดวงชะตาก็ลิขิตให้ผมได้ฟังรายการวิทยุรายการหนึ่ง ซึ่งพอฟังจบผมถึงกับสบถคำว่า ?ไอ้ห่า? กับตัวเอง เพราะได้รู้ความจริงที่น่าตกใจอีกข้อหนึ่งว่า นอกจากเขียนหนังสือไม่เป็นแล้ว ยังอ่านหนังสือไม่เป็นอีกด้วย!


ก็ต้องบอกอีกนั่นแหละว่า อ่านเป็นกับอ่านออกไม่เหมือนกัน อ่านออกก็คืออ่านออก แต่อ่านเป็นนั้นมันต้องรู้ตั้งแต่หนังสือที่อยู่ในมือนั้นเป็นหนังสืออะไร นิยาย หรือ หนังสือวิชาการ ใครเป็นผู้แต่ง และแต่งขึ้นเพื่อจะบอกอะไร รวมถึงต้องรู้ถึงกลวิธีการเขียนของเขาด้วย


รวมๆ แล้วหลักการไม่ต่างจากการเขียนเลย เพียงแต่ที่ผ่านมาผมไม่เคยหยุดคิดและมองสำรวจมันจริง หรือบางทีผมอาจจะหยิ่งทะนงในตัวเองและหลงลำพองคิดไปว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ตัวเองไม่เข้าใจ ทำให้มองข้ามและพลาดสิ่งเหล่านี้ไป


นับแต่นั้นมาการอ่านการเขียนของผมเริ่มมีหลักเกณฑ์พวกนี้เข้าไปจับมากขึ้น และเริ่มมีผลสะท้อนออกมาในงานเขียนของผมเช่นกัน


และตอนนี้ผมก็มีความรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นเหมือนเด็กที่หัดตั้งไข่ และเริ่มเห็นแสงรำไรๆ ที่ปลายอุโมงค์ในอาชีพนักเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือบ้างแล้ว

shoots

  • บุคคลทั่วไป
Re: ?เรื่องเล่า? ของ ?นักเล่าเรื่อง?
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 16 กันยายน 2009, 10:01:08 »

 9ijn    งงอะ

oman

  • บุคคลทั่วไป
Re: ?เรื่องเล่า? ของ ?นักเล่าเรื่อง?
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 16 กันยายน 2009, 11:35:31 »

เหมื่อนเล่าประวัติส่วนตัวนะคับ