-->

ผู้เขียน หัวข้อ: Sawney Bean ตำนานครอบครัวกินคนแห่งสก็อตแลนด์  (อ่าน 4555 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

etatae333

  • Administrator
  • เทพเจ้าราตรี
  • *
  • กระทู้: 18393
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +9/-0
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • cmxseed

Sawney Bean ตำนานครอบครัวกินคนแห่งสก็อตแลนด์
ตำนานมนุษย์กินคนที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก



มนุษย์กินคน หรือ คานิบาลิสม์(Cannibalism)หมายถึง มนุษย์ที่กินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง โดยเชื่อว่าเรื่องราวของมนุษย์กินคนนี้
มีมานานตั้งแต่ยุคแรกในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคหินใหม่หรือยุคสำริด ที่พบหลักฐานคือโครงกระดูกมนุษย์ที่กระดูกร้าวจากการทุบ
กะโหลกศีรษะและส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหายไป แสดงให้เห็นว่า เจ้าของกระดูกนั้นถูกฆ่าแล้วถูกกินมันสมอง




คำว่า คานิบาลิสม์นั้นมีที่มาจาก ชนเผ่าหนึ่งในหมู่เกาะเวสท์ อินดีส เกาะภูเขาไฟเล็ก ๆ ในทะเลแคริบเบียน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ
ของตรินิแดดและโตเบโก และเวเนซุเอลา ที่คณะนักสำรวจคริสโตเฟอร์ โคลัมปัสและคณะไปพบเข้า  ทว่าคริสโตเฟอร์ดันสะกดชื่อ
ชาวพื้นเมืองนี้ผิดจากคำว่า คาริบ กลับเขียนเป็น คานิบส์ จากนั้นก็เพี้ยนมาเป็นคำว่า คานิบาเลส อันมีความหมายว่าดุร้ายกระหายเลือด
และชาวอังกฤษก็เปลี่ยนคำนี้มาเป็น คานิบาลิสม์ ในที่สุด ซึ่งความหมายจริงๆ ของมันคือมนุษย์ที่ทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเองอย่าง
โหดเหี้ยมทารุณวิปริตผิดแผกไปจากมนุษย์โดยทั่วไป

   อะไรที่เป็นสาเหตุที่มนุษย์ต้องกินมนุษย์ด้วยกันเองนั้น คำตอบก็มีหลากหลาย โดยสาเหตุหลักๆ มีดังต่อไปนี้



-เกิดจากความเชื่อประเพณี ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ถูกฝังลึกในชนเผ่าทั่วโลก โดยเฉพาะชนเผ่าที่ไร้ซึ่งความเจริญ มีประเพณีนับถือภูตผี
บูชาธรรมชาติ เช่น ชาวแอซเทค ในประเทศเม็กซิโกการสังเวยและกินเนื้อมนุษย์นั้นถือว่าเป็นการถวายตัวจากเทพเจ้า หรือบางเผ่า
ทางอเมริกาเหนือและนิวกินีเชื่อว่าการกินเนื้อของศัตรูจะทำให้ได้วิญญาณความรู้ของศัตรูถูกดูดซึมเข้าไปตัวผู้กินยิ่งกินมากยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ในขณะที่บางเผ่ากินเพื่อเป็นการแสวงความเคารพผู้ตาย



- กินเพราะความจำเป็นเนื่องจากความอดอยาก ซึ่งบางครั้งก็มีสถานการณ์ที่จำเป็นไม่ว่าจะเป็น ข้าวยากหมากแพง ประสบภัยพิบัติ
ที่ทำให้เราจำเป็นต้องกินเนื้อมนุษย์เพื่อความอยู่รอด ตัวอย่างเช่น กรณีของคณะเดินทางของดอนเนอร์ (Donner Party timeline)
จอร์จ ดอนเนอร์ได้นำเพื่อนและครอบครัว(บุตร สตรี และเด็ก) จำนวนกว่า 89 เดินทางข้าเทือกเขาเนวาด้าเพื่อไปยังคาลิฟอร์เนีย
ในระยะทาง 4023 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 14 เมษายน ปี 1846  แต่การเดินทางมีอุปสรรค์อย่างมากเนื่องจากพื้นที่เหล่านั้นมีภาวะอากาศอัน
แปรปรวน และการเดินทางที่วกวนไปมาไม่เป็นตามที่กำหนดไว้ เสบียงอาหารและข้าวของจำเป็นในการดำรงชีวิตก็หมดลง ผู้คนในคณะ
ก็ลดตายด้วยความหนาวเหน็บและอดอยาก ผู้รอดชีวิตครึ่งหนึ่งเริ่มตะหนักถึงอันตรายในสถานการณ์ในครั้งนี้ ดอนนอร์หัวหน้าคณะจึงตัดสินใจ
กินเนื้อของผู้ตายเหล่านั้นเป็นอาหารยังชีพระหว่างการเดินทางอย่างไร้จุดหมาย เป็นเวลาถึง 6 เดือนเต็ม
(เริ่มกินเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1846 ถึง 1 มีนาคม 1847) 

ผลปรากฏว่าการเดินทางครั้งนี้มีผู้ รอดชีวิต 46 คน ซึ่งต่อมาคนเหล่านี้ก็ได้รับการช่วยเหลือและรอดชีวิตมาได้



- กินเพราะความบ้าและอาการบ่อยผิดปกติ แม้เรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์กินคนในสมัยโบราณจะเลือนหายไปจากวัฒนธรรมชาวโลกเป็น
เวลานานแล้วก็ตาม แต่ทว่าพฤติกรรมกินเนื้อคนกันเองยังคงแอปแฝงอยู่ในจิตใจของฆาตกรโรคจิตทั้งหลาย สาเหตุเกิดจากอะไรนั้นยาก
ที่จะเข้าใจ เช่น ความรุนแรง ความเชื่อ รสนิยม อย่างกรณีฆาตกรหลายคน เช่นอัล เบิร์ต ฟิช  (Albert Fish 1870 1936)
ที่ฆ่าหลายรายกินเป็นอาหารเพื่อวัตถุจุดประสงค์ทางเพศ โดยเขาบอกว่าเขารู้สึกมีความสุขทางเพศอย่างเหลือล้นเมื่อเขาได้กินเนื้อเหยื่อ
ที่ตนเองได้ฆ่าและปรุงเป็นอาหาร,เอ็ดมุนด์  เคมเปอร์ (Edmund Kemper 1948-??)ฆ่าหญิงสาววัยรุ่น 6 รายเพราะความเกลียดชังผู้หญิง,
สาวกลัทธิซาตาน(Bohemian Grove)ที่มีความเชื่อว่าการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเองเป็นการบูชาซาตาน หรือจะบ้าเต็มเหมือนกรณี
เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer 1960-1994)ที่ฆ่าคนเพราะเชื่อว่าการกินเนื้อของศพเหยื่อจะทำให้ตนมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่   



นี้คืออีกหนึ่งตัวอย่าง ของมนุษย์กินคนที่ เป็นประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในทางตะวันตกเฉียงใต้ของสก็อตแลนด์ของสก็อตแลนด์
เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับมนุษย์กินคนที่ฆ่าคนเพื่อกินเลือดเนื้อของเหยื่อ และไม่ใช่คนเดียว แต่มันเป็นครอบครัวมีสมาชิกกว่า 48 ชีวิต
มีทั้งเด็กและผู้หญิง พวกผู้ชายจับกลุ่มกันไล่ล่าเหยื่อที่เป็นนักเดินทางเพื่อเอาเนื้อมาทำอาหารกินกันอย่างสุขอุรา เรื่องราวเหล่านี้
แทบจะเหมือนนิยายสยองเกรดต่ำ จนดูน่าเหลือเชื่อ จนทำให้หลายคนเชื่อว่ามันเป็นเรื่องเสริมแต่งเพราะหลายข้อมูลมีผิดเพี้ยน ตอกไข่
เพื่อเพิ่มสีสัน แต่กระนั้นโดยรวมแล้วที่สก็อตแลนด์ในศตวรรษที่ 18 ครั้งหนึ่งมีบุคคลแบบนี้อาศัยอยู่จริง และคุณเท่านั้นที่จะตัดสินว่า
สมควรจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่!!

 
 
ซอว์นี่ บีน (Sawney Bean)


 
ซอว์นี่ บีน เป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีสมาชิกอยู่ถึง 48 ชีวิต ในช่วง 15-16 ศตวรรษ ในสก็อตแลนด์ และร่วมมือก่ออาชญากรรมฆ่า
คณะคนเดินและกินเนื้อคน โดยเหยื่อที่ถูกครอบครัวนี้ฆ่าว่ากันว่ามีถึง 1000 คน


เรื่องราวของซอวน์ บีนปรากฏอยู่ในบันทึกนิวเกตส์ซึ่งเป็นหนังสือบันทึกของนักโทษที่ถูกจำคุกในนิวเกตส์นั่นเอง โดยพวกเขาถูกจำคุก
ในคดีที่อุกฉกรรจ์ โทษส่วนมากถึงขั้นประหารชีวิต โดยวัตถุประสงค์การเผยแพร่หนังสือนี้ก็คือเพื่อให้ประชาชนอ่านแล้วไม่อยากทำความผิด
ในขณะที่ประวัติศาสตร์อีกแหล่งหนึ่งบอกว่าเรื่องของซอว์นี่ บีนไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงตำนานและส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเมือง
เอดินเบอระเท่านั้น

ตามตำนานของบันทึกนิวเกตส์ เขียนไว้ว่า ซอว์นี่ บีน มีชื่อเต็มว่า อเล็กซานเดอร์ ซอวี่นี เกิดในช่วงต้นศตวรรษที่ 15-16  ที่เมืองอีสต์ โลเธี่ยน
ประเทศสก็อตแลนด์ บิดาเป็นช่างสารพัดและคนขุดคลอง โดยซอว์นี่ บีน พยายามเรียนรู้วิชาชีพจากพ่อเพื่อสืบทอดกิจการของครอบครัว
แม้จะเรียนรู้อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นเขาก็ไม่ค่อยก้าวหน้าในชีวิตการงานมากนัก เพราะเขาเป็นคนขี้เกียจอย่างบรม สมองทึบ โง่เขลา
ไม่ชอบทำงานทำการ นอกจากนี้เขาเป็นคนโมโหร้าย ชอบทะเลาะวิวาทกับคนอื่นประจำ 


 
ต่อมาซอว์นี่ บีนออกจากบ้านและแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนิสัยชั่วร้ายเหมือนกับเขา ทั้งคู่ออกเดินทางเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ จนกระทั้ง
มาหยุดลงที่ถ้ำลึกที่ชื่อบันนาน่าถ้ำชายฝั่งในกัลป์โลเวอร์(ปัจจุบันคือไอร์ไชร์ใต้) มีทางเข้าเป็นทางลับเหมือนรอยร้าวขนาดเล็กที่แทบ
ไม่มีใครมองออก นอกจากนี้ลักษณะพิเศษคือ ในยามปกติหน้าถ้ำจะเป็นลานกว้างเข้าออกได้ง่าย แต่เมื่อถึงยามน้ำขึ้น 2 วันต่อครั้ง
น้ำจะขึ้นสูงจนปิดปากถ้ำทำให้คนภายนอกเข้ามาไม่ได้ อีกทั้งลักษณะของถ้ำยังซับซ้อน คดเคี้ยว แต่ภายในเย็นสบายจึงเหมาะสำหรับ
ซ่อนตัวเป็นอย่างยิ่ง(เชื่อกันว่าถ้ำนี้น่าจะยังคงมีอยู่ถึงปัจจุบันโดยตั้งอยู่ที่ เกอเวนและ บอลลอนเทร)  ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้พวกเขา
ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะยึดเอาถ้ำแห่งหนึ่งเป็นบ้านเพื่อสร้างครอบครัว

ในช่วงแรกซอว์นี่ บีนและครอบครัวดำรงชีพอยู่ได้ด้วยทรัพย์สินเครื่องใช้และอาหารที่ปล้นจากนักเดินทางที่ผ่านไปผ่านมาในบริเวณแถวนั้น
ตอนกลางคืน โดยพวกเขาจะจับกลุ่มกันแล้วบุกเข้ามาทำร้ายฆ่า และกำจัดศพเพื่อทำลายหลักฐาน พวกเขากันแบบนี้จนนานวันเข้าสมาชิก
ครอบครัวก็มีมากขึ้น สมาชิกครอบครัวเกิดจากการร่วมประเพณีระหว่างพี่น้อง ความไร้ซึ่งกฎระเบียบจนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนถ้ำแห่งนี้
พ่อแม่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ ทั้งหญิงและชาย (ซอว์นี่ บีนมีลูกชาย 8 คน ลูกสาว 6 คน) ทำให้เกิดเด็กลูกหลานที่มีสติไม่สมประกอบพิกลพิการ
ถือกำเนิดขึ้นเป็นจำนวนมาก สภาพบ้านเริ่มแออัด พร้อมกับความต้องการอาหารที่มีมากขึ้น


แต่อาหารที่ได้จากการฆ่านักเดินทางนั้นมีน้อยมพอในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของครอบครัว อันเนื่องจากนักเดินทางส่วนใหญ่ไม่พกอาหารเยอะ
เพราะมันเป็นภาระในการเดินทาง ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องแก้ปัญหาในการหาอาหารแหล่งใหม่ที่ทำให้คนในครอบครัวอิ่มได้ โดยต้องหาง่าย
มีสารอาหารครบถ้วน และอร่อย  ซึ่งในเวลาต่อมาครอบครัวซอว์นี่ บีนก็พบวิธีเมื่อเขาฆ่านักท่องเที่ยวคนหนึ่ง และเกิดความคิดว่าร่างกายของเหยื่อ
น่าจะใช้เป็นอาหารได้ พวกเขาจึงลากร่างเหยื่อนำไปชำแหละนำเนื้อไปทำอาหารให้ครอบครัวในถ้ำได้กิน พวกเขาได้ลิ้มลองแล้วก็ติดใจในรสชาติ
และนับแต่นั้นเป็นต้นมา เนื้อคนก็ได้กลายเป็นอาหารจานหลักที่ขาดไม่ได้ของครอบครัวนี้ไปโดยบริยาย



โดยทุกครั้งที่พวกเขาฆ่าเหยื่อ พวกเขาจะนำศพกลับถ้ำและชำแหละปรุงเป็นอาหาร ส่วนที่เหลือจะนำไปถนอมอาหารโดยทาเกลือแล้วแขวนไว้กันเน่า
ส่วนโครงกระดูกจะใช้เกลือทาเพื่อดับกลิ่นแล้วซุกซ่อนเอาไว้ในถ้ำ หากเต็มถ้ำเมื่อไหร่ก็เอากระดูกพวกนี้ไปโยนทิ้งลงทะเล


นับตั้งแต่ซอว์นี่ บีน พาเมียกับลูกมาอยู่ถ้ำชายฝั่งกัลโลเวอร์และเปิดฉากพฤติกรรมกินคน ต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนานถึง 25 ปี เขามีลูกชาย 8 คน
ลูกสาว 6 คน หลานชาย 18 คน และหลานสาว 14 คน ทุกคนอยู่อาศัยรวมกันในถ้ำลับขนาดใหญ่ เด็กทุกคนมีสติปัญญาต่ำรู้ภาษาพูดไม่กี่คำ
สิ่งที่ทุกคนเรียนรู้อย่างเดียวคือเทคนิคในการฆ่าคน และชำแหละเนื้อคนเพื่อทำอาหาร พวกเขาเลือกที่จะจู่โจมเหยื่อนักเดินทางที่เป็นคณะเล็กๆ
มากกว่าจำนวนมากที่มีอาวุธครบมือ เมื่อพวกเขาเลือกเหยื่อแล้วจะใช้วิธีกระจายกำลังเพื่อล้อมเหยื่อก่อนที่จะรุมฆ่าอย่างไร้ความปราณีโดย
ไม่เปิดโอกาสให้เหยื่อหนีรอดแม้แต่คนเดียว


 


ในช่วงสี่ศตวรรษที่ผ่านมามีนักเดินทางมากมายหายไประหว่างการเดินทางกัลป์โลเวอร์ไม่มีใครรู้ซะตากรรมของนักเดินทางเหล่านั้น แต่ระยะหลังๆ
พวกชาวบ้านเริ่มพบเห็นซากกระดูกคนลอยมาติดชายหาดเป็นประจำเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกระดูกของเหยื่อที่นำกลับไปปรุงอาหารในถ้ำ
ของซอว์บีนเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีที่จะเก็บ ทำให้พวกเขาต้องขนกระดูกไปทิ้งทะเลเพื่อตัดปัญหา จนเกิดเสียงเล่าลื่อกันว่า
ในพื้นที่เกิดเหตุนั้นมีอสูรกายกินคนอาละวาดดักฆ่านักเดินทางอยู่ แน่นอนมันอาจจะเป็นเรื่องเหลวไหล แต่นักเดินทางหลายคนก็ไม่อยาก
จะเสี่ยงอันตรายพิสูจน์เรื่องดังกล่าว พวกเขาเลือกใช้เส้นทางที่ปลอดภัยแม้จะอ้อมไปหน่อยก็ตาม อีกทั้งชาวบ้านที่อยู่อาศัยที่อาศัยในชายฝั่ง
กัลป์โลเวอร์หวาดกลัวอย่างหนัก จึงพากันอพยพหลบหนีไปที่อื่น ทำให้อาณาเขตบริเวณนั้นเปลี่ยวร้างหนักเข้าไปอีก
 


 
จนกระทั้งวันหนึ่ง สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งขี่ม้ามาเที่ยวชายหาดกัลโลเวอร์ ขณะผ่านกลุ่มโขดหินใหญ่น้อยติดกับหน้าผา จู่ๆ ก็มีกลุ่มคน
หญิงชายและเด็กๆ จำนวนเกือบ 30 คน ล้อมพวกเขา ทั้งหมดแต่งตัวเหมือนคนถ้ำ แต่ว่าทุกคนล้วนมีอาวุธครบมือ พวกเขาไม่พูดพร่ำทำเพลง
ต่างกรูเข้ามาเพื่อหมายเอาชีวิตสองสามีภรรยา สามีพยายามปกป้องภรรยาโดยการชักดาบต่อสู้คนถ้ำเหล่านั้น แต่กระนั้นเมื่อเขาออก
ห่างจากภรรยา ภรรยาของเขาได้ถูกผู้หญิงที่เป็นหนึ่งในกลุ่มคนถ้ำกระชากผมจนหน้าหงายจนตกหลังม้า ก่อนที่จะใช้มีดคมกริบปาดคอ
จนเลือดพุ่มออกมาจากบาดแผล จากนั้นหญิงสาวคนนั้นก็ก้มลงดูดเลียเลือดอย่างเอร็ดอร่อยประหนึ่งเครื่องดื่มรสเลิศไม่ปาน
แต่นั้นยังไม่จบ เพราะกลุ่มคนถ้ำทั้งหลายต่างรุมกันชำแหละท้องและเฉือนร่างภรรยาเป็นชิ้นๆต่อหน้าผู้เป็นสามี


สามีที่เห็นภรรยาตายต่อหน้า ก็เริ่มรู้สึกกลัว เขาจึงพยายามวิ่งหนี โดยมีพวกผู้ชายท่าทางดุร้ายเหี้ยมเกรียมตามติดไม่ลดละจนกระทั้ง
คนผ่านมาพบ เขาจึงวิ่งเข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือ พวกคนถ้ำที่เห็นคนจำนวนมากกว่าเลยต้องล่าถอยหนีไป ทำให้เขารอดตายมาได้
อย่างหวุดหวิด และเมื่อเขาพาชาวบ้านทั้งหมดก็ไปยังที่เกิดเหตุ ก็พบแต่ศพภรรยาของเขาเท่านั้น ส่วนพวกคนถ้ำกลุ่มนั้นหายไปหมดแล้ว



   เรื่องทั้งหมดนี้ไปถึงหูพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสก็อตแลนด์(ภายหลังได้เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ) พระองค์ทรงสนใจเรื่องราวดังกล่าวนี้
จึงได้เรียกบุคลที่เกี่ยวข้องและผู้รับผิดชอบในพื้นที่ฝั่งกัลป์โลเวอร์มาเข้าเฝ้าฯ เพื่อซักถามโดยละเอียด จนได้ความว่าพื้นที่นี้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ
อยู่บ่อยครั้งในเรื่องนักเดินทางหายสาบสูญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


เมื่อพระเจ้าเจมส์ที่6ได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นจึงตัดสินใจใช้มาตรการที่รุนแรง โดยส่งทหารกว่า 400 นายพร้อมสุนัขล่าเนื้อบลัดฮาวด์
ไปยังพื้นที่ โดยพระองค์เสด็จลงมาคุมกองทหารด้วยตนเอง เมื่อถึงที่หมายก็กระจายกำลังเพื่อค้นหา จนกระทั้งพวกเขาได้พบกับถ้ำลับ
เมื่อพวกเขาเข้าไปสำรวจถ้ำสิ่งแรกที่เจอคือกลิ่นเหม็นของเนื้อสัตว์ที่เน่าเปื่อย เมื่อเข้าไปลึกๆ พวกเขาก็พบกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมีทั้งชายหญิง
และเด็กที่แสดงท่าทางโกรธเกรี้ยวและหวาดกลัว นับรวมได้ 48 ชีวิต มีซอว์นี่ บีนที่ตอนนี้กลายเป็นชายสูงอายุหนวดเครารุงรัง
และภรรยาเป็นหัวหน้า  แต่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนสยดสยองมากกว่านั้นก็คือกระดูกแขนขา ซี่โครงและหัวกะโหลกคนสุมอยู่เป็นกองพะเนิน
พร้อมเสื้อผ้าสิ่งของเครื่องใช้ อีกทั้งเนื้อคนดองเกลือตากแห้งแขวนอยู่ข้างบน แสดงให้เห็นว่าทั้ง 48 ชีวิตนี้ดำรงชีวิตด้วยการล่ามนุษย์
เอามาเนื้อมากินเป็นเวลายาวนาน จนไม่สามารถประมาณว่ามีคนตกเป็นเหยื่อของครอบครัวนี้กี่ราย พระเจ้าเจมส์ที่ 6 ทรงมีคำสั่งให้จับกุม
ครอบครัวนี้ให้หมดทุกคนเพื่อไปพิจารณาโทษและให้ทหารฝังกองกระดูกและส่วนต่างๆ ของมนุษย์เสีย



ครอบครัวตระกูลบีนถูกนำตัวไปขังคุกในอดินเบอระ ก่อนที่จะถูกย้ายไปขังที่คุกลิธ พวกเขาถูกพิพากษาทันทีโดยไม่ต้องพิจารณาความผิดในศาล
ซอว์นี่ บีนและครอบครัวถูกพิพากษาประหารชีวิต โดยให้พวกผู้ชายต้องถูกหั่นร่าง ส่วนพวกผู้หญิงและเด็กให้ถูกเผาทั้งเป็น

 
   
การประหาร Drawing and Quartering 


 
โทษประหารสมัยโบราณนั้นค่อนข้างรุนแรงและเด็ดขาด โดยเฉพาะหั่นร่างของพวกผู้ชายตระกูลบีนนั้น ถือว่าเป็นการประหารที่ร้ายแรงมาก
เพราะว่าการประหารนี้ใช้กับพวกกบฏ ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกประหารนี้ว่า Drawing and Quartering  หรือลากและแบ่งเป็นสี่ส่วน
การประหารนี้อยู่ในพระราชบัญญัติกบฏ 1814 ซึ่งนักโทษประหารที่ได้รับโทษนี้จะถูกลงโทษโดยลากให้ขึ้นบนขื่อไม้ จากนั้นก็รัดคอ
ให้นักโทษใกล้ขาดอากาศหายใจแต่ห้ามถึงตายเพียงแค่ทำให้สติลืมเลือน จากนั้นทำการชำแหละควักไส้ตับไตไส้พุงและองคชาติออกมา
เมื่อนักโทษตายก็ทำการจุดไฟเผาเครื่องในเหล่านั้น และสุดท้ายก็ทำการตัดหัวและร่างกายถูกแบ่งเป็นสี่สวนลากแห่ประจานไปจุดต่างๆ
ของเมืองเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้

ในวันประหารชีวิตครอบครัวตระกูลบีน มีประชาชนสก็อตแลนด์และชาวอังกฤษมามุงดูกันแน่นขนัด ซอว์นี่ บีน และลูกทุกคนไม่มีใครสักคน
ที่สำนึกผิดสิ่งที่พวกตนกระทำมาแม้แต่น้อย ระหว่างถูกนำตัวไปประหาร พวกบีนตะโกนถ้อยคำหยาบคายและสาปแช่งตลอดเวลาจนวาระสุดท้าย
ของชีวิตของพวกตน


เรื่องราวของเรื่องยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ ที่เมืองหนึ่งมีตระกูลหนึ่งที่เกี่ยวของกับตระกูลบีน ว่ากันว่าหนึ่งในหญิงสาวที่เป็นญาติห่าง ๆ
ตระกูลบีนถูกชาวบ้านตั้งศาลเตี้ยแขวนคอทั้งครอบครัวของเธอ



 
เรื่องราวของซอว์นี่ บีนนั้นปรากฏอยู่ในตำนานของสกอตแลนด์ และยังเป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในปี 2005
มีบทความของนักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งเขียนว่าเรื่องราวของตระกูลบีนอาจไม่ใช่เรื่องจริง อาจเป็นเรื่องสมมุติแต่งขึ้นให้คนสมัยนั้นหวาดกลัว
ที่สมัยนั้นประชาชนไม่ค่อยเคารพกฎหมาย แต่กระนั้นบางทีแรงบันดาลใจของตำนานนี้อาจมาจากเรื่อง  คริสตี้ คลีกเนื่องจากเนื้อหาใกล้เคียงกัน
โดยเป็นตำนานเกี่ยวกับมนุษย์กินคนในเมืองเพิร์ธ ประเทศสก็อตแลนด์ กลางศตวรรษที่ 14 ซึ่งสมัยนั้นเกิดพิบัติภัยธรรมชาติขึ้น ทำให้เกิดอาหาร
ขาดแคลนและภาวะอดอยาก คริสตี้จึงได้รวบรวมพรรคพวกเดินทางไปปักหลักเอาเนินเขาแกรมเปียนส์  เป็นฐานที่มั่น จากนั้นก็รวมกลุ่มกันปล้นฆ่า
นักเดินทางแล้วนำนำศพนักเดินทางนำมาทำเป็นอาหาร แต่ท้ายสุดกลุ่มนี้ก็สลายลงจากการตามล่ากองกำลังติดอาวุธจากเพิร์ธ
สมาชิกหลายคนถูกจับ ยกเว้นหัวหน้ากลุ่มที่หายสาปสูญไป สันนิษฐานว่าเขาหลบหนีไปและเปลี่ยนชื่อใหม่แล้วกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง

อีกข้อสมมุติฐานหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้เกี่ยวกับซอว์นี่ บีน ก็คือมันปรากฏตัวครั้งแรกใน Chapbook ซึ่งเป็นนิตยสารขนาดเล็กขนาดพ็อกเก็ตบุซ
ที่นิยมในศตวรรษที่ 16 ของประเทศอังกฤษ ภายในมีเรื่องมากมายไม่ว่าจะเป็น นิทานพื้นบ้าน วรรณกรรมเด็ก การเมืองและศาสนา
รวมไปถึงโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้หลายคนเชี่อว่าเรื่องของซอว์นี่ บีนนั้นเป็นเครื่องมือการเมืองที่ใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อทำให้สก็อตแลนด์เสื่อมเสีย

 

หากเรื่องซอว์นี่ บีนนั้นเป็นเรื่องจริง บางที่เรื่องราวของพวกเขานั้นอาจเป็นกลุ่มฆาตกรที่เป็นครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรก็ได้
โดยมีเพลงพื้นบ้านที่ร้องเล่นๆ สำหรับเด็กไว้ว่า

 
Do not go by Galloway
see wait a while my friend
I will tell you of the dangers.
Beware of Sawney Beane.
We know that he expects there
but his face is rarely seen.
Sawney has a wife and children.
Exercise caution so that they
not caught your horse and your blood discharge
in the cave of Sawney Beane.
They want to see your throat cut.
One of them will clean your body.
But fear not so much: the soldiers
watching trips.
It is a mandate from the king
carry the order to fire and sword
A Sawney Beane and his
they have been hung high in the tower of Edinburgh
 
ไม่ควรไปกัลป์โลเวอร์
ไม่ว่าจะไปพบ หรือคอย มิตรสหาย
เราขอเตือนคุณว่าที่นั่นมันอันตราย
จงระวังซอว์นี่ บีน
พวกเรารู้ว่าเขาอาจอยู่ที่นั่น
แต่ไม่ใครได้พบเห็นหน้าของเขา
ซอว์นี่มีทั้งภรรยาและบุตร
เราขอเตือนว่าจงระมัดระวังพวกเขา
ห้ามจับม้าและระวังเลือดออก
ในถ้ำของซอว์นี่ บีน
พวกเขาต้องการกัดคอหอยของคุณ
หนึ่งในกลุ่มพวกเขาจะทำความสะอาดร่างกายของคุณ
ไม่ต้องกลัวมากทหาร
จงออกเดินทาง
มันเป็นคำสั่งจากพระราชา
ไปทำภารกิจจงนำดาบและไฟไปด้วย
ซอว์นี่ บีน และพวกของเขา
พวกเขาถูกแขวนคอในหอคอยอดินเบอระ

 
แม้จะนานหลายศตวรรษ แต่เรื่องความโหดเหี้ยมที่น่าเหลือเชื่อของซอว์นี่ บีนนั้นยังคงถูกนำไปดัดแปลงในสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น
นวนิยาย เพลง เกม การ์ตูน การ์ตูนแบ็กแมนฉบับ 304 ปรากฏชื่อซอว์นี่ บีนเป็นนักโทษในคุกอคาแฮม เพียงแต่เสียงเพี้ยนออกมาเป็นซอลี่ บีน แทน
และมีภาพยนต์หลายเรื่องที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวกับซอว์นี่ บีน


<a href="https://www.youtube.com/v/EkdskdFemWM" target="_blank" class="new_win">https://www.youtube.com/v/EkdskdFemWM</a>

ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สยองขวัญคลาสสิกเรื่อง The Hills Have Eyes (1977) ของผู้กำกับเวส คราเว่น ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์กินคน
ในถ้ำกลางทะเลทรายที่ดักล่าคนที่ขับรถไปตามท้องถนน ด้วยเนื้อหาดิบ และเหี้ยมโหดระทึกขวัญ และการเอาตัวรอด ส่งผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดัง
ในเวลาต่อมา จนถูกนำมาสร้างใหม่ในปี 2006 เพียงแต่เป็นเนื้อหาแตกต่างจากต้นฉบับเล็กน้อย

<a href="https://www.youtube.com/v/xNw6197sycg" target="_blank" class="new_win">https://www.youtube.com/v/xNw6197sycg</a>

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์เรื่อง Hillside Cannibals (2006)ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับซอว์นี่ บีนเหมือนกันโดยเนื้อหาเกี่ยวกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ปีนเขา
เป็นงานอดิเรกวันหนึ่งพวกเขาได้สำรวจป่าเขาแห่งหนึ่งและที่นั่นมีถ้ำแห่งหนึ่งที่เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่ามนุษย์กินคนที่แต่งชุดดึกดำบรรพ์

<a href="https://www.youtube.com/v/oeZKpFh_URY" target="_blank" class="new_win">https://www.youtube.com/v/oeZKpFh_URY</a>

ภาพยนตร์เรื่อง Hillside Cannibals ( 2006) แปลไทยคือ โชคดีที่ตายก่อน


Credit :: cammy@dek-d.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 พฤศจิกายน 2014, 11:10:56 โดย etatae333 »
นวดกระปู๋ นวดกระปู๋เชียงใหม่ นวดกระษัย ไซด์ไลน์ Sideline นวดน้ำมัน นวดอโรมา นวดแผนโบราณ อาบอบนวด ออน การบ้าน เรื่องเสียว ลายแทง หนังโป๊ AV เชียงใหม่

PLAYBOY ขั้นเทพ

  • V.I.P.
  • อาชาคะนองศึก
  • *
  • กระทู้: 1345
  • Country: th
  • คะแนนจิตพิสัย +6/-2
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
Re: Sawney Bean ตำนานครอบครัวกินคนแห่งสก็อตแลนด์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2014, 10:14:51 »

khjhgg khjhgg ขอบคุณคับ อ่านแล้วสยองมาก  ljhgf ljhgf
***** PLAYBOY ขั้นเทพ #  PRESENTS   การบ้านสะท้านปฐพี   ==> ความมันส์!..กำลังจะบังเกิดแล้วครัชพี่น้อง *****

xnavin

  • เด็กทะลึ่ง
  • ****
  • กระทู้: 85
  • คะแนนจิตพิสัย +1/-0
    • ดูรายละเอียด
Re: Sawney Bean ตำนานครอบครัวกินคนแห่งสก็อตแลนด์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 07 พฤศจิกายน 2014, 10:48:43 »

 หือ มีอย่างงี้ด้วยแฮะ สยอง