ข้อคิดเรียนต่อต่างประเทศ
การ
เรียนต่อต่างประเทศหลาย ๆ คนอาจกลัว วีซ่าไม่ผ่าน โดยเฉพาะประเทศใหญ่เช่น
ประเทศอังกฤษ ประเทศออสเตรเลีย และ
สหรัฐอเมริกากลัวความเหงา กลัวต่าง ๆ นานา ความเป็นจริงการ
ศึกษาต่อต่างประเทศเพื่อเดินทางไป
ต่างประเทศไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ขอให้หาข้อมูลล่วงหน้า เตรียมความพร้อม ถามตัวเองว่าพร้อมหรือยังที่จะ
เรียนต่อ ในการ
เรียนต่างประเทศ คุณพร้อมหรือยังที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เมื่อรู้ล่วงหน้าก็จะทำให้ความกลัวในการ
เรียนต่อนอก ลดลง พร้อมที่จะตั้งรับปัญหาในทุก ๆ เรื่อง ซึ่งทำให้เราประสบความสำเร็จในการ
เรียนต่อ ต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง
เรียนต่ออเมริกา
การเลือก
เรียนต่ออเมริกาเป็นจุดหมายปลายทางการ
เรียนภาษาที่อเมริกาถือว่าเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่และมีหลายสิ่งที่คุณจะต้อง พิจารณาก่อนจะตัดสินใจไป
เรียนภาษาที่อเมริกา แน่นอนเพราะมันไม่ได้มีแค่เรื่องของการ
เรียน usaเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการเดินทางและเรื่องของการเข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์ในการ
study usa และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากเดิมในการ
ไปเรียนภาษาที่อเมริกาในวันนี้จะมาอธิบายถึงสิ่งที่คุณควรพิจารณาก่อนการตัดสินใจ
เรียนภาษาอังกฤษ อเมริกาเตรียมเก็บกระเป๋าและเดินทางไป
study in usได้เลย
หลังจากที่คุณเลือกว่าจะไปเรียนที่
เรียนอเมริกา สิ่งถัดมาที่คุณต้องเตรียมคือการเตรียมตัวในการยื่นใบสมัครไปยังสถาบันการศึกษาต่างๆใน
usa study เลือกหลักสูตรและสาขาในมหาวิทยาลัยที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของคุณมากที่สุด อย่างไรก็ตาม การเลือกสถานที่เรียนก็จำเป็นต้องพิจารณาให้ลึกลงไปอีก โดยมีหลายสิ่งที่คุณจำเป็นต้องนำมาพิจารณาเพิ่ม เพื่อทำให้คุณได้รับประสบการณ์และชีวิตที่มีค่าที่สุดในการ
ศึกษาต่ออเมริกาสถานที่ตั้ง
สถานที่ตั้งไม่ว่าจะเป็นรัฐและเมืองล้วนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเรียน
เรียนต่อประเทศอเมริกามีรัฐมากถึง 50 รัฐ และแต่ละรัฐก็มีความแตกต่างกันออกไป ความกว้างใหญ่ของอเมริกาทำให้ประเทศนี้มีความแตกต่างกันสูงในแต่ละที่ และส่งผลให้มีจำนวนมหาวิทยาลัยมากมาย จึงเป็นการยากที่จะทำให้ตัวเลือกของคุณแคบลง ดังนั้น ลองใช้วิธีแยกแยะด้วยการกำหนดลักษณะของที่ตั้งหอพักหรือมหาวิทยาลัยในการ
เรียนต่อต่างประเทศ อเมริกาตามที่คุณต้องการ เช่น คุณต้องการที่จะอยู่ในเมืองใหญ่ๆหรือเมืองเล็กๆที่เงียบสงบ คุณต้องการจะเดินทางไปมาอย่างไร คุณต้องการจะเดินหรือจะใช้บริการระบบขนส่งของเมือง เพราะการเรียนในอเมริกาไม่เหมือนกับการเรียนที่บ้านเกิดของคุณ ดังนั้นพยายามมองโลกตามความเป็นจริงเข้าไว้ และดูว่าประสบการณ์แบบไหนคือสิ่งที่คุณต้องการ
สภาพอากาศ
แต่ละรัฐในการ
ไปเรียนต่ออเมริกามีลักษณะของสภาพอากาศที่เป็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น เช่น Seattle ที่มีฝนตกอยู่สม่ำเสมอ, California ที่มีแสงแดดสาดส่องไม่เว้นวัน หรือ รัฐแห่งพระอาทิตย์ไม่เคยตกในฤดูร้อนและไม่เคยขึ้นในฤดูหนาวอย่าง Alaska เป็นต้น ดังนั้นต้องทราบถึงข้อจำกัดของตัวคุณเอง ว่าคุณสามารถรับได้กับสภาพอากาศแบบไหน นอกจากนี้การซื้อเสื้อผ้าใหม่เป็นเรื่องสิ้นเปลืองถ้าคุณอาศัยในรัฐที่มีอากาศค่อนข้างร้อน แต่ถ้าคุณอยู่ในรัฐที่หนาวขึ้นก็จะมีราคาถูกลง
จำนวนนักเรียน
จำนวนนักเรียนหรือขนาดของมหาวิทยาลัยที่คุณไป
เรียนต่อที่อเมริกาก็เป็นเรื่องที่คุณควรพิจารณา เพราะการที่มีนักเรียนจำนวนมากอาจจะมีผลต่อขนาดของห้องเรียน รวมถึงการแข่งขันในการเรียนและการสอบ การเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีปริมาณนักเรียนที่มาก อาจจะทำให้คุณต้องเรียนร่วมกับนักเรียนอีกเป็นร้อยในวิชาแรกของการเรียนของคุณ ในขณะที่มหาวิทยาลัยใน
อเมริกาที่เล็กกว่าก็จะมีนักเรียนเพียงแค่ 20-40 คนต่อวิชา แต่ถึงอย่างนั้น มหาวิทยาลัยใหญ่ๆก็จะมีตัวเลือกของหลักสูตรและสาขาที่มากกว่าในมหาวิทยาลัยเล็กๆ
วัฒนธรรมและศาสนา
แน่นอนว่าในเรื่องของหลักสูตรที่
สหรัฐอเมริกาของแต่ละโรงเรียนจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการพิจารณา แต่ถ้าคุณเลือกมหาวิทยาลัยที่เน้นศาสนามากๆ คุณก็อาจจำเป็นต้องเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆที่ถูกกำหนดไว้ ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ได้ศรัทธาหรือไม่ได้ชื่นชอบในเรื่องเหล่านี้ มันก็อาจจะเกิดปัญหาได้
อัตราค่าเล่าเรียน
ค่าเล่าเรียนในแต่ละมหาวิทยาลัยของ
สหรัฐจะแตกต่างกันไปตามแต่ละแห่ง เนื่องจากค่าครองชีพที่แตกต่างกัน เช่น การเรียนมหาวิทยาลัยใน
นิวยอร์ก จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามหาวิทยาลัยในโอไฮโอ เป็นต้น แต่เรื่องของค่าเล่าเรียนจะกลายเป็นข้อจำกัดทางเลือกของหลักสูตรที่คุณต้องการหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ เพราะมันเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น
กิจกรรม
เป็นที่รู้กันว่าคนอเมริกันชื่นชอบการเล่นกีฬา โดยเฉพาะ
อเมริกาฟุตบอล แต่ชมรมหรือกีฬาที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องสนใจด้วยหรือ คำตอบคือ ใช่ เพราะถึงแม้การเรียนจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนใน
ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อคุณทำการบ้านเสร็จแล้ว คุณจะทำอะไรในเวลาว่างของคุณกันละ แต่ถ้าคุณเป็นคนไม่ชื่นชอบกีฬาเลย ก็จะเป็นประโยชน์กว่าถ้าคุณเลือกมหาวิทยาลัยที่เน้นหนักไปที่เรื่องของวิชาการ และคุณก็เข้าร่วมชมรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณสนใจแทน
ทางเลือกสำหรับนักเรียนต่างชาติ
ในฐานะนักเรียนต่างชาติที่ไปเรียนที่
ประเทศสหรัฐ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องเช็คว่ามหาวิทยาลัยมีตัวเลือก, ตัวช่วย หรือข้อกำหนดอะไรสำหรับคุณบ้าง เช่น การทำงานในระหว่างเรียน หรือ ระดับของผลการเรียนที่คุณจำเป็นจะต้องรักษาไว้ เพื่อที่คุณจะได้เตรียมตัวสำหรับหลักสูตรนั้นๆได้ถูกต้องและเป็นเรื่องสำคัญที่คุณจำเป็นต้อง
วีซ่าอเมริกา
ข้อมูล
วีซ่าอเมริกาและขั้นตอนการนัดวันสัมภาษณ์
นับตั้งแต่ 19 มกราคม 2549 ผู้มีความประสงค์ที่จะขอ
วีซ่า usaเข้า ประเทศสหรัฐอเมริกาจะไม่สามารถโทรศัพท์เพื่อขอข้อมูล หรือสอบถามเกี่ยวกับการขอ
visa usaจาก หมายเลขโทรศัพท์ ของสถานทูตอเมริกาได้อีกต่อไป หากต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ
visa อเมริกาหรือยื่นคำร้องขอวีซ่า ต้องปฏิบัติตามระบบข้อมูลวีซ่า และขั้นตอนการนัดวันสัมภาษณ์ใหม่ ที่เพิ่งนำมาใช้ทั่วประเทศ โดยผู้ต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการ
ขอวีซ่าอเมริกา หรือผู้ประสงค์จะยื่นขอวีซ่า สหรัฐอเมริกา ต้องซื้อรหัสประจำตัว (PIN) เมื่อมีรหัสประจำตัว (PIN) แล้วจึงจะสามารถเข้าสู่ระบบข้อมูลเกี่ยวกับการขอวีซ่า และจองวันสัมภาษณ์ เพื่อขอวีซ่าชั่วคราวสำหรับตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันไม่เกิน 5 คน ซึ่งการขอข้อมูลและการจองวันสัมภาษณ์วีซ่าดังกล่าว สามารถทำได้ 2 ทางคือ โดยผ่านทางเว็บไซต์ หรือทางโทรศัพท์ไปยัง Call Center สำหรับการซื้อรหัสประจำตัว (PIN) สามารถใช้บัตรเครดิตซื้อ (เฉพาะบัตรวีซ่า หรือมาสเตอร์เท่านั้น) ผ่านทางเว็บไซต์
http://thailand.us-visaservices.com หรือซื้อจากที่ทำการไปรษณีย์ทั่วไป ในส่วนของค่าธรรมเนียมการซื้อรหัสประจำตัว (PIN) มี 2 อัตรา ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ขอวีซ่าจะเลือกใช้บริการในการขอข้อมูลและจองสัมภาษณ์โดยวิธีใด ค่าธรรมเนียมการซื้อรหัสประจำตัว (PIN) เพื่อใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์เพียง 400 บาท แต่หากเลือกใช้การบริการทางโทรศัพท์ โดยโทรไปยัง Call Center หมายเลขโทรศัพท์: 001-800-13-202-2457 รหัสประจำตัว (PIN) ที่ใช้กับระบบ call center มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าคือ 720 บาท ดังนั้น นักเรียนนักศึกษาจึงต้องพิจารณาและตัดสินใจก่อนว่า ตนเองต้องการใช้บริการข้อมูลวีซ่า และจองวันสัมภาษณ์ด้วยวิธีใด เพื่อจะได้จ่ายค่าธรรมเนียมในการซื้อรหัสประจำตัว (PIN) ให้ถูกต้องกับวิธีที่จะใช้การบริการ เพื่อขอข้อมูลและจองสัมภาษณ์ต่อไป
เที่ยวอเมริกา
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและมีอากาศที่หนาวเย็น จนทำให้บุคคลภายนอกประเทศนิยมไปเที่ยวกัน อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีมากมาย เราก็จะมายกตัวอย่างสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนนิยมไปกันเช่น
1นคร
นิวยอร์ก หรือที่นิยมเรียกกันว่า
นิวยอร์คซิตี (อังกฤษ:
new yorkCity; NYC) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในโลก เป็นมหานครเอกของโลก จัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน วัฒนธรรม บันเทิง ที่สำคัญที่สุดของโลก เป็นเมืองที่มี ตึกระฟ้า ตึกสูงมากที่สุดในโลก ตลอดระยะเวลา 150 ปี และยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ อีกด้วย
newyorkตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย 5 เขตปกครองที่เรียกว่า โบโรฮ์ (Borough) คือ เดอะบรองซ์ บรูคลิน แมนแฮตตัน ควีนส์ และสแตตัน ไอส์แลนด์ ประชากรรวมทั้งหมดประมาณ 8,274,527 คน ภายในพื้นที่ 790 ตร.กม. (305 ตร.ไมล์) นอกจากจะเป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดแล้ว สัดส่วนประชากรต่อพื้นที่ยังถือว่าหนาแน่นที่สุดในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
2
บอสตันเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของของรัฐCommonwealth of Massachusettsและเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาชื่อ
bostonได้รับมาโดย การเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานจาก เมืองบอสตัน, Lincolnshireในประเทศอังกฤษการที่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในนิวอิงแลนด์บอสตันถือได้ว่าเป็น “เมืองหลักใหญ่ที่สุดของนิวอิงแลนด์” เป็นเมืองหลักทั้งด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่มีต่อทั้งภูมิภาคในนิวอิงแลนด์ ตัวเมืองมีขนาดรอบคลุม 48.43 ตารางไมล์ (125.43 ตารางกิโลเมตร) มีประชากรประมาณ 625,087 คนในปี 2011 ตามสำมะโนประชากรสหรัฐ เป็นเมืองที่ใหญ่ลำดับที่21 ในสหรัฐ
3
วอชิงตันดี.ซี.(อังกฤษ:Washington, D.C. โดยตัวย่อ D.C. ย่อมาจาก District of Columbiaเขตปกครองพิเศษโคลัมเบีย) เป็นเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาติดต่อกับรัฐเวอร์จิเนียและรัฐแมริแลนด์โดยวอชิงตัน ดี.ซี. อยู่ในเขตฝั่งซ้ายของแม่น้ำพอตอแมก (Potomac River)
4
ซานฟรานซิสโกเป็นศูนย์กลางทางการเงินและวัฒนธรรมชั้นนำ โดยตั้งอยู่ที ใจกลางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย และ อ่าวซานพรานซิสโก
ชาวสเปน นำโดย “นักบุญฟรานซิส” ได้ก่อตั้งเมืองขึ้นเมื่อ 29 มิถุนายน 1776 เมื่ออาณานิคมจากสเปนจัดตั้งป้อมที่โกลเดนเกต โดยตั้งชื่อเมืองตามนักบุญฟรานซิส ต่อมาหลังจากที่เจอแหล่งทองคำแคลิฟอร์เนีย ในปี1849 ทำให้เมืองมีการการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การเพิ่มจำนวนประชากรในหนึ่งปี 1,000 ถึง 25,000 และทำให้เปลี่ยนมันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมื่อฝั่งตะวันตกในเวลาต่อมา
5
ชิคาโก(Chicago) เป็นเมืองตั้งอยู่ในรัฐอิลลินอยส์รู้จักกันในชื่อ “เมืองแห่งลม” (Windy City) ชื่อเล่นนี้ มีที่มาจากการที่นักข่าวเขียนล้อเลียนนักการเมืองของ ชิคาโกใน ศตวรรตที่ 19 เกี่ยวกับการพูดจากลับกลอกไปมา บางคนเชื่อว่ามีที่มาจากการที่เป็นเมืองที่มีลมพัดแรงตลอดเวลาแต่ไม่ได้มีหลักฐานใดๆเขียนสนับสนุนทฤษฎีนี้ ชิคาโกเป็นเมืองใหญ่อันดับสามในประเทศอเมริกาเทียบตามจำนวนประชากร รองจากเมืองนิวยอร์กและลอสแอนเจลิสเมืองชิคาโกตั้งอยู่ในเคาน์ตีคุก รัฐอิลลินอยส์เขตมิดเวสต์ของประเทศสหรัฐ เมื่อรวมเคาน์ตีรอบ ๆ ชิคาโกทั้ง 8 เคาน์ตีจะเรียกเขตว่าชิคาโกแลนด์ซึ่งมีประชากรประมาณ 9 ล้านคน
6 รัฐ
ฮาวายประกอบไปด้วยเกาะ 137 เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิค มีเนื้อที่ 6,423 ตารางไมล์ใหญ่เป็นอันดับที่ 43 ของสหรัฐฯ ผืนแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดคือรัฐแคลิฟอร์เนียที่อยู่ห่าง ออกไป 2,390 ไมล์เวลาบนหมู่เกาะฮาวายหรือ Hawaiian Standard Time ช้ากว่าเวลา Pacific Standard Time 2 ชั่วโมงและช้ากว่า Eastern Standard Time 5 ชั่วโมง