มิตรแท้ องค์สมเด็จพระชินศรีทรงแนะนำว่า มิตรที่แท้จริงมี ๔ จำพวกคือ
๑. มิตรที่มีอุปการะ
๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์
๓. มิตรแนะนำประโยชน์
๔. มิตรที่มีความรักใคร่
สำหรับมิตร ๔ อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านอธิบายไว้ชัด ท่านอธิบายไว้เลยว่า
มิตรที่มีอุปการะมิตรที่มีอุปการระมีลักษณะ 4 อย่าง คือ
(๑) ป้องกันเพื่อน ผู้ประมาทแล้วหมายความว่า เขาเห็นเราจะเพลี่ยงพล้ำหรือขาดทุนพลาดท่าในลักษณะใดก็ตาม เห็นท่าไม่ดี พยายามป้องกันตักเตือนทุกอย่าง ใครจะเข้ามาประหัตประหารทำร้าย เขาจะเข้ามาป้องกันด้วยชีวิต ถ้าเรายากจนเข็ญใจ จะพลาดพลั้งประการใด เขาจะเข้ามาประคับประคอง อันนี้เป็นมิตรดี
(๒) ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อน ผู้ประมาทแล้วนั้นป้องกันกันตัวนะ อันนี้ป้องกันทรัพย์ เวลานอนหลับ ขโมยขโจรจะเข้ามาปล้นจะเข้ามาลัก ถ้าเขาทราบเขาจะป้องกันทันที
(๓) เมื่อมีภัยมา เป็นที่พึ่งพากันได้ หมายความว่า ถ้าจะมีภัยอะไรก็ตาม เขาจะยอมพลีตัวเขาทุกอย่างเพื่อเรา
(๔) เมื่อมีธุระ ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปากหมายความว่า เพื่อนเอ๋ย...ฉันขาดเงินอยู่บาท เจ้าหนี้เขามาทวง ถ้าเขามีมาก เอาไปเพื่อน ๑๐ บาทก็แล้วกันนะ ไอ้ ๑ บาทเอ้าไปใช้หนี้ อีก ๙ บาทเอาไปซื้อกินซื้อใช้ จนกว่าจะหามาได้ก็ค่อยมาให้กัน หรือว่าไม่มีก็ไม่เป็นไร ของเท่านี้เราช่วยกันได้ แม้แต่ชีวิตเรายังสละได้ นี้อาการอย่างนี้เขาเรียกว่ามิตรที่มีอุปการะ
มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ท่านบอกว่ามีลักษณะ ๔ อย่างคือ
(๑) ขยายความลับของตนแก่เพื่อนหมายความว่าเขาเป็นมิตรจริงๆ แม้จะมีอะไรลึกลับอยู่ไม่มีการปิดบัง บอกกันตรงไปตรองมาเสมอ
(๒) ปกปิดความลับของเพื่อน ไม่ให้แพร่งพรายออกไป
หมายความว่า สิ่งใดที่เพื่อนมีความลับไม่ควรจะเปิดเผย เขาจะปกปิด ใครจะถามจะมาจ้าง จะมาวาน จะมาเข่นจะมาฆ่า เขาจะไม่ยอมเปิด
เรื่องนี้ถ้าเราถอยหลังไปถึงประวัติศาสตร์ เราจะทราบชัดว่าคนไทยสมัยก่อน ๆ นี้ ที่ทรงชาติได้ดีก็เพราะลักษณะ อย่างนี้เป็นสำคัญ
(๓) ไม่ละทิ้งกันในยามวิบัติ หมายความว่า ถ้าเราเกิดความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น อย่างมีอุทกภัยน้ำท่วม วาตภัยพัดบ้านพัง สมบัติพัง ไฟไหม้บ้าน โจรปล้น ความวิบัติเกิดขึ้น ทรัพย์สินมันไม่มี เขายอมพลีเสียสละช่วยเหลือเสมอ
(๔) แม้แต่ชีวิตก็อาจสละแทนได้เขาอาจจะยอมตายแทนเราเมื่อภัยใหญ่มาถึง มิตรอย่างนี้เรียกว่ามิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ควรจะคบหาคบไว้ เรามีน้อยก็ยังดีกว่ามีเพื่อนที่ไม่ใช่มิตร เรามีมิตรแท้คนเดียวดีว่ามีมิตรเทียม ๆ หลายแสนคน ไอ้มิตรเทียม ๆ หลายแสนคนนั้นแต่ละคนมันก็ให้ความทุกข์ มี ๑๐ คนก็ให้ความทุกข์ ๑๐ คน มี ๑๐๐ คนมันก็ให้ความทุกข์ ๑๐๐ คน ถ้าเรามีมิตรที่ดี ๑ คนเราจะมีความสุขตลอดชีวิต ฉะนั้นจงเลือกคบแต่มิตรที่ดี
มิตรที่แนะนำประโยชน์ท่านบอกมีลักษณะ ๔ คือ
(๑)
ห้ามทำความชั่ว ความชั่วนี้เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าอะไรมันชั่ว
(๒) แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี(๓) ให้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง(๔) บอกทางสวรรค์ คือทางของความสุขให้
ทางสวรรค์หมายความทางใดที่เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ความร่ำรวย ความปลอดภัย ความเป็นที่รักแก่คนทั้งหลาย เราเรียกกันว่าเป็นทางสวรรค์
นี้มิตรแนะนำประโยชน์อย่างนี้ องค์สมเด็จพระทรงแนะนำว่าควรคบหาเข้าไว้ อย่าละทิ้ง
มิตรที่มีความรักใคร่ มี ๔ ลักษณะเหมือนกันคือ
(๑) เวลานี้เราทุกข์ เขาก็ยอมจะทุกด้วย คือไม่ทิ้งเรา
(๒) เวลาเรามีความสุขเขาก็สุขด้วยหมายความว่ารื่นเริงหรรษาเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
(๓) โต้เถียงคนที่พูดติเตียนเพื่อนหมายความว่า ถ้าเรานี่ถูกใครเขาติเตียนไม่ตรงกับความเป็นจริง เขาจะโต้ตอบทันที
(๔) รับรองคนที่พูดสรรเสริญเพื่อน หมายความว่า ถ้ามิตรที่ดีเขาจะป้องกันเราไว้เสมอ
เป็นอันว่ามิตร ๔ ประการนี้ องค์สมเด็จพระมหามุนีทรงแนะนำว่า ต้องควรคบแสวงหาไว้
ถ้าหากว่าเขาถามว่า เราเลือกคนดีประเภทนี้ไม่ได้ เราจะทำอย่างไร ก็ควรจะตัดสินใจว่า ไม่คบใครเสียเลยดีกว่า ถ้าไปคบคนชั่วก็ไปสร้างความทุกข์ให้เรา ถ้าคบคนดีมีความสุข ถ้าหาคนดีไม่ได้มีแต่คนชั่ว เราไม่คบเสียเลยอยู่ตัวคนเดียวดีกว่า เมื่อมันจะทุกข์ก็ทุกข์เฉพาะตัวของเราเอง ไม่ใช่คนอื่นมาสร้างความทุกข์ให้.
จากหนังสือ"ธรรมปฏิบัติ" เล่ม ๑๐
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
วัดจันทาราม (ท่าซุง) ต.น้ำซึม จ.อุทัยธานี