-->

ผู้เขียน หัวข้อ: วัดกุฎีดาว!พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช เผชิญผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์!  (อ่าน 20569 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18237
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

วัดกุฎีดาว!พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช เผชิญผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์!



พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช หรือเรียกพระนามโดยทั่วไปว่า "พระองค์เจ้าพีระฯ"มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก
ทั้งในประเทศและต่างประเทศในฐานะเป็นเชื้อพระวงค์คนไทยพระองค์แรกที่เข้าแข่งขันรถ
และได้รับรางวัลชนะเลิศกรังด์ปรีซ์


พระองค์เจ้าพีระฯไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจว่ามีจริงๆ ทรงเห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระไม่ควรเชื่อถือ
หรือนำมาสนพระทัย และแล้วพระองค์เจ้าพีระฯ ก็ทรงเผชิญอำนาจลี้ลับด้วยพระองค์เอง จนต้องยอมรับ
อย่างไม่ลังเลสงสัยอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ยังถูกภูตผีวิญญาณสาปแช่งให้เกิดวิบัติ
ซึ่งต่อมาก็เป็นไปตามคำสาปแช่งเช่นนั้นจริงๆ เรื่องราวที่พระองค์เจ้าพีระฯเผชิญกับภูตผีวิญญาณ
ที่เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะเป็นเช่นไร ขอเชิญติดตามได้ดังนี้...


ใต้แผ่นดินของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทุกวันนี้ เชื่อไหมว่ายังมีทรัพย์สมบัติอันมีค่าถูกฝังจมอยู่ใต้ดิน
มากมายมหาศาล เกินกว่าจะประมาณค่าได้เพราะก่อนกรุงศรีอยุธยาจะถูกพม่าข้าศึกบุกกระหน่ำจนกรุงแตก
สูญสิ้นอิสรภาพเสียเมืองแก่พม่า ชาวพระนครศรีอยุธยาต่างมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยกันเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากห้วงเวลานั้นเป็นยุคสมัยที่กรุงศรีอยุธยาราชธานีกำลังเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด
เป็นพระมหานครที่มั่งคั่งและงดงามวิจิตรตระการตา


เมื่อกรุงศรีอยุธยาถูกพม่าล้อมเมืองเอาไว้และยังไม่รู้ชะตากรรมต่อไป ชาวกรุงศรีอยุธยาจึงต้องหาทาง
ซุกซ่อนทรัพย์สมบัติอันมีค่าของตนไว้เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของฆ่าศึกศัตรู คือการฝังดินเอาไว้
ในที่ลับไม่ให้ใครรู้ ดังนั้นลองคิดดูเถอะว่าชาวกรุงศรีอยุธยาจะมีทรัพย์สมบัติฝังไว้ในดินจำนวนเท่าไร?
โดยเฉพาะพวกพ่อค้าวาณิช อำมาตย์เสนาบดีที่ร่ำรวยและเชื้อพระวงค์ทั้งหลายย่อมจะแสวงหาสถานที่เร้นลับ
เพื่อฝังทรัพย์สมบัติอันได้แก่แก้วแหวนเงินทองไว้ดังกล่าว โดยหวังว่าเมื่อสงครามเสร็จสิ้นลงแล้วก็
จะหวนกลับไปขุดขึ้นมาใหม่

แต่เมื่อสงครามยุติลง ชัยชนะเป็นของพม่า ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมากที่รอดชีวิตก็ถูกกวาดต้อน
ไปเป็นเชลยจนหมดเมืองเจ้าของทรัพย์ที่นำไปฝังดินไว้ถ้าไม่ตายในเงื้อมมือของทหารพม่า ก็ตายในระหว่างทาง
พวกที่ถูกต้อนไปถึงเมืองพม่าแล้วโอกาสที่จะกลับมาสู่พื้นแผ่นดินไทยย่อมหมดสิ้นไป สมบัติที่ฝังไว้
จึงถูกทิ้งให้จมอยู่ใต้ดินโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ผู้ที่ฝังทรัพย์สมบัติไว้บางรายได้ทำลายแทงบ่งชี้จุด หรือตำแหน่งสถานที่ฝังสมบัติเอาไว้เพื่อกันลืม
หรือเพื่อมอบลายแทงให้แก่ลูกหลานเพื่อมาขุดเอาไปในภายหลัง ส่วนมากลายแทงชี้ขุมทรัพย์จะเขียนไว้
เป็นปริศนายากแก่การตีความเพื่อป้องกันเวลาลายแทงตกไปอยู่ในมือผู้อื่น ซึ่งมิใช่ลูกหลานญาติของตน
ผู้ที่ได้ลายแทงไปก็จะตีความปริศนาไม่ถูก ไม่สามารถไปขุดเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ เว้นแต่บุคคล
ที่เจ้าของทรัพย์เฉลยข้อความอันเป็นปริศนาไว้แล้วเท่านั้น


พระองค์เจ้าพีระฯทรงได้ลายแทงขุมทรัพย์ที่ฝังสมบัติล้ำค่าในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจากพระภิกษุรูปหนึ่ง
ซึ่งพระภิกษุรูปนั้นได้จำพรรษาอยู่ในเขตอารามแห่งหนึ่งของจังหวัดนนทบุรี ท่านเล่าที่มาของลายแทงชิ้นนี้
ว่าได้มาโดยบังเอิญ โดยไปพบซุกซ่อนอยู่บนเพดานในกุฎีของท่านจึงได้นำมามอบให้แก่พระองค์เจ้าพีระฯ
ซึ่งพระองค์ท่านก็ได้มอบถวายปัจจัยตอบแทนให้ไปจำนวนหนึ่ง



ลายแทงดังกล่าว เป็นสมุดข่อยแบบโบราณเก่าแก่มากด้านหนึ่งในกระดาษข่อยนั้นมีอักษรไทยโบราณเขียนด้วย
รงค์(สี,น้ำย้อม)แต่ตัวอักษรได้ซีดจางเป็นสีขาวไปจนหมด อีกด้านหนึ่งเป็นผ้าเยื้อไม้มีอักขระไทยโบราณเขียนไว้
ด้วยหมึกสีดำ(หมึกจีน?)ด้านที่เป็นผ้าเยื้อไม้ มีรอยวาดแสดงที่ตั้งของโบสถ์และเจดีย์วัดกุฎีดาวและมีเครื่องหมาย
เป็นปริศนา บอกตำแหน่งขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ถึง ๑๖ จุดรอบๆโบสถ์ คิดเป็นมูลค่าสูงหลายโกฎิล้าน! และในด้านซึ่งเป็น
ผ้าเยื้อไม้ที่ระบุลายแทงขุมทรัพย์นั้นเอง มีปรากฎคำสาปแช่งเขียนกำกับเอาไว้ด้วย!!


ในสมุดข่อยลายแทงฉบับนี้ยังมีปริศนาบอกที่ซ่อนขุมทรัพย์ต่างๆภายในเขตพระนครศรีอยุธยาอีก ๓๐๓ แห่ง
หากขุดค้นนำเอาขุมทรัพย์ทั้งหมดมาได้ครบเห็นทีราคาของขุมทรัพย์ทั้งหมดคงจะหาค่าประมาณมิได้เป็นแน่แท้!


หลังจากพระองค์เจ้าพีระฯทรงได้สมุดข่อยฉบับนี้มา ท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียดโดยอาศัยผู้รู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ
อักขระอักษรไทยโบราณจนรู้แน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาว ลึกลงไปใต้ดินเป็นที่ฝังขุมทรัพย์ของพระเจ้าอู่ทอง
ทรงสร้างเอาไว้สำหรับบรรจุมหาสมบัติอันล้ำค่าเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของพระมเหสีที่ทรงรักใคร่มากที่สุด
ดังนั้นย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่าขุมทรัพย์แห่งนี้จะมีค่ามากมายมหาศาลเพียงใด!!

พระองค์เจ้าพีระฯจึงทรงตัดสินพระทัยเปิดฉากขุดค้นหาขุมทรัพย์อันล้ำค่าแห่งนี้ ที่หน้าโบสถ์ร้างวัดกุฎีดาวก่อนแห่งอื่น
ก่อนจะลงมือขุดค้นหานั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยขออนุญาติ
ไปทางกรมศิลปากรเพื่อขุดหาสมบัติโบราณ และมีข้อตกลงเป็นสาระสำคัญว่า ถ้าขุดพบมหาสมบัติโบราณได้จริงๆ
จะมอบให้แก่รัฐ ๙๐ % ส่วนอีก ๑๐% เป็นของพระองค์เมื่อกรมศิลปากรตกลงตามข้อเสนอนั้น พระองค์ทรงดำเนินงาน
ในส่วนที่สองทันที โดยสั่งเครื่องมือค้นหาแหล่งแร่ใต้ดินที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้นคือเครื่อง ไมน์ ดีเทคเตอร์ (Mine detecter)
เครื่องมืออุปกรณ์นี้สามารถบอกได้ว่า ลึกลงไปใต้ดิน ๒๐ เมตรมีแหล่งแร่อะไรบ้าง เช่น แร่เงิน แร่ทอง และวัตถุโลหะอื่นๆ
ได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถบอกได้อีกด้วยว่าแหล่งแร่ดังกล่าวมีปริมาณมากน้อยเท่าไหร่
โดยจะมีเสียงดังหลายระดับ เช่นถ้าพบแร่มีปริมาณน้อยก็จะดังน้อย ถ้าพบแร่มีปริมาณมากก็จะดังมาก


หลังจากเตรียมงานพร้อมแล้วพระองค์เจ้าพีระฯและคณะขุดหาสมบัติซึ่งประกอบด้วย หม่อมสาลี่ พระชายา
มร.แฮริสัน และพระสหายลูกครึ่งอีกคนหนึ่งพร้อมด้วยคนงานขุดดินอีก ๑๕ คนก็ออกเดินทางไปวัดกุฎีดาว
จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในกลางเดือนธันวาคม พ.ศ ๒๕๐๓ เพื่อเริ่มต้นขุดหาสมบัติก่อนที่จะเริ่มต้นขุดค้นหา
สมบัติใต้ดินมีผู้รู้แนะนำพระองค์ท่าน ให้ทรงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ต่อภูตผีปีศาจหรือวิญญาณที่เฝ้าสมบัตินั้น
เพื่อขอขมาที่ล่วงเกิน แต่พระองค์ท่านไม่เชื่อว่าภูตผีปีศาจหรือวิญญาณมีจริง จึงมิได้สนพระทัยและไม่ได้ทำอะไรเลย!

คณะขุดค้นหาสมบัติได้ไปตั้งแคมป์หรือที่พักชั่วคราวอยู่ในวัดกุฎีดาวซึ่งเป็นวัดร้าง มร.แฮริสันและพระสหาย
ลูกครึ่งพักที่แคมป์เพื่อควบคุมคนงานไม่ให้มีการแอบขโมยลักขุด ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯและหม่อมสาลี่พระชายา
เสด็จเช้าไปเย็นกลับ ด้วยพาหนะรถยนต์ส่วนพระองค์ทุกวัน



วันแรกที่ดำเนินการขุดค้นหาสมบัติใต้ดิน คณะของพระองค์เจ้าได้ใช้เครื่องมือค้นหา ไมน์ ดีเทคเตอร์ ตรวจหา
ไปรอบๆบริเวณโบสถ์ก็ปรากฎพบว่าเครื่องมืออันทันสมัยนี้ระบุอย่างแน่ชัดว่าที่หน้าโบสถ์มีทองคำถูกฝังอยู่
เป็นจำนวนมาก!การขุดจึงเริ่มต้นทันทีด้วยความคึกคัก คนงาน ๑๕ คน พร้อมด้วยอุปกรณ์การขุดประเภทจอบเสียม
ระดมเปิดหน้าดิน และเจาะลึกลงไปเรื่อยๆ พอขุดลงไปได้ ๖-๗ ฟุต แทนที่จะพบโอ่งไหใส่ทองคำหรือ
เครื่องประดับล้ำค่า กลับพบกระเบื้องโบราณลวดลายสวยงามทับถมซับซ้อนกันอยู่เป็นจำนวนมาก
ต้องโกยเอากระเบื้องไม่มีราคาเหล่านั้นขึ้นมาเสียเวลาไปมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่ตอนเย็นจึงต้องหยุด
พักเอาแรงไว้แต่เพียงเท่านี้



คืนนั้นพระองค์เจ้าพีระฯและพระชายาก็เสด็จกลับกรุงเทพฯ ด้วยรถยนต์ส่วนพระองค์โดยประทับอยู่วังเลขที่ ๓๒
ซอยสุภางค์ ถนนสุขุมวิท อำเภอพระขโนงกรุงเทพมหานคร พระองค์เจ้าพีระฯตรัสเล่าว่า...

"พอกลับมาคืนวันนั้นตอนดึกประมาณ ๒๔.๐๐ น.ปรากฎมีเสียงคล้ายคนขุดดินดัง "ฉึก ฉึก ฉึก" อยู่ที่ใต้พื้นดิน
ตอนแรกคิดว่าเป็นเสียงหนูวิ่งไล่กันแต่พอฟังไปกลายเป็นเสียงคนขุดดิน จึงนึกว่าคงเป็นขโมย มาขโมยดิน
เพราะพึ่งขุดสระน้ำเอาไว้ใหม่ๆ จึงถือปืนเดินออกมาดูแต่ไม่เห็นมีอะไร จึงกลับเข้ามานอนใหม่ ก็ได้ยินเสียงขุดดินอีก"


พระองค์เจ้าพีระฯสงสัยว่าเป็นอะไรกันแน่จึงถือปืนเดินออกไปใหม่ เดินตามเสียงนั้นไปรอบๆบ้าน
โดยที่เสียงประหลาดนั้นยังคงดังอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวดังตรงโน้นที เดี๋ยวดังตรงนี้ที ย้ายที่ไปเรื่อยๆ เดินตามไป
ตรงที่เกิดเสียง ก็ย้ายหนีไปขุดดังตรงที่อื่นอีก!หากเป็นคนทั่วไปก็คงจับไข้ห้วโกร๋ไปแล้ว แต่พระองค์เจ้าพีระฯ
ไม่ทรงเชื่อเรื่องผี ท่านจึงเดินตามเสียงประหลาดอย่างไม่หวั่นกลัวอะไร

เมื่อหาสาเหตุไม่พบว่าเสียงที่ได้ยินมีที่มาอย่างไรพระองค์เจ้าพีระฯ จึงเสด็จกลับเข้ามาที่บรรทมต่อและเสียง
ที่ขุดดินก็ตามมาดังที่นอกห้องบรรทมเหนือพระเศียรกระทั่งรุ่งเช้า ตอนเช้าพระองค์เจ้าพีระฯเสด็จไปดูตรงจุดที่
เกิดเสียงประหลาด ปรากฎว่าไม่มีร่องรอยผิดปกติอะไร ไม่มีสิ่งใดสูญหายแม้แต่ดินก้อนเดียว พระองค์ตรัสเล่าว่า


"เขามาอาละวาดเต็มที่ตามมาถึงบ้าน เขาคงมาท้วงเรา เพราะเราไม่ได้ไปแสดงความเคารพหรือขอขมาเขา
เสียก่อนขุด ตอนนั้นฉันไม่เชื่อเรื่องผีจึงไม่ได้ทำพิธีทางไสยศาสตร์ ทั้งที่วันนั้นก็มีคนทักท้วงว่าควรจะทำ"


เรื่องนี้พระองค์เจ้าพีระฯได้ตรัสเล่าให้พระญาติพระวงค์ และพระสหาย ตลอดจนชาวบ้านที่มารับจ้างช่วยขุดหา
ขุมทรัพย์ฟัง ซึ่งทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องเป็นผีปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาแสดงตัวปรากฎ
ให้เห็นเตือนให้ยับยั้งการขุดหาขุมทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่ของตนเอง และทุกคนต่างขอร้องให้พระองค์ทรงล้มเลิกการ
ขุดหาขุมทรัพย์ในคราครั้งนี้ เพราะเกรงว่าจะเกิดอันตรายได้ แต่พระองค์และพระสหายไม่ยอมเลิกล้มโครงการ
ตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดต่อไป

วันรุ่งขึ้นพระองค์เจ้าพีระได้ใช้เครื่องไมด์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูอีกครั้งที่หลุมซึ่งขุดค้างไว้ ปรากฎว่าเครื่องส่งเสียงแสดงว่า
มีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นเป็นจำนวนมากเช่นเดิม จึงให้คนงานขุดต่อที่หลุมเดิมขุดลงไปโดยขยายปากหลุม
ให้กว้างและโกยดินขึ้นมามากมายพบแต่หม้อดินโบราณใบเล็กๆใส่กระดูกคนเอาไว้ใบหนึ่ง นอกนั้นไม่พบอะไรเลย
วันต่อมาการขุดดำเนินการต่อไปอีก วันนี้ได้พระพุทธรูปองค์เล็กๆสององค์ ไม่พบทรัพย์สมบัติสิ่งใดทั้งสิ้น
ทั้งที่เครื่องตรวจสอบแร่ธาตุระบุว่ามีทองคำอยู่ใต้ดินบริเวณนั้นมากมาย และหลุมที่ขุดก็ลึกลงไปมากแล้ว



วันต่อๆมาก็ยังขุดต่อไปอีก กระทั่งถึงเย็นวันหนึ่งเวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น.ขณะพระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงวางเครื่อง
ไมน์ ดีเทคเตอร์ ซึ่งทรงถือมาเป็นเวลานานลง แล้วเงยพระพักตร์ขึ้น ก็ทอดพระเนตเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมา
จากทางหลังโบสถ์ ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่กำยำล่ำสันผิดมนุษย์แต่งตัวแบบนักรบไทยโบราณ สวมเสื้อแขน
กระบอกกางเกงขาลีบๆสั้นๆสีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสอุทานออกมาว่า ...


"ผีนี่นา!"

ที่พระองค์ตรัสเช่นนั้นเพราะชายคนดังกล่าวปราศจากศีรษะ พระองค์เจ้าพีระฯตรัสถามพระชายา และพระสหาย
ทั้งสองว่าเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า หม่อมสาลีและพระสหายตอบว่าไม่เห็นมีอะไร พระองค์ตรัสเล่าต่อไปว่า...

"ฉันเห็นแล้วฉันไม่ตกใจ ความที่อยากรู้ว่าเป็นอะไรจึงวิ่งตามผีไปจนถึงพุ่มไม้ที่ผีหาย ซึ่งอยู่ห่างจากโบสถ์
ประมาณร้อยเมตร ก็ได้พบว่าพุ่มไม้ที่เห็นไกลๆว่าเป็นไม้เล็กๆนั้น แท้จริงเป็นไม้ขนาดใหญ่ทีเดียว แต่ขึ้นอยู่
ในแอ่งข้างล่างจึงมองเห็นเป็นพุ่มไป"


พระองค์เจ้าพีระฯได้ทรงนำเรื่องที่เห็นผีไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง และตรัสถามชาวบ้านว่าเป็นใคร ชาวบ้านก็ทูลว่า
เป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์ และการมาปรากฎให้เห็นเช่นนี้แสดงว่าผู้ที่เห็นปู่โสมเข้าใกล้ขุมสมบัติแล้ว ซึ่งหมายความว่า
พระองค์เจ้าพีระฯ กำลังขุดเข้าใกล้ขุมสมบัติเข้าไปทุกที แม้ชาวบ้านจะบอกว่าปู่โสมเป็นวิญญาณหรือเป็นผี
ที่เฝ้าขุมทรัพย์ กระนั้นพระองค์เจ้าพีระฯก็ไม่ทรงเชื่อ

พระสหายชาวต่างประเทศที่ชื่อแฮริสัน ทราบรายละเอียดว่าพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นผีหัวขาดเดินออกมาจากทาง
หลังโบสถ์ จึงเปิดเผยออกมาบ้างว่า เขาเองก็พบเห็นชายหัวขาดเดินออกมาจากทางหลังโบสถ์ แล้วไปหายที่
พุ่มไม้เช่นเดียวกัน! เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แทนที่พระองค์เจ้าพีระฯจะทรงยั้งคิดและไตร่ตรองถึงความผิดพลาด
ที่ท่านกำลังละเมิดทรัพย์สินของผู้อื่นที่ตายไปแล้ว แต่ยังมีวิญญาณเจ้าของเดิมหวงแหนเฝ้ารักษาอยู่
พระองค์กลับทรงเห็นว่าทรัพย์สินที่เจ้าของเสียชีวิตไปแล้วนั้นย่อมไม่มีใครเป็นเจ้าของ ฉะนั้นผู้ใดค้นพบผู้นั้น
ย่อมมีสิทธิ์ครอบครอง ที่พระองค์ทรงคิดเช่นนี้เนื่องจากไม่เชื่อว่าผีมีจริงวิญญาณมีจริงนั้นเอง

แม้วิญญาณเจ้าของสมบัติหรือปู่โสมเฝ้าทรัพย์จะมาแสดงตนประหนึ่งห้ามปราม ทว่า พระองค์เจ้าพีระฯ
หาได้สนพระทัยไม่ ยังคงตรัสสั่งให้ดำเนินการขุดค้นหาต่อไปอีก วันต่อมาพระองค์เจ้าพีระฯและทีมงาน
ได้ใช้เครื่องไมน์ ดีเทคเตอร์ ลงไปตรวจที่ก้นหลุมอีก สัญญาณดังแรงมาก ประหนึ่งว่าจวนเจียนใกล้จะได้
พบแร่ทองคำจำนวนมหาศาลแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจเดียวเท่านั้น...

แต่ทันใดนั้นเอง!ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น เมื่อคนงานระดมขุดอย่างชนิดที่เรียกว่าเต็มแรง
สุดกำลังเลยที่เดียว...เสียงดังครืดๆๆ มาจากใต้ดินคล้ายมีอะไรบางอย่างขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวอยู่ข้างใต้
เสียงนี้ดังอยู่ชั่วขณะแล้วก็เงียบหายไป คนงานที่กำลังขุดดินอยู่ต่างพากันเผ่นหนีกระโจนขึ้นจากหลุม
ด้วยความกลัวตาย


เมื่อเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว พระองค์เจ้าพีระฯและพระสหาย ได้ทรงนำเครื่องมืออันทันสมัยลงไปตรวจสอบ
ที่ก้นหลุมอีกแล้วก็ต้องประหลาดใจเป็นหนที่สอง เพราะปรากฎว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงจากเครื่องมือ นั้นคือ
สัญญาณแต่เดิมที่เคยร้องดังลั่น กลับเงียบเสียงลงอย่างแผ่วเบามาก และยังชี้ไปทิศทางอื่น เป็นการบ่งชัดว่า
ขุมทองคำมหาศาลได้เคลื่อนย้ายหนีไปตำแหน่งอื่น!

แต่พระองค์เจ้าพีระฯไม่ทรงย่อท้อพระทัย จึงตรัสสั่งให้คนขุดย้ายไปตำแหน่งใหม่ ซึ่งเครื่องได้ชี้จุดห่างออกไป
ประมาณ ๓๐ เมตรแต่เมื่อระดมขุดลึกลงไปๆใกล้จะถึงจุดที่เครื่องบอกว่ามีขุมทรัพย์จำนวนมากฝังอยู่
ก็ต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดซ้ำอีก นั้นคือได้ยินเสียงดัง ครืดๆๆ แล้วเครื่องวัดสัญญาณก็เงียบหายไป!

เป็นเวลาสองวันเต็มๆที่ชุดตามล่าหาขุมทรัพย์ ได้พยายามขุดตามมหาสมบัติที่เคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา
ชนิดที่เรียกว่าหวุดหวิดจวนเจียนมันก็หนีไปจากที่เดิมอีก!เป็นที่น่าสังเกตุว่าบริเวณที่ขุมทรัพย์เคลื่อนย้ายหนี
ไปรวมตัว ณ ที่แห่งใหม่นั้น บางครั้งจะมีลักษณะเรียงตัวกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมบ้าง ทรงกลมบ้าง เมื่อขุดตามไป
ก็ได้แต่ดินโกยขึ้นมา ไม่มีแม้แต่เศษทองให้พบเห็นแม้แต่เพียงชิ้นเดียว!




เมื่อพระองค์เจ้าพีระฯทรงเห็นชัดเช่นนั้นจึงตรัสสั่งให้หยุดการขุดเอาไว้ก่อน และเริ่มหันมาสนพระทัย
เรื่องไสยศาสตร์อันเร้นลับ บังเอิญได้รู้จักกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง ท่านมีชื่อเสียงทางไสย์เวทพุทธาคม
เมื่อท่านรับทราบเรื่องการขุดหาขุมทรัพย์ที่วัดร้างกุฎีดาวว่ามีอาถรรพณ์ลึกลับก็รับว่าจะทำพิธีบวงสรวง
ขออนุญาติขุด เมื่อถึงฤกษ์งามยามดี พระอาจารย์จอมขมังเวทย์ท่านนี้ได้ตั้งศาลเพียงตาขึ้นที่หลังโบสถ์


แล้วท่านก็นำเอาไข่ลมมาเสกให้ดูปรากฎว่าไข่มีสีเขียวบ้างสีแดงบ้าง จากนั้นท่านก็ยืนยันว่า
สถานที่แห่งนี้มีทองคำจำนวนมากฝังอยู่จริงๆ และทำพิธีอยู่ ๓-๔ สัปดาห์ แต่เข้าฤดูฝนเสียก่อน
การพิธีจึงจำเป็นต้องหยุดชะงักไปแม้ผ่านฤดูฝนแล้วก็ยังมิได้ดำเนินงานต่อ เนื่องจากไม่แน่ใจว่า
วิญญาณที่เฝ้าทรัพย์จะอนุญาตหรือไม่?...

"เรื่องอาถรรพณ์ต่างๆในการขุดหาสมบัติที่อยุธยาฉันได้นำไปเล่าให้พระอาจารย์อีกรูปหนึ่งฟัง
พระอาจารย์รูปนี้เก่งมาก เป็นยอดอาจารย์เลยก็ว่าได้ เพราะท่านสำเร็จได้อภิญญาหลายอย่าง
ท่านก็หลับตานั่งทางในแล้วไปคุยกับคนไม่มีศีรษะที่ฉันเห็นท่านว่าเห็นแล้ว ท่านว่าคนนี้มีจริงๆ
เป็นปีศาจเฝ้าทรัพย์ชื่อ ผาด เป็นอดีตทหารของพระเจ้าอู่ทอง ปีศาจตนนั้นได้บอกกับพระอาจารย์

หลวงพ่อว่า...ฉันไปรบกวนเขาโดยไปขุดทรัพย์แล้วไม่ทำตามแบบแผน เขาจะให้ทรัพย์นั้นได้หรือไม่
ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรมของเราอย่างไรก็ตาม เขาได้สาปผู้ไปขุดเอาทรัพย์นั้นแล้ว ว่าไม่ให้ทำมาค้าขึ้น
ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะในเวลาต่อมาทั้งสามคนที่ร่วมกันขุดก็แย่ฉันก็แย่..."


คำสาปจากวิญญาณผู้เฝ้าขุมทรัพย์ปรากฎเป็นความจริงในเวลาต่อมา นั่นคือธุรกิจที่พระองค์เจ้าพีระฯ
ทรงร่วมกับพระสหายอีกสองคนก็มีอันต้องล้มเลิกกิจการล่มจมลง ต่อมา มร.แฮริสัน ก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควร!
พระสหายลูกครึ่งก็หายสาปสูญไปโดยไม่รู้ว่าอยู่ไหนจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้!

ส่วนพระองค์เจ้าพีระฯในเวลาต่อมาได้ดำเนินธุระกิจอีกหลายอย่างแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ การดำเนินงาน
ขุดหาสมบัติจึงเท่ากับล้มเลิกไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นเหตุให้พระองค์หันมาศึกษาพุทธศาสตร์อย่างจริงจัง
โดยมุ่งเน้นด้านจิตศาสตร์เป็นสำคัญ เพื่อหวังว่าในสักวันหนึ่งพระองค์จะทรงติดต่อกับวิญญาณผีปู่โสมด้วย
พระองค์เอง ถ้ายังติดต่อไม่ได้ก็จะไม่ล่วงละเมิดอีกต่อไป

พระองค์เจ้าพีระฯกับประสบการณ์เผชิญวิญญาณหวงสมบัติที่วัดกุฎีดาวนี้ พระองค์เคยเสด็จไปประทานสัมภาษณ์
ที่สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ณ ตึกเกษมปัญญาคาร วัดมกุฎกษัตริยาราม โดยมี พ.ต.อ. ชะลอ อุทกภาชน์
ผู้กำกับการสันติบาลกอง ๕ นายแพทย์เชียร สิริยานนท์ และนายแพทย์ประพันธ์ พืชผล เป็นผู้สัมภาษณ์
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ ๒๕๐๔

ที่นั้นพระองค์เจ้าพีระฯทรงยอมรับต่อที่ประชุม ณ สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทยว่า แต่เดิมพระองค์
ไม่เคยทรงเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจเลยแต่ปัจจุบันได้ทรงยอมเชื่อแล้ว ทั้งนี้ เพราะได้ทรงประสบเรื่องวิญญาณลี้ลับ
มาแล้วด้วยพระองค์เอง.

วัดกุฏิดาวเป็นวัดเล็กๆ ป้ายชื่อวัดไม่มีบอก ต้องอาศัยถามจากชาวบ้าน แถวใกล้วัดกุฏิดาวยังมีวัดใกล้เคียงหลายวัด
รวมถึงวัดมเหยงค์ซึ่งขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" อีกวัดหนึ่ง "วัดมเหยงค์" นี้เคยเป็นวัดร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง
ของอุโบสถซึ่งกระเทาะหลุดร่อนเหลือแต่อิฐ แดงๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงให้เห็นว่าเคยเป็นศาสนาสาถนที่สวยงามในอดีต

วัดมเหยงค์แห่งนี้ เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่า มีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ในท่วงทำนองอันไพเราะ ดังแว่วมาจากอุโบสถ
เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ สวดช้า และเยือกเย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบัน และจะดังขึ้น
ในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...




คำว่าปู่โสมนี้ ได้ยินมาบ่อยๆ ที่เรียกว่าปู่นี้คงเพราะมักมาเป็นรูปอย่างคนเฒ่าคนแก่ คงเป็นชายเสียส่วนมาก
จึงได้เรียกว่าปู่ ไม่เคยได้ยินว่ามีย่าโสมที่ไหน ส่วนคำว่าโสมนั้นคงเป็นคำโบราณ แปลว่าอะไรไม่แน่ใจ
โดยรวมปู่โสมก็เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อว่ามีหน้าที่คอยเฝ้าสมบัติต่างๆที่คนโบราณแอบเอาไว้ตามถ้ำหรือกรุ สมบัติ
ที่จริงเรื่องปู่โสมนี้เป็นเรื่องที่ดูยังคาบเกี่ยวกับวิชามาร ยาศาตร์(ฝังอาถรรพ์)อยู่มากในที่นี้เป็นการกล่าวถึง
แต่คติเรื่องผีจึงขอคัด เอาแต่คติที่ดูจะเกี่ยวกับผีๆสางๆสักหน่อย


การอุบัติของปู่โสมนี้อาจ แยกเป็นสองอย่างหลักคือ เกิดจากอำนาจทางมารยาศาสตร์ ผูกขึ้นมาให้เป็นตัวตน
คงคล้ายๆกับการผูกหุ่นพยน กับอีกอย่างหนึ่งคือเกิดจากคนตายคือผีตามความเข้าใจของคนทั่วไป ซึ่งอย่างหลังนี้
ดูจะเกี่ยวกับปู่โสมที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่หน่อย ปู่โสมที่เกิดจากอำนาจคนตายนี้ ก็ยังแยกออกเป็นแบบอีกคือ
เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติกับเขาทำให้เกิด


อย่างแรกที่ว่าเกิดกันตาม ธรรมชาตินี้คือเกิดจากคนที่เป็นจ้าวสมบัติเมื่อตาย ลงจิตยังคงหลงยึดมั่นในสมบัตินั้น
เลยทำให้ไม่ได้ไปเกิด กลายเป็นผีเฝ้าสมบัติ เรื่องอย่างนี้ได้ยินกันบ่อยไป เช่นเคยได้ยินว่ามีนักเล่นของเก่า
ไปหาซื้อเตียงโบราณมาพอจะเอาเตียงมานอน เข้าจริงๆก็โดนเจ้าของเตียง(ผี)มาเล่นงานตั้งแต่คืนแรก
อย่างนี้คงเป็นเพราะวิญญาณยังคงหวงเตียงนั้นอยู่เลยไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ ฟังดูอาจตลกดีแค่เตียงเก่าๆ
ยังหวงอะไรหนักหนา แต่มาคิดดูเรื่องการหวงข้าวของนี้เป็นอัตตาที่เข้มข้นอย่างหนึ่ง เช่น ของของเราๆก็ไม่อยากให้
ใครมาแอบใช้ คนรักของเราๆก็ไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ แต่อย่างนี้ยังดูไกลจากผีปู่โสมของเราอยู่สักหน่อย


การเกิดผีปู่โสม อีกอย่างหนึ่งก็คือเป็นการกระทำให้เกิดคือเจ้าตัวก็ไม่ได้ อยากเกิดเป็นผีปู่โสมแต่มีใครบางคน
ทำให้เป็น ไม่ว่าเจ้าตัวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม อย่างนี้เองจึงเป็นผีปู่โสมเฝ้าสมบัติของแท้ เรื่องเอาคนมาฆ่าแล้ว
ตรึงวิญาณให้เฝ้าสมบัตินี้มักได้ยินบ่อยๆ เป็นความเชื่อของลัทธิมารยาศาสตร์

credit :: wunjun.com / นิตยสารภูตผีวิญญาณ ฉบับที่ ๕ พ.ศ ๒๕๔๕
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

theowwb

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 109
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด

ขอบคณมากครับบ สนุกดี ผมก็เปนคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องนี้เหมือนกันครับ  .,mn .,mn

OsamaB

  • เด็กหัดแอ่ว
  • *
  • กระทู้: 143
  • คะแนนจิตพิสัย +0/-0
    • ดูรายละเอียด

ขอบคุณครับ ผมสังเกตเวลาไปเที่ยวตามถ้ำต่าง ๆ จะมีฤาษีแล้วก็เหมือนมีของฤาษี ไม่รู้ว่าแนว ๆ เดียวกันรึเปล่า แต่ดูน่ากลัวพิลึก